ซะขนาดนี้หรือจะลืมลง
9.9
เขียนโดย มังกุมภ์
วันที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557 เวลา 15.05 น.
48 ตอน
40 วิจารณ์
52.57K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 10 เมษายน พ.ศ. 2558 16.39 น. โดย เจ้าของเรื่องสั้น
7) ตี
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ผมเขียนไว้ในหมวดตลกขบขันนะครับแต่ว่ามันก็เป็นเรื่องที่ลืมไม่ลงซะทีเดียวผมเลยทำการย้ายมาลงที่นี่แล้วลบที่เก่าทิ้งนะครับใครเคยอ่านแล้วขออภัยด้วย เรื่องค่อนข้างจะยาวครับแต่อ่านแล้วรับรอง..อิอิ
เมื่อไม่กี่วันก่อนผมได้เห็นคลิปวิดิโอเกี่ยวกับ ครูหรือผู้ดูแลหรืออีบ้าที่ไหนก็ไม่รู้เอาไม้ฟาดหลังเด็กอย่างเมามันส์ พร้อมกับท้าทาย ร้องด่าอย่างสนุกสนานสะใจวัยซาดิสม์โรคจิตสุดๆ ถ้าหลังจากนี้มีข่าวอีอ้วนโดนเด็กแทงตายหรือโดนตีหัวแตก ผมจะไม่แปลกใจเลย พูด ถึงเรื่องตี ในปัจจุบัน ถ้าจำไม่ผิดเขายกเลิกการตีเด็กกันไปแล้ว บางทีอาจจะมีระลึกความหลังสำหรับคุณครูวัยดึก ที่อยากย้อนอดีตให้นักเรียนด้วยความรักก็อาจจะมีเผลอตัวกันมั่ง ผมยอมรับครับว่า ดีใจแทนเด็กสมัยนี้ด้วยที่ไม่ต้องโดนฟาดก้นกระเด้งกระดอนดึ๊กดั๊กเหมือนลูกน้ำเวลามีคนไปแตะผิวน้ำ ในสมัยผมเด็กๆ โรงเรียนที่ผมเรียน(ขอไม่เอ่ยชื่อนะครับ)คุณครูท่านใส่ใจกับการตีเด็กมากกก อยากจะเพิ่ม ก ไก่ไปอีกซักสี่อสงไขยเพื่อยืนยันความใส่ใจของคุณครูท่าน ที่ว่าใส่ใจกับการตีนี่ ก็คือ แต่ละท่านจะมีรูปแบบการตีเป็นของตัวเอง เรียกว่าจดลิขสิทธิ์กันไม่ไหว แต่ก็ไม่ห้ามกันถ้าคุณครูท่านอื่นๆจะลอกเลียนแบบ และทำซ้ำ
ถ้าเพื่อนๆ พี่ๆน้องๆ ว่าง ก็อ่านกันไปนะครับ ผมจะแจงรายละเอียดเกี่ยวกับการ"ตี"ให้ได้อ่านกัน แล้วคุณจะทึ่งว่า หาา แค่ตีเนี่ยนะ มันล้ำลึกขนาดนี้เลยเหรอ เอาละ มาเริ่มกันเลยดีกว่า เมื่อมีการตี ก็ต้องมี 'ไม้' เพื่อใช้ในการตี คุณครูที่โรงเรียนผม ส่วนใหญ่จะมีไม้เป็นสัญลักษณ์ประจำตัว แบบว่าเห็นอาวุธปุ๊บ รู้ปั๊บว่าใคร ถ้าเป็นนิยายจีน ก็เปรียบได้กับ ดาบจันทร์ในบ่อของโค่วจง หรือ กระบี่คลุมวรุณของล่างฟานหวิน อย่างนั้นเลย เริ่มจากอันดับที่หนึ่งในใจของผมเลยนะครับ นั่นคือ อาวุธของครูฝ่ายปกครอง ครูท่านนี้มีนิกเนมเป็นส่วนหนึ่งของเครื่องในไก่ เหตุที่ผมได้รับทราบความใส่ใจของท่านก็เพราะ
มีครั้งหนึ่งผมต้องหอบสมุดการบ้านของเพื่อนๆไปส่งให้คุณครูท่านหนึ่งในห้อง พักครู หลังจากวางสมุดเรียบร้อย สายตาผมก็เหลือบไปเห็นอะไรบางอย่าง แขวนเรียงรายอยู่อย่างเป็นระเบียบ มันคือไม้เรียวนี่แหละครับ แต่ที่มันทำให้ทึ่งก็คือ แต่ละอันจะมีความยาว สั้น เล็ก ใหญ่ ไม่เท่ากัน พร้อมกับมีการระบุไว้ด้วยว่า ป.1 ป.2 ไล่ไปเรื่อยๆจนจบที่ ม.6
ด้วยความที่มีพ่อเป็นโปรกอล์ฟ ทำให้ผมจินตนาการไปว่า ของเด็ก ป.1นี่มันจะประมาณ พัตเตอร์ เล็กๆ เอาไว้พัตเบาๆ ช่วงซัก ป.6 ม.1 นี่ก็ประมาณ พิชชิ่งเวดจ์กับ แซนด์ เวดจ์ ใช้ชิฟระเบิดทราย ส่วน ม.6 นี่ หัวไม้หนึ่งเลยครับ แบบว่า ยาวววว เป็นลำ เหมาะกับการหวดระยะไกลอย่างแรง หลังจากเห็นแล้ว ผมก็บอกกับตัวเองว่านับแต่นี้ไป กูต้องเป็นเด็กดีซะแล้ว ไม่งั้นกูโดนแซนด์เวดจ์ขึ้นกรีนแหง ถัดจากฝ่ายปกครอง เรามาดูวิชาเกษตรกันมั่ง ก็คงหนีไม่พ้น หวาย แหละครับ แต่ด้วยน่าจะเป็นมรดกตกทอดกันมาว่า ถ้าเอาหวายไปแช่เยี่ยว เวลาตี มันจะเจ็บปวดเหลือขนานับ ท่านก็เลยเอาไปแช่เยี่ยวตามโบราณว่าไว้ด้วย แต่ผมไม่ทราบนะครับว่าไอ้เยี่ยวเนี่ย มันของใคร จะเป็นครูท่านสะสมไว้เอง หรือรวบรวบจากเด็กๆ อันนี้ก็เป็นความลับของท่าน เวลาเพื่อนๆโดนตีด้วยหวายแช่เยี่ยวนี้ ผมก็ได้แต่ปลอบใจเพื่อนๆว่า เค้าไม่ใช้ด้ามจอบตีมึงก็บุญแล้วว่ะอย่าโศกไปเลยเพื่อน วิชาดนตรีก็เป็นอีกวิชาที่เพิ่มความสุนทรีกับก้นน้อยๆของพวกเรา ก็อย่างว่าแหละครับ ดนตรีมันก็ต้องมีจังหวะ แล้วอะไรที่ใช้เคาะจังหวะหล่ะ กลองไงครับ เรียกกันภาษาบ้านๆว่ากลองแต๊ก เมื่อพวกเราในวัยเด็กไม่ตั้งใจเรียนวิชาดนตรี คุยกันระหว่างครูท่านสอนว่าโน๊ตตัวกลมมีกี่จังหวะ ถามแล้วก็ตอบไม่ได้ ก็ต้องมีการลงโทษเกิดขึ้น ไม้กลองนั่นแหละครับ ป้อมๆหัวรีๆแต่ตีทีนี่เจ็บได้ใจ บางคนโดนเป็นโน๊ตตัวกลมมีสี่จังหวะ โชคดีหน่อยก็โน๊ตตัวขาวมีสองจังหวะ ตีกันเป็นรัวกลองประมาณว่า
"หนังตูดเอ็งก็คือหนังกลองข้าละวะ"
ถ้าจังหวะโชคร้ายสุดๆ คุณครูท่านลืมไม้กลองแล้วหาไม่เจอ ก็จะเปลี่ยนจากไม้กลองเป็นไม้ "นิ๊งหน่อง" ฟังดูน่ารักแต่ใครโดนเข้าไปเรียกว่าปวดตูดแสนสาหัส ลักษณะมันจะเป็นประมาณนี้ครับ O--- คือเป็นแท่งยาวๆแล้วมีลูกกลมๆตรงปลาย ซึ่งไม่จำเป็นครูท่านจะไม่ค่อยใช้ครับเพราะมันหักง่าย มันเอาไว้เคาะไม่ได้ไว้ตี โดนเคาะหัวทีนึงนี่แทบลืมว่าเป็นใครมาจากไหน ถัดจากดนตรีก็มาวิชาเลข เวลาเราเรียนเมื่อต้องวาดวงกลมบนกระดานดำ เขาก็จะมีวงเวียนให้ใช้ ซึ่งวงเวียนที่ว่านี่ อันมันก็เท่ากับแขนเด็กนี่แหละครับ เมื่อตรวจสอบว่าไม่ส่งการบ้านหรือลอกกันมาผิดทั้งดุ้น ก็ต้องลงโทษกันตามธรรมเนียม หาไม้ไม่ได้ก็ไม่ต้องไปขวนขวาย ก็วงเวียนนี่แหละครับ จะทำขนมจีบ ซาลาเปา หรือฟาดเพียวๆ ก็ได้หมด ซึ่งถ้าเป็นวงเวียนที่ผ่านการใช้งานมา ก็จะมีฝุ่นชอล์กฝุ้งออกมาเหมือนมีวิญญาณออกมาจากตูดพวกเรา ทำให้รู้สึกทั้งขำทั้งสยองไปพร้อมๆกัน แปรงลบกระดานก็เป็นอาวุธสุดฮิตอันหนึ่งสำหรับครูที่ไม่มีไม้เป็นของตัวเอง ส่วนใหญ่จะโดนในลักษณะ หนมจีบ ซาลาเปา คือใช้เคาะ ซึ่งส่วนตัวผมว่ามันน่ากลัวครับ เพราะถ้ามันโดนแรงๆนิ้วอาจจะหักได้ สำหรับพนักงาน711ที่ถามลูกค้าว่ารับหนมจีบซาลาเปาเพิ่มมั๊ย แล้วเจอลูกค้าทำหน้าหงิกหรือสยองๆ นั่นอาจจะเพราะวัยเด็กเขาโดนหนมจีบแบบนี้มาก็ได้นะครับ อิอิ วิชาพละซึ่งสมัยผมเรียนจะแบ่งเป็นกีฬาสามประเภท คือบาส ฟุตบอล วอลเล่ย์บอล เมื่อได้ถามเพื่อนที่เรียนวอลเล่ ว่าเขาลงโทษกันยังไง ก็ได้คำตอบมาว่า
"ใช้มือฟาดว่ะ"
นี่ถ้าฟุตบอลที่ผมเลือกเรียน เขาลงโทษตามแนวทางนี้ คงกลายเป็นบอลไทยไปมวยโลกอย่างที่เค้าพูดๆกันแหง
เมื่อเกริ่นเรื่องอาวุธกำราบดากกันไปพอสมควรแล้ว เรามาว่าถึงวิธีการตีกันมั่งดีกว่าครับ ปกติการตีทั่วๆไปนี่ก็คือ ให้เด็กกอดอก แล้วก็เอาไม้ตีไปที่ก้นอันเป็นเบสิคพื้นๆที่ครูทั่วๆไปใช้กัน
แต่ก็อย่างว่าแหละครับเด็กอย่างเราเมื่อโดนตีก็ต้องกลัวเจ็บเป็นธรรมดา เมื่อมีไม้หวดมาจากด้านหลังฟาดเข้าให้ที่ก้น อาการที่ตามมาก็คือการ "แอ่น"นั่นเอง บางคนแอ่นมากบางคนแอ่นน้อย บางคนแอ่นสุดปลายเท้าชนิดนักบัลเล่ต์ยังค้อน
สำหรับครูทั่วๆไปที่เข้าใจธรรมชาติของเด็กที่โดนฟาดแล้วแอ่น ก็จะจบการตีลงแค่นั้นถือว่าสิ้นสุดการลงโทษตามธรรมเนียม จบแล้วก็จบกันไป แต่สำหรับครูบางท่าน อาจจะไม่ยินยอมพร้อมใจไม่สาแก่ใจ ที่เด็กๆแอ่นหลบไม้กันจ้าละหวั่น ก็เลยมีรูปแบบของการตีแบบใหม่ๆเพิ่มขึ้น ก่อนจะตีเขาต้องมีเทสเสียงกันก่อนครับ เคยมั๊ยครับ เลิกเรียนกลับบ้านไปเล่นนู่นนั่นนี่อาบน้ำนอน ตื่นมา เฮ้ย ลืมทำการบ้าน งานนี้ลอกเพื่อนไม่ทันแน่นอน สิ่งที่ต้องทำก็คือ ยอมรับความเจ็บปวด
แต่อย่างว่าใครจะยอมเจ็บง่ายๆ ก็เลยมีการเพิ่มพื้นที่ทับซ้อนบริเวณก้นกันซะหน่อย อาจจะใส่กางเกงวอมหรือกางเกงในเพิ่มชั้นเข้าไปลดความเจ็บปวด
แต่...คิดเหรอครับว่าเซียนท่านจะไม่รู้ ฉะนั้นก่อนตีเขาจะมีเทสเสียงโดยการเอาไม้เคาะก้นฟังเสียงครับ วิธีนี้อาจจะประยุกต์มาจากการฟังเสียงทุเรียนสุก ถ้าเคาะๆแล้วเสียงแน่นๆแบบเนื้อๆ ก็แสดงว่ามาเพียวๆพร้อมรับความเจ็บปวดแต่โดยดี แต่ถ้าเคาะแล้วฟังเสียงโพร่งๆแปล่งๆแบบทุเรียนสุกแล้วล่ะก็ คุณจะได้รับการเพิ่มพลังอีกเป็นสองสามเท่าของปกติ เพราะความเจ้าเล่ห์ของเราเอง เอาละครับมาดูวิธีตีกันดีกว่า 1.ตีตัด การตีตัดเป็นการป้องกันการแอ่นซึ่งผมไม่รู้ที่มาว่ามาจากไหนอย่างไร ใครเป็นผู้คิดค้น แต่คนที่เอามาใช้คนแรกก็คือโปรกอล์ฟประจำโรงเรียนนั่นเอง ลักษณะการตีก็คือ ให้เด็กกอดอก แล้วโค้งเหมือนคนญี่ปุ่นคำนับกันแล้วกดพอสเอาไว้ ผลก็คือก้นของท่านจะโก่งขึ้นมาเล็กน้อย เมื่อถึงเวลาครูท่านก็เอาไม้หวดลงมาเหมือนผ่าฟืน หวดมาตรงๆ ท่านี้จะทำให้ก้นของท่านกับไม้ของครูปะทะสัมผัสกันจังๆดุษกลอนของกวีเอก ซึ่งก็แก้ปัญหาการแอ่นได้ดีระดับหนึ่ง แต่เมื่อเด็กเกิดอาการกลัวถึงขีดสุด ก็เหมือนเราไปกดพอสอีกครั้งให้ก้นมันแอ่นดังเดิมจึงมีท่าใหม่เกิดขึ้นอีก นั่นก็คือ.. 2.ตีตัดหน้า ท่านี้ถ้าเป็นหนังจีนก็เปรียบได้กับวิชาของท่านกระบี่หมากล้อม ที่ล่วงรู้การดำเนินการต่อสู้ของเราว่าจะเคลื่อนไหวไปในทางไหน คือเมื่อหวดไม้ลงมาแล้วเกิดอาการ'แอ่น' ท่านก็จะวกไม้กลับมาตัดด้านหน้าแทน ซึ่งถ้าบรรดาขาแอ่น 'เบรค บ่ อยู่'จากเจ็บจ้นก็จะเป็นเจ็บจู๋แทน ผมได้เห็นกระบวนท่านี้จากโปรกอล์ฟท่านเดิมฟาดเพื่อนผมเอง ผลก็คือผมเกิดอาการหำหดโดยไม่ต้องไปยืนบนหน้าผาให้เสียเวลา ถ้าเทียบกับมุขตลก ก็เหมือนกับเขาถามว่า 'เฮ้ยมึงว่ากูจาเดินหน้าหรือถอยหลังว๊าาา' นั่นแหละครับ 3.ท่าจิ้งจกเกาะข้างฝา จริงๆจะเรียกเหี้ยตะกายตึก แต่มันหยาบไปครับ ก็คือให้เราหันหน้าเข้ากำแพงนาบตัวเกาะฝนังแบบแนบชิด แล้วก็ฟาดดด ซึ่งแน่นอนว่าท่านี้หมดโอกาสแอ่น ท่านี้เวลาโดนอาจจะทำให้ระลึกชาติหรืออดีตที่เคยสร้างกรรมมา อาจจะเคยเอายางดีดจิ้งจกไปให้ไก่กิน หรือจับตุ๊กแกไปย่าง อะไรก็แล้วแต่ ท่านี้คุณได้ฝาบ้านเป็นเมียแน่นอน อิอิ 4.ตีหลบระเบิด ท่านี้เป็นท่ากันแอ่นอีกท่านึงคือให้นอนคว่ำกับพื้นเลย แต่ไม่ค่อยเป็นที่นิยม เพราะจะทำให้เสื้อเด็กเปื้อน ตอนหลังจึงเปลี่ยนเป็นนอนคว่ำกับโต๊ะแทน ดีนะทีเป็นยุคก่อนถ้าเป็นสมัยนี้ฟันธงว่ามาจากหนัง AVแน่นอน 5.ตีด่วน อันนี้เกิดขึ้นในวิชากระบี่ครับ เวลาเรารำผิดครูท่านจะเหมาว่าผิดหมดชั้น ก็เลยต้องทำโทษกันทุกคน แต่จะให้ตีคนละเพี๊ยะแบบปกติก็จะกินเวลานานโข จึงเกิดวิธีนี้ขึ้น นั่นก็คือครูท่านจะใช้กระบี่ที่เราเรียนนี่แหละ หวดมาเรื่อยๆเหมือนนักกอล์ฟซ้อมวงสวิง แต่จะไม่มีการหยุดนะครับจะหวดมาเรื่อยๆประมาณยิง auto เด็กๆมีหน้าที่คือฝ่าเข้ามาเพื่อโดนไม้เรียวหวดก้น วิธีนี้ใครที่มีแววชอบความเสี่ยงอาจจะรู้สึกสนุกครับ เพราะ %รอด มี 50-50 (ผมรอดบ่อย) 6.ตีแฝด ท่านี้เกิดจากเพื่อนผมคู่หนึ่งซึ่งทำผิดพร้อมกันคือคุยกันในเวลาเรียน ผิดทั้งคู่ก็โดนมันพร้อมๆกันเลย โดยให้ยืนเป็นคู่แล้วครูฟาดทีเดียวพร้อมกันเลย แต่ด้วยความเที่ยงธรรมทำให้ครูท่านรู้ได้ว่าคนที่อยู่ด้านในจะเจ็บน้อยกว่า คนด้านนอก ก็เลยมีการสลับตำแหน่งกันด้วย เป็นสองคนสองที 7.4x4 ท่านี้คล้ายๆตีแฝด แต่เพิ่มจำนวนเป็น 4คน 4ที ครูที่ตีท่านี้ได้ต้องมีอาวุธที่ยาวดุษดาบฟันขาม้า แต่ไม่ต้องกังวลครับ คลังอาวุธโรงเรียนเรามีพร้อม 8.ตีอัดตุ๊ด แล้วสุดยอดแห่งการครีเอทก็มาถึงครับ ท่านี้เกิดการไอเดียและจินตนาการของครูสอนวิชาศิลปะ ธรรมดาแล้วโรงเรียนชายล้วนส่วนใหญ่มักจะมีตุ๊ดประจำการอยู่อย่างน้อยห้องละ1คน จึงทำให้เกิดท่านี้ขึ้น เมื่อมีการทำโทษ ครูท่านจะให้ตุ๊ดตู่ออกมาโก้งโค้งที่ขอบโต๊ะ ส่วนผู้โดนลงโทษก็ให้ยืนแนบชิดกับก้นของน้องตุ๊ดตู่ในลักษณะเหมือนยืนเบียด กันบนรถเมล์แน่นๆ ถ้าหวดไม้ลงแล้วแอ่น โจ๊ยท่านก็จะสัมผัสกับดากตุ๊ดแบบจังๆ ท่านี้ใครที่มีแววเป็นเสือ อาจจะค้นพบตัวเองจากการตีวิธีนี้ได้
9.ตีจ๊ะเอ๋ ชื่อน่ารักแต่วิธีการมันสยองครับ ท่านี้เกิดจากวิชาเลข ครูท่านจะเรียกเด็กๆไปทำโจทย์เลขหน้าห้อง ระหว่างที่เราทำท่านก็จะเดินวนไปมาที่ด้านหลังเรา บางทีขณะคิดคำนวนกันเพลินๆ หรือเหม่อๆเพราะคิดไม่ออก ท่านก็หวดขวั่บบบบ คุณพระ งานนี้ x กระจาย y กระเจิง พายอาร์ยกกำลังเจ็ดเห็ดยกกำลังสี่ มันทั้งสับสน งง เจ็บ คละเคล้ากันอย่างบอกไม่ถูก ผมบอกได้เลยว่า งานนี้เพื่อนผมบางคนที่เก่งเลข แต่สติไม่มั่นคงก็มีโดนได้เหมือนกัน เพราะมันระแวงหลัง สมาธิแทนที่จะอยู่บนกระดาน กลับลงไปอยู่ที่ก้นแทน สมองที่ต้องคิดคำนวนผลเลขบนกระดาน ก็ต้องมานึกระแวงเสียวแว๊บประมวลผลเป็นมัลติทาร์กกิ้งบนซีพียูรุ่นโบราณ ผลก็คือทำอะไรไม่ได้ซักอย่าง ก็เลย...โดนซ๊า
ตัวผมเองหลังจากผ่านด่านเก้าท่าพาสยองมาได้ ก็นึกย้อนกลับไปทุกครั้งเวลาที่เห็นเด็กนักเรียนถูกตี ในสมัยนี้ผมว่าครูที่สอนน่าจะยุ่งอยู่กับการหาข้อมูลมาสอนเด็กมากกว่าการหา วิธีตีเด็กแบบสมัยก่อน นึกแล้วก็อิจฉาเด็กสมัยนี้เสียจริงหนอ.
เมื่อไม่กี่วันก่อนผมได้เห็นคลิปวิดิโอเกี่ยวกับ ครูหรือผู้ดูแลหรืออีบ้าที่ไหนก็ไม่รู้เอาไม้ฟาดหลังเด็กอย่างเมามันส์ พร้อมกับท้าทาย ร้องด่าอย่างสนุกสนานสะใจวัยซาดิสม์โรคจิตสุดๆ ถ้าหลังจากนี้มีข่าวอีอ้วนโดนเด็กแทงตายหรือโดนตีหัวแตก ผมจะไม่แปลกใจเลย พูด ถึงเรื่องตี ในปัจจุบัน ถ้าจำไม่ผิดเขายกเลิกการตีเด็กกันไปแล้ว บางทีอาจจะมีระลึกความหลังสำหรับคุณครูวัยดึก ที่อยากย้อนอดีตให้นักเรียนด้วยความรักก็อาจจะมีเผลอตัวกันมั่ง ผมยอมรับครับว่า ดีใจแทนเด็กสมัยนี้ด้วยที่ไม่ต้องโดนฟาดก้นกระเด้งกระดอนดึ๊กดั๊กเหมือนลูกน้ำเวลามีคนไปแตะผิวน้ำ ในสมัยผมเด็กๆ โรงเรียนที่ผมเรียน(ขอไม่เอ่ยชื่อนะครับ)คุณครูท่านใส่ใจกับการตีเด็กมากกก อยากจะเพิ่ม ก ไก่ไปอีกซักสี่อสงไขยเพื่อยืนยันความใส่ใจของคุณครูท่าน ที่ว่าใส่ใจกับการตีนี่ ก็คือ แต่ละท่านจะมีรูปแบบการตีเป็นของตัวเอง เรียกว่าจดลิขสิทธิ์กันไม่ไหว แต่ก็ไม่ห้ามกันถ้าคุณครูท่านอื่นๆจะลอกเลียนแบบ และทำซ้ำ
ถ้าเพื่อนๆ พี่ๆน้องๆ ว่าง ก็อ่านกันไปนะครับ ผมจะแจงรายละเอียดเกี่ยวกับการ"ตี"ให้ได้อ่านกัน แล้วคุณจะทึ่งว่า หาา แค่ตีเนี่ยนะ มันล้ำลึกขนาดนี้เลยเหรอ เอาละ มาเริ่มกันเลยดีกว่า เมื่อมีการตี ก็ต้องมี 'ไม้' เพื่อใช้ในการตี คุณครูที่โรงเรียนผม ส่วนใหญ่จะมีไม้เป็นสัญลักษณ์ประจำตัว แบบว่าเห็นอาวุธปุ๊บ รู้ปั๊บว่าใคร ถ้าเป็นนิยายจีน ก็เปรียบได้กับ ดาบจันทร์ในบ่อของโค่วจง หรือ กระบี่คลุมวรุณของล่างฟานหวิน อย่างนั้นเลย เริ่มจากอันดับที่หนึ่งในใจของผมเลยนะครับ นั่นคือ อาวุธของครูฝ่ายปกครอง ครูท่านนี้มีนิกเนมเป็นส่วนหนึ่งของเครื่องในไก่ เหตุที่ผมได้รับทราบความใส่ใจของท่านก็เพราะ
มีครั้งหนึ่งผมต้องหอบสมุดการบ้านของเพื่อนๆไปส่งให้คุณครูท่านหนึ่งในห้อง พักครู หลังจากวางสมุดเรียบร้อย สายตาผมก็เหลือบไปเห็นอะไรบางอย่าง แขวนเรียงรายอยู่อย่างเป็นระเบียบ มันคือไม้เรียวนี่แหละครับ แต่ที่มันทำให้ทึ่งก็คือ แต่ละอันจะมีความยาว สั้น เล็ก ใหญ่ ไม่เท่ากัน พร้อมกับมีการระบุไว้ด้วยว่า ป.1 ป.2 ไล่ไปเรื่อยๆจนจบที่ ม.6
ด้วยความที่มีพ่อเป็นโปรกอล์ฟ ทำให้ผมจินตนาการไปว่า ของเด็ก ป.1นี่มันจะประมาณ พัตเตอร์ เล็กๆ เอาไว้พัตเบาๆ ช่วงซัก ป.6 ม.1 นี่ก็ประมาณ พิชชิ่งเวดจ์กับ แซนด์ เวดจ์ ใช้ชิฟระเบิดทราย ส่วน ม.6 นี่ หัวไม้หนึ่งเลยครับ แบบว่า ยาวววว เป็นลำ เหมาะกับการหวดระยะไกลอย่างแรง หลังจากเห็นแล้ว ผมก็บอกกับตัวเองว่านับแต่นี้ไป กูต้องเป็นเด็กดีซะแล้ว ไม่งั้นกูโดนแซนด์เวดจ์ขึ้นกรีนแหง ถัดจากฝ่ายปกครอง เรามาดูวิชาเกษตรกันมั่ง ก็คงหนีไม่พ้น หวาย แหละครับ แต่ด้วยน่าจะเป็นมรดกตกทอดกันมาว่า ถ้าเอาหวายไปแช่เยี่ยว เวลาตี มันจะเจ็บปวดเหลือขนานับ ท่านก็เลยเอาไปแช่เยี่ยวตามโบราณว่าไว้ด้วย แต่ผมไม่ทราบนะครับว่าไอ้เยี่ยวเนี่ย มันของใคร จะเป็นครูท่านสะสมไว้เอง หรือรวบรวบจากเด็กๆ อันนี้ก็เป็นความลับของท่าน เวลาเพื่อนๆโดนตีด้วยหวายแช่เยี่ยวนี้ ผมก็ได้แต่ปลอบใจเพื่อนๆว่า เค้าไม่ใช้ด้ามจอบตีมึงก็บุญแล้วว่ะอย่าโศกไปเลยเพื่อน วิชาดนตรีก็เป็นอีกวิชาที่เพิ่มความสุนทรีกับก้นน้อยๆของพวกเรา ก็อย่างว่าแหละครับ ดนตรีมันก็ต้องมีจังหวะ แล้วอะไรที่ใช้เคาะจังหวะหล่ะ กลองไงครับ เรียกกันภาษาบ้านๆว่ากลองแต๊ก เมื่อพวกเราในวัยเด็กไม่ตั้งใจเรียนวิชาดนตรี คุยกันระหว่างครูท่านสอนว่าโน๊ตตัวกลมมีกี่จังหวะ ถามแล้วก็ตอบไม่ได้ ก็ต้องมีการลงโทษเกิดขึ้น ไม้กลองนั่นแหละครับ ป้อมๆหัวรีๆแต่ตีทีนี่เจ็บได้ใจ บางคนโดนเป็นโน๊ตตัวกลมมีสี่จังหวะ โชคดีหน่อยก็โน๊ตตัวขาวมีสองจังหวะ ตีกันเป็นรัวกลองประมาณว่า
"หนังตูดเอ็งก็คือหนังกลองข้าละวะ"
ถ้าจังหวะโชคร้ายสุดๆ คุณครูท่านลืมไม้กลองแล้วหาไม่เจอ ก็จะเปลี่ยนจากไม้กลองเป็นไม้ "นิ๊งหน่อง" ฟังดูน่ารักแต่ใครโดนเข้าไปเรียกว่าปวดตูดแสนสาหัส ลักษณะมันจะเป็นประมาณนี้ครับ O--- คือเป็นแท่งยาวๆแล้วมีลูกกลมๆตรงปลาย ซึ่งไม่จำเป็นครูท่านจะไม่ค่อยใช้ครับเพราะมันหักง่าย มันเอาไว้เคาะไม่ได้ไว้ตี โดนเคาะหัวทีนึงนี่แทบลืมว่าเป็นใครมาจากไหน ถัดจากดนตรีก็มาวิชาเลข เวลาเราเรียนเมื่อต้องวาดวงกลมบนกระดานดำ เขาก็จะมีวงเวียนให้ใช้ ซึ่งวงเวียนที่ว่านี่ อันมันก็เท่ากับแขนเด็กนี่แหละครับ เมื่อตรวจสอบว่าไม่ส่งการบ้านหรือลอกกันมาผิดทั้งดุ้น ก็ต้องลงโทษกันตามธรรมเนียม หาไม้ไม่ได้ก็ไม่ต้องไปขวนขวาย ก็วงเวียนนี่แหละครับ จะทำขนมจีบ ซาลาเปา หรือฟาดเพียวๆ ก็ได้หมด ซึ่งถ้าเป็นวงเวียนที่ผ่านการใช้งานมา ก็จะมีฝุ่นชอล์กฝุ้งออกมาเหมือนมีวิญญาณออกมาจากตูดพวกเรา ทำให้รู้สึกทั้งขำทั้งสยองไปพร้อมๆกัน แปรงลบกระดานก็เป็นอาวุธสุดฮิตอันหนึ่งสำหรับครูที่ไม่มีไม้เป็นของตัวเอง ส่วนใหญ่จะโดนในลักษณะ หนมจีบ ซาลาเปา คือใช้เคาะ ซึ่งส่วนตัวผมว่ามันน่ากลัวครับ เพราะถ้ามันโดนแรงๆนิ้วอาจจะหักได้ สำหรับพนักงาน711ที่ถามลูกค้าว่ารับหนมจีบซาลาเปาเพิ่มมั๊ย แล้วเจอลูกค้าทำหน้าหงิกหรือสยองๆ นั่นอาจจะเพราะวัยเด็กเขาโดนหนมจีบแบบนี้มาก็ได้นะครับ อิอิ วิชาพละซึ่งสมัยผมเรียนจะแบ่งเป็นกีฬาสามประเภท คือบาส ฟุตบอล วอลเล่ย์บอล เมื่อได้ถามเพื่อนที่เรียนวอลเล่ ว่าเขาลงโทษกันยังไง ก็ได้คำตอบมาว่า
"ใช้มือฟาดว่ะ"
นี่ถ้าฟุตบอลที่ผมเลือกเรียน เขาลงโทษตามแนวทางนี้ คงกลายเป็นบอลไทยไปมวยโลกอย่างที่เค้าพูดๆกันแหง
เมื่อเกริ่นเรื่องอาวุธกำราบดากกันไปพอสมควรแล้ว เรามาว่าถึงวิธีการตีกันมั่งดีกว่าครับ ปกติการตีทั่วๆไปนี่ก็คือ ให้เด็กกอดอก แล้วก็เอาไม้ตีไปที่ก้นอันเป็นเบสิคพื้นๆที่ครูทั่วๆไปใช้กัน
แต่ก็อย่างว่าแหละครับเด็กอย่างเราเมื่อโดนตีก็ต้องกลัวเจ็บเป็นธรรมดา เมื่อมีไม้หวดมาจากด้านหลังฟาดเข้าให้ที่ก้น อาการที่ตามมาก็คือการ "แอ่น"นั่นเอง บางคนแอ่นมากบางคนแอ่นน้อย บางคนแอ่นสุดปลายเท้าชนิดนักบัลเล่ต์ยังค้อน
สำหรับครูทั่วๆไปที่เข้าใจธรรมชาติของเด็กที่โดนฟาดแล้วแอ่น ก็จะจบการตีลงแค่นั้นถือว่าสิ้นสุดการลงโทษตามธรรมเนียม จบแล้วก็จบกันไป แต่สำหรับครูบางท่าน อาจจะไม่ยินยอมพร้อมใจไม่สาแก่ใจ ที่เด็กๆแอ่นหลบไม้กันจ้าละหวั่น ก็เลยมีรูปแบบของการตีแบบใหม่ๆเพิ่มขึ้น ก่อนจะตีเขาต้องมีเทสเสียงกันก่อนครับ เคยมั๊ยครับ เลิกเรียนกลับบ้านไปเล่นนู่นนั่นนี่อาบน้ำนอน ตื่นมา เฮ้ย ลืมทำการบ้าน งานนี้ลอกเพื่อนไม่ทันแน่นอน สิ่งที่ต้องทำก็คือ ยอมรับความเจ็บปวด
แต่อย่างว่าใครจะยอมเจ็บง่ายๆ ก็เลยมีการเพิ่มพื้นที่ทับซ้อนบริเวณก้นกันซะหน่อย อาจจะใส่กางเกงวอมหรือกางเกงในเพิ่มชั้นเข้าไปลดความเจ็บปวด
แต่...คิดเหรอครับว่าเซียนท่านจะไม่รู้ ฉะนั้นก่อนตีเขาจะมีเทสเสียงโดยการเอาไม้เคาะก้นฟังเสียงครับ วิธีนี้อาจจะประยุกต์มาจากการฟังเสียงทุเรียนสุก ถ้าเคาะๆแล้วเสียงแน่นๆแบบเนื้อๆ ก็แสดงว่ามาเพียวๆพร้อมรับความเจ็บปวดแต่โดยดี แต่ถ้าเคาะแล้วฟังเสียงโพร่งๆแปล่งๆแบบทุเรียนสุกแล้วล่ะก็ คุณจะได้รับการเพิ่มพลังอีกเป็นสองสามเท่าของปกติ เพราะความเจ้าเล่ห์ของเราเอง เอาละครับมาดูวิธีตีกันดีกว่า 1.ตีตัด การตีตัดเป็นการป้องกันการแอ่นซึ่งผมไม่รู้ที่มาว่ามาจากไหนอย่างไร ใครเป็นผู้คิดค้น แต่คนที่เอามาใช้คนแรกก็คือโปรกอล์ฟประจำโรงเรียนนั่นเอง ลักษณะการตีก็คือ ให้เด็กกอดอก แล้วโค้งเหมือนคนญี่ปุ่นคำนับกันแล้วกดพอสเอาไว้ ผลก็คือก้นของท่านจะโก่งขึ้นมาเล็กน้อย เมื่อถึงเวลาครูท่านก็เอาไม้หวดลงมาเหมือนผ่าฟืน หวดมาตรงๆ ท่านี้จะทำให้ก้นของท่านกับไม้ของครูปะทะสัมผัสกันจังๆดุษกลอนของกวีเอก ซึ่งก็แก้ปัญหาการแอ่นได้ดีระดับหนึ่ง แต่เมื่อเด็กเกิดอาการกลัวถึงขีดสุด ก็เหมือนเราไปกดพอสอีกครั้งให้ก้นมันแอ่นดังเดิมจึงมีท่าใหม่เกิดขึ้นอีก นั่นก็คือ.. 2.ตีตัดหน้า ท่านี้ถ้าเป็นหนังจีนก็เปรียบได้กับวิชาของท่านกระบี่หมากล้อม ที่ล่วงรู้การดำเนินการต่อสู้ของเราว่าจะเคลื่อนไหวไปในทางไหน คือเมื่อหวดไม้ลงมาแล้วเกิดอาการ'แอ่น' ท่านก็จะวกไม้กลับมาตัดด้านหน้าแทน ซึ่งถ้าบรรดาขาแอ่น 'เบรค บ่ อยู่'จากเจ็บจ้นก็จะเป็นเจ็บจู๋แทน ผมได้เห็นกระบวนท่านี้จากโปรกอล์ฟท่านเดิมฟาดเพื่อนผมเอง ผลก็คือผมเกิดอาการหำหดโดยไม่ต้องไปยืนบนหน้าผาให้เสียเวลา ถ้าเทียบกับมุขตลก ก็เหมือนกับเขาถามว่า 'เฮ้ยมึงว่ากูจาเดินหน้าหรือถอยหลังว๊าาา' นั่นแหละครับ 3.ท่าจิ้งจกเกาะข้างฝา จริงๆจะเรียกเหี้ยตะกายตึก แต่มันหยาบไปครับ ก็คือให้เราหันหน้าเข้ากำแพงนาบตัวเกาะฝนังแบบแนบชิด แล้วก็ฟาดดด ซึ่งแน่นอนว่าท่านี้หมดโอกาสแอ่น ท่านี้เวลาโดนอาจจะทำให้ระลึกชาติหรืออดีตที่เคยสร้างกรรมมา อาจจะเคยเอายางดีดจิ้งจกไปให้ไก่กิน หรือจับตุ๊กแกไปย่าง อะไรก็แล้วแต่ ท่านี้คุณได้ฝาบ้านเป็นเมียแน่นอน อิอิ 4.ตีหลบระเบิด ท่านี้เป็นท่ากันแอ่นอีกท่านึงคือให้นอนคว่ำกับพื้นเลย แต่ไม่ค่อยเป็นที่นิยม เพราะจะทำให้เสื้อเด็กเปื้อน ตอนหลังจึงเปลี่ยนเป็นนอนคว่ำกับโต๊ะแทน ดีนะทีเป็นยุคก่อนถ้าเป็นสมัยนี้ฟันธงว่ามาจากหนัง AVแน่นอน 5.ตีด่วน อันนี้เกิดขึ้นในวิชากระบี่ครับ เวลาเรารำผิดครูท่านจะเหมาว่าผิดหมดชั้น ก็เลยต้องทำโทษกันทุกคน แต่จะให้ตีคนละเพี๊ยะแบบปกติก็จะกินเวลานานโข จึงเกิดวิธีนี้ขึ้น นั่นก็คือครูท่านจะใช้กระบี่ที่เราเรียนนี่แหละ หวดมาเรื่อยๆเหมือนนักกอล์ฟซ้อมวงสวิง แต่จะไม่มีการหยุดนะครับจะหวดมาเรื่อยๆประมาณยิง auto เด็กๆมีหน้าที่คือฝ่าเข้ามาเพื่อโดนไม้เรียวหวดก้น วิธีนี้ใครที่มีแววชอบความเสี่ยงอาจจะรู้สึกสนุกครับ เพราะ %รอด มี 50-50 (ผมรอดบ่อย) 6.ตีแฝด ท่านี้เกิดจากเพื่อนผมคู่หนึ่งซึ่งทำผิดพร้อมกันคือคุยกันในเวลาเรียน ผิดทั้งคู่ก็โดนมันพร้อมๆกันเลย โดยให้ยืนเป็นคู่แล้วครูฟาดทีเดียวพร้อมกันเลย แต่ด้วยความเที่ยงธรรมทำให้ครูท่านรู้ได้ว่าคนที่อยู่ด้านในจะเจ็บน้อยกว่า คนด้านนอก ก็เลยมีการสลับตำแหน่งกันด้วย เป็นสองคนสองที 7.4x4 ท่านี้คล้ายๆตีแฝด แต่เพิ่มจำนวนเป็น 4คน 4ที ครูที่ตีท่านี้ได้ต้องมีอาวุธที่ยาวดุษดาบฟันขาม้า แต่ไม่ต้องกังวลครับ คลังอาวุธโรงเรียนเรามีพร้อม 8.ตีอัดตุ๊ด แล้วสุดยอดแห่งการครีเอทก็มาถึงครับ ท่านี้เกิดการไอเดียและจินตนาการของครูสอนวิชาศิลปะ ธรรมดาแล้วโรงเรียนชายล้วนส่วนใหญ่มักจะมีตุ๊ดประจำการอยู่อย่างน้อยห้องละ1คน จึงทำให้เกิดท่านี้ขึ้น เมื่อมีการทำโทษ ครูท่านจะให้ตุ๊ดตู่ออกมาโก้งโค้งที่ขอบโต๊ะ ส่วนผู้โดนลงโทษก็ให้ยืนแนบชิดกับก้นของน้องตุ๊ดตู่ในลักษณะเหมือนยืนเบียด กันบนรถเมล์แน่นๆ ถ้าหวดไม้ลงแล้วแอ่น โจ๊ยท่านก็จะสัมผัสกับดากตุ๊ดแบบจังๆ ท่านี้ใครที่มีแววเป็นเสือ อาจจะค้นพบตัวเองจากการตีวิธีนี้ได้
9.ตีจ๊ะเอ๋ ชื่อน่ารักแต่วิธีการมันสยองครับ ท่านี้เกิดจากวิชาเลข ครูท่านจะเรียกเด็กๆไปทำโจทย์เลขหน้าห้อง ระหว่างที่เราทำท่านก็จะเดินวนไปมาที่ด้านหลังเรา บางทีขณะคิดคำนวนกันเพลินๆ หรือเหม่อๆเพราะคิดไม่ออก ท่านก็หวดขวั่บบบบ คุณพระ งานนี้ x กระจาย y กระเจิง พายอาร์ยกกำลังเจ็ดเห็ดยกกำลังสี่ มันทั้งสับสน งง เจ็บ คละเคล้ากันอย่างบอกไม่ถูก ผมบอกได้เลยว่า งานนี้เพื่อนผมบางคนที่เก่งเลข แต่สติไม่มั่นคงก็มีโดนได้เหมือนกัน เพราะมันระแวงหลัง สมาธิแทนที่จะอยู่บนกระดาน กลับลงไปอยู่ที่ก้นแทน สมองที่ต้องคิดคำนวนผลเลขบนกระดาน ก็ต้องมานึกระแวงเสียวแว๊บประมวลผลเป็นมัลติทาร์กกิ้งบนซีพียูรุ่นโบราณ ผลก็คือทำอะไรไม่ได้ซักอย่าง ก็เลย...โดนซ๊า
ตัวผมเองหลังจากผ่านด่านเก้าท่าพาสยองมาได้ ก็นึกย้อนกลับไปทุกครั้งเวลาที่เห็นเด็กนักเรียนถูกตี ในสมัยนี้ผมว่าครูที่สอนน่าจะยุ่งอยู่กับการหาข้อมูลมาสอนเด็กมากกว่าการหา วิธีตีเด็กแบบสมัยก่อน นึกแล้วก็อิจฉาเด็กสมัยนี้เสียจริงหนอ.
คำยืนยันของเจ้าของเรื่องสั้น
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
10 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
10 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9.8 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ