เขาพูดถึงผีกัน แถวบ้านฉันนี่แหละ

9.3

เขียนโดย คนลานหอย

วันที่ 20 สิงหาคม พ.ศ. 2558 เวลา 08.46 น.

  3 ตอน
  0 วิจารณ์
  5,876 อ่าน

แก้ไขเมื่อ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2558 00.26 น. โดย เจ้าของเรื่องสั้น

แชร์เรื่องสั้น Share Share Share

 

3) เขาพูดถึงผี ที่หลักกิโล

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ
ขนาดตัวอักษร เล็ก กลาง ใหญ่ ใหญ่มาก
             ศาลเพียงตาใหญ่น้อยถูกตั้งเรียงรายอยู่ข้างถนน เนื่องจากจุดนี้เกิดอุบัติเหตุบ่อยครั้งเครื่องล่าสุด ก็เสียชีวิตไปถึง 4 ศพ จนชาวบ้านเชื่อว่าวิญญาณของผู้เสียชีวิตบริเวณดังกล่าวมีความ"เฮี้ยน"มาก 
             ถนนสายนี้ตัดผ่านจังหวัดสุโขทัยมุ่งหน้าไปจังหวัดตาก เป็นถนนแบบสองเลนสวนทางกัน สองข้างทางเป็นทุ่งนากว้างสุดสายตา  ไม่มีไฟส่องสว่างในเวลากลางคืนเพราะไม่ใช่ช่วงถนนในเขตชุมชน ทำให้ถนนช่วงนี้มืดมากในเวลากลางคืน เรื่องราวความเฮี้ยนที่ร่ำลือกันคือ มีคนขับรถมาช่วงกลางคืนจะมีหมาดำตัวใหญ่วิ่งตัดหน้าบ้าง เหมือนมีคนมาซ้อนท้ายทำให้รถหนักขึ้นบ้าง ยิ่งคอแทงหวยด้วยแล้วมักจะไปขอเลขเด็ดและถูกกันอยู่บ่อยครั้ง ยิ่งถูกรางวัลได้เงินมาก ศาลก็ยิ่งใหญ่มากขึ้นตามไปด้วย ของเซ่นไหว้มีไปถวายกันอยุู่เนืองๆ  แต่ด้วยความที่ไม่มีไฟฟ้าส่องสว่างบริเวณนั้น ศาลใหญ่น้อยที่สร้างขึ้นมา จึงมีสภาพที่น่ากลัวในยามค่ำคืน  ดูมืดมิดวังเวงสำหรับคนที่สัญจรผ่านไปมา
            
             งานเลี้ยงที่หน้าอำเภอเลิกแล้ว ทิดจันทร์ อ.บ.ต.วัย 40 ปี มองนาฬิกาที่ข้อมือขอตัวเอง มันบอกเวลาเกือบเที่ยงคืน ด้วยความที่เป็นฤดูหนาวปกติก็มืดเร็วอยู่แล้ว ยิ่งดึกยิ่งเงียบสงัด ระยะทางกลับบ้านที่ห่างออกไปอีกประมาณ 8 กิโลเมตรมันช่างดูห่างไกลเสียจริง  ทิดจันทร์รูดซิบเสื้อกันหนาวขึ้นจนถึงคอ ขึ้นคร่อมมอเตอร์ไซค์คู่ชีพของแก คิดถึงระยะทางที่ต้องฝ่าความหนาวไปจนกว่าจะถึงบ้าน ยังดีที่มีฤทธิ์ของแอลกอฮอร์อยู่เล็กน้อยพอช่วยบรรเทาความหนาวลงไปได้บ้าง 
            อากาศเย็นปะทะที่ใบหน้า มือที่ขับก็เย็นเฉียบ ถนนข้างหน้ามืดมิด มีเพียงแค่แสงไฟจากหน้ารถมอเตอร์ไซค์ของแก ระยะของการมองเห็นก็เพียงไม่กี่สิบเมตรเท่านั้น ในหัวแกก็คิดเรื่องอะไรไปเรื่อยเปื่อยไม่ได้รีบร้อนอะไรนัก แล้วสายตาทิดจันทร์ก็ไปสะดุดกับสิ่งๆหนึ่งที่อยู่เกือบสุดแสงไฟรถของแก ลักษณะเหมือนห่อผ้าสีขาวใหญ่ๆ วางอยู่บนหลักกิโลเมตร ที่ตั้งอยู่ตรงข้ามกับศาลเพียงตา
           สายตาทิดจันทร์จับจ้องไปที่ผ้าขาวนั้น ยิ่งระยะรถของแกแล่นเข้าไปใกล้เท่าไหร่ขนาดมันยิ่งใหญ่ขึ้นเท่านั้น ความกลัวเริ่มคืบคลานเข้ามาในจิตใจของแก สายตาที่เบิกกว้างเพ่งไปในสิ่งที่แกกำลังพบเจอ มอเตอร์ไซค์แล่นเข้าไปใกล้ ภาพที่เห็นยิ่งชัดเจน ทิดจันทร์รู้สึกเส้นผมของแกลุกชูชันตั้งแต่ท้ายทอยยันถึงกลางหัว ภาพที่เห็นคือ มีใครซักคนนั่งห้อยขาอยู่บนหลักกิโล ทั้งตัวคลุมด้วยผ้าขาวเหมือนผ้าห่อศพ สติแกเริ่มควบคุมไม่อยู่
            "นี่เราเจอดีแล้วหรือนี่" ทิดจันทร์กำลังคิด ขณะที่รถมอเตอร์ไซค์ของแกกำลังจะแล่นผ่านหลักกิโล นั้นไป
 ไอ้ร่างที่ห่อด้วยผ้าขาวนั้นก็กระโดดลงมาจากหลักกิโล และกำลังเริ่มวิ่งตามรถมอเตอร์ไซค์ของแก !!!   ทิดจันทร์ตกใจสุดขีด บิดคันเร่งเพื่อที่จะหนีเจ้าสิ่งนั้นอย่างสุดชีวิต
            อากาศเย็นยามเช้าฤดูหนาว ทำให้ชาวบ้านต้องลุกขึ้นมาก่อกองไฟนั่งผิงไฟกันในตอนเช้า ร้านขายของชำที่เป็นจุดศูนย์รวมของหมู่บ้านก็มีประเด็นให้พูดถึงกัน จากการบอกเล่าของเมียทิดจันทร์นั่นเอง ทิดจันทร์นอนเป็นไข้ไม่ยอมลุกจากที่นอน เป็นเพราะเมื่อคืนโดนผีหลอกตรงแถวๆศาลเพียงตา คำวิพากษ์วิจารณ์ต่างๆ กระจายไปอย่างรวดเร็ว จากปากต่อปากความน่ากลัวก็ยิ่งเพิ่มขึ้นไปอีก ทั้งร่างทรง ทั้งผู้ที่อ้างตัวว่าติดต่อกับวิญญาณได้ต่างแสดงตัว มาบอกว่า วิญญาณบริเวณนั้นต้องการให้คนเอาของไปบูชาเซ่นไหว้ เดือดร้อนหนักไปถึงพระถึงเจ้าที่ถูกชาวบ้านขอร้องให้หาดูวันเวลาที่จะประกอบพิธีทำบุญให้สัมพเวสีที่สถิตอยู่บริเวณศาลเพียงตานั้น
           ทิดจันทร์เป็นหัวเรือใหญ่ในงานนี้ ทั้งลงทุนซื้อของเซ่นไหว้ สารพัดชนิด นิมนต์พระมาสวดบังสุกุลให้วิญญาณที่อยู่ที่นั่น ชาวบ้านแห่มาช่วยงานกันมากหน้าหลายตา พอมารวมตัวกันก็มีคนสังเกตเห็นความผิดปกติบางอย่างที่ศาลหลังใหญ่หลังหนึ่ง ทั้งๆที่ไม่มีใครกล้ามากร่ำกรายแถวนี้ทำไมศาลหลังนี้ถึงดูสะอาดเหมือนมีคนมาปัดกวาดเช็ดถู หรือเป็นเพราะศาลหลังนั้นจะเป็นของหัวหน้าบรรดาผีทั้งหลาย จึงมีอิทธิฤทธิ์สามารถสั่งให้บรรดาผีบริวารคอยดูทำความสะอาดได้ ต่างคนก็ต่างวิพากษ์วิจารณ์กันไป  หลังจากทำพิธีเสร็จก็ร่วมวงสรวลเสรเฮฮา ด้วยความสบายใจที่ได้ทำบุญไปแล้ว ทุกคนเชื่อว่า การทำบุญครั้งนี้จะทำให้ความเฮี้ยนของวิญญาณที่สถิตอยู่ที่นั้นลดลง แต่มันกลับไม่เป็นเช่นนั้น...
            
           ยายพยอม แม่ของทิดแดงนอนรักษาอาการป่วยของแกอยู่ที่โรงพยาบาลในตัวอำเภอ เมียของทิดแดงต้องนอนเฝ้าไข้ที่โรงพยาบาล หน้าที่งานบ้านและดูแลลูกจึงตกอยู่ที่แก เย็นวันนั้นหลังจากทำงานบ้านและเตรียมกับข้าวไว้ให้ลูกแกเสร็จ   ทิดแดงก็ต้องไปเยี่ยมแม่และเอาชุดเสื้อผ้าไปให้เมียแกเปลี่ยนที่โรงพยาบาล  แกนั่งคุยกับแม่และเมียของแกจนดึก ด้วยหน้าที่ความเป็นพ่อที่จะต้องตื่นทำกับข้าว และส่งลูกไปโรงเรียนตั้งแต่เช้า แกจึงขอตัวกลับ
           ถนนที่ไม่มีแสงไฟนี่มันช่างดูเปลี่ยววังเวงเสียเหลือเกิน แต่ด้วยความเคยชินทำให้ทิดแดงไม่ได้คิดอะไรมาก ฮอนด้า เวฟ100 ของแกค่อยๆ แล่นไปอย่างช้าๆ คิดถึงหน้าที่ที่ต้องทำให้พรุ่งนี้ คิดถึงที่นอน คิดถึงผ้าห่มอุ่นๆ ที่แกจะซุกตัวนอนหลังจากกลับไปถึงบ้าน แต่ความเพลิดเพลินในความคิดของแก็ต้องสะดุดลง
          สุดรัศมีแสงไฟที่ไปปะทะกับอะไรซักอย่างหนึ่งที่อยู่ข้างถนน สีขาวสะท้อนกลับมาเมื่อกระทบแสงไฟ ถนนเส้นนี้ที่แกใช้สัญจรเป็นประจำ ทำให้แกรู้ทันทีว่าสิ่งนั้นไม่ปกติ ทิดแดงชะลอความเร็วรถ ค่อยๆปล่อยให้รถแล่นเข้าไปอย่างช้าๆ ยิ่งเข้าใกล้เจ้าสิ่งนั้นยิ่งใหญ่ขึ้น ยิ่งมองเห็นได้ชัดเจน
               ขนหัวของทิดแดงลุกซู่ นั่นมันใครกันนะที่นั่งอยู่บนหลักกิโล!!! 
เรื่องราวที่เคยได้ยินมาว่า อ.บ.ต. จันทร์โดนผีหลอกที่หลักกิโลตรงข้ามศาลเพียงตา แล่นเข้ามาในหัวของทิดแดง เหงื่อกรานแตกออกมาตามฝ่ามือ หัวใจทิดแดงเต้นแรงขึ้น
              "นี่เรากำลังโดนผีหลอกหรือนี่"
               ทิดแดงหยุดรถ แสงไฟหน้ารถก็ยังส่องไปที่ร่างๆที่ห่อด้วยผ้าขาวๆ นั้น แกยังทำอะไรไม่ถูก นอกจากดูทีท่าว่า สายตาแกจับจ้องเจ้าสิ่งนั้นคิดว่ามันจะหายไปตอนไหนหรือจะมีปฏิกิริยาอย่างไร เวลาในการจับจ้องนั้นผ่านไปนานแค่ไหนไม่รู้ แต่สำหรับตัวทิดแดงเองมันรู้สึกเหมือนจะนานมาก รู้สึกหวาดกลัวและกดดันกับสิ่งที่เขาเรียกกันว่า "ผี"
               ทิดแดงหยุดรถไม่ยอมขับไปต่อ แสงไฟรถก็ยังคงส่องไปที่ร่างๆนั้น แล้วสิ่งที่ทำให้ ทิดแดงขนหัวลุก และตกใจสุดขีดก็เกิดขึ้น 
       ร่างที่ห่อด้วยผ้าห่อศพสีขาวนั้น กระโดดลงจากหลักกิโล แล้วก็กำลังวิ่งมาหาแก!!!
ทิดแดงร้องวออกมาอย่างคนตกใจสุดขีด หันหัวรถกลับไปทางที่แกมาและบิดคันเร่งหนีทันที แกร้องลั่นไปตลอดทาง จนกลับไปถึงโรงพยาบาล ทำเอาเจ้าหน้าที่และพยาบาลแตกตื่นกับเสียงของแก
      "ผีหลอก ผีหลอก" แกได้แต่พูดแค่นั้น กว่าจะสงบสติอารมณ์ได้ก็รุ่งเช้า
 
       เรื่องทิดแดงโดนผีหลอก ตรงหลักกิโล ที่เดียวกับที่ทิดจันทร์โดนหลอก แพร่กระจายออกไปอย่างรวดเร็ว สร้างความหวาดกลัวและความสงสัยไว้ให้กับชาวบ้านที่จะต้องใช้เส้นทางนั้นสัญจร ยิ่งมีคนโดนหลอกถึง 2 รายด้วยแล้ว มันยิ่งเป็นการยืนยันว่าเรื่อง"ผีที่หลักกิโล" นั้นเป็นเรื่องจริง
       ความยากลำบากเกิดขึ้นกับผู้ที่จะใช้ถนนเส้นนั้นสัญจร ฟ้ามืดเมื่อไหร่จะไม่มีใครกล้าใช้ถนนเส้นนั้นเลย ทั้งๆ ที่เป็นช่วงสั้น ระยะทางแค่ 2 กิโลเมตร แต่ชาวบ้านจะเลือกไปทางอื่น ถึงแม้ถนนจะไม่ดีเป็นหลุมเป็นบ่อ หรือถึงแม้ว่าระยะทางจะไกลขึ้น ก็ยอม ดีกว่าต้องผ่านสถานที่น่ากลัวแบบนั้น
         "ทั้งๆที่ทำบุญ อุทิศส่วนกุศล ไปให้แล้ว ทำไมถึงยังเฮี้ยนขนาดนี้ "
 
           ความหวาดผวา และข่าวลือได้ล่วงรู้ไปถึงผู้พิทักษ์สันติราษฏร ผู้กำกับได้ยินเรื่องนี้มาจากแวดวงของแม่บ้าน  จริงๆ แล้วเรื่องแบบนี้มันไม่ใช่สิ่งที่จำเป็นจะต้องเข้าไปวุ่นวายแก้ไขอะไร เพราะมันเป็นเรื่องความเชื่อของบุคคล และถนนเส้นนี้ก็เป็นถนนสายหลักซึ่ง ผู้ที่อยู่จังหวัดใกล้เคียงยังใช้งานอยู่อย่างปกติ ไม่เห็นว่าจะมีใครโดนหลอกเหมือนคนในระแวกนั้น แต่ก็มีงานเข้า จนได้
           " เจ้านายครับ ช่วยส่งตำรวจสายตรวจไปดูหน่อยได้ไหมครับ ชาวบ้านไม่ผ่านถนนเส้นนั้นเลย เขากลัวกันหมด " ตาสำเริง ผู้ใหญ่บ้าน เข้ามาขอความช่วยเหลือกับผู้กำกับถึงโรงพัก ซึ่งแกก็มาพร้อมกับ ทิดจันทร์และทิดแดง มายืนยันว่าโดนผีหลอกจริง
            "แล้วจะให้ผมทำยังไงหล่ะผู้ใหญ่ ผมเป็นตำรวจนะ จะให้ผมไปจับผีหรือยังไง"ผู้กำกับตอบผู้ใหญ่สำเริง แบบหยอกล้อ
             "เพื่อความสบายใจของชาวบ้าน ขอความกรุณาด้วยเถอะครับ" ตาสำเริง กล่าวอ้อนวอนอีกครั้ง
             "อะๆ ได้ๆ เดี๋ยวผมจะให้ลูกน้องขับรถไปตรวจก็แล้วกัน" ผู้กำกับรับคำตาสำเริงอย่างไม่ได้ใส่ใจอะไรนัก เพราะโดยส่วนตัวแกแล้ว เรื่องผีสางแกไม่ค่อยจะเชื่อถือเท่าไหร่  แต่...กับลูกน้องตำรวจของท่านผู้กำกับไม่ได้คิดแบบนั้น....
              "ใครเป็นสายตรวจคืนนี้" ผู้กำกับถามร้อยเวร
              "วันนี้ มีจ่าอดุลย์ กับ จ่าแหลมครับ "
              "เรียกสองคนนั้นมาหาผมหน่อยนะ มีเรื่องจะให้ช่วยทำหน่อย" แล้วผู้กำกับก็เดินเข้าห้องทำงานของแกไป
                เรื่องที่ผู้ใหญ่สำเริงมาขอให้ตำรวจสายตรวจไปตรวจถนนเส้นนั้นรู้กันทั้งโรงพักก่อนแล้ว เจ้าหน้าที่หลายคนก็ยังหวาดผวาอยู่ในใจเหมือนกัน ต่างพูดกันว่า คืนนี้จ่าอดุลย์กับจ่าแหลม จะเจออะไรกันหรือไม่...
                จ่าอดุลย์และจ่าแหลม เข้าไปรับคำสั่งจากผู้กำกับ จ่าแหลมมีท่าทีหวาดหวั่น เพราะจ่าแหลมแกเป็นคนกลัวผี ส่วนจ่าอดุลย์ รับคำสั่งด้วยสีหน้าวางเฉย จ่าอดุลย์ไม่ใช่คนกลัวผี ไม่รู้ว่าเป็นเพราะแกมีของดีหรือแกไม่เชื่อเรื่องพวกนี้ ก็ไม่ทราบได้
                มอเตอร์ไซค์สายตรวจ Boxer ได้แล่นออกไปจากโรงพัก เวลาก็ เกือบตีหนึงแล้ว
จ่าแหลมเป็นคนขับ จ่าอดุลย์นั่งซ้อนท้ายไป
                "แจ้งศูนย์ หกศูนย์หนึ่ง หกศูยน์สอง วอยี่สิบหนึ่งศูนย์หนึ่ง วอยี่สิบห้า พื้นที่รับผิดชอบ"จ่าอดุลย์แจ่งเข้าศูนย์วิทยุเหมือนปกติทุกครั้งก่อนแกจะออกตรวจพื้นที่ แต่วันนี้จ่าอดุลย์ไม่รู้เลยว่าจะการออกตรวจครั้งนี้จะปกติเหมือนทุกครั้งหรือไม่
                "พี่ดุล เขตที่จะไปตรวจมันไม่ใช่พื้นที่เราไม่ใช่เหรอ ทำไมไม่ให้พี่เอนก หัวหน้าด่านตรวจที่อยู่หมู่บ้านนั้นไม่ดูหล่ะ" จ่าแหลมถามรุ่นพี่อย่างอารมณ์ขุ่นมัว
                 "เอาเถอะน่า นายสั่งก็ไปเถอะ ไม่ต้องกลัวไปหรอกน่า เห็นตราโล่ที่ติดอยู่กับหมวกไหม ผีไม่กล้าทำอะไรหรอก" จ่าอดุลย์ตอบด้วยน้ำเสียงที่เรียบเฉย พร้อมกับให้กำลังใจรุ่นน้อง                 
                  "ลงเนินนี่ไปก็ใกล้จะถึงแล้วนะพี่ ไอ้ที่ๆเขาว่ากัน" จ่าแหลมย้ำกับรุ่นพี่อีกครั้ง
 
                   จ่าแหลมชลอความเร็วรถให้ช้าลง สิ่งที่เขาเห็นอยู่ตรงหน้า มันเกือบทำให้เขาทิ้งรถแล้ววิ่งหนีเลยทีเดียว
                   มีอะไรบางอย่างคือใครซักคนนั่งอยู่บนหลักกิโล!!!
                   เหงื่อเริ่มไหล หัวใจเริ่มเต้นแรง ความกลัวเข้าครอบงำจ่าแหลมอย่างรวดเร็ว แต่ด้วยคำพูดที่มีความหมายที่จ่าอดุลย์กล่าวไว้เรื่องความศักดิ์สิทธิ์ของตราโล่ที่อยู่บนหมวกจึงยังทำให้เขาข่มใจไว้ได้
                   "ไอ้แหลมจอดก่อน" จ่าอดุลย์บอกจ่ารุ่นน้อง
                   จ่าอดุลย์กระชับปืนที่เข็มขัด ถึงแม้จะเป็นคนไม่กลัวผีเพราะไม่เคยเจอ แต่สิ่งที่เห็นอยู่ตรงหน้าก็ทำให้จ่าอดุลย์ หวดหวั่นอยู่เหมือนกัน
                     "เห้ยใครวะ" จ่าอดุลย์ตะโกนถาม
                    ไม่มีเสียงตอบกลับแต่อย่างใด ร่างนั้นยังคงนั่งนิ่งไม่ไหวติงอยู่บนหลักกิโล จนจ่าอดุลย์ต้องตะโกนถามซ้ำไปอีกรอบ
                     "เห้ย มึงเป็นใครวะ"
 ไม่มีเสียงตอบใดๆกลับมา  แต่ไอ้เจ้าสิ่งนั้นมันกระโดดลงจากหลักกิโล แล้ววิ่งตรงเข้ามาหาจ่าทั้งสองแทน!!!
                      จ่าแหลมตกใจสุดขีด แหกปากร้องออกมาสุดเสียง "เห้ย!!!"
                      เสียงปืน .38 ดังขึ้น ปัง! ปัง! ปัง! แชะๆ และตามมาด้วยเสียงลูกปืนด้านอีก 2 นัด
                    เสียงร้อง "โอ๊ย!!" ดังขึ้น จ่าอดุลย์กระโดดคว้ามือของจ่าแหลมที่ตกใจสุดขีด แล้วชักปืนออกมาหลับหูหลับตายิง
                     "หยุดยิงไอ้แหลม มึงจะฆ่ามันรึไง เดี๋ยวก็ซวยหรอกมึง"จ่าอดุลย์ตะโกนกรอกหูจ่ารุ่นน้องเพื่อเรียกสติกลับมา
                     โชคดีที่ลูกกระสุนไม่โดนเจ้าสิ่งนั้นตรงๆ เพียงแต่ถูกสะเก็ดหินที่แตกเพราะลูกปืนที่ไปกระทบกับพื้นเท่านัั้น
                     "เกือบตายห่า แล้วพากูซวยไปด้วยนะมึง" จ่าแหลมบ่นพึมพำอย่างหัวเสีย
                      ในตอนเช้า ข่าวเรื่องผีบนหลักกิโล ถูกจ่าอลุดย์ กับจ่าแหลมจับนั้นเป็นที่ฮือฮาของชาวบ้าน
ทุกคนพากันแห่ไปโรงพักเพื่อไปดูว่าผีบนหลักกิโล นั้นคืออะไรกันแน่
                     ไม่มีบัตร ประชาชน สติไม่สมประกอบ รู้แค่ว่านั่งรถโดยสารมาจากจังหวัดตากแล้วถูกปล่อยให้ลงที่ตรงศาลนั้น ไม่รู้จะไปไหนเลยอาศัยศาลตรงนั้นนอน กลางวันออกไปเดินขออาหารของชาวบ้านกิน บางคืนอยากกลับไปจังหวัดตากก็เลยมาคอยโบกรถเพื่อจะขอติดรถไปจังหวัดตากด้วย ด้วยความที่อากาศมันหนาวเลยเอาผ้าห่อศพที่พวกกู้ภัยเอามาทิ้งไว้ตอนเก็บศพครั้งก่อนมาห่อตัว
            
          "อ๋อ ไอ้คนบ้าที่มันไปขอข้าวเรากินวันนั้นนี่เอง" ชาวบ้านคนหนึ่งเอ่ยขึ้น..
 
                              
            
             
               

 

คำยืนยันของเจ้าของเรื่องสั้น

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
10 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา