Future control อนาคตฉัน เดิมพันด้วยรักของเธอ

5.6

เขียนโดย yasang

วันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2558 เวลา 04.15 น.

  12 ตอน
  1 วิจารณ์
  15.60K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 15 เมษายน พ.ศ. 2559 00.29 น. โดย เจ้าของเรื่องสั้น

แชร์เรื่องสั้น Share Share Share

 

2) บทที่ 1 ปัจจุบัน (RW)

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

 

 

     ที่นอนนุ่มนิ่มในเช้าวันเสาร์เป็นสิ่งที่หลายคนโปรดปราน อากาศเย็นสบายในช่วงปลายปี กอปรกับเมื่อคืนนี้ฝนตกรำไร ฉันเองรู้สึกตัวตื่นราวตีสามเพราะเสียงเปาะแปะจากหยาดฝน จำได้ว่าสะลึมสะลือเดินไปเปิดหน้าต่างให้กว้างขึ้น เพื่อรับสายลมแผ่วเบาที่มาพร้อมกับละอองฝน

     ปัญหาหมอกควันที่เชียงใหม่เป็นปัญหาใหญ่ที่หลายคนพูดถึง ไม่ว่าจะเป็นการแก้ที่ต้นเหตุคือการปราบปรามให้มีการเผาป่าเพื่อหาของป่าน้อยลง หรือจะเป็นการแก้ที่ปลายเหตุคือการลงพื้นที่ของ ‘นักศึกษาแพทย์’ อย่างเรา ๆ ที่เน้นไปในด้านการตรวจรักษา และป้องกันสาเหตุที่ก่อให้เกิดโรคเกี่ยวกับระบบทางเดินหายใจ

     แสง...ฉันหรี่ตาแล้วค่อยลืมอย่างช้า ๆ เพื่อรับแสงจ้าในเช้าหลังฝนตก เห็นทิวเมฆเว้าแหว่งสลับให้เห็นท้องฟ้าสีฟ้าที่ไม่ได้เห็นมานาน

     ฉันดีดตัวลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว เอื้อมไปเปิดผ้าม่านสีขาวออก แล้วก็เห็นตามที่เห็นเมื่อกี้

     ฉัน...ไม่ได้ตาฝาด

     “หึ๋ย เห็นท้องฟ้าแล้ว”

     ฉันอุทานเสียงยาวพร้อมพูดอยู่คนเดียวในห้อง นับว่าเป็นเรื่องพิเศษสำหรับฉัน เพราะช่วงหลังมานี้ อย่าว่าแต่ท้องฟ้าเลย แม้แต่หลังคาบ้านที่อยู่ห่างออกไปสักร้อยเมตรก็อยากที่จะมองเห็น

     เช้านี้ดีจัง...มีสายฝนที่แสนน่ารักช่วยชะล้างหมอกที่คลุมเครือนั้นออกไปจนหมด

     ดังนั้น...ก็เรียกวันนี้ว่า ‘วันชำระล้าง’

 

     “ผักสะเดาที่อยู่ริมรั้วเราน่ะ กินได้สบาย เพราะไม่มีสารพิษ แถมยังไม่ต้องไปซื้อเค้า” ป้าของฉันพูด

     ในมือเด็ดยอดสะเดาแล้วจิ้มกับน้ำปลาหวานสะเดา ที่ทำโดยนำน้ำเปล่า น้ำปลาและน้ำตาลปีบ เคี่ยวบนเตาจนเหนี่ยวหนืดได้ที่ จากนั้นโรยด้วยพริกทอด และหอมแดงเจียว

     “แต่หนูชอบกินกับไข่ลูกเขยมากกว่า” ฉันพูดขึ้น พลางย่นจมูกหลังจากได้กลิ่นของผักในมือป้า

     “แม่ว่าลูกควรกินผักบ้าง”

     โต๊ะทานข้าวที่มีเราสามคน คือป้าสกุณา แม่สกุลตรา และฉัน...ไอริณ นั่งทานข้าวกันโดยไม่ขาดสายจากคำสนทนา

     “ใช่ เราน่ะกินผักให้มาก อย่าเลือกเฉพาะที่ชอบสิ” ป้าพูดพร้อมหยิบสะเดาก้านเล็กวางในจานฉัน

     “แต่หนูไม่ชอบกลิ่นมันนะคะ”

     “แค่ลาดน้ำปลาหวานลงไปก็ช่วยได้มากแล้วจ้ะ”

     ฉันทำตามคำแนะนำของแม่ จึงรู้ว่าอันที่จริงรสชาติมันก็ไม่ได้แย่มากนัก

     หลังจากเวลาอาหารเช้า ยังมีฝนค้างฟ้าที่โปรยปรายลงมาเรื่อย ๆ ฉันลากเครื่องดูดฝุ่นสีเขียวประจำตำแหน่งขึ้นมาชั้นบน เพื่อทำความสะอาด และแน่นอนว่าฉันเลือกดูดและถูห้องนอนของป้าและห้องนอนชั่วคราวของแม่ก่อนเป็นอันดับแรก

     สายลมแผ่วเบาลอยละล่องมาปะพรมผิวกาย ฉันหยุดมองหน้าต่างหน้าบ้านครู่หนึ่ง แล้วตรงไปทำความสะอาดห้องนอนของตัวเอง มันรกพอสมควร นอกจากหนังสือตั้งใหญ่ที่วางอย่างหมิ่นเหม่อยู่บนโต๊ะแล้ว นอกนั้นก็คงเป็นเศษขี้เลื่อยจากแฮมสเตอร์น้อยของฉัน

     “นวลนิลออกมานะ ถ้าไม่ออกมาล่ะก็ โดนดูดเข้าไปอเกนส์จะไม่รับผิดชอบนะ”

     ราวกับฟังรู้เรื่องหนูอ้วนพุกที่ขาววิ่งออกมาจากใต้เตียง มันกำลังกัดเมล็ดทานตะวันที่ฉันเพิ่งให้เป็นอาหารเมื่อเช้านี้อย่างเอร็ดอร่อย

     นำเจ้าตัวยุ่งใส่กรงแล้วลงมือทำความสะอาดตั้งแต่ด้านบน ลงสู่ด้านล่างใช้เวลาประมาณหนึ่งชั่วโมง เสร็จแล้วพักกินโอวัลตินเย็นที่ชงอย่างลวก ๆ แต่อร่อยกับบิสกิตรสจืดสามชิ้น กลับมาจัดหนังสือขึ้นชั้น แล้วจึงนั่งเงียบ ๆ อยู่ในห้อง

     ปีนี้ย่างเข้าปีที่สี่ของการย้ายมาอยู่เชียงใหม่ ฉันจำทางได้ไม่มากนัก ที่พอจะขับรถไปเองได้ก็อยู่ในรัศมีไม่เกินยี่สิบกิโลฯจากบ้านป้าเท่านั้น ที่ไปได้คล่องเห็นจะเป็น มหาวิทยาลัย ร้านหนังสือ ที่เรียนพิเศษ แล้วก็ที่ทำงาน เมื่อสมัยที่ยังสอบเข้าแพทย์ไม่ได้...

 

     “อีกสองไฟแดงก็ถึงค่ะ แม่จำได้ไหม ชื่อว่า ‘คุ้มพญา’”

     “จำได้จ้ะ เอาเป็นว่าหนูนั่งสวย ๆ ไปก่อน เดี๋ยวเรื่องขับรถแม่จัดการเอง”

     รถเก๋งสีขาวกำลังแล่นไปบนท้องถนน เพื่อไปสู่สถานที่ที่ฉันไม่คุ้นเคย ไม่นานรถของแม่ก็ผ่านการจราจรอันแน่นขนัดไปได้ แล้วมาจอดยังหน้าโรงแรมซึ่งเป็นที่จัดงานในวันนี้เหลือบมองนาฬิกาบนรถบอกเวลาหกโมงครึ่ง

     แม่บอกว่าจะมารับเวลาสี่ทุ่ม เพราะวันนี้ฉันไม่ได้พกโทรศัพท์ เมื่องานเลิกให้รอที่ล็อบบี้โรงแรม เมื่อกล่าวสวัสดีแล้วฉันก็เดินไปตามป้ายที่มีลูกศรชี้ไปเรื่อย ๆ

     ‘งานราตรีพี่บัณฑิต’

     พรมสีแดงปูเป็นทางยาวบนชั้นสามของโรงแรม ลงทะเบียนและติดเข็มกลัดเรียบร้อย ด้วยคำบอกเล่าของสตาฟจัดงานฉันจึงรู้ว่าเพื่อน ๆ นั่งอยู่ที่ไหน

     โต๊ะถัดจากเวทีมาสามโต๊ะ อยู่ด้านขวาของเวที ฉันพึมพำ แล้วก็เห็นขนนกบนหัวเพื่อนสาวที่สูงราวห้าสิบเซนฯ อย่าบอกนะว่าดีด้าแต่งตัวเป็นอินเดียนแดง

     เพื่อนของฉันมาถึงกันหมดแล้ว มี ชะเอม สาวห้าวมาในชุดราตรียาวสีน้ำตาล ทรงผมเกล้าต่ำดูเข้ากับใบหน้าได้รูปซีอิ๋ว ที่ปกติใส่แว่นแต่วันนี้เธอดูน่ารักมากเดรสแขนกระบอกสีขาวแต่งชายลูกไม้แต่โชว์แผ่นหลังนิดหน่อยดูเข้ากันได้เป็นอย่างดี

     น้อยโหน่ง และ น้อยหน่า ที่ดูจะแปลกออกไปหน่อยแต่ก็น่ารักน่าเอ็นดู  มารู้ทีหลังว่าสองสาวนี้ถูกแม่จับให้ใส่ชุดไทย  ด้วยเหตุผลที่ว่า งามอย่างไทย (แต่สองสาวบ่นออดแอดว่า พวกเธอดูเหมือนกุมารทอง สองคนนี้เป็นพี่น้องฝาแฝดค่ะ)

     คนสุดท้ายดีด้า มาในชุดเจ้าหญิงอินเดียนแดงจริงซะด้วย ชุดสีขาว  เครื่องราง กำไร และเครื่องประดับมากมาย  แต่โดยรวมก็เข้ากันได้ดี

     “พี่อเกนส์ วันนี้แต่งสวยมาเพื่อใครหรอ” ดีด้าหรือศักดา หนุ่มน้อยที่ร่างเป็นชายแต่ใจเป็นหญิงพูดขึ้น

     “หือ ไม่นี่” ฉันพูดเสียงสูง เพราะมันไม่จริง

     “เพื่อพี่อาร์ตคนหล่อหรือเปล่า” ดีด้าพยักเพยิดหน้าไปทางรุ่นพี่ปีสี่ที่กำลังมองมาทางนี้พอดี

     “อย่าพูดแบบนั้นสิ เดี๋ยวคนอื่นได้เข้าใจผิดกันหมด”

     งานเริ่มขึ้น  การแสดงบนเวทีดำเนินต่อไปเรื่อย ๆ พวกเรานั่งกิน  นั่งคุยกันมาจนเวลาจวนจะสามทุ่มแต่ดูยังไม่มีใครเบื่อ  ฉันรู้สึกอยากเข้าห้องน้ำเพราะรู้สึกปวดท้องหลังจากที่กินยำไส้กรอกเข้าไปค่อนข้างเยอะ  จึงขอตัวเดินแยกออกมาเพื่อเข้าห้องน้ำ  น้อยหน่ามาเป็นเพื่อน  แล้วเราก็แยกกันบริเวณซุ้มประตูสำหรับถ่ายรูปใกล้ ๆ ห้องจัดงาน  เพราะว่าสายรหัสของน้อยหน่ามาชวนเธอไปถ่ายรูป  ฉันจึงเดินกลับมาคนเดียว

     “อเกนส์ อยู่นี่เอง ปล่อยให้หาตั้งนาน”ฉันหันหลังไปตามเสียงเรียก น้ำหวานนั้นเอง ฉันถามเธอว่าเธอมีธุระอะไร  เพราะดูเธอรีบเร่งและตื่นเต้นเป็นพิเศษ  เธอบอกสาเหตุของการวิ่งตามหาฉันไปทั่ว  และบอกธุระของเธอ  ถึงฉันจะงง  แต่ว่าก็ต้องทำตามนั้น

     “วันนี้อเกนส์น่ารักมาก  น่ารักจนเกือบจำไม่ได้”แม้จะรู้ว่าน้ำหวานเป็นผู้หญิง  แต่ฉันก็เขินอยู่ดี

     ฉันบอกว่าน้ำหวานเองก็น่ารักเหมือนกัน

     “กับคนนั้นแล้ว ดูสมกันจังน้า”  เธอหยุดพูด  แล้วพูดต่อ “แต่ทำไมไม่เคยแนะนำให้รู้จักบ้างเลยล่ะ แต่ไม่เป็นไร หลังจากนี้ค่อยพามาให้ทุกคนรู้จักก็ได้เนอะ” น้ำหวานพูดยิ้ม ๆ

     “เดี๋ยวสิ...รู้จักอะไรกัน”

     น้ำหวานพูดจบก็ไม่ได้รอฟังคำตอบรับหรือปฏิเสธจากฉัน เธอเดินราววิ่งกลับไปที่ห้องจัดงานอย่างเริงร่า ฉันขมวดคิ้วมุ่นอยู่พักหนึ่ง แล้วทำตามที่เธอบอก

     ประตูลิฟต์กระจกเปิดออก  ฉันรอให้ผู้โดยสารลิฟต์ท่านอื่นออกไปก่อนแล้วจึงเดินออกมารั้งท้าย  หันซ้ายหันขวาอยู่พักใหญ่กว่าจะแน่ใจว่าสวนที่ว่านั้นไปทางไหน  ฉันเดินเบี่ยงจากทางเดินลาดพรมแดง  ออกไปทางทิศตะวันออกซึ่งเป็นโถงกระจกขนาดใหญ่  มีช่องหน้าต่างสามารถเปิดปิดเพื่อให้อากาศถ่ายเท  และเพื่อการเจริญเติบโตที่ดีของพันธุ์ไม้นานาชนิด

     ฉันเดินไปตามพรมสีเขียว  เพื่อมุ่งไปยังที่นัดหมาย  พลางครุ่นคิดเรื่องราวมากมายที่เกิดขึ้นในรอบสองสามปีที่ผ่านมา  มีหลายสิ่งที่เปลี่ยนแปลงไป  แม้ว่าจุดเริ่มต้นจะเพียงเล็กน้อย  แต่มันก็มีส่วนอย่างมากที่ทำให้ชีวิตของฉันดูมีคุณค่า  และมีพลัง  ฉันมาหยุดอยู่บริเวณปากทางเข้าสวน  ยืนมองธรรมชาติที่ถูกสรรค์ปั้นแต่งเสมือนยกป่าดิบชื้นที่มีดอกไม้สวยสดมากมายมาตั้งไว้กลางเมือง  พุ่มไฮเดรนเยีย  ลิลลี  กล้วยไม้ และหลายชนิดที่ฉันไม่รู้จัก

     ในจิตใจคิดไปว่า ใครกัน...ที่มารอพบฉัน

     มีความรู้สึกอยากให้เป็นเขา...อย่างให้เป็นเขาคนนั้น

     คนเรานี่ก็แปลกทั้งความอยากและไม่อยากมันปนเปอยู่ด้วยกัน จนบางคราก็แยกไม่ออก รูปถ่ายที่ฉันตั้งหลบไว้บนโต๊ะ เป็นภาพที่เด็กสาวหลับตาพริ้มอยู่บนหลังของ...เจ้าของหัวใจ ได้ไหมนะ สำหรับฉันแล้ว ตอนนี้เขาเป็น เจ้าของหัวใจ

     ฉันหนักและร้อนผ่าวที่ขอบตา เหมือนน้ำใสกำลังรื่นอยู่ จวนจะไหลได้เสมอ

     แล้วใครกัน ที่ยืนรออยู่ตรงนั้น...

 

     ความผูกพันที่ยากจะแก้ไข แต่ฉันไม่ได้เสียใจเลยที่มันเกิดขึ้น

     ดังนั้น ฉันขอย้อนกลับไป กลับไป เมื่อสองปีก่อน...

 

_____________

Yasang

01062559

 

คำยืนยันของเจ้าของเรื่องสั้น

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
5.3 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
5.7 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
5.7 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา