เขาพูดถึงผีกัน แถวบ้านฉันนี่แหละ

9.3

เขียนโดย คนลานหอย

วันที่ 20 สิงหาคม พ.ศ. 2558 เวลา 08.46 น.

  3 ตอน
  0 วิจารณ์
  5,949 อ่าน

แก้ไขเมื่อ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2558 00.26 น. โดย เจ้าของเรื่องสั้น

แชร์เรื่องสั้น Share Share Share

 

2) งานเลี้ยงประจำปีที่บ้านยายจวบ

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

               "วันนี้ไปกินหมูที่บ้านยายจวบกัน"เพื่อนบ้านส่งต่อข่าวกันไปเป็นทอดๆ

                ยายจวบนี่ไม่ใช่ใครที่ไหน แกเป็นยายผมเองอายุเกือบ 60 ปีแล้วแต่ด้วยความที่ยายแกทำไร่ทำนามาเกือบทั้งชีวิตทำให้ผิวเนื้อแก กร้านดำดูแก่กว่าอายุจริงเข้าไปอีก ตอนนั้นผมอายุ 17 ปีแล้วค่อนข้างจะหัวสมัยใหม่ขึ้นมาบ้าง อินเตอร์เน็ตเริ่มเข้าถึงแล้ว สงสัยอะไรเลยค้นหาได้ง่ายขึ้น แล้วไอ้เรื่องการกินหมูประจำปีนี่ มันเกิดมาจากช่วงต้นปี พ.ศ.2543 ยายจวบแกมีอาการทางสุขภาพที่ไม่ค่อยดีนัก ปวดเมื่อยไปทั่วทั้งตัว กินข้าวไม่ค่อยลง นอนกลางวัน กลางคืนก็นอนไม่ค่อยหลับ ยิ่งตกดึกใจยิ่งสั่น เหมือนใจจะขาด ยิ่งนานวันเข้าสุขภาพแกก็เริ่มแย่ลงๆ ไปหาหมอที่อนามัยประจำตำบลเล่าอาการให้หมอฟัง  หมอก็ฉีดยาบำรุงร่างกายให้แกก็หายได้สักพักก็เป็นอีก ไปหายาหม้อยาสมุนไพรมาหลายขนานก็ไม่ดีขึ้น อะไรที่เขาว่าดี แกเอาหมดขนาดให้กินจิ้งจกแกก็กิน แต่ก็ยังไม่ดีขึ้น

                 มันเป็นเรื่องธรรมดาของชาวบ้านชนบท เมื่อ"คิดว่า"รักษาโดยวิธีทางการแพทย์ไม่หาย ก็ต้องโทษผีสางนางไม้ ว่าเป็นต้นเหตุของเรื่องนี้แน่ๆ จึงเป็นประเด็นเด็ดที่พูดต่อกันในเวลาต่อมา เพื่อนบ้านที่แสนดีก็มาแนะนำกันด้วยความเป็นห่วงเป็นใย ว่าควรจะหาหมอผีมาดูให้ ไหนๆก็รักษามาหลายอย่างแล้ว

                 "ลองไปหาตามั่น ซิ ให้เขามาดูให้ว่าเกิดอะไรขึ้น" ยายสังเวียนเพื่อนบ้านแนะนำจึงเป็นจุดเริ่มต้นของงานเลี้ยง

                  ชาวบ้านรู้ข่าวก็แห่กันมาบ้านยายจวบ ด้วยความอยากรู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับตัวยายจวบแก เสียงคุยกันระงมไปทั่วใต้ถุนบ้าน คำวิจารณ์ต่างๆนานา ถึงผีตนนั้นตนนี้  ตัวผมเองก็นอนไกวเปลอย่างไม่ค่อยได้สนใจอะไรนัก เพียงแค่คิดว่า "คงจะจริงที่คนกลัวผี มักจะชอบดูเรื่องผี " ถึงเวลาพีธีก็เริ่มขึ้น

                  "ผีตายโหง เขาจะมาขออยู่ด้วย" หมอผีมั่นเอ่ยออกมาหลังจากแกนั่งเอาเทียนวนไปวนมาในขันน้ำมนต์และแกก็สำทับมาอีกว่า

                  "ถ้าไม่ให้เขาอยู่ด้วย เขาบอกจะเอาถึงตายเลยนะ"

ผมมองเหตุการณ์อยู่เงียบๆ ยังมีอะไรข้องใจหลายอย่างที่ผุดขึ้นมา แต่ก็ไม่ได้ทักท้วงอะไรเพราะสังเกตจากสีหน้าและแววตาของผู้ที่เข้าร่วมพิธี แล้วบ่งบอกเลยว่าเขาเชื่ออย่างสนิทใจ

                  "แล้วอิฉันต้องทำยังไงหล่ะ พ่อหมอ" ยายผมเอ่ยถามด้วยประโยคสุดคลาสสิคที่เราเคยได้ยินมาจากละคร

                  "เอ็งต้องตั้งศาลให้เขาอยู่นะ แล้วก็เลี้ยงเขาดีๆ เขาจะให้คุณ" หมอผีตามั่นกล่าว และนัดวันเวลามาตั้งศาลให้ "ผีตายโหง" กันเสร็จสรรพ

                 

                  หมู 1 ตัว ไก่ 3 ตัว ขนมต้มแดงต้มขาว และสุราเถื่อน ได้เตรียมไว้เพื่อเป็นเครื่องเซ่น พร้อมกับเสาไม้และไม้กระดาน ที่จะเอามาสร้างศาลถูกเอามาวางเรียงกันไว้อย่างเป็นระเบียบเพื่อรอเวลาในการประกอบพิธี ตามั่นในชุดขาวมีผ้าขาวม้าพาดบ่าเริ่มนั่งสวดมนต์ทำพิธี สักพักแกก็มีอาการแปลกไป นั่งร้องไห้ และพูดออกมาว่า

                  "หิวเหลือเกิน ไม่ได้กินอะไรมานานแล้ว"  พอแกพูดจบก็คว้าเนื้อหมูดิบๆ ขึ้นมาใส่ปากเคี้ยวอย่างเอร็ดอร่อยและยกขวดเหล้าขึ้นมาซดด้วยท่าทางหิวกระหาย ยายสังเวียนที่มานั่งร่วมพิธีก็เอ่ยถามขึ้นว่า

                  " ท่านเป็นใคร? มาจากไหน? " ไม่มีคำตอบใดๆ จากตามั่น ยายสังเวียนก็พยายามถามซ้้าๆ จนตามั่นพูดว่า

                  " ถ้ามันไม่ให้กูอยู่ ก็จะกินมันแทน กูหิว " 

                  ยายสังเวียนเลยพูดเชิงอ้อนวอนว่า " อย่าไปทำเขาเลย เขาตั้งศาลทำที่อยู่ให้แล้ว ก็ช่วยดูแลเขาต่อไปเถอะนะ "

                  ตามั่นก็หัวเราะและตอบสั้นๆ ว่า " เออ!! " แล้วก็นั่งกินต่อไป จนเวลาล่วงเลยไปพักใหญ่ ปฎิกิริยาของตามั่นเริ่มสงบลง และพูดอย่างเหนื่อยหอบว่า

                   " เขาออกไปแล้ว เหนื่อยจริงๆ นี่ท่าไม่ใช่คนรู้จักกันจะไม่ทำให้นะเนี่ย "

ยายจวบแกก็ขอบคุณตามั่นเป็นการใหญ่ และมอบเงินใส่ซองให้แกไปเพื่อเป็นการตอบแทน

                  

                    หลังจากที่พวกผู้ชายช่วยกันยกศาลกันเสร็จแล้ว บรรดาแม่บ้านก็เอาเครื่องเซ่นไปประกอบอาหารเพื่อเป็นกับแกล้มในตอนเย็น วันนี้บ้านยายจวบจึงครึกครื้นมากกว่าทุกวัน สีหน้ายายจวบเองก็ดีขึ้น ในทุกๆ เย็นของวันต่อมาจะมีเพื่อนบ้านมาร่วมวงกินข้าว และเป็นแบบนี้ไปประมาณเกือบอาทิตย์ จนสุราเถื่อนที่มีอยู่หมดไป บรรยากาศบ้านยายจวบก็เงียบเหงาเข้าสู่สภาวะปกติ แต่จากนั้นไม่นานอาการเจ็บป่วยต่างๆ ที่เคยเป็นก็กลับมาเป็นอีกครั้ง ทำให้แกคิดว่า

      " นี่สิ่งที่ฉันทำไป มันยังมีอะไรที่ไม่ถูกต้อง หรือยังมีอะไรไม่ถูกใจ ผี อีกหรือ "

 

                    อาการใจสั่น นอนไม่หลับ ยังคงรุมเร้าแกมาตลอด 1 ปีหลังจากตั้งศาลให้ "ผีตายโหง" ที่หมอผีว่า จนในที่สุดแกก็เริ่มทนไม่ไหว จึงไปเสาะหาหมอผีที่อื่นอีก คราวนี้แกได้ข่าวของยายทิพย์ ว่าสามารถรักษาโรคต่างๆ เพราะแกเป็นร่างทรงของเทพ!!!

                    ลูกหลานจึงไปหายายทิพย์และเล่าอาการของยายจวบให้แกฟัง แกก็ทำการนั่งทางใน แล้วบอกว่า สิ่งที่แกเป็นไม่ใช่การกระทำของผี แต่เป็นเพราะองค์เทพจะมาอยู่ด้วย ยายจวบทำไม่ถูกต้องอำนาจขององค์เทพแรงจนทำให้ยายจวบแกรับไม่ไหว ผมได้ฟังแบบนั้นก็เลยคิดว่า

"เทพเนี่ยนะ จะสร้างอำนาจจนทำให้คนธรรมดาเจ็บไข้ได้ป่วย คำว่า เทพ น่าจะสูงส่งและไม่น่าทำร้ายมนุษย์ธรรมดาๆ หรอก"

                    แต่เพื่อความสบายใจของยายจวบ ก็ต้องปล่อยให้แกทำไป

                    ยายทิพย์มาถึงบ้าน มองไปรอบๆ บ้านแล้วก็พูดว่า

                    "องค์เทพเขาอยู่จริงๆ ยายจวบต้องตั้งหิ้งบูชา รับขันธ์ 5 และบูชาองค์เทพ แล้วจะหาย " 

                    เท่าที่ผมรู้มา คำว่า ขันธ์ 5 มีอยู่ในตัวเราทุกคนอยู่แล้วจะต้องรับอะไรอีก

                    ขันธ์ 5 ทางพระพุทธศาสนา คือ 1.รูป 2.เวทนา 3.สัญญา 4.สังขาร 5.วิญญาณ

ตามที่เราเคยเรียนมา หรือว่าเขาจะหมายถึงการรับศีล 5 และเอามาปฏิบัติอย่างเคร่งครัดกันแน่

                   ก็ไม่ใช่เรื่องเสียหายอะไร ถ้าจะบอกให้ครองตนอยู่ในศีลในธรรม จิตใจที่สงบน่าจะทำให้ร่างกายยายจวบกลับมาดีขึ้นก็เป็นได้

                  การบอกกล่าวเจ้าที่เจ้าทางให้รับรู้ว่าจะรับองค์เทพมาไว้บ้าน จะบอกกล่าวก็ต้องเลี้ยงด้วย หมู เห็ด เป็ด ไก่ ขนม สุรา ตามธรรมเนียม

                   " วันนี้ไปกินหมูที่บ้านยายจวบกัน "  ประโยคเดิมที่บอกต่อกันของเพื่อนบ้าน

                   พิธีรับองค์เทพ ดำเนินไปอย่างครึกครื้น เพื่อนบ้านมาช่วยกันจัดแจงข้าวปลาอาหารและเครื่องเซ่นไหว้ พิธีการเริ่มขึ้น ร่างทรงยายทิพย์ก็อันเชิญองค์เทพมาประทับร่าง

                  "ถ้าทำให้เราตั้งแต่แรก เจ้าก็ไม่ต้องเป็นอย่างนี้ ต่อไปก็ไม่ต้องเป็นห่วงอะไรแล้วนะ จะรักษาให้ " ร่างทรงเอ่ยขึ้น

                  เพื่อนบ้านก็สรรเสริญกันเป็นการใหญ่ ต่างให้คำอวยพรแกยายจวบ และตัวยายจวบเองก็มีท่าทางที่แจ่มใสขึ้น พร้อมกับเอาซองเงินใส่มือร่างทรง

                 บรรยากาศเหมือนครั้งที่ตั้งศาลผีตายโหงก็กลับมา หลังจากเลิกจากงานนาไร่ในตอนเย็น เพื่อนบ้านก็จะมาสังสรรค์ครื้นเครงที่บ้านยายจวบไปอีกประมาณ 2-3 วัน สุราเริ่มร่อยหรอ บ้านยายจวบก็กลับมาเงียบเหงา หลังจากรับองค์เทพ คราวนี้ อาการของแกไม่ทุรนทุรายเหมือนครั้งก่อน การนอนไม่หลับก็ยังคงมีอยู่ แต่การใจสั่น จิตใจที่เคยฟุ้งซ่าน ในตอนกลางคืนมันทุเลาลง คงเป็นเพราะแกสวดมนต์ ทำสมาธิ ก่อนจะนอนนั่นเอง

                 ผมก็รู้สึกดีใจที่แกอาการดีขึ้น การสวดมนต์ทำจิตใจให้สงบ บูชาองค์เทพ น่าจะมาถูกทางแล้วก็ได้

 

                 3 เดือนผ่านไป...

                 ยายจวบมีอาการอีกแล้ว นอนไม่หลับ ใจสั่น กินข้าวปลาไม่ลงอีกแล้ว สร้างความข้องใจให้ลูกหลานและตัวยายจวบ ว่าทั้งๆที่รับผีก็แล้ว เทพก็แล้ว ทำไมถึงยังไม่หายเสียที ผีสาง เทวดา ต้องการอะไรกันแน่  คำวิจารณ์ต่างๆนานา จากเพื่อนบ้านที่มาเยี่ยมเยียนยิ่งทำให้ตัวยายจวบแกไม่สบายใจหนักเข้าไปอีก 

                ปากต่อปากของเพื่อนบ้านที่ไปเยี่ยมยายจวบก็กระจายออกไป จนไปถึงหู ตามั่น หมอผี ที่บอกให้ตั้งศาลให้ผีตายโหง พอแกได้ข่าวมาว่า ยายจวบรับองค์เทพมาไว้ทีบ้าน แกก็รีบมาหายายจวบในทันที

                 "นี่ ยายจวบ  ฉันได้ข่าวว่าแกไปรับเทพมาบูชาเหรอ" ตามั่นถาม

                 "ก็ใช่หน่ะซิ มันไม่หาย จะให้ทำยังไงหล่ะหมอ" ยายจวบตอบตามั่นอย่างไม่ค่อยจะเชื่อใจตามั่นเท่าไรนัก

                 "แกรู้ไหม ว่า ผี ไม่ถูกกับเทพ ที่แกยังไม่หายเพราะผีมันโกรธแก มันเลยคอยกลั่นแกล้งแก  แกถึงยังไม่หายซักที" ตามั่นแสดงเหตุผลของแกขึ้นมาแบบนี้ ทำเอายายจวบนิ่งไปครู่หนึ่ง

                 "แล้วฉันต้องทำยังไงหล่ะ" คำถามที่เหมือน เดจาวู ก็หลุดออกมาจากปากของยายจวบ

                 "แกต้องขอขมา และบอกกล่าวผีด้วยว่าจะมีเทพมาอยู่ที่บ้าน " ตามั่นบอก

                                            ................................

                 

                  " พี่ พี่" เสียงกะโกนเรียกผม ดังลั่นมาแต่ไกล เจ้าของเสียงคือไอ้เจ้ามด หลานผมนั่นเอง

                  "มีอะไรวะ ไอ้มด แหกปากมาตั้งแต่หัวไร่เลย" ผมถามมันอย่างตกใจเหมือนกัน นึกว่าเกิดเรื่องไม่ดีอะไรขึ้นมา

                  "ยายจวบให้พี่ไปหาซื้อหมู เขาจะขอขมาศาล" ไอ้เจ้ามดตอบมาอย่างเหนื่อยหอบ

                  "ศาลอะไรอีกวะไอ้มด" ผมถามอย่างสงสัย

                  "ก็ศาลที่ตั้งอยู่หน้าบ้านนั่นไง ตามั่นเขามาบอกว่าผีโกรธยายจวบ"

คำตอบของไอ้เจ้ามด ทำให้ผมอึ้งไปชั่วครู่ ผมเลยให้ไอ้เจ้ามดเล่าเหตุการณ์ทั้งหมดให้ฟัง

                  "หมูตัวละ 2500 บาท ที่ผ่านมาก็ 2 ตัวแล้วนะ  ยังไม่รวมค่าขนม ค่าเหล้าอีก นี่จะต้องเลี้ยงขอขมาผีอีกแล้วเหรอ " ผมเริ่มมีความหงุดหงิดในใจเกิดขึ้น แต่ก็ต้องไปหาซื้อหมูมาจนได้

 

                 "วันนี้ไปกินหมูที่บ้านยายจวบกัน"เพื่อนบ้านส่งต่อข่าวกันไปเป็นทอดๆ อีกครั้ง

                     ตามั่นมาในชุดเดิมของแก ชุดขาว ผ้าขาวม้าพาดบ่า มาถึงแกก็เริ่มทำพิธี นั่งสวดมนต์พึมพำๆ อยู่หน้าศาลเดิมที่แกบอกให้ตั้ง  สวดมนต์อยู่ซักพัก แกก็ตัวสั่น แล้วตะโกนออกมาเสียงดังลั่น

                   "มึงดูถูกกู มึงดูถูกกู"  ผีคงจะเข้าสิงร่างตามั่นแล้ว

                   "มึงเอาใครมาอยู่ด้วยทำไมไม่บอกกู มันคอยกันกูไม่ให้เข้าบ้านมึง "

                     พ่อตามั่นพูดจบ เสียงฮือฮาก็เกิดขึ้นจากเพื่อบ้านที่มานั่งดู สีหน้ายายจวบก็ซีดลง คงจะตกใจกับความเกรี้ยวกราดของร่างทรงตามั่น

                     ตัวผมเริ่มทนไม่ไหวที่เห็นยายจวบแกมีท่าทางหวาดกลัวแบบนั้น ผมเลยพูดโผงออกไปว่า     "เฮ้ย  นี่ก็มาขอขมาแล้วไง จะเอาอะไรอีก " ตอนที่ผมตะโกนออกไปผมสังเกตเห็นตามั่นสะดุ้ง แล้วแกก็หันมาทางผม และถามว่า

                     "มึงเป็นใคร กล้าดียังไงมาพูดกับกูแบบนี้" ด้วยความที่เรายังอยู่ในวัยคะนอง ความยับยั้งชั่งใจมันจึงหายไปหมด ความรู้สึกโกรธมันแล่นเข้ามาในสมองทันที

                     "กูเป็นใครไม่สำคัญ แต่ถ้ามึงกินแล้ว ยายกูยังไม่หายหล่ะก็ กูจะเผาที่อยู่มึงให้เหลือแต่ตอ" ผมพูดอย่างโมโหเช่นกัน

                      ชาวบ้านที่เขามาดูการทำพิธีก็ร้องห้ามผมเป็นการใหญ่ แววตาพวกเขาบ่งบอกถึงความกลัวอย่างเห็นได้ชัด บางคนก็ไปพูดขอโทษขอโพยกับผีที่เชื่อกันว่าอยู่ในร่างตามั่น

ผมเห็นดังนั้น ผมเลยเดินหนีออกมาด้วยอารมณ์ที่ขุ่นมัว ผมมาทราบทีหลังว่า พิธีกรรมวันนั้นจบลงด้วยอาการโกรธเกรี้ยวของผีที่เชื่อกันว่ามาเข้าร่างทรงของตามั่น

                      จบพิธีการขอขมา อาการยายจวบไม่ดีขึ้น สีหน้าแกบอกถึงความกังวลกับการดำเนินชีวิต สายตาที่บ่งบอกถึงความท้อแท้ในอาการเจ็บป่วยของตน  หรือนี่จะเป็นเพราะผมไปทำให้ผีตนนั้นโกรธเข้าจริงๆ  ตัวผมเองชักจะเริ่มท้อแท้และรู้สึกผิดขึ้นมาในใจเหมือนกัน

 

                      "ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อหรือตามข้อกระดูก หงุดหงิดง่ายใจสั่น ซึมเศร้า นอนไม่หลับ คือ อาการของคนที่เป็นโรคนี้" เสียงดังมาจากโทรทัศน์ภายในร้านขายเคมีการเกษตรที่ผมกำลังจะเข้าไปซื้อปุ๋ยเพื่อมาใส่ต้นไม้ เมื่อเดินเข้าไปภายในร้าน เห็น แม่ของเจ้าของร้านกำลังนั่งทานข้าวและดูโทรทัศน์ไปด้วย ผมเลยเอ่ยถามขึ้นว่า

                      "ยายครับ กำลังดูเรื่องอะไรอยู่เหรอครับ"

                       ยายแกก็ตอบว่า "อ๋อ เรื่องโรคภัยไข้เจ็บหน่ะ"

ผมเลยนั่งคุยกับยายแกอยู่ซักพัก ถามถึงรายละเอียดของรายการดังกล่าว จนเป็นที่พอใจแล้วก็ขอตัวกลับ

                    หลังจากทำธุระส่วนตัวในตอนเย็นเสร็จแล้ว ผมก็เข้าร้านอินเตอร์เนต ที่มีแค่เพียงร้านเดียวในตัวอำเภอ ค้นหาเรื่องโรคดั่งกล่าว และสถานที่รักษาโรคนั้น  ผมรู้สึกปลอดโปร่งในใจมากขึ้นที่รู้ว่า มีสถานพยาบาลในตัวจังหวัดที่สามารถรักษา โรคนี้ได้  

                   ยิ้มในใจอย่างมีความหวังว่า คราวนี้แหละ ได้เผาศาลผีนั้นทิ้งแน่ๆ

 

                  หลังเอนตัวลงนอนและหลับไปนานเท่าไรไม่ทราบ ผมฝันเห็นผู้ชายคนหนึ่ง ท่าทางน่ากลัว มายืนชี้หน้าผม ทำให้ผมสะดุ้งตื่นขึ้นมากลางดึก

                   "เรื่องผีนั้นมันเรื่องจริง หรือเราเก็บเอาความวิตกกังวลมาฝันกันแน่" แต่มันก็ทำให้ผมนอนไม่หลับจนถึงเช้า

 

                    ตักบาตรตอนเช้า เอาอาหารไปให้ศาล กิจวัตรของยายจวบเริ่มขึ้นแต่เช้าตรู่

                   "ยายๆ เดี๋ยววันนี้ไปในตัวเมืองกับผมหน่อยนะ จะพาไปหาหมอ" ผมบอกกับยายขณะที่ตัวผมเองก็รีบกินข้าวเช้าเพื่อจะพายายไปนั่นเอง

                    "หมออะไรหล่ะในเมือง ไปรักษามาจนเกือบหมดแล้ว " ยายจวบออกอาการสิ้นหวัง

                    "เชื่อผมเหอะน่า ลองไปดูก่อน ขนาดไหว้ผี ยังทำแล้ว คราวนี้ลองเชื่อผมดูซักครั้ง คงไม่เป็นไรหรอกมั้ง" ผมก็แกล้งใส่อาการน้อยใจลงไปในคำพูดนั้น ทำให้ยายผมปฏิเสธผมไม่ลงเหมือนกัน ตอนสายๆของวันนั้นผมก็พายายจวบบึ่งรถเข้าตัวเมือง

                   

 

                    "เป็นอะไรมาเหรอคุณยาย" คุณหมอถาม   ยายจวบก็เล่าอาการให้หมอฟัง แต่ท่าทางยายจวบแกก็ยังไม่เชื่อมั่นเท่าไรนัก พอหมอตรวจเสร็จหมอก็บอกว่า

                    "โรคแบบนี้ เป็นกันมานานแล้ว เพียงแต่คนบ้านเรายังไม่รู้เท่านั้นเอง เลยไปรักษากันแบบผิดๆ เขาเรียกว่า วัยทอง นะยาย เดี๋ยวผมจะฉีดฮอร์โมนให้ยายนะ แล้วมาตรวจตามที่หมอนัดด้วย เดี๋ยวก็หาย"

                    

                     "วัยทอง" คำๆนี้ใหม่มาก สำหรับคนบ้านนอก ที่วันหนึ่งๆ ขลุกอยู่กับการทำไร่ทำนา วิทยุก็มีแต่ข่าวทั่วไป เลิกจากงานไร่นาก็กลับเข้าบ้านปิดไฟนอนกันตั้งแต่ 2 ทุ่ม เหตุนี้เองทำให้การได้รับข่าวสารต่างๆ มันจึงน้อยลง

                     

                      หลังจากไปตามที่หมอนัดเป็นระยะ ได้รับความรู้จากแพทย์อธิบายให้แกฟังมาตลอด ถึงสาเหตุต่างๆ อาการยายจวบก็ดีขึ้น กินข้าวปลาอาหารได้มากขึ้น ร่างกายเริ่มมีน้ำมีนวลขึ้น และไม่นานอาการต่างๆ ของแกก็หายไป แกกลับมายิ้มแย้มแจ่มใสเหมือนคนปกติทั่วไป

                      ผมสังเกตยายจวบที่มีอาการดีขึ้นมาประมาณ 3 เดือน ถึงคราวที่ผมจะเอาคืนกับไอ้เจ้าศาลผีที่ตั้งอยู่หน้าบ้านเสียที

                      "ยายๆ รู้แล้วใช่ไหมว่าไอ้โรคที่เป็นอยู่มันไม่เกี่ยวกับผีสาง เทวดา เลย" ผมยิงคำถามเพื่อลองหยั่งเชิงยายแกก่อน

                      "นั่นซิ ไอ้ยายก็หลงโทษผีสางมาตั้งนาน" คำตอบที่ได้จากยายผมนั้นทำให้ผมพอใจมาก หมอเขาคงปรับทัศนะคติยายจวบไปได้มาก

                 "งั้นผมขออะไรอย่างหนึ่งซิ ในฐานะที่ผมเป็นคนพายายไปหาหมอจนหาย"

ผมขออย่างไม่ได้คาดหวังในคำตอบมากนัก ถ้าหากแกรู้ว่าผมจะขออะไร

                 " จะขออะไรหล่ะ " ยายจวบถาม และแสดงอาการสงสัย

      "ก็ไอ้ที่ยายไปรับมานั่นไง ทั้งศาลทั้งเทพอะไรนั่น ผมขอรื้อมันออกไปทิ้งได้ไหม"

               ยายจวบได้ยินดังนั้นก็ตกใจ ร้องถามว่า "อะไรนะ" แล้วแกก็นิ่งทำท่าขบคิดไปครู่หนึ่งแล้วตอบกับผมว่า    

              "เออ อยากจะทำอะไรก็ทำ !!! "

พอผมได้ยินคำตอบนั้น ผมก็รีบเดินไปหยิบ ค้อนขึ้นมาและเดินแสยะยิ้ม ตรงไปที่ศาลผีที่ตั้งอยู่หน้าบ้านทันที...

               ไม่ถึง 30 นาที ศาลนั้นก็ถูกแยกชิ้นส่วนและกองไว้กับพื้น บายสีที่วางไว้บนหิ้งบูชาเทพ ก็ถูกผมนำลงมากองรวมกัน กับกองไม้ที่เคยเป็นศาลผีนั้น  ผมยืนมองไฟที่เริ่มลุกโชน และควันไฟลอยขึ้นไปในอากาศ คิดในใจว่า สิ่งพวกนี้หรือที่จะทำให้คนหายเจ็บป่วย ชีวิตหมูที่ต้องมาสังเวยถึง 3 ตัว เงินทองที่หมดไปกับการทำพิธีต่างๆ มันอาจจะไม่มากสำหรับใครบางคน แต่สำหรับคนที่มีอาชีพทำไรทำนามันก็มากพอสมควร

 

               สิ่งทีผมทำลงไปอาจจะเป็นความรู้สึกส่วนตัวของความเป็นปุถุชนคนธรรมดาคนหนึ่งที่มี รัก โลภ โกรธ หลง   เหตุการณ์ต่างๆที่ประสบมา ผมจะไม่กล่าวโทษหรือลบหลู่ใคร ความเชื่อเป็นเรื่องส่วนบุคคล ผมจะไม่ขอตัดสินว่าสิ่งไหนดีหรือไม่ดี ทุกคนมีสิทธิ์ที่จะเชื่อในสิ่งที่ตนเชื่อหากไม่ไปสร้างความเดือดร้อนให้ใคร

               แต่ผมเชื่อว่า สิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอน ให้เชื่ออย่างมีเหตุมีผล น่าจะเป็นเรื่องที่ดีกว่าสิ่งที่เกิดขึ้นกับตัวยายจวบแน่นอน 

                

                             

              

 

                   

 

                  

                   

                 

                 

               

               

             

               

 

คำยืนยันของเจ้าของเรื่องสั้น

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
10 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา