Future control อนาคตฉัน เดิมพันด้วยรักของเธอ
เขียนโดย yasang
วันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2558 เวลา 04.15 น.
แก้ไขเมื่อ 15 เมษายน พ.ศ. 2559 00.29 น. โดย เจ้าของเรื่องสั้น
3) บทที่ 2 โจรโรคจิต (RW)
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ๒
แดดยามบ่ายร้อนระอุ ส่งผลให้รถเล็ก ๆ บนถนนต้องเร่งความเร็วอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ถึงที่หมายไวยิ่งขึ้น ร่างบางมองรถมอเตอร์ไซค์ คันแล้วคันเล่า ที่ขับแซงไปอย่างรวดเร็ว ไม่ใช่เพราะเธอไม่อยากขับเร็ว แต่ด้วยความที่ยังไม่ชินทาง เพราะเพิ่งย้ายมาอยู่ที่เชียงใหม่ได้ราวสองเดือน ทำให้ ไอริณหรืออเกนส์ ดูจะงก ๆ เงิ่น ๆ กับการขับขี่มากพอสมควร
“จะรีบไปไหนกันนะ” บ่นอุบอิบอยู่ใต้หมวกนิรภัย เมื่อมีรถเก๋งคันหรูเบียด จนแทบจะตกจากเลนถนน เด็กสาวรู้ดีว่าตนกำลังจะโกรธ แต่ไม่ใช่ตอนนี้ ตอนที่กำลังจะไปสัมภาษณ์งานที่ร้านอาหารแห่งหนึ่ง ดังนั้นจึงควรให้ความสำคัญกับเป้าหมายข้างหน้า มากกว่าจะมาสนใจคนที่ขับรถกวน...แบบนี้ อันที่จริงปีนี้และตอนนี้ ไอริณ ต้องกำลังเข้าเรียนปรับพื้นฐาน ในมหาวิทยาลัยเหมือนกับเพื่อนคนอื่น แต่! เพราะพลาดจากการสอบเข้าแพทย์ฯ เด็กสาวจึงตั้งใจว่าจะใช้เวลาช่วงนี้ เก็บตังค์พร้อมกับอ่านหนังสือสอบไปด้วย ซึ่งก็นับว่าเป็นเรื่องดี
จวนบ่ายสอง ซึ่งเป็นเวลาที่ทางร้านนัดสัมภาษณ์งาน ร่างบางในชุดเอี๊ยมยีนส์พร้อมเสื้อแขนกระบอก แถมสะพายเป้สีน้ำตาลใบเขื่อง กำลังเดินราววิ่งเพื่อไปยังที่หมาย
“ร้านอิจินิจิ โซนเอ งั้นก็ต้อง...เลี้ยวไปทางซ้าย” ไอริณพึมพำ วิ่งไปด้วยเปิดสมุดโน๊ตที่จดตำแหน่งของร้านไปด้วย แม้ว่าจะยื่นใบสมัครแล้ว ก็ใช้ว่าเธอจะรู้ทางไปร้านได้อย่างถูกต้องเสียทีเดียว ห้างสรรพสินค้า D ตั้งอยู่ชานเมืองเชียงใหม่ ซึ่งใกล้กับบ้านของสกุณา ผู้เป็นป้าของเด็กสาว แต่ก็อย่างที่บอก ถึงจะใกล้แต่ก็ใช่ว่าสาวน้อยจะเคยมา
ไอริณวิ่งมายืนหอบแฮกอยู่หน้าโซนเอ ซึ่งเป็นโซนอาหารของทางห้างฯ จะมีตั้งแต่อาหารไทย จีน อิตาเลียน และฯ แต่ที่สำคัญคือร้านอาหารญี่ปุ่นที่ตั้งตระหง่านอยู่ตรงหน้าตอนนี้ แวบแรกเธอคิดว่าร้านใหญ่มาก และคงจะสมคำล่ำลือที่ว่า ร้านอิจินิจิมีสาขาแม่อยู่ที่จังหวัดชิซูโอกะ ประเทศญี่ปุ่น แต่เมื่อดูดี ๆ แล้วกลับไม่เป็นอย่างที่คิด
คูหาที่ใช้เปิดเป็นร้านสองล๊อกใหญ่ เป็นของร้านอิจินิจิเพียงครึ่งหนึ่ง ส่วนอีกครึ่งก็เป็นของร้านอาหารญี่ปุ่นแบบเดียวกัน ขอย้ำว่าแบบเดียวกัน ร้านญี่ปุ่นแบบโบราณ ตกแต่งด้วยฉากกั้น บานประตูโชจิ รวมไปถึงเสื่อทาทามิ ทั้งสองร้านเหมือนกันมากจนเด็กสาวต้องมองป้ายชื่อร้านสลับกันไปมา
“อิจินิจิ ก็ร้านนี้นี่นา” ไอริณยืนนิ่งอยู่หน้าร้านครู่หนึ่ง เพราะเกิดความคิดบางอย่างขึ้นมา จึงพึมพำเบา ๆ ว่า “แล้วถ้าเป็นแบบนี้...ลูกค้าจะลำบากใจมั้ยเนี่ย ว่าจะเข้าร้านไหน”
“ผมว่านะ ไม่ลำบากหรอกครับ ร้านไหนอร่อย...ก็เข้าร้านนั้นแหละ” เสียงนุ่มทุ้มของบุรุษหนึ่งดัง มาจากด้านหลังของสาวน้อย เธอสะดุ้งจนต้องกระโดดเหย๋งออกห่างจากเขา ประมาณเมตรกว่า ๆ มือบางเอากระเป๋าที่สะพายหลังมาโอบเอาไว้แนบอก
ร่างสูงในเสื้อเชิ้ตสีฟ้า นัยน์ตาถูกบดบังโดยแว่นกันแดดสีน้ำตาล ปรากฏกายต่อหน้าสาวน้อย เธอไม่มีเวลาเก็บรายละเอียดว่ากางเกงและรองเท้าของเขาเป็นสีหรือมีลักษณะยังไง ทำได้เพียงยืนงกงัน สบตากับชายหนุ่มแปลกหน้าอยู่พักหนึ่ง
“สิบวิ!” ชายหนุ่มพูดขึ้น พลางฉีกยิ้มให้ร่างบาง แล้วจึงหันหลังให้พร้อมทั้งเดินจากไป
เมื่อเขาเดินห่างออกไปแล้ว ไอริณที่ยืนนิ่งประดุจดังรูปปั้นก็เป็นอันต้องขยับ แม้ภายนอกดูสงบนิ่งแต่ในใจนั้นมีความรู้สึกประหลาดมากมาย ท่วมท้นไปหมด แต่ไม่มีอะไรมากไปกว่าความงุนงงสงสัย
“เอ่อ...เมื่อกี้เราเดินมาคนเดียวนี่นา” ว่าพลางเอานิ้วชี้ขึ้นแตะปาก เหมือนกำลังครุ่นคิด แล้วจึงหันไปมองทางที่ตนเดินผ่านมา “โรคจิตหรือเปล่านะ”
พึมพำอยู่คนเดียว แล้วจึงตัดสินใจเดินเข้าไปในร้าน คิดว่าไม่อยากเสียเวลาไปมากกว่านี้ จัดการยื่นเอกสารและเข้ารอรับการสัมภาษณ์ ในวันนี้มีคนมารอสัมภาษณ์อีกห้าคนรวมตัวเธอ รอไม่นานนักก็ได้เข้าไปในห้องที่จัดไว้สำหรับสัมภาษณ์งาน
ในร้านอิจินิจิตกแต่งแบบญี่ปุ่นโบราณไม่ผิดจากที่คิดไว้ ฉากกั้นระหว่างห้องที่แต่งแต้มลายดอกไม้หลากสีให้ความอบอุ่นและกลิ่นอายจากแดนอาทิตย์อุทัยได้เป็นอย่างดี ในร้านถูกแบ่งออกเป็นสามส่วน โดยส่วนที่หนึ่งคือส่วนที่เป็นพื้นที่ให้บริการลูกค้า ส่วนที่สองเป็นส่วนของห้องครัว ใช้เป็นทั้งที่ปรุงและเก็บรักษาวัตถุดิบ และส่วนที่สามคือห้องสัมภาษณ์งานในวันนี้
“เชิญนั่งจ้ะ” หญิงรุ่นราวคราวเดียวกับป้าของไอริณพูด พร้อมส่งยิ้มให้
“ขอบคุณค่ะ”
ไอริณเดินไปนั่งบนเบาะที่จัดไว้ตรงข้ามกับผู้จัดการร้าน โต๊ะญี่ปุ่นสีน้ำตาลอ่อนขัดเงาอย่างดี มีถ้วยชาวางอยู่บนนั้นสองถ้วย ผู้จัดการร้านเลื่อนถ้วยชาใบหนึ่งให้เด็กสาว พร้อมเชิญให้ชิม มือบางรับชานั้นแล้วชิมตามที่เธอบอก ไอริณสังเกตว่าเธอดูเป็นคนใจดี เพราะด้วยดวงตา น้ำเสียง ท่าทีการแสดงออกต่าง ๆ จนเด็กสาวคลายความตื่นเต้นลงไปบ้าง
“รสชาติเป็นยังไงบ้างจ๊ะ หนูชอบรึเปล่า”
“มันจืดนะคะ”พูดตามจริง เพราะมัทฉะที่เพิ่งชิมไปนั้นเป็นชาตามธรรมชาติที่ยังไม่ได้แต่งเติม
“งั้นหรอจ๊ะ หนูไม่ชอบชาแบบนี้หรอจ๊ะ” ถามกลั้วหัวเราะ พลางวางถ้วยชาลงบนโต๊ะ
“หนูชอบนะคะ ชาที่ไม่เติมอะไรเลยแบบนี้มันมีประสิทธิภาพสูงกว่าชนิดที่เติมน้ำตาลไปเยอะใช่มั้ยค่ะ”
“อื้ม ถูกที่สุดเลยหนูน้อย นี่ทางร้านคิดว่าจะเอามาให้บริการลูกค้าในเดือนหน้านี้ หนูคิดว่าดีมั้ย” ถามก่อนจะยกชาขึ้นจิบอีกครั้ง
“หนูว่าดีทั้งต่อผู้สูงอายุ เด็ก แล้วก็...คนรักสุขภาพ” ร่างบางให้คำตอบ
“สรุปคือดีต่อทุกคนสินะ”
“ค่ะ แต่ว่าสำหรับเด็กถ้าเติมน้ำเชื่อมสักนิดนึง ก็คงไม่เป็นไรมั้งคะ เพราะว่าให้กินจืด ๆ แบบนี้เด็กหลายคนคงจะไม่ชอบเท่าไหร่” ไอริณเสนอความคิดพร้อมยิ้มบาง ๆ เพราะไม่รู้ว่าคำตอบนั้นจะถูกใจผู้จัดการร้านหรือไม่
เวลาผ่านไปร่วมสองสัปดาห์ ไอริณจึงรู้ว่าคำตอบของเธอคงถูกใจผู้สัมภาษณ์ เพราะว่าวันนี้เธอได้มายืนอยู่หน้าร้านอีกครั้ง (จะต่างก็ตรงที่ไม่มีชายแปลกหน้ามายืนอยู่ด้านหลัง) วันนี้ทางร้านอิจินิจินัดเธอในเวลาแปดโมงเช้า เพื่อมาทำความเข้าใจเกี่ยวกับกฎระเบียบและการปฏิบัติงานภายในร้าน ก่อนที่จะเริ่มทำงานจริง ๆ จัง ๆ มือบางผลักบานประตูกระจกทำให้เกิดเสียงดังกริ๊ง เพราะโมบายรูปพระอาทิตย์ที่แขวนไว้กับประตูกระทบกัน
“ไอริณใช่มั้ยค่ะ”
“ค่ะ”
“โอเคจ้ะ เอ่อ...” เธอหันมาส่งยิ้ม ก่อนจะชะเง้อหน้าไปทางห้องครัว “นั่งรอตรงมุมนั้นก่อนนะคะ” เธอว่าพลางผายมือไปยังเก้าอี้ทางประตูเข้าร้านที่จัดไว้สำหรับนั่งรอคิว ไอริณเห็นว่ามีเด็กผู้หญิงที่น่าจะอายุเท่า ๆ กับเธอนั่งอยู่ก่อนแล้ว เด็กสาวจำได้ว่าคือคนเดียวกับที่มาสัมภาษณ์ในวันนั้น ทักทายกันเรียบร้อย ก็ได้รู้ว่าพวกเธอผ่านสัมภาษณ์กันแค่สองคน
“แต่ว่านะอเกนส์ ได้ชิมชาเขียวมั้ย”
“ชิมสิ แล้วอินได้ชิมรึเปล่า” เด็กสาวถามเพื่อนใหม่ที่ชื่ออินดวงตาตี่ตามแบบฉบับสาวหมวย ผิวพรรณขาวผ่อง รูปร่างสูงพองาม ทำให้ไอริณตัดสินได้ไม่ยากว่าเธอมีเชื้อสายจีน (มาทราบทีหลังว่าพ่อของเธอเป็นคนจีน)
“แน่นอน อินบอกผู้จัดการไปว่ามันไม่อร่อย อเกนส์ว่ามั้ยชาจืดขนาดนั้น ไม่มีเด็กที่ไหนกินหรอก”
“เอ่อ...นั้นสินะ แต่อเกนส์บอกว่าให้เติมน้ำเชื่อมลงไป ถ้าจะเสิร์ฟให้เด็ก”
“หรอ อเกนส์ตอบไปแบบนั้นหรอ” อินก้มหน้ามาใกล้ ๆ ใบหูของเด็กสาวพลางกระซิบเบา ๆ “ร้านนี้เขามีวิธีคัดเลือกบุคคลเข้าทำงานแบบไหนกันนะ”
“นั่นสิ” ไอริณเออออกับเพื่อนใหม่ เพราะเห็นด้วยกับคำพูดของเธอ ก็สาวน้อยทั้งสองให้คำตอบแตกต่างกันสุดโต้งปานนั้น
รออยู่ไม่นานนักพนักงานสาวคนเดียวกับที่ทักทายตอนไอริณเข้ามาก็เดินมาหาพวกเธอ สาหร่าย เป็นป้ายชื่อที่ติดอยู่บนเสื้อด้านซ้าย ที่นี่มีเครื่องแบบแตกต่างจากที่อื่น จิมเบ เป็นชุดที่ชาวญี่ปุ่นนิยมใส่ในช่วงฤดูร้อน เพราะเป็นชุดที่สวมใส่ได้ง่ายกว่าชุดยูกาตะที่เราเห็น ๆ กันในการ์ตูน จิมเบเป็นเพียงเสื้อและกางเกงยาวประมาณเข่า แม้ว่าจะสวมใส่ง่าย แต่ก็สวยงามไม่แพ้กัน เพราะเหตุนี้จึงทำให้เป็นที่นิยมของทั้งชาวญี่ปุ่น รวมถึงนักท่องเที่ยวที่ไปเยือนในช่วงหน้าร้อน
ไอริณสังเกตสาวสวยตรงหน้า ผิวขาว ใบหน้าได้รูปสวย ดวงตาเฉียบคมที่ไม่ได้ปะปนไปด้วยความหยิ่งผยอง ทำให้ใบหน้าของพี่สาหร่ายคนนี้ดูอ่อนหวาน และแข็งแกร่งในเวลาเดียวกัน มวยผมม้วนเก็บไว้ดูสะอาดสะอ้าน มือบางถือเอกสารสองฉบับเดินมาที่ ไอริณและอิน ก่อนจะยื่นมันให้ทั้งสองคน
“นี่จ้ะ เอกสารเกี่ยวกับกฎระเบียบของทางร้าน”
“ขอบคุณค่ะ” ไอริณและอินพูดพร้อมกัน
“วันนี้พี่จะพาพวกหนูดูส่วนต่าง ๆ ของร้านด้วย แล้วก็ที่สำคัญคือขั้นตอนในการปฏิบัติงานเกือบทุกอย่าง ที่วันนี้นัดมาเช้าแบบนี้ก็เพราะยังงี้แหละจ้ะ” พูดจบก็หันไปมองด้านหลัง
ไอริณและอินมองตาม ก็เห็นร่างสูงของชายหนุ่มอีกคนเดินมา ก่อนจะเดินเลี้ยวไปหยิบเอกสารบางอย่างบนเคาน์เตอร์หน้าห้องครัว สาหร่ายหันกลับมาหาไอริณและอินพลางว่า “วันนี้เราแยกกันไปนะ อินมากับพี่ ส่วนไอริณ เอ่อ...พี่ขอเรียกชื่อเล่นนะ”
“ได้ค่ะ”
“ส่วนอเกนส์ เดี๋ยวพี่จะให้ไปกับอากิ” หันไปมองด้านหลังพลางกวักมือเร่งชายหนุ่มที่เดินมา
“อ่อค่ะ” ไอริณรับคำ ก่อนที่สาหร่ายและอินจะเดินไปยังส่วนที่สองของร้าน อินหันมาโบกมือบ๊ายบายเป็นเชิงขอให้โชคดีกับการศึกษาวิธีปฏิบัติงานในครั้งนี้ ไอริณอดยิ้มไม่ได้แต่ก็ยังโบกมือตอบ
“พร้อมหรือยัง” อากิถามโดยไม่ได้หันมามอง
“ค่ะ” ไอริณตอบ พร้อมมองไปที่แผ่นหลังของร่างสูง ชายหนุ่มหันมามองหลังจากพลิกดูแผ่นกระดาษในมือ ซึ่งเป็นใบสมัครงานของเด็กสาว
ท่าทางแบบนี้ น้ำเสียงแบบนี้ ส่วนสูงประมาณนี้ เอ๊ะ มันรู้สึกคุ้น ๆ ไอริณไม่เพียงครุ่นคิด แต่ยังมองไปยังนัยน์ตาสีน้ำตาลของชายหนุ่มอย่างเพ่งพิศ สีน้ำตาล... สีน้ำตาลที่ไม่ได้มาจากแว่นกันแดด เสื้อเชิ้ตที่ไม่ใช่สีฟ้า สารสื่อประสาทวิ่งพล่านทั่วร่างสาวน้อยด้วยความรู้สึกอะไรไม่ทราบแน่ชัด แต่มันรู้สึกเสียวที่สันหลังวาบหนึ่ง
“...ผมถามว่าพร้อมหรือยัง”
“จ...โจรโรคจิต”
คำว่า โจรโรคจิต นั้น เด็กสาวร้องออกไปดังทีเดียว
“โอย...ไม่ไหวแล้วอิน อเกนส์อายมากเลยที่ไปว่าเขาแบบนั้น” ไอริณบ่นออดแอดขณะเดินทางไปทำงานที่ร้านอิจินิจิวันแรก ก็คงเป็นเรื่องชายหนุ่มที่เธอปักใจเชื่อว่าเขาเป็นโจรโรคจิตนั่นแหละ แต่เขากลับเป็นพนักงานในร้านไปซะได้ แล้วจะกล้าสู่หน้ามั้ยล่ะเนี่ย
“ใจเย็นสิอเกนส์ นี่เพิ่งจะเจ๊ดโมงเช้าอย่ากังวลไปเลย อากิดูใจดีออก เขาคงจะเข้าใจ แล้วอีกอย่างนะ ถ้าอินเป็นอเกนส์ อินอาจจะทำมากกว่านั้น” พูดด้วยน้ำเสียงปกติเพื่อให้คู่สนทนาสบายใจ
“ถ้าเป็นอินจะทำยังไงล่ะ”
“ก็คงจะ...สกายคิก ไปตั้งแต่วันแรกที่เจอแล้วล่ะ” ว่าพลางยิ้มกว้าง จนแทบไม่เห็นดวงตา
“โหอิน อเกนส์ไม่เชื่อหรอก อินเรียบร้อยซะขนาดนั้น จะไปกล้าเตะใคร”
“แหมอย่าเพิ่งตัดสินอินจากภายนอกสิอเกนส์ พูดแล้วจะหาว่าคุย อินเนี่ยสายดำเลยนะ”
“สายดำเทควันโดน่ะหรอ” ถามย้ำเพื่อความแน่ใจ
“เปล่าหรอก” สาวหมวยหยุดพูดพร้อมยิ้มแหย “สายดำเพราะไม่ได้ซักน่ะ”
“ว่าแล้วเชียว” ไอริณพูดกลั้วหัวเราะ พลางตบไหลเพื่อนเบา ๆ
ร่างบางของทั้งสองสาวเดินมาจนถึงหน้าร้านที่พวกเธอกำลังจะมาเริ่มงานในวันแรก ทันใดความกังวลของไอริณก็หวนกลับมาอีกรอบ พลันทำให้ขาไม่อยากที่จะก้าวเข้าไปในร้านอาหารญี่ปุ่นแบบโบราณแห่งนี้ แต่ด้วยแรงจากการดึง (หรือฉุด) ของอินทำให้ไอริณก้าวพ้นประตูร้านไปได้ เสียงโมบายรูปพระอาทิตย์กระทบกันดัง พนักงานในร้านจึงหันมามองทั้งสองสาวอย่างเสียไม่ได้
“มาแล้วหรอจ้ะ อเกนส์ อิน” สาหร่ายเอ่ยทักขึ้นเหมือนกับวันแรกที่มา
“สวัสดีค่ะพี่สาหร่าย” เด็กทั้งสองว่าพลางพุ่มมือไหว้
“รอเดี๋ยวนะ เดี๋ยวพี่จะพาไปเปลี่ยนชุด พวกเราเอากระเป๋าไปเก็บไว้ที่ชั้นได้เลย” สาหร่ายว่าพลางรัวนิ้วลงบนแป้นคีย์บอร์ดเพื่อสรุปข้อมูลการขายของเมื่อวานให้เสร็จ
ไอริณมองไปรอบบริเวณร้าน ไม่พบชายหนุ่มที่ตนกล่าวหาว่าเขาเป็นโรคจิต แม้จะโล่งใจไปนิดที่ไม่ต้องฝืนวางสีหน้าแปลก ๆ เมื่ออยู่ต่อหน้าอากิ
“อารมณ์ดีเพราะมีความสุข ไม่มีทุกข์เพราะมีเธออยู่ข้างกาย...” หนุ่มอีกคนเดินออกมาจากในครัว มือข้างขวาควงผ้าเช็ดจานเอาไว้ พลางร้องเพลงอย่างสบายอารมณ์ เขาหยุดมองไอริณและอิน ก่อนจะเดินเข้ามาใกล้เด็กทั้งสอง แล้วถามว่า “เอ...คนไหนอเกนส์ครับ”
แม้จะงง ๆ กับท่าทางที่ดูสวนกับบุคลิกของเขา ร่างสูงราวหนึ่งร้อยแปดสิบเซนติเมตร (สูงพอ ๆ กับคนที่เด็กสาวคิดว่าเป็นโจรโรคจิต) เส้นผมดำสนิท นัยน์ตาเรียวเล็กดูดุดัน จมูกเป็นสัน ผิวสีขาวเหลือง โดยรวมเขาดูภูมิฐานและไม่ใช่คนที่ไอริณคิดจะเข้าไปคุยด้วยแน่นอน
นี่หรือว่าชายหนุ่มคนนี้จะเป็นเพื่อนของอากิ แล้วที่เดินดุ่มเข้ามาถามหาเธอ ก็คงจะเพราะต้องการต่อว่าเธอแน่ ๆ แม้จะคิดกังวลไปก็ไม่ช่วยอะไรให้ดีขึ้น สาวน้อยจึงตอบเสียงเบา
“ฉันอเกนส์ค่ะ”
“หือ” ว่าพลางยื่นหน้าเข้ามาใกล้ มองดูตา จมูก และปากของไอริณตามลำดับ จากนั้นจึงหัวเราะลั่น “ฮ่า ๆ เธอหรอ เธอเองหรอ โอ้โหสุดยอดเธอนี่ตาถึงจริง ๆ เลย ไหน ๆ จับมือหน่อย” ว่าแล้วก็เอื้อมมือมาคว้าข้อมือของไอริณไปจับ
“ร...เรื่องอะไรหรอคะ” ไอริณถามเลิ่กลัก เพราะงงเหลือเกินกับท่าทีของหนุ่มแปลกหน้า
“นั่นสิ เรื่องอะไร” อินถามพร้อมหันหน้ามาหาเพื่อนสาวของตน ที่ดูจะงงไม่แพ้กัน
“เอ้า! ก็เรื่องอากิไง ที่อเกนส์บอกว่าเจ้านั่นเป็นโจรโรคจิต สุดยอดไปเลย” อธิบายไปพลางหัวเราะลั่นร้าน
“สแน๊ก เดี๋ยวลูกค้าก็ไม่เข้าร้าหรอก อย่าชวนเด็กใหม่คุยเรื่องไร้สารแต่เช้า” สาหร่ายเสร็จงานแล้วลุกเดินมาหาอินและไอริณ ก่อนจะเดินนำไปห้องเปลี่ยนชุดและก่อนไปก็ได้หันไปพูดกับหนุ่มอารมณ์ขันว่า “ระวังคนที่อยู่ในครัวด้วยล่ะ คิดว่าคงได้ยินหมดแล้ว” ยิ้มมุมปากแล้วเดินต่อไป
“คนนั้นชื่อสแน๊ก ออกจะเส้นตื้นไปหน่อย คิดว่าพวกเราคงทนไหวนะ” หญิงสาวกล่าวถึงหนุ่มนัยน์ตาเรียวเล็ก ก่อนจะเลื่อนบานประตูโชจิ
“อารมณ์ขันหรอค่ะ อินคิดว่าดีนะ คิดเหมือนกันมั้ยอเกนส์”
“จริงด้วย อเกนส์ก็คิดว่าดี”
“ทั้งสองคนคิดแบบนั้นหรอ” สาหร่ายเลิกคิ้วถาม เด็กทั้งสองพยักหน้ารับ ก่อนจะรับกล่องใส่ชุดฟอร์มทำงานจากมือสาหร่าย
จิมเบปักลายดอกพลัมทั้งสองชุดถูกแกะออกจากกล่อง ของไอริณเป็นดอกพลัมสีชมพูบนผ้าสีกรมท่า ส่วนของอินเป็นสีเทาอ่อน แม้สีจะต่างกันแต่สิ่งที่ทั้งสองคิดว่าเหมือนกันคือความสวยงามน่าสวมใส่
“พี่คิดว่าน่าจะพอดีกับเราทั้งสองคนนะ ไหนลองหมุนตัวสิ” พูดขึ้นหลังจากที่สาวน้อยทั้งสองเปลี่ยนชุด “โอเคแล้วล่ะ ส่วนที่เหลืออีกสามชุด คงต้องรอเป็นเย็นนี้นะจ๊ะ”
“ขอบคุณค่ะ พี่สาหร่าย” ไอริณพูด
“อินเคยใส่แต่กี่เพ้า ไม่เคยใส่จิมเบเลยซักครั้ง” อินว่าในขณะที่ยืนส่องกระจก
“ทีนี้จะได้ใส่จนเบื่อเลยล่ะจ้ะ เอาเป็นว่าเดี๋ยวเราลงไปข้างล่างกัน วันนี้ทำงานวันแรก เอาเป็นว่าทำอะไรง่าย ๆ ไปก่อน จะเป็นเสิร์ฟหรือว่ารับออร์เดอร์ก่อนก็ได้ ส่วนเรื่องงานในครัว รอไว้ซักสองอาทิตย์ เดี๋ยวพี่จะให้อากิสอน”
อากิ อากิหรอ ไอริณคิดในใจ เธอไม่รู้ว่าหน้าของตัวเองถอดสีไปนิด ในตอนที่สาหร่ายพูดชื่อของหนุ่มนัยน์ตาสีน้ำตาล แต่ไม่เป็นไรน่า กว่าจะถึงตอนนั้น เขาคงไม่โกรธเธอแล้ว ไอริณคิดไปเองเสร็จสรรพ
“แกว่าใครตาถึง และใครเป็นโจรโรคจิตกัน!ฮะ” อากิเอ่ยเสียงแข็งตอนที่สแน๊กเดินย่องเบาเข้าไปในครัว
“แหม อากิผมก็แค่แซวเล่นเอง เห็นเด็ก ๆ น่ารักดี” ตอบเสียงอ่อยพร้อมรอยยิ้มเจื่อน ไม่รู้ว่าจะโดนโจมตีแบบไหน
“แล้วมันเกี่ยวอะไร แกก็น่าจะรู้ว่าฝ่ายนั้นก็กำลังลำบากใจในการเข้าหน้ากับฉันอยู่ แต่แกก็ยังไปพูดอะไรไร้สาระ เดี๋ยวเด็กมันก็ไม่เชื่อแกหรอก แกมาที่นี่เพราะอะไร อย่าลืมไปซะล่ะ” ชายหนุ่มขึ้นเสียง แต่ก็เงียบไปในตอนท้ายประโยค
“ครับ ๆ ท่านอากิ” สแน๊กละสายตาจากคู่สนทนา ก่อนจะมองออกไปยังส่วนบริการลูกค้า เห็นอินและไอริณกำลังยืนฟังสาหร่ายอธิบายการใช้เครื่องแล็ปท็อปในการรับออเดอร์จากลูกค้าอยู่ เห็นแบบนั้นจึงสัพยอก คนที่กำลังง่วนกับการจัดการวัตถุดิบอยู่ว่า “อันที่จริงอเกนส์ก็น่าจะรู้น้า...รู้ว่าอากิคงไม่โกรธ”
ร่างสูงไม่พูด เพียงแต่หันมามองเพื่อนสมัยเด็กผู้มีอารมณ์ขันเกินไปอยู่แวบหนึ่ง
“จริงนะอากิ”
“เป็นบ้าใช่มั้ย” อากิพูดเสียงเรียบ
“โหยอากิ ผมก็แค่เฮฮา ที่อยากให้ดูคือนู้น เด็กใหม่สองคนนู้น ดูเข้ากับจิมเบมากกว่าที่คิดไว้ซะอีก”
หนุ่มนัยน์ตาสีน้ำตาลละมือจากงานที่ทำ เดินมายังที่ที่สแน๊กชะเง้อดูสองสาวน้อยบ้าง พลันแล้วสายตาที่สอดส่ายไป ก็ได้พบสิ่งที่มากระทบกับนัยน์ตาคู่เฉียบ ร่างบางในชุดจิมเบสีกรมท่า ปักลายดอกพลัมสีชมพูอ่อน ทำไมนะ เด็กผู้หญิงกับจิมเบไม่ได้เป็นสิ่งใหม่ แต่ว่าทำไมครั้งนี้ มันถึงได้...
“โกรธไม่ลงแล้วม้าง...” สแน๊กพูดหลังจากเห็นแววตาวูบไหวของผู้เป็นเพื่อน
แทนที่คำพูด อากิกลับส่งสายตาให้หนุ่มอารมณ์ขันมีอันต้องเงียบไปอีกวาระหนึ่ง
การทำงานในวันแรกนับว่าผ่านไปได้ด้วยดี ไม่ว่าจะเป็นการรับออเดอร์จากลูกค้าหรือการเสิร์ฟอาหาร แม้ว่าจะงก ๆ เงิ่น ๆ ไปบ้าง แต่ก็นับว่าลูกค้าพอใจในการบริการ เวลาราวสี่โมงเย็นไอริณและอินจึงช่วยกันจัดเก็บและทำงานสะอาดในครัวบางส่วน เพราะในตอนนี้ลูกค้าเริ่มน้อยลง และจะเพิ่มขึ้นอีกครั้งก็คงเป็นช่วงราวหกโมงเย็นถึงหนึ่งทุ่ม
“ทั้งสองคนกลับได้แล้วจ้ะ ขอบคุณมากนะสำหรับวันนี้ ทำได้ดีมากเลย” สาหร่ายเอ่ยปากชม จนสาวน้อยทั้งสองต้องอมยิ้ม “ไปเอากระเป๋าแล้วก็กลับกันได้แล้วล่ะ พรุ่งนี้ไว้เจอกันใหม่นะ”
“ค่ะ ไปกันอเกนส์” อินพูดกับไอริณ ก่อนจะหันไปเอ่ยขอบคุณสาหร่าย
“ขอบคุณนะคะ พี่สาหร่าย” ไอริณพูดพร้อมส่งยิ้มให้ผู้ที่คอยสอนงานทุกอย่างในร้านให้ แม้ว่าสาหร่ายจะดูเป็นผู้หญิงที่เงียบและดูเด็ดขาด แต่เธอเป็นคนใจดี และดูจะเข้าใจจิตใจของพนักงานใหม่อย่างพวกเธอมากที่สุด
“อเกนส์ ฝากเอากระเป๋าให้อินด้วยได้มั้ย” เด็กสาวว่าพลางทำตัวงอเป็นกุ้ง
“อิน เป็นอะไรน่ะ” ถามพลางเข้าไปพยุงตัวเพื่อนสาว
“เปล่า ๆ อย่าทำหน้าตกใจแบบนั้นสิ อินแค่ปวดท้อง ไม่ไหวแล้ว ขอไปห้องน้ำก่อน เอากระเป๋าแล้วรออินด้วยนะอเกนส์” สั่งยืดยาวก่อนจะวิ่งรี่ไปยังห้องน้ำ
“โอเคจ้า” ร่างบางเดินไปยังล็อคเกอร์สำหรับเก็บของพนักงาน จัดแจงหยิบกระเป๋าของอินออกจากล็อคเกอร์ แล้วจึงเอื้อมมือมาเปิดล็อคเกอร์ตัวเอง แต่ว่าไม่รู้เพราะอะไรทำไมไม่สามารถเปิดได้
“เราก็ไม่ได้ล็อคนี่น่า” เด็กสาวพยายามเปิดล็อคเกอร์อยู่นาน แต่ดูจะไม่เป็นผล “ทำไมยังถึงได้แน่นนักนะ...ฮึบ” ออกแรงดึงจนหูจับหลุดออกจากประตู
“ตายแล้ว!!”
“ไม่ตายหรอก แค่หลุดเอง”
ไอริณหันไปตามเสียงนุ่มทุ้มที่ดังมาจากด้านหลัง หนุ่มนัยน์ตาสีน้ำตาลปรากฏต่อหน้าเธออีกครั้ง จะต่างก็ตรงไม่มีแว่นกันแดดและเสื้อเชิ้ตสีน้ำตาล มือหนาเอื้อมมาหยิบหูจับประตูล็อคเกอร์ไปจากมือของสาวน้อย
“ขอทางหน่อย”
“ค...ค่ะ” ไอริณหลบให้เขา แล้วจึงยืนดูร่างสูงที่กำลังจัดการอะไรบางอย่างกับช่องเก็บของของเธอ เสียบหูจับเข้าไปที่เดิม จากนั้นประตูก็เปิดออกอย่างง่ายดาย
“เรียบร้อย จะเปลี่ยนล็อคเกอร์มั้ย อันนี้ดูมันใกล้จะพังแล้ว” ถามพลางหันมามองหน้าไอริณนัยน์ตาสีน้ำตาล ใบหน้าได้รูปรับกันดีกับสันจมูกและเรียวปาก ทำให้เด็กสาวชะงักไปนิด แล้วจึงตอบไปว่า
“ไม่เป็นไรค่ะ ขอโทษนะคะ” ตอบแล้วจึงหลบสายตาลงมองพื้น เพราะเป็นกังวลในเรื่องที่เธอเข้าใจผิด
“มันจวนจะพังอยู่แล้ว ไม่ต้องขอโทษหรอก” อากิพูดเสียงเรียบและหันหลังเพื่อที่จะเดินออกไป
“ไม่ใช่ค่ะ คือว่าอเกนส์ขอโทษเรื่องเมื่อวาน” หนุ่มนัยน์ตาสีน้ำตาลหยุดเดิน แล้วหันมามอง สาวน้อยจึงโน้มตัวเพื่อเป็นการขอโทษพูดพลางหลับตาปี๋ เพราะไม่รู้ว่าจะโดนชายหนุ่มตอบกลับมาว่าอย่างไร แต่เอาเถอะ ทำผิดก็ต้องยอมรับผิด “คือว่า อเกนส์ขอโทษที่เข้าใจผิดว่า...”
“โจรโรคจิตงั้นหรอ”
“เอ่อ ค่ะ” สาวน้อยเงยหน้าขึ้นมองร่างสูง ร่างสูงเองก็มองไอริณในชุดจิมเบที่ให้ความรู้สึกบางอย่างแตกต่างจากที่เคยเห็นมาอย่างหาเหตุผลไม่ได้ พอมาดูใกล้ ๆ แล้วก็...น่ารักดี เหมือนที่สแน๊กว่าเอาไว้เลย
“ผมไม่โกรธหรอก เพราะผมเองก็มีส่วนผิดด้วย”
“ไม่หรอกค่ะ อเกนส์ผิดเองที่...”
“ผมเองก็ผิดด้วย”
“ม...ไม่หรอกค่ะ”
“งั้นผมกับอเกนส์ผิดคนละครึ่ง โอเคมั้ย” เขายื่นข้อเสนอเมื่อเห็นว่าร่างบางดูท่าจะไม่ยอมให้เขาผิด
ไอริณมองหน้าร่างสูงอย่างงง ๆ เป็นอันให้ชายหนุ่มต้องถามไปว่า “โอเคมั้ย เราผิดคนละครึ่ง หรือว่าจะให้ผมผิดคนเดียวเลยก็ได้นะ”
“ไม่เป็นไรค่ะ คนละครึ่งก็คนละครึ่ง” เด็กสาวยอมอย่างเสียไม่ได้ แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้อีกแหละว่ารู้สึกใจชื่นขึ้นมาก ที่หนุ่มนัยน์ตาสีน้ำตาลไม่โกรธเคืองเรื่องเมื่อวันวาน
_____________
Yasang
01062559
คำยืนยันของเจ้าของเรื่องสั้น
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ