ซะขนาดนี้หรือจะลืมลง
9.9
เขียนโดย มังกุมภ์
วันที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557 เวลา 15.05 น.
48 ตอน
40 วิจารณ์
52.67K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 10 เมษายน พ.ศ. 2558 16.39 น. โดย เจ้าของเรื่องสั้น
17) โจรจู๊ด จู๊ดดดดด
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ ช่วงเหตุการณ์ มหา'ลัยปี2-3 นี่แหละจำมิค่อยได้
มันเป็นช่วงปิดเทอมที่ผมกลับมานอนแผ่อยู่บ้าน หลังจากวุ่นวายอยู่กับการเรียนการทำรายงานการเขียนโปรแกรมส่งอาจารย์การกินเหล้ากับเพื่่อน ซึ่งอย่างหลังนี่ทำให้สามอย่างแรกวุ่นวายมากกว่าเดิม เมื่อกลับมาถึงบ้านกิจวัตรประจำวันผมนอกจากนอนคุยกับยายอันเป็นที่รักแล้ว ก็คือการปั่น bmx ไปตามบ้านเพื่อน
ตอนเรียน ผมอยู่ กทม. ถึงแม้อากาศเมืองกรุงจะร้อนอบอ้าว แต่เวลาส่วนใหญ่ถ้าไม่อยู่ในห้องเรียนก็ห้องพัก กิจกรรมกลางแจ้งก็ไม่ค่อยได้ทำ ทำให้ผิวของผมขาวขึ้นเป็นลำดับ แต่พอกลับบ้านที่ระยอง อากาศร้อนแดดแรงตามสไตล์จังหวัดชายทะเล และกิจกรรมที่ผมโปรดก็คือปั่น bmx ไปตามถนน ไปบ้านเพื่อน ไปซื้อของเล็กๆน้อยๆ หาของกิน เหตุนี้เอง ผิวที่ขาวเล็กน้อย ก็เริ่มจะคล้ำ และกลายเป็นดำทะมึนภายในเวลาเพียงไม่กี่วัน
เรียกได้ว่า เปิดเทอมกลับไปเรียนทีนึงเพื่อนๆจำผมแทบไม่ได้ เพราะมันดำสนิทนิลเนียนจริงๆ ช่วงที่เรียนมีช่วงนึงที่ผมไว้ผมยาว ซึ่งผมมันค่อนข้างจะหนา หยักศก และไม่ค่อยเป็นทรง เมื่อรวมกับผิวดำคล้ำเพราะแดดเผา ทำให้ผมกลายร่างเป็นชายหนุ่มที่ลักษณะไม่น่าไว้วางใจคนหนึ่ง
เย็นวันหนึ่งขณะที่นั่งเล่นอยู่หน้าบ้าน แม่ผมก็บอกว่า เลยบ้านไปประมาณ 500 เมตร มีตลาดนัดเปิดใหม่ มีของกินมากมาย ถ้าเบื่อข้าวบ้านก็ลองไปเดินหาอะไรกิน ซึ่งตอนนั้นผมก็เริ่มหิวๆแล้ว จึงลุกเดินไปตลาดนัดที่แม่บอก ซึ่งแม่ก็ท้วงถามว่า ทำไมไม่ขับรถ หรือ ขี่จักรยานไป
"ขี้เกียจหาที่จอด เดินไปดีกว่าแค่นี้เอง อากาศก็ไม่ร้อน เดินกินลมเล่นๆ"
ผมตอบพร้อมกับเดินออกไปทันที เมื่อถึงตลาด รถเข็นร้านของกินมากมายก็เรียงรายอยู่ตรงหน้าจนไม่รู้ว่าจะกินอะไรดี เพราะมันน่ากินแทบจะทุกร้าน จนในที่สุดผมก็เลือกกินสุกี้ยากี้ร้านหนึ่ง ซึ่งที่อร่อยก็คือน้ำจิ้มที่เป็นสูตรโบราณที่เขาใส่เต้าหู้ยี้นั่นเอง
ด้วยความหิวและความตะกละ และกินเก่งทำให้ผมเบิ้ลสุกี้ไปสองชาม โดยไม่รู้ตัวว่ามันจะกลายเป็นเหตุของเรื่องที่จะมาเล่านี่แหละ
ไม่รู้ว่าแพ้ทางกันมาแต่ชาติปางก่อนหรืออย่างไร ทำให้ผมกับเต้าหู้ยี้มีปัญหากันตลอด เมื่อวัยเด็ก ปู่ให้ผมกินข้าวต้มกับเต้าหู้ยี้ ผลที่ตามมาก็คือผมท้องเสียไปสามวัน เรียกว่าปล่อยกันจนหมดที่มีแทบจะต้องนอน โรงพยาบาล พอโตขึ้นผมกินน้ำจิ้มสุกี้นี่แหละ ผลก็คือพรวดพราดเช่นเคย
ถึงแม้ว่าจะกินแล้วมีปัญหาแต่มันก็อดไม่ได้ เพราะมันอร่อยสำหรับผม หลังจากกินอิ่มแล้วผมก็จ่ายตังแล้วลุกไปทางด้านหลังตลาดซึ่งเป็นโซนขายของมือสอง แบกะดิน กะว่าจะเดินเล่นย่อยอาหารไปพลาง
แต่ยังไม่ทันจะเดิน ผมก็ต้องขนลุกเกรียว เมืื่อเริ่มรับรู้ว่าภัยพิบัติกำลังเกิดกับผม เต้าหู้ยี้ในน้ำจิ้มออกฤทธิ์ซะแล้ว เร็วกว่าที่คิด
จากเดิมที่จะเดินไปทางทิศใต้ ก็กลายเป็นทิศตะวันออกซึ่งคือทิศทางกลับบ้านผมนั่นเอง ตอนแรกจะหาห้องน้ำในตลาดเพื่อจัดการซะให้มันเสร็จๆกันไป แต่ว่าตลาดเพิ่งเปิดใหม่ อะไรก็ยังไม่เข้าที่เข้าทาง แล้วไอ้ที่ยังไม่เข้าที่หนึ่งในนั้นก็คือห้องส้วมนี่แหละก๊า
ผมค่อยๆเดินกลับบ้านแบบประคับประคอง สูดลมหายใจลึกๆ เพราะคิดว่าระยะทางประมาณแค่ 500 เมตร ไม่ไกลเท่าไหร่แป๊บเดียวก็ถึง แต่แล้วเมื่อเดินมาได้แค่ประมาณ 100เมตรแรก ข้าศึกอันมีนามว่าสุกี้ก็เริ่มจะพังประตูเมือง แต่มันไม่ได้พังเข้านะครับ มันจะพังออก
ถึงแม้จะเป็นช่วงโพล้เพล้เริ่มๆจะค่ำ อากาศก็เย็นสบาย แต่ผมกับเหงื่อแตกเหมือนไปนั่งอบซาวน่า ขนลุกเกรียวเหมือนกับเจอผีซึ่งๆหน้า ทั้งๆที่ผมก็ไม่ได้ประสบเหตุทั้งสองอย่าง
จากที่ค่อยๆเดินกลายเป็นเดินเร็ว กลายเป็นเริ่มวิ่งเหยาะๆ และก็เริ่มความเร็วเป็นวิ่งเต็มสปีด เท่าที่จะวิ่งได้ มันไม่สามารถจะวิ่งสุดแรงได้ เพราะต้องเก็บแรงไว้ขมิบก้นกันผู้ประท้วงพังรั้วออกมา
ข้างหน้าผมประมาณ20เมตร เป็นอาเจ๊คนหนึ่งเดินถือกระเป๋าใบโต พร้อมกับหันหน้ามาทางผม ซึ่งตอนนั้นผมไม่รู้ว่าใบหน้าของผมมันน่ากลัวเพียงไร เพราะว่าอาการเจ็บปวดอย่างแสนสาหัส เหงื่อเต็มหน้าดำเกรียมๆ ผมฟูๆหยิกๆหยอยๆ
ช่วงที่เจ๊คนนั้นหันมาผมกำลังสับเต็มแรงเพราะทนแทบจะไม่ไหวแล้ว พอเจ๊เห็นผมก็สะดุ้งสุดตัวพร้อมกับร้องกรี๊ดแล้ววิ่งหนีผมทันที ถ้ามีคนอยู่ตรงนั้นก็จะเห็นภาพเป็นว่าผมกำลังวิ่งไล่เจ๊แกอยู่นั่นเอง เจ๊แกวิ่งไปก็ร้องไปพร้อมกับอุ้มกระเป๋าไว้ในอ้อมอกดุจอุ้มทารก
มันเป็นช่วงที่เปลี่ยวพอดีถึงแม้ว่าจะมีคนเดินไปมาบ้าง แต่ช่วงนั้นเหตุการณ์มันก็ดูจะเป็นใจจริงๆ เพราะไม่มีคนเลย นอกจากผมกับเจ๊ เจ๊เองก็วิ่งพร้อมกับหันมาเป็นระยะๆพร้อมกับแหกปากร้องไปด้วย
"เฮ้ย!! เจ๊ จะร้องทำไมผมไม่ได้ทำอะไรเจ๊"
ผมร้องตะโกนออกไปพร้อมกับวิ่งและปวดขี้ไปด้วย
"ว๊ายยย !! ช่วยด้วยโจรจะกระชากกระเป๋าช๊านนน กรี๊ดด!!~"
อีเจ๊ก็วิ่งไปร้องไปไม่ยอมหยุด
อีกประมาณ200 เมตรก็จะถึงบ้านผมแล้ว แต่ถ้าอีเจ๊ไม่หยุดแหกปาก แล้วมีตำรวจหรือคนอื่นมาเจอพอดี ผมอาจจะกลายเป็นไอ้ขี้คุก หรือขี้ในคุก จะอะไรก็แล้วแต่ มันก็ต้องมีขี้กับคุกนี่แหละ ในที่สุดผมก็คิดวิธีออก
ผมใช้กำลังเฮือกสุดท้ายที่หลงเหลืออยู่สับขาเร็วขึ้นไปอีกดุจนักวิ่งระยะสั้นที่เอาเร็วอย่างเดียวจนผมตีกระหนาบข้างเจ๊ได้ แล้วก็แซงเจ๊ไปพร้อมกับหันมาบอกเจ๊ว่า
"พ้มปวดขี้ครับ"
ผมหันมาบอกเจ๊ด้วยสำเนียงที่เปี๊ยนไป๋เพราะเหนื่อยและปวด
"อ้าวว เหรอ!"
เสียงอิเจ๊ร้องออกมาพร้อมกับชะลอความเร็วลงปล่อยให้ผมเร่งสปีดต่อไปอย่างไม่หยุดยั้ง จนกระทั่งถึงหน้าบ้านผมเทโค้งเข้าบ้านชนิดไม่มีเบรคจนแม่ที่นั่งอยู่ตกใจนึกว่าไปมีเรื่องกับใครมา แต่ก็ถึงบางอ้อเมื่อเห็นลูกชายสุดที่รักวิ่งเข้าห้องน้ำไปนั่นแหละ
เย็นวันต่อมา ผมขับรถไปหาของกินที่ตลาดนัด แม่ก็ถามว่าทำไมไม่เดินหรือขี่จักรยานไปล่ะ เมื่อวานก็เห็นเดินไปนิ ผมตอบกลับไปให้แม่ งงเล่นๆว่า
"กลัวเป็นโจร"
--จบ--
มันเป็นช่วงปิดเทอมที่ผมกลับมานอนแผ่อยู่บ้าน หลังจากวุ่นวายอยู่กับการเรียนการทำรายงานการเขียนโปรแกรมส่งอาจารย์การกินเหล้ากับเพื่่อน ซึ่งอย่างหลังนี่ทำให้สามอย่างแรกวุ่นวายมากกว่าเดิม เมื่อกลับมาถึงบ้านกิจวัตรประจำวันผมนอกจากนอนคุยกับยายอันเป็นที่รักแล้ว ก็คือการปั่น bmx ไปตามบ้านเพื่อน
ตอนเรียน ผมอยู่ กทม. ถึงแม้อากาศเมืองกรุงจะร้อนอบอ้าว แต่เวลาส่วนใหญ่ถ้าไม่อยู่ในห้องเรียนก็ห้องพัก กิจกรรมกลางแจ้งก็ไม่ค่อยได้ทำ ทำให้ผิวของผมขาวขึ้นเป็นลำดับ แต่พอกลับบ้านที่ระยอง อากาศร้อนแดดแรงตามสไตล์จังหวัดชายทะเล และกิจกรรมที่ผมโปรดก็คือปั่น bmx ไปตามถนน ไปบ้านเพื่อน ไปซื้อของเล็กๆน้อยๆ หาของกิน เหตุนี้เอง ผิวที่ขาวเล็กน้อย ก็เริ่มจะคล้ำ และกลายเป็นดำทะมึนภายในเวลาเพียงไม่กี่วัน
เรียกได้ว่า เปิดเทอมกลับไปเรียนทีนึงเพื่อนๆจำผมแทบไม่ได้ เพราะมันดำสนิทนิลเนียนจริงๆ ช่วงที่เรียนมีช่วงนึงที่ผมไว้ผมยาว ซึ่งผมมันค่อนข้างจะหนา หยักศก และไม่ค่อยเป็นทรง เมื่อรวมกับผิวดำคล้ำเพราะแดดเผา ทำให้ผมกลายร่างเป็นชายหนุ่มที่ลักษณะไม่น่าไว้วางใจคนหนึ่ง
เย็นวันหนึ่งขณะที่นั่งเล่นอยู่หน้าบ้าน แม่ผมก็บอกว่า เลยบ้านไปประมาณ 500 เมตร มีตลาดนัดเปิดใหม่ มีของกินมากมาย ถ้าเบื่อข้าวบ้านก็ลองไปเดินหาอะไรกิน ซึ่งตอนนั้นผมก็เริ่มหิวๆแล้ว จึงลุกเดินไปตลาดนัดที่แม่บอก ซึ่งแม่ก็ท้วงถามว่า ทำไมไม่ขับรถ หรือ ขี่จักรยานไป
"ขี้เกียจหาที่จอด เดินไปดีกว่าแค่นี้เอง อากาศก็ไม่ร้อน เดินกินลมเล่นๆ"
ผมตอบพร้อมกับเดินออกไปทันที เมื่อถึงตลาด รถเข็นร้านของกินมากมายก็เรียงรายอยู่ตรงหน้าจนไม่รู้ว่าจะกินอะไรดี เพราะมันน่ากินแทบจะทุกร้าน จนในที่สุดผมก็เลือกกินสุกี้ยากี้ร้านหนึ่ง ซึ่งที่อร่อยก็คือน้ำจิ้มที่เป็นสูตรโบราณที่เขาใส่เต้าหู้ยี้นั่นเอง
ด้วยความหิวและความตะกละ และกินเก่งทำให้ผมเบิ้ลสุกี้ไปสองชาม โดยไม่รู้ตัวว่ามันจะกลายเป็นเหตุของเรื่องที่จะมาเล่านี่แหละ
ไม่รู้ว่าแพ้ทางกันมาแต่ชาติปางก่อนหรืออย่างไร ทำให้ผมกับเต้าหู้ยี้มีปัญหากันตลอด เมื่อวัยเด็ก ปู่ให้ผมกินข้าวต้มกับเต้าหู้ยี้ ผลที่ตามมาก็คือผมท้องเสียไปสามวัน เรียกว่าปล่อยกันจนหมดที่มีแทบจะต้องนอน โรงพยาบาล พอโตขึ้นผมกินน้ำจิ้มสุกี้นี่แหละ ผลก็คือพรวดพราดเช่นเคย
ถึงแม้ว่าจะกินแล้วมีปัญหาแต่มันก็อดไม่ได้ เพราะมันอร่อยสำหรับผม หลังจากกินอิ่มแล้วผมก็จ่ายตังแล้วลุกไปทางด้านหลังตลาดซึ่งเป็นโซนขายของมือสอง แบกะดิน กะว่าจะเดินเล่นย่อยอาหารไปพลาง
แต่ยังไม่ทันจะเดิน ผมก็ต้องขนลุกเกรียว เมืื่อเริ่มรับรู้ว่าภัยพิบัติกำลังเกิดกับผม เต้าหู้ยี้ในน้ำจิ้มออกฤทธิ์ซะแล้ว เร็วกว่าที่คิด
จากเดิมที่จะเดินไปทางทิศใต้ ก็กลายเป็นทิศตะวันออกซึ่งคือทิศทางกลับบ้านผมนั่นเอง ตอนแรกจะหาห้องน้ำในตลาดเพื่อจัดการซะให้มันเสร็จๆกันไป แต่ว่าตลาดเพิ่งเปิดใหม่ อะไรก็ยังไม่เข้าที่เข้าทาง แล้วไอ้ที่ยังไม่เข้าที่หนึ่งในนั้นก็คือห้องส้วมนี่แหละก๊า
ผมค่อยๆเดินกลับบ้านแบบประคับประคอง สูดลมหายใจลึกๆ เพราะคิดว่าระยะทางประมาณแค่ 500 เมตร ไม่ไกลเท่าไหร่แป๊บเดียวก็ถึง แต่แล้วเมื่อเดินมาได้แค่ประมาณ 100เมตรแรก ข้าศึกอันมีนามว่าสุกี้ก็เริ่มจะพังประตูเมือง แต่มันไม่ได้พังเข้านะครับ มันจะพังออก
ถึงแม้จะเป็นช่วงโพล้เพล้เริ่มๆจะค่ำ อากาศก็เย็นสบาย แต่ผมกับเหงื่อแตกเหมือนไปนั่งอบซาวน่า ขนลุกเกรียวเหมือนกับเจอผีซึ่งๆหน้า ทั้งๆที่ผมก็ไม่ได้ประสบเหตุทั้งสองอย่าง
จากที่ค่อยๆเดินกลายเป็นเดินเร็ว กลายเป็นเริ่มวิ่งเหยาะๆ และก็เริ่มความเร็วเป็นวิ่งเต็มสปีด เท่าที่จะวิ่งได้ มันไม่สามารถจะวิ่งสุดแรงได้ เพราะต้องเก็บแรงไว้ขมิบก้นกันผู้ประท้วงพังรั้วออกมา
ข้างหน้าผมประมาณ20เมตร เป็นอาเจ๊คนหนึ่งเดินถือกระเป๋าใบโต พร้อมกับหันหน้ามาทางผม ซึ่งตอนนั้นผมไม่รู้ว่าใบหน้าของผมมันน่ากลัวเพียงไร เพราะว่าอาการเจ็บปวดอย่างแสนสาหัส เหงื่อเต็มหน้าดำเกรียมๆ ผมฟูๆหยิกๆหยอยๆ
ช่วงที่เจ๊คนนั้นหันมาผมกำลังสับเต็มแรงเพราะทนแทบจะไม่ไหวแล้ว พอเจ๊เห็นผมก็สะดุ้งสุดตัวพร้อมกับร้องกรี๊ดแล้ววิ่งหนีผมทันที ถ้ามีคนอยู่ตรงนั้นก็จะเห็นภาพเป็นว่าผมกำลังวิ่งไล่เจ๊แกอยู่นั่นเอง เจ๊แกวิ่งไปก็ร้องไปพร้อมกับอุ้มกระเป๋าไว้ในอ้อมอกดุจอุ้มทารก
มันเป็นช่วงที่เปลี่ยวพอดีถึงแม้ว่าจะมีคนเดินไปมาบ้าง แต่ช่วงนั้นเหตุการณ์มันก็ดูจะเป็นใจจริงๆ เพราะไม่มีคนเลย นอกจากผมกับเจ๊ เจ๊เองก็วิ่งพร้อมกับหันมาเป็นระยะๆพร้อมกับแหกปากร้องไปด้วย
"เฮ้ย!! เจ๊ จะร้องทำไมผมไม่ได้ทำอะไรเจ๊"
ผมร้องตะโกนออกไปพร้อมกับวิ่งและปวดขี้ไปด้วย
"ว๊ายยย !! ช่วยด้วยโจรจะกระชากกระเป๋าช๊านนน กรี๊ดด!!~"
อีเจ๊ก็วิ่งไปร้องไปไม่ยอมหยุด
อีกประมาณ200 เมตรก็จะถึงบ้านผมแล้ว แต่ถ้าอีเจ๊ไม่หยุดแหกปาก แล้วมีตำรวจหรือคนอื่นมาเจอพอดี ผมอาจจะกลายเป็นไอ้ขี้คุก หรือขี้ในคุก จะอะไรก็แล้วแต่ มันก็ต้องมีขี้กับคุกนี่แหละ ในที่สุดผมก็คิดวิธีออก
ผมใช้กำลังเฮือกสุดท้ายที่หลงเหลืออยู่สับขาเร็วขึ้นไปอีกดุจนักวิ่งระยะสั้นที่เอาเร็วอย่างเดียวจนผมตีกระหนาบข้างเจ๊ได้ แล้วก็แซงเจ๊ไปพร้อมกับหันมาบอกเจ๊ว่า
"พ้มปวดขี้ครับ"
ผมหันมาบอกเจ๊ด้วยสำเนียงที่เปี๊ยนไป๋เพราะเหนื่อยและปวด
"อ้าวว เหรอ!"
เสียงอิเจ๊ร้องออกมาพร้อมกับชะลอความเร็วลงปล่อยให้ผมเร่งสปีดต่อไปอย่างไม่หยุดยั้ง จนกระทั่งถึงหน้าบ้านผมเทโค้งเข้าบ้านชนิดไม่มีเบรคจนแม่ที่นั่งอยู่ตกใจนึกว่าไปมีเรื่องกับใครมา แต่ก็ถึงบางอ้อเมื่อเห็นลูกชายสุดที่รักวิ่งเข้าห้องน้ำไปนั่นแหละ
เย็นวันต่อมา ผมขับรถไปหาของกินที่ตลาดนัด แม่ก็ถามว่าทำไมไม่เดินหรือขี่จักรยานไปล่ะ เมื่อวานก็เห็นเดินไปนิ ผมตอบกลับไปให้แม่ งงเล่นๆว่า
"กลัวเป็นโจร"
--จบ--
คำยืนยันของเจ้าของเรื่องสั้น
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
10 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
10 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9.8 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ