ซะขนาดนี้หรือจะลืมลง

9.9

เขียนโดย มังกุมภ์

วันที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557 เวลา 15.05 น.

  48 ตอน
  40 วิจารณ์
  53.72K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 10 เมษายน พ.ศ. 2558 16.39 น. โดย เจ้าของเรื่องสั้น

แชร์เรื่องสั้น Share Share Share

 

38) รามซิงค์โนแด๊นซ์

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

          เมื่อตอนก่อนหน้า ผมได้เล่าถึงเพื่อนชาวภารตะคนหนึ่ง ซึ่งไม่ว่าจะทำอะไรยังไง คอของมันจะโยกเลื้อยไปมาอยู่เกือบตลอด ก็เลยทำให้เกิดความสงสัยมาตั้งแต่เยาว์วัยว่า ชาวภารตะเนี่ย เค้าชอบเต้นกันมากหรือไร

          และความสงสัยนี้ ก็ทวีเพิ่มมากขึ้นเมื่อ วันหนึ่งผมได้ดูหนังอินเดียที่ร้านอาหารร้านหนึ่งเปิดทิ้งไว้ให้ลูกค้าดู ซึ่งบอกตรงๆว่าในตอนนั้นผมดูไม่รู้เรื่องหรอก เพราะดูไปกินข้าวไป แต่มีข้อที่สงสัยก็คือ หนังเรื่องนี้ทำไมเค้าเต้นกันเยอะจัง จะว่าเป็นหนังที่เกี่ยวกับการเต้นก็ไม่ใช่ เพราะในเรื่องมีทั้งตลก เศร้า ร้องไห้ฟูมฟาย แต่บทพวกนี้เล่นไม่นาน แม่งก็กลับมาเต้นกันอีกและ

          วันเวลาผ่านไป หลังจากที่ไปกินข้าวแล้วดูหนังอินเดียบ่อยๆ ทำให้รู้ว่า เค้าไม่ได้เต้นกันเฉพาะเรื่องนั้นครับ คือง่ายๆว่าหนังอินเดียทุกเรื่อง มันเต้นกันหมด เบสิคพื้นๆเลยคือ พระนางจีบกัน ก็สร้างตำนานวิ่งข้ามเขากันเป็นลูกๆ เกาะต้นไม้นู่นทีต้นนี่ที ร้องเพลงไปด้วยโดยไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย

          ด้วยเหตุที่เกริ่นๆมานี่แหละ ทำให้ผมเริ่มอยากรู้ว่า

          ‘มีหนังอินเดียเรื่องไหน ที่ไม่มีเต้นมั่งหรือป่าว?’

          และแล้วโปรเจค “รามซิงค์ โน แด๊นซ์” ของผมก็ได้เริ่มขึ้น ณ ตอนนั้นเอง เป้าหมายของโปรเจ็คนี้ ก็ไม่มีอะไรมากหรอกครับ ก็แค่ หาหนังอินเดียที่ไม่มีการเต้นแค่นั้นเอง นับตั้งแต่นั้นมา ทุกครั้งที่ผมเจอหนังอินเดีย ถ้าไม่ติดธุระอะไรผมก็จะรอดูว่ามีการเต้นหรือป่าว ถ้ามีเต้น ก็ผ่าน ไม่ต้องดูจนจบ

          วันและเวลาผ่านมาเนิ่นนาน ผมก็ยังไม่เจอหนังที่ว่าซักที จนกระทั่งวันหนึ่งผมก็เห็นความหวังรำไร เพราะเพิ่งมารู้ว่า หนึ่งในเพื่อนของผมที่เรียนด้วยกันนี่ ชอบดูหนังอินเดียเป็นชีวิตจิตใจ ชนิดที่ว่าวันหยุดมันต้องไปเดินพาหุรัดเพื่อหาหนังแผ่นมาดูกันเลยทีเดียว เรียกได้ว่า ทั้งหนังออนไลน์และออฟไลน์ที่เพื่อนสาวคนนี้ของผมได้ดู เยอะมากมายเลยทีเดียว พอผมได้รู้ว่ามันชอบดูหนังอินตะระเดีย ผมก็พุ่งไปหามันทันที พอนั่งตรงข้ามผมก็ถามเกริ่นว่า

          “เฮ้ย มึงชอบดูหนังอินเดียเหรอ?”

          “ใช่ ทำไมเหรอ?” เสียงเพื่อนสาวตอบมาพร้อมกับถามกลับ แต่คอไม่โยกเหมือนไอ้เช่ขายิ๊ก

          “ดีมาก กูมีอะไรจะถาม” ผมพูดพร้อมกับถูมือไปมา เพราะอยากปิดโปรเจคนี้เต็มทีแล้ว

          “ตั้งแต่มึงดูหนังอินเดียมา มีเรื่องไหนมั่งที่มันไม่เต้น” ผมถามเพื่อนสาวร่วมกลุ่ม

          “ไม่มี” เพื่อนสาวตอบมาแบบไม่ต้องคิด

          เมื่อรู้คำตอบผมถึงกับหมดแรง เพราะรู้ในทันทีว่า โปรเจคนี้ยังไม่ได้ปิดอีกเช่นเคย

          “ช่างมันวะ ขี้เกียจหาแล้ว” ผมคิดในใจพร้อมกับปล่อยวางโปรเจคนี้ไป

          วันเวลาก็ผ่านไปเรื่อยๆจนผมลืมเรื่องนี้ไปแล้ว ระหว่างที่ผมนั่งท่องโลกผ่านสายไฟอยู่ ผมก็ได้เจอกับหนังอินเดียเรื่องหนึ่ง ซึ่งก็เป็นหนังเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ของพระราชาพระองค์หนึ่งของประเทศอินเดียซึ่งเรื่องราวของพระองค์ยิ่งใหญ่มาก พอดูรายละเอียด ก็พบว่าเป็นหนังเก่าตั้งแต่ปี 2001 นู้น

            ผมนั่งยิ้มในใจ คิดว่าหนังประวัติศาตร์แบบนี้ คงไม่มีการแด้นซ์แน่นอน เพราะหนังดูจริงจังมากมาย จนในที่สุด ผมก็ได้หนังเรื่องนี้มาดู ผมนอนดูพร้อมกับพี่ชาย หลับๆตื่นๆเพราะเพิ่งอิ่ม หนังก็ดำเนินไปเรื่อยๆ ผมก็ลุ้นว่า เรื่องนี้แหละที่จะปิดโปรเจคอันเนิ่นนานของเรา ยิ่งดูก็ยิ่งลุ้นว่าจะมีเต้นหรือป่าว ลุ้นซะยิ่งกว่าเรื่องราวในหนังเสียอีก ผ่านไปร่วมครึ่งเรื่องแล้ว ก็ยังไม่มีวี่แวว ทำให้ผมรู้สึกมั่นใจมากขึ้นว่า เรื่องนี้แหละวะ ที่จะแหกกฏของหนังภารตะทั้งมวล

            ระหว่างที่ดูๆหลับๆตื่นๆอยู่ ช่วงเหตุการณ์ในหนังก็เหมือนว่าเป็นฉากที่ พระ – นาง หรือ ศัตรูคู่แค้น มาป๊ะกันในสถานที่แห่งหนึ่งหรือไงเนี่ยแหละ บอกตรงๆผมไม่รู้เรื่องราวแล้วเพราะหลับเยอะกว่า ในขณะนั้นเอง คู่ชายหญิงก็มองหน้ากัน บัดนั้นเอง เสียงเพลงจังหวะภารตะแด๊นซ์วินเทจก็ดังขึ้นมา พระ นาง สลับเท้าเต้นไขว้บิดเอวไปมา ดูราวกับไมเคิ้ลแจ็คสันฟิวชั่นกับเอ็ม.ซี แฮมเมอร์ เรียกได้ว่าเต้นกันไฟลุก แค่นั้นเอง ผมก็หลับไปในทันโดยไม่ดูต่อ เพราะได้ความกระจ่างแล้วว่า มันมีเต้น

            ผมทิ้งช่วงไปนานกับโปรเจคนี้เพราะคิดว่าคงไม่มีแล้วล่ะหนังที่ว่าเนี่ย แต่ในที่สุดผมก็ได้เจอหนังเรื่องหนึ่ง ซึ่งเท่าที่อ่านๆข้อมูลเป็นหนังที่ทำรายได้ระดับหนึ่งเลยทีเดียว เนื้อเรื่องเป็นหนังที่เกี่ยวกับเด็กหนุ่มคนหนึ่ง ไปเล่นรายการแนวๆเกมตอบคำถาม ซึ่งถ้าตอบถูกหมด เขาจะได้เงินเป็นล้าน

            เนื้อเรื่องก็ดำเนินไปเรื่อยๆ ซึ่งคำถามที่ถามมานั้น ถึงจะยาก แต่พระเอกหนุ่มก็ตอบได้ถูก เพราะมีเรื่องราวในอดีตที่เกี่ยวข้องกับคำตอบของคำถามนั้น ดูไปก็ลุ้น จนฉากสุดท้าย ก็ยังไม่มีวี่แววของการแด๊น ในที่สุด โปรเจคที่ดำเนินมานานแสนนานก็ได้สิ้นสุดลง ผมรู้สึกโล่งใจ ที่ต่อไปนี้ไม่ต้องมานั่งหาหนังภารตะมานั่งดูอีกแล้ว ไชโย๊!!

          แต่ระหว่างที่ผมกำลังจะลุกไปปิดtv ซึ่งในหนังก็เป็นช่วง end credit แล้ว ผมก็ต้องชะงัก เพราะที่เห็นอยู่หน้าจอคือ พระเอกของเรื่องกำลังแด๊นซ์อยู่กับนักแสดงคนอื่นอย่างเมามันส์เหมือนประมาณว่าในเรื่องกูเต้นไม่ได้ ขอเต้นแม่มตรง end credit นี่ละวะ

          ผมปิด tv แล้วก็ยิ้ม ถึงแม้ว่าจะมีเต้น แต่ก็ไม่เกี่ยวกับเนื้อเรื่องแล้ว ถือว่าโปรเจคนี้จบอยู่ดี ถึงจะจบแบบตะหงิดๆ แต่ผมก็ไม่สนใจแล้ว เค้าอยากเต้นก็เรื่องของเค้า

            ถ้าหากมีคนมาไหว้วานให้ผมตั้งชื่อหนังภารตะเป็นภาษาไทยซักเรื่อง จากภาพรวมของทุกเรื่องที่ดูมาแล้ว ผมจะตั้งชื่อประมาณว่า “ถึงโลกจะแตก แขกก็จะเต้น”

 

คำยืนยันของเจ้าของเรื่องสั้น

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
10 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
10 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9.8 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา