เรื่องที่เจ็ด : นาวาบนผืนทราย
8.8
เขียนโดย larceta
วันที่ 7 กันยายน พ.ศ. 2557 เวลา 09.29 น.
8 ตอน
2 วิจารณ์
11.86K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2557 19.53 น. โดย เจ้าของเรื่องสั้น
2) 2
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ ผมเรียกแทกซี่และใช้เวลาประมาณ 30 นาทีจากคอนโดแห่งนั้นมาถึงที่ทำงาน สายแล้วประมาณหนึ่งชั่วโมงแต่ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร ผมยังมีชั่วโมงลาที่ยังใช้งานได้เต็มอัตรา ที่จริงแล้วผมน่าจะลาพักร้อนไปเลย แต่พอคิดดูแล้ว การมีงานยุ่งๆทำน่าจะดีกว่ากลับไปนั่งฟุ้งซ่านอยู่เฉยๆ ทว่าขณะที่ผมผลักประตูเพื่อเข้าไปในแผนก ใครคนหนึ่งยื่นมือมาตบไหล่ผมพร้อมกับเรียกทัก "เฮ้" ผมหันไปตามเสียงแรกและพบกับคนที่คิดไว้ ชายร่างผอมสูง ใบหน้าเรียวเหมือนเมล็ดข้าว คนที่จะทักทายผมแบบนี้ ทั้งแผนกและทั้งบริษัทมีอยู่แค่คนเดียว 'มาสายขนาดนี้ ดูท่าเมื่อคืนจะหนักเลยล่ะสิเนี่ย' เขาพูดพลางหัวเราะ เห็นจากสภาพผมตอนนั้ที่แม้หน้าตาก็ยังไม่ได้ล้างก็คงรู้ ผมไม่พูดอะไรและพยักหน้าตอบพอเป็นพิธี ผมไม่อยากคุย ไม่ใช่แค่กับเขา เป็นไปได้ วันนี้ผมไม่อยากคุยหรือสุงสิงกับใครทั้งนั้น แต่เพราะคำพูดถัดไปของเขาที่ทำให้คำทักทายนี้ต้องยืดยาวออกไป "แล้วกับแม่สาวผมยาวคนนั้นล่ะเป็นไงบ้าง.... นี่อย่าบอกนะว่าอยู่ด้วยกันทั้งคืนเลย" สาวผมยาว? ผมที่กำลังจะเดินหนีกระชากใบหน้ากลับมามองจนเขาสะดุ้ง แต่ไม่ว่าเขาจะตกใจแค่ไหน มันก็ไม่เท่ากับที่ผมรู้สึกแน่ เกิดอะไรขึ้นเมื่อคืนนี้อย่างนั้นเหรอ? จากสมองที่เบลอและมึนงง ผมย้อนความคิดที่เหมือนวีดีโอเทปเก่าๆที่ใกล้จะเสื่อมสภาพกลับไปเมื่อวาน หลังจากตอบรับคำชวนว่า 'คืนนี้ไปหาอะไรดื่มกันหน่อยไหม' เมื่อช่วงพักกลางวัน ช่วงเย็น ผมทิ้งรถไว้บริษัทและขึ้นไปกับรถของเป๊กเพื่อไปยังร้านเปิดใหม่ที่ไม่ไกลจากที่ทำงาน บาร์กึ่งเลาจน์ที่ดูแล้วเหมาะกับคนทำงานและปลอดจากพวกเด็กวัยรุ่นหนีเที่ยวกลางคืน เด็กพวกนั้นชอบสถานที่ที่คึกคักกว่านี้ ผับแคบๆที่เล่นเพลงเสียงดังๆและมีเหล้าราคาถูกขาย รวมถึงยาเสพติด สถานที่ผมไม่ได้เฉียดกรายเข้าไปตั้งแต่จบมหาวิทยาลัยและทำงานมาได้ 10 ปีแล้ว ปีนี้เป็นปีที่ 10 ในชีวิตการทำงานของผม ทำไมผมถึงพูดถึงปีของชีวิตการทำงานขึ้นมา? ไม่รู้เหมือนกัน อาจเพราะมันเป็นช่วงหัวเลี้ยวหัว มีคนพูดไว้ว่าปีที่ 10 ของการทำงานนั้นถือ "ปีลำบาก" ของชีวิตการทำงาน ด้วยสถานภาพของคุณในตอนนี้ไม่อาจถือว่าเป็นหน้าใหม่ที่จะมีคนคอยช่วยเหลือ แต่ก็ไม่ได้อาวุโสพอจะมีอำนาจสั่งการเด็ดขาดเบ็กเสร็จ เป็นสภาพครึ่งกลางๆที่ไม่ว่าอยู่ตรงส่วนไหนก็ดูจะเป็นส่วนเกินไปหมด เหมือนช้างใหญ่เทอะทะที่เดินเบียดเสียดบนถนนกับผู้คนและรถรา และที่สำคัญ มันจะเป็นช่วงชีวิตที่คุณเหลือเพื่อนน้อยที่สุดด้วย ทั้งการแยกย้ายไปตามสายงาน การเลื่อนขั้นและการมีครอบครัว ทุกคนต่างภาระของตนที่ต้องรับผิดชอบและยุ่งเกินกว่าจะใส่ใจเรื่องที่อยู่เหนือจากนี้ เราพูดคุยกันน้อยลง พบปะสังสรรค์กันน้อยลง พูดถึงกันน้อยลง ลืมเลือนเรื่องราวในสมัยก่อนไปเรื่อยๆจนกระทั่งจำไม่ได้แม้กระทั่งชื่อเล่นหรือฉายาที่เคยเรียกกัน อย่างในการนัดสังสรรค์ของเพื่อนสมัยเรียนมหาวิทยาลัยครั้งล่าสุด ผมรู้สึกว่ามันเหมือนการนัดพบกันของผู้บริหารและเจ้าของกิจการมากกว่าจะเป็นการสังสรรค์ เป็นทางการ อึดอัดและน่าเบื่อหน่าย ด้วยเหตุนี้ ผมจึงเลิกที่จะไปงานสังสรรค์หรืองานเลี้ยงรุ่นอะไรก็ตามที่เป็นกลุ่มใหญ่ๆและห่างเหินกันไปนาน หรือแม้กระทั่งงานเลี้ยงอะไรก็ตามที่จัดขึ้นในแผนกหรือบริษัท หากเลี่ยงได้ผมก็จะเลี่ยง ถ้าจะให้ไปงานอะไรที่น่าอึดอัดแบบนั้น ผมขอออกไปดื่มคนเดียวไม่ก็ดูทีวีอยู่บ้านเสียยังดีกว่า และมันก็ติดตัวจนคนรอบข้างมองผมเป็นพวกสันโดดไปเลย แต่เอาเถอะ ใครอยากว่าอะไรก็ว่าไป ผมเลิกแล้วที่จะเอาคำพูดของคนอื่นมาเบียดเบียนความสุขของตัวเอง ทว่าไม่รู้ทำไม เมื่อวานนี้ ผมถึงตอบรับคำชวนของเขาคนนี้ เราสองคน ผมกับเขา พวกเราทำงานกันอยู่คนละแผนก ซ้ำยังไม่มีอะไรเลยที่พอจะเรียกได้ว่าความสนิทชิดเชื้อ อย่างเดียวที่ผมจำได้คือการสอบวัดความรู้เกี่ยวกับสายงานเมื่ออาทิตย์ก่อน (ที่บริษัทจัดให้สอบปีละครั้ง ซึ่งก็ไม่ได้จริงจังอะไรนอกจากทำให้ครบตามกฎหมาย) เขาซึ่งมาสายเอา 10 นาทีสุดท้ายได้มาขอลอกคำตอบผม (ซึ่งก็เป็นปกติ อย่างที่บอกว่าการสอบนี้ไม่ได้เป็นอะไรที่จริงจังนัก) ถ้าจะเรียกหาสิ่งที่เป็นบุญคุณ ก็คงมีแต่เรื่องนี้เรื่องเดียวเท่านั้นที่ผมพอจะนึกออก เอาเถอะ ยังไงไปกันสองคนก็คงไม่ทำให้ยุ่งยากใจเท่าไร ตอนนั้น ผมอาจจะคิดแบบนี้อยู่ก็ได้จึงตอบรับคำชวนของเขาไป โดยไม่คิดเลยว่ามันจะเป็นการตัดสินใจที่ผิดพลาดอย่างมหันต์ครั้งหนึ่งในชีวิต ผมพาเขามาเลี้ยงอาหารกลางวันเพื่อแลกกับการที่ให้เขาเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนนี้ จากปากคำของเขา ผมได้เรื่องราวที่แม้จะตัดคำฟุ่มเฟือยตามประสาคนพูดมากของเขาออกไปแล้วก็ยังยาวเหยียด ประหนึ่งภาพยนตร์ที่ถ่ายทำทั้งเรื่องโดยมีฉากเพียงฉากเดียว หลังจากที่พวกเราเข้าไปร้านและได้โต๊ะสำหรับหย่อนตัว เราเริ่มต้นด้วยเหล้านอกฉลากซีลกันหนึ่งขวด การได้รสชาตินุ่มลิ้นและละมุนคอ เคล้ากับเพลงป๊อบดึ่งแจ๊สที่ไร้ความกระด้างหูช่วยให้การดื่มเป็นไปอย่างลื่นไหล อีกทั้งบรรยากาศของร้านที่ตกแต่งในสไตล์คลาสสิคเลาจ์ ไฟสลัวพองาม มีเคาร์เตอร์ยาวสำหรับนั่งได้ 10 คน บริกรสวมชุดเครื่องแบบเสื้อกั๊ก และบาร์เทนเดอร์ผู้กำลังผสมคอกเทลอย่างขันแข็งแต่ดูไม่แข็งกร้าว และที่สำคัญ ดนตรีทั้งหมดบรรเลงสดๆมาจากวงสี่ชิ้นฝีมือดี นานมากแล้วที่ผมไม่ได้ดื่มท่ามกลางบรรยากาศที่ผ่อนคลายแบบนี้ หมดขวดแรกที่เป็นการเริ่มต้น เราเริ่มขวดที่สองด้วยของในประเทศ ตแนนั้นเริ่มดึกแล้วจึงมีคนทยอยเข้าร้านมากขึ้นเรื่อยๆ ส่วนใหญ่แล้วเป็นคนวัยทำงานไม่ก็นักศีกษาที่ดูจะสนใจการบรรเลงดนตรีมากกว่าสิ่งอื่นใด ทำให้แม้คนจะเยอะขึ้นก็ยังมีบรรยากาศที่ผ่อนคลายอยู่ แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อคนเยอะขึ้น เสียงดนตรีก็เริ่มถูกแทรกแซงด้วยเสียงพูดคุย เสียงอึงอลของการสนทนาลอยฟุ้งในอากาศ เสียงหัวเราะและใบหน้าที่ยิ้มแย้มจากฤทธิ์ของแอลกอฮอล์ ความสำราญที่เติมเต็มชีวิตในมหานครที่แล้งไร้ให้กลับมาชุ่มชื่นอีกครั้ง ซึ่งพวกเราเองก็เป็นหนึ่งในนั้นเช่นกัน พวกเรา หรือต้องพูดว่าส่วนใหญ่แล้วเป็นคู่หูของผมในวันนี้ เมื่อคนเข้ามาในร้านมากขึ้นก็ไม่ลืมที่จะแสดงความเป็นนักเที่ยวมืออาชีพ ด้วยการชักชวนคนอื่นที่มาให้มาร่วมดื่มกัน โดยเฉพาะเมื่อมีหญิงสาวที่มองแล้วเข้าตา เขาจะเล็งเป้าหมายและหาจังหวะเข้าไปพูดคุย และไม่เคยสักครั้งที่จะพลาด ประหนึ่งพรานล่าสัตว์ที่รู้จักวิธีล่าสัตว์ หญิงสาวประเภทนี้ต้องเข้าหาแบบไหนและใช้คำพูดอย่างไรในการเกี้ยวพา และเพราะแบบนั้น โต๊ะของพวกเราจึงมีหญิงสาวมากหน้าหลายตาเวียนมาเข้ามานั่งไม่ขาด สิ่งที่น้อยครั้งจะเกิดขึ้นหากผมมาเที่ยวคนเดียว ความทรงจำของผมกับเรื่องที่เขาเล่าตรงกันจนถึงจุดนี้ ต่อจากนี้ เป็นเรื่องเล่าฝ่ายเดียวของเขา ราวสี่ทุ่มซึ่งเป็นช่วงที่คนคึกคักที่สุด หญิงสาวสองคนปรากฎตัวและเดินผ่านโต๊ะของพวกเราไป สาวผมสั้นในชุดเดรสซีทรูสีดำลายลูกไม้กับสาวผมยาวในชุดกระโปรงซีฟองสีสดใส สาวผมสั้นสีน้ำตาลไม้เค้าหน้าเข้มนัยส์ตาคมในอายชาโดว์สีเข้มดูลึกลับพร้อมพวงแก้มและลิปสติกโทนสีชมพูแดง กับสาวผมยาวที่ดูจะคล้ายพยายามจะปิดบังหน้าตาที่แต่งเติมด้วยโทนสีชมพูอ่อนด้วยผมยาวดำขลับของเธอ ภาพลักษณ์ของนักเที่ยวกลางคืนมั่นๆกับบรรณารักษณ์ห้องสมุดขี้อาย (ขาดไปแค่เธอไม่สวมแว่นเท่านั้น) สองลักษณะที่ตัดกันเหมือนแสงสว่างที่สดใสกับความมืดที่ดูหวือหวาทว่าเข้ากันนั้นทำให้พวกเธอกลายเป็นจุดเด่นไปเลยในหมู่คนที่พบเห็น แน่นอนว่ารวมถึงพวกเราด้วย สไตล์ของทั้งสองคนที่ตัดกันนี้โดนใจเพื่อนคู่หูผม นายพรานเห็นสัตว์หายากก็ตรวจตราอุปกรณ์ที่พกพา ส่องภาพเป้าหมายด้วยปืนลำกล้องในความคิด เลือกกระสุนที่เหมาะที่สุดและเดินออกไปเผชิญหน้า ค่อยๆไล่ต้อนจนเหยื่อหลงติดกับดักแล้วจึงยิง วิธีนี้ได้ผลเสมอและได้ผลกับครั้งนี้ด้วย ไม่นาน เราก็ได้สองสาวต่างขั้วคู่นี้มาเป็นเพื่อนร่วมโต๊ะ ไม่ต่างไปจากลักษณะภาพนอกที่เห็น สาวผมสั้นนั้นช่างเจรจา ส่วนสาวผมยาวนั้นตรงข้าม เธอพูดน้อย ถามคำตอบคำและเออออไปกับทุกเรื่องที่สาวผมสั้นว่า แต่ถึงอย่างนั้น การได้สาวช่างคุยมาร่วมโต๊ะช่วยให้เรามีเรื่องคุยและหัวเราะกันไม่ขาด บรรยากาศครึกครื้น ประสบการณ์สนุกๆของเธอในคืนนั้นมีมากกว่าที่ผมมีในรอบสิบปี้นี้เสียอีก ประเด็นสำคัญเริ่มต้นขึ้นเมื่อสาวผมสั้นเริ่มพูดถึงว่าเธอนั้นก็เพิ่งเคยมาที่นี่ครั้งแรก ปกติแล้วร้านประเภทนี้ไม่ใช่สไตล์ของเธอ เธอมีร้านประจำที่จะครึกครื้นครึกโครมกว่านี้ แต่เพราะวันนี้เธอตั้งใจจะพาเพื่อน (สาวผมยาวที่ดูเรียบร้อย) มาเปิดหูเปิดตา หากไปร้านประจำของเธอก็ดูจะรุนแรงเกินไป ก็เลยเลือกร้านบรรยากาศเบาๆอย่างร้านนี้ ก่อนจะสัมทับว่าเพื่อนของเธอคนนี้เป็นยัยจอมเก็บตัว ไม่รู้จักเที่ยวรู้จักหาอะไรใหม่ผ่อนคลายความเครียดซะมั่ง กว่าจะลากมาได้ต้องใช้ช้างทั้งฝูงทั้งฉุดทั้งดึง แม้แต่เมื่อกี้เองก็ขนาดลงจากรถยังทำท่าจะขอกลับ ทำเป็นซินเดอเรลล่าห์ที่กลัวจะเวทมนต์จะหมดฤทธิ์ตอนเที่ยงคืนไปได้ เธอร่ายยาวเห็นภาพ ก่อนที่จากนั้นก็เริ่มสัมทับเพื่อนสาวคนนี้ของเธอหนักขึ้นเรื่อยๆจนอีกฝ่ายต้องพยายามขอร้องให้หยุด แต่เพราะน้ำเสียงและท่าทางของคนห้ามที่ดูไม่มีความเข้มแข็งเด็ดขาด กลายเป็นว่าเมื่อห้ามไม่ได้ เธอก็เลิกสนใจแล้วกลับไปนั่งเงียบเหมือนเดิม ผม จากปากคำที่ฟังจากเพื่อน เพราะเห็นเธอคนนั้นนั่งเงียบจึงเป็นฝ่ายชวนคุย โดยในครั้งแรกๆ การพูดคุยของเราเป็นไปอย่างติดขัดๆ เธอไม่ใช่คนช่างพูด ส่วนผมเองก็ไม่ใช่คนที่มีเรื่องสนุกๆอะไรที่จะเปิดประเด็นพูดคุยมากนัก เราสองคนไม่ต่างอะไรกับนาฬิกาลานขัดที่กระดิกเข็มได้ทีละน้อยและอย่างกระท่อนกระแทน ซึ่งเมื่อเพื่อนนายพรานของผมเห็นแบบนั้น เขาก็เข้ามาช่วยด้วยการใช้คำพูดและแอลกอฮอล์เป็นตัวช่วย การเพิ่มดีกรีเข้าไปจะช่วยให้ลิ้นที่แข็งกระด้างอ่อนลงและช่วยให้การพูดคุยไหลลื่น เขาเชื่ออย่างนั้น และก็ไม่ผิดไปจากที่เขาพูดเลย หลังรับการช่วยเหลือจากเขา การสนทนาของพวกเราก็ไหลลื่น ซึ่งเมื่อเห็นแบบนั้นแล้ว เพื่อนนายพรานที่สอนผมจับเหยื่อเรียบร้อยก็ผละออกไปและคอยดูจากวงนอก จากที่เขาเล่า แม้จะจับใจความไม่ได้ว่าเราคุยเรื่องอะไรกัน แต่ดูเหมือนมันจะเป็นเรื่องที่สนุก เขาเห็นผมกับเธอสองคนหัวเราะให้กันด้วยท่าทางที่ดูเป็นกันเองอย่างมาก ฟังดูแล้วเป็นเรื่องที่ดี ถ้าหากมันจบลงแค่นั้น เพราะการมีเพื่อนคุยถูกคอยิ่งช่วยให้ร่างกายซึมซับแอลกอฮอล์ได้อย่างไหลลื่น และเมื่อปริมาณของมันเพิ่มสูงขึ้นถึงระดับ ล็อคระวังภัยในร่างกายของเราก็จะถูกปลดออก กล้าพูดกล้าทำในสิ่งที่ปกติเราทำไม่ได้ จากเรื่องปกติก็กลายเป็นเรื่องล่อแหลม จากแค่พูดก็เริ่มเป็นการจับเนื้อต้องตัว เมื่อล็อคระวังภัยถูกปลดสมบูรณ์ เราสี่คนออกจากร้าน แล้วแยกสองคู่แล้วจับแทก็ซี่คนละฝั่ง เขากับแม่สาวผมสั้นจบคืนนั้นอย่างสมบูรณ์ที่เตียงนอนของโรงแรมม่านรูด ส่วนผมก็จบแม่สาวบรรณารักษ์ที่ห้องของเธอ ทั้งหมดนี้คือเรื่องที่ผมสรุปจากเรื่องที่เขาเล่าให้ฟังในมื้อกลาง เรื่องที่เขาสละเวลาเป็นชั่วโมงในการเล่าราวกับเป็นหน้าที่ โดยระหว่างนั้นมีก็มีคนเดินผ่านไปผ่านมาและอาจจะได้ยินบางช่วงบางตอนของเรื่องไปด้วย แต่จะมีใครได้ยิน สำหรับผมแล้วมันไม่ใช่เรื่องอะไรที่สลักสำคัญเลย หน้าที่ของผมในฐานะผู้ฟังคือจับใจความเรื่องที่เขาเล่ามาประติดต่อเป็นเรื่องราว และตัดขาดจากสิ่งรอบตัวโดยสิ้นเชิง และผมรู้สึกเหมือนรอบๆตัวมืดสนิทไปเลยในตอนที่เขาจบเรื่องเล่ายาวเหยียดนั้น บ่ายนั้น ผมตั้งสมาธิไม่ได้ สมาธิของผมกระจัดกระจายเหมือนมีใครคว่ำหน้าจิ๊กซอว์ที่ต่อเสร็จแล้วลงพื้นและให้มือควานคนกระจัดกระจาย ผมนั่งจ้องหน้าจอคอมพิวเตอร์แต่กลับจับภาพอะไรบนนั้นไม่ได้เลย บนหัวผมกลายเป็นก้อนหิน ตัวหนังสือสีขาวบนแป้นคีบอร์ดสีดำมองดูเหมือนดวงตามากมายที่จ้องมองจากความมืด ผมกดปุ่มปิดที่เครื่อง ผลักลิ้นชักกลับเข้าซอง ใช้หลังมือดันหน้าผาก ท้าวศอกบนโต๊ะต่อหน้าหน้าจอที่ปิดสนิทไปแล้ว ไม่อยากเชื่อว่าตัวเองจะทำอะไรแบบนั้นลงไป ไม่ใช่ว่าผมจะไม่เคยทำเรื่องแบบนี้ ตัวผมเองก็ไม่ได้ชายหนุ่มบริสุทธิ์ผุดผ่องถึงขนาดที่ว่าจะไม่มีเรื่องทำนองนี้เลยช่วงชีวิตที่ผ่าน ผมผ่านมาหมด ทั้งแบบที่สานต่อมาจากการพูดคุยจนถูกใจชอบพอ แล้วก็แบบจ่ายเงินซื้อบางครั้ง ผมเป็นผู้ชาย เป็นสัตว์ตัวผู้ซึ่งยังมีแรงขับทางเพศที่ต้องการระบายออกในบ้าง แต่ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบไหน ทุกครั้งที่ผมคิดและลงมือ ผมทำไปโดยสติควบคุมกำกับครบถ้วนเสมอ อย่างน้อยๆ ผมรู้ว่าตัวเองกำลังทำอะไรอยู่หรือจะทำอะไร ต่างจากครั้งนี้ที่ผมจำเรื่องที่เกิดขึ้นไม่ได้เลย เหมือนเรื่องโกหก ข้อกล่าวหาไร้มูลความจริงที่มีคนเอาชื่อผมไปแอบอ้าง ทว่า....จากเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อเช้า ในสภาพนั้น คำค้านแย้งของผมทุกคำล้วนไร้น้ำหนักและไม่น่าเชื่อถืออย่างสิ้นเชิง ผมรู้สึกเหมือนกล้ามเนื้อใบหน้าตึงแน่นเหมือนเชือกควั่น หว่างคิ้วจรดและบีบแน่น ผมมองนาฬิกา บ่ายสองสามสิบ ลาพักร้อนไปเลยดีไหม ผมคิด แต่ก็คิดต่อไปว่าลาแล้วจะไปไหน กลับบ้านเหรอ? ไม่ ไม่ใช่ตอนนี้ ผมไม่สามารถกลับบ้านตอนนี้ได้ แค่คิดว่าต้องกลับไปในสภาพนี้ นั่งอยู่คนเดียวในบ้านเงียบๆหลังนั้น แค่คิดผมก็รู้สึกขนลุกขนพองแล้ว แล้วจะไปไหน ผมคิดต่อ เที่ยวห้าง ดูหนัง กินข้าว ว่ายน้ำ เข้าฟิตเนส ไม่ว่าอะไรก็ดูไม่เข้าท่าสักอย่าง ไม่ใช่แค่ไม่มีสมาธิเรื่องงาน แค่สมาธิในการหาเรื่องผ่อนคลายยังไม่มีเลยด้วยซ้ำ ผมคิดอะไรไม่ออกเลยในตอนนั้น บ่ายสองสี่สิบ 10 นาทีหลังจากครั้งล่าสุดที่ผมดูนาฬิกา เสียงกริ่งเพลง ดังขึ้นจากโทรศัพท์ของผม มีคนโทรเข้า และด้วยกริ่งนี้เป็นเสียงกริ่งเฉพาะ ผมรู้ตั้งแต่ท่อนแรกของทำนองที่ดังขึ้นแล้วว่าใครเป็นคนโทรมา ผมกรีดหน้าจอรับสายแล้วพูดด้วยเสียงที่พยายามทำให้ปกติที่สุด "ว่าไง" ปลายสายตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงที่แสนคุ้นเคย "ตอนนี้อยู่สนามบินแล้ว มารับได้ไหม" ผมทิ้งโต๊ะที่ระเกะระกะไปด้วยงาน ขับรถออกจากลานจอดแล้วพุ่งออกจากอาคารอย่างเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้
คำยืนยันของเจ้าของเรื่องสั้น
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
8.5 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ