นิลสีเทา
-
เขียนโดย thalin
วันที่ 22 เมษายน พ.ศ. 2559 เวลา 10.53 น.
5 ตอน
0 วิจารณ์
7,259 อ่าน
แก้ไขเมื่อ 28 เมษายน พ.ศ. 2559 17.39 น. โดย เจ้าของเรื่องสั้น
4) ชีวิตสีเทา
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ ชีวิตที่ผมเป็นคนกำหนดเองได้เริ่มต้นขึ้นหลังจากที่ผมหนีออกจากบ้านมา
3 เดือนแล้วที่ผมไม่ได้กลับไปเยือนบ้านที่แสนหน้าหดหู่หลังนั้น ไม่มีใครคิดจะออกตามหาผมเช่นกัน นั่นแหละคือสิ่งที่ผมต้องการ ผมไม่ต้องการให้คนพวกนั้นเข้ามาวุ่นวายชีวิตของผมอีก ต่อแต่นี้ผมจะอยู่ด้วยตัวของผมเอง...
ผมทำงานพิเศษเพิ่มหลายที่เพื่อส่งตัวเองเรียนและจ่ายค่าห้องพัก
วันแรกที่ผมออกจากบ้านผมต้องนอนข้างถนน (ก็คงจะพอเดากันได้) แต่ในคืนต่อมาผมก็พบคุณลุงใจดีที่ยอมให้ผมพักในห้องเก็บข้องแบบฟรีๆ โดยบอกว่าหากผมต้องการมีห้องพักเป็นของตัวเอง ผมต้องทำงาน...คุณลุงไม่มีปัญหาเรื่องที่ผมหนีออกจากบ้าน เขาบอกว่าวัยรุ่นเดี๋ยวนี้เป็นแบบนี้กันบ่อย. แต่กรณีของผมค่อนข้างต่างออกไป คุณลุงยินดีให้ผมอยู่ด้วย ดีกว่ากลับไปให้พ่อแม่ทรมาน
ผมไม่มีปัญหารื่องทำงาน เพราะผมต้องทำงานทุกวันหลังเรียบจบอยู่แล้ว
ผมลงเรียนตามปกติ แต่ต้องทำงานหนักขึ้น
ในตอนเช้า ผมต้องตื่นแต่เช้ามืดเพื่อลงมาช่วยคุณลุงทำงานของทางบ้านก่อนจะไปโรงเรียน ตอนช่วงพักกลางวันผมจะขออนุญาตออกนอกโรงเรียนเพื่อไปส่งของให้กับร้อนอาหาร ก่อนจะกลับมาเรียนในคาบบ่าย ตอนเย็นผมจะต้องไปทำงานที่ร้านอาหาร นี้คือกิจวัตรของผมเวียนซ้ำไปซ้ำมา
ตอนกลางคืนคือเวลาพักผ่อนเพียงหนึ่งเดียวของผม...
ผมนอนเงยหน้ามองเพดานห้อง ครั้งหนึ่งผมเคยเห็นใบหน้ายิ้มแย้มของคุณยายลอยอยู่บนนั้น แต่ตอนนี้มันกลับว่างเปล่า เหมือนจะย้ำเตือนว่าคุณยายของผมได้จากไปแล้ว
ผมหลับตาและจะพยายามให้มากขึ้นในวันพรุ่งนี้...ผมจะต้องมีชีวิตที่ดีกว่านี้
...แต่โชคชะตามันช่างโหดร้าย
เช้าวันถัดมา ผมตื่นแต่เช้าเหมือนทุกที แต่วันนี้คุณลุงไม่อยู่ ผมต้องไปทำงานจึงวางกระดาษไว้บอกว่าไปทำงาน ผมออกจากมี่พักและขี้จักรยานออกไปตามท้องถนน
อากาศวันนี้สดชื้นเย็นสบาย ลมเย็นที่พัดผ่านใบหน้าควรทำให้ผมรู้สึกผ่อนคลายแต่ผมกลับรู้สึกแย่ขึ้นในทุกครั้งที่ออกแรงขา ผมเหนื่อยเร็วเกินไปแล้ว ผมรู้ว่าตัวเองร่างกายอ่อนแอ นี่อาจจะเป็นสัญญาณเตือนบอกว่าผมเหนื่อยเกินไป
ตาของผมหมุนวน. สีภาพต่างๆเริ่มมืดบอดลงกลายเป็นสีเทา
...บางที ผมควรจะพัก...
...
ผมจำไม่ได้ว่าหลับไปตอนไหน แต่พอตื่นขึ้นมาอีกทีผมก็สวมชุดคนไข้ของโรงพยาบาลแห่งหนึ่ง ดวงตาข้างหนึ่งของผมถูกพันเอาไว้ด้วยผ้าพันแผลหนา ที่แย่กว่าคือขาทั้งสองข้างของผมไม่สามารถขยับได้เลย
หมอเข้ามา ใบหน้าปราศจากรอยยิ้ม
"ผม...ผมเป็นอะไร". ผมถาม
รู้สึกไม่อยากรับฟังความเป็นจริงที่หมอจะบอกเลย
3 เดือนแล้วที่ผมไม่ได้กลับไปเยือนบ้านที่แสนหน้าหดหู่หลังนั้น ไม่มีใครคิดจะออกตามหาผมเช่นกัน นั่นแหละคือสิ่งที่ผมต้องการ ผมไม่ต้องการให้คนพวกนั้นเข้ามาวุ่นวายชีวิตของผมอีก ต่อแต่นี้ผมจะอยู่ด้วยตัวของผมเอง...
ผมทำงานพิเศษเพิ่มหลายที่เพื่อส่งตัวเองเรียนและจ่ายค่าห้องพัก
วันแรกที่ผมออกจากบ้านผมต้องนอนข้างถนน (ก็คงจะพอเดากันได้) แต่ในคืนต่อมาผมก็พบคุณลุงใจดีที่ยอมให้ผมพักในห้องเก็บข้องแบบฟรีๆ โดยบอกว่าหากผมต้องการมีห้องพักเป็นของตัวเอง ผมต้องทำงาน...คุณลุงไม่มีปัญหาเรื่องที่ผมหนีออกจากบ้าน เขาบอกว่าวัยรุ่นเดี๋ยวนี้เป็นแบบนี้กันบ่อย. แต่กรณีของผมค่อนข้างต่างออกไป คุณลุงยินดีให้ผมอยู่ด้วย ดีกว่ากลับไปให้พ่อแม่ทรมาน
ผมไม่มีปัญหารื่องทำงาน เพราะผมต้องทำงานทุกวันหลังเรียบจบอยู่แล้ว
ผมลงเรียนตามปกติ แต่ต้องทำงานหนักขึ้น
ในตอนเช้า ผมต้องตื่นแต่เช้ามืดเพื่อลงมาช่วยคุณลุงทำงานของทางบ้านก่อนจะไปโรงเรียน ตอนช่วงพักกลางวันผมจะขออนุญาตออกนอกโรงเรียนเพื่อไปส่งของให้กับร้อนอาหาร ก่อนจะกลับมาเรียนในคาบบ่าย ตอนเย็นผมจะต้องไปทำงานที่ร้านอาหาร นี้คือกิจวัตรของผมเวียนซ้ำไปซ้ำมา
ตอนกลางคืนคือเวลาพักผ่อนเพียงหนึ่งเดียวของผม...
ผมนอนเงยหน้ามองเพดานห้อง ครั้งหนึ่งผมเคยเห็นใบหน้ายิ้มแย้มของคุณยายลอยอยู่บนนั้น แต่ตอนนี้มันกลับว่างเปล่า เหมือนจะย้ำเตือนว่าคุณยายของผมได้จากไปแล้ว
ผมหลับตาและจะพยายามให้มากขึ้นในวันพรุ่งนี้...ผมจะต้องมีชีวิตที่ดีกว่านี้
...แต่โชคชะตามันช่างโหดร้าย
เช้าวันถัดมา ผมตื่นแต่เช้าเหมือนทุกที แต่วันนี้คุณลุงไม่อยู่ ผมต้องไปทำงานจึงวางกระดาษไว้บอกว่าไปทำงาน ผมออกจากมี่พักและขี้จักรยานออกไปตามท้องถนน
อากาศวันนี้สดชื้นเย็นสบาย ลมเย็นที่พัดผ่านใบหน้าควรทำให้ผมรู้สึกผ่อนคลายแต่ผมกลับรู้สึกแย่ขึ้นในทุกครั้งที่ออกแรงขา ผมเหนื่อยเร็วเกินไปแล้ว ผมรู้ว่าตัวเองร่างกายอ่อนแอ นี่อาจจะเป็นสัญญาณเตือนบอกว่าผมเหนื่อยเกินไป
ตาของผมหมุนวน. สีภาพต่างๆเริ่มมืดบอดลงกลายเป็นสีเทา
...บางที ผมควรจะพัก...
...
ผมจำไม่ได้ว่าหลับไปตอนไหน แต่พอตื่นขึ้นมาอีกทีผมก็สวมชุดคนไข้ของโรงพยาบาลแห่งหนึ่ง ดวงตาข้างหนึ่งของผมถูกพันเอาไว้ด้วยผ้าพันแผลหนา ที่แย่กว่าคือขาทั้งสองข้างของผมไม่สามารถขยับได้เลย
หมอเข้ามา ใบหน้าปราศจากรอยยิ้ม
"ผม...ผมเป็นอะไร". ผมถาม
รู้สึกไม่อยากรับฟังความเป็นจริงที่หมอจะบอกเลย
คำยืนยันของเจ้าของเรื่องสั้น
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ