My sister is Japanese. พี่สาวฉันเป็นคนต่างประเทศ
-
เขียนโดย api3api
วันที่ 25 กรกฎาคม พ.ศ. 2557 เวลา 23.28 น.
4 session
0 วิจารณ์
7,150 อ่าน
แก้ไขเมื่อ 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2557 01.36 น. โดย เจ้าของเรื่องสั้น
4) 空の雲 (Sora no kumo) เมฆหมอกของโซระ(ท้องฟ้า)
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ ฉันกับน้องสาวเกิดพร้อมกัน คือ วันที 16 กรกฏาคม ปี 2541 ที่จังหวัดฟุกุโอกะ ประเทศญี่ปุ่น เกิดจากพ่อกับแม่ที่เป็นคนไทยที่ไปทำงานที่ต่างประเทศและเกิดความรักขึ้น ในปี 2545 พ่อกับแม่เกิดทะเลาะกันขึ้นและแยกทางกัน วันนั้นเป็นวันจันทร์ตอนบ่าย ฉันกำลังเล่นก่อกองทรายกับน้องสาวฝาแฝดของฉัน พ่อได้มาอุ้มน้องสาวของฉันออกมาและพากลับประเทศไทย หลังจากนั้นฉันก็ไม่ได้เจอและติดต่อพ่อและน้องสาวอีกเลย
หลังจากวันนั้นก็มีผู้ชายคนใหม่เข้ามาอยู่กับแม่ แม่ชอบตีฉันและด่าฉันด้วยเสียงอันดัง ไม่นานแม่ก็พาฉันมายังที่ที่แห่งหนึ่งแม่บอกให้เดินไปจุดในแผนที่ส่วนแม่จะไปรอที่นั่น แล้วเธอก็หายไปเลย ฉันคิดว่าฉันหลงทาง ฉันรออยู่ที่ในจุดที่แม่บอกไว้ นานมาก จนแม่ชีฮิโตมิเปิดประตูออกมาเจอกับฉัน ในตัวฉันไม่มีอะไรเลยนอกจากบัตรประจำตัวของฉันที่บ่งบอกว่าเป็นสัญชาติไทย ไม่มีใครติดต่อหาแม่ของฉันได้ ที่อยู่ที่ประเทศไทยของแม่ในบัตรเป็นที่อยู่ที่ไม่มีคนอยู่ และฉันก็ไม่รู้ว่าจะทำยังไงต่อไป ฉันจึงรออยู่ที่นี่ สถานสงเคราะห์ฮิโตมิ....
"อย่ามาตีซี้กับฉันนะยัยเด็กต่างด้าว"
ทุกคนในห้องหันมามองฉันที่นั่งตัวแข็งทื่อตรงหน้ามิกิที่เอามือปัดข้าวกล่องของฉันซะกระเด็นในตอนพักเที่ยง เธอชะงักนิดหน่อยตอนเห็นฉันยิ้มและเธอสะบัดหน้าเดินหนีไปปล่อยให้ฉันนั่งเก็บกวาด...
空の雲
Sora no kumo
เมฆหมอกของโซระ
สถานสงเคราะห์ฮิโตมิ มีแม่ชีฮิโตะมิเป็นผู้อำนวยการเธอมักจะบอกกับฉันเสมอว่า ญี่ปุ่นคือบ้านของฉัน
"ไม่ใช่ทุกคนที่จะมีชีวิตที่สดใสหากไม่มีพวกเธอสังคมก็จะไม่สมบูรณ์เพราะฉะนั้นจงเข้มแข็งเข้าไว้ที่นี่คือบ้านของเธอ พวกเราเป็นครอบครัว ใช่ใหม มิกิจัง โซระจัง" แม่ชีพูดกับฉันและฮิโตมิในขณะที่พวกเราทุกคนรวมตัวกันเพื่อฟังแม่ชีสอนศาสนา
"ฉันดีกับเธอก็ได้ แต่เธอต้องเป็นน้องสาวฉันนะฉันพูดอะไรต้องเชื่อฟัง" มิกิกระซิบข้างหูฉัน ท่ามกลางเพื่อนๆที่หัวเราะอย่างสนุกสนาน
"มิกิอายุน้อยกว่าโซระก็ต้องเป็นน้องสาวสิ"
"อย่ามายุ่งน่าพวกแก"
ฉันหัวเราะและยังเห็นแม่ชีฮิโตมิหัวเราะเบาๆด้วยทำให้ฉันรู้สึกลดความกังวลใจลง นั่นคือตอนที่ฉันหรือ โซระอายุ ห้าขวบ
ปีต่อมาฉันก็เข้าเรียนที่โรงเรียนประถมโดยมีแม่ชีเป็นผู้ปกครองเพราะฉันไม่ได้ใช้สัญชาติไทยซึ่งเธอโดนสัมพาทษ์หลายชั่วโมง
"เราจะส่งตัวเธอให้สถานทูตไทยดีใหมครับ พวกเขาจะจัดการเรื่องครอบครัวของเธอ"
"ไม่ คุณครูไม่เข้าใจ แม่ของเธอไม่มีอีกแล้ว เธอเกิดที่นี่ ที่ญี่ปุ่น ประเทศไทยไม่ใช่บ้านของเธอ เธอไม่เข้าใจในภาษาไทยเลยด้วยซ้ำ แม่เธอนำมาทิ้งไว้ก่อนเธอจะพูดชัดซะอีก ถ้าเราส่งเธอกลับจะเป็นยังไงคะ พวกเขาที่ทิ้งเธอจะต้อนรับเธออย่างงั้นหรือ"
ฉันซึ่งนั่งอยู่ข้างๆทึ่งและตื้นตันเธอมากที่แม่ชีออกมาต่อสู้เพื่อให้ฉันได้เรียนในโรงเรียนประถมของญี่ปุ่น ฉันนั่งเงียบ ครูก็เงียบเช่นกัน
"ผมเข้าใจแต่ที่นี่เป็นโรงเรียนรัฐบาลนะคุณ ผมหมายถึงเราไม่สามารถจัดการเรื่องทะเบียนบ้านและหมายเลขประจำตัวประชาชนได้ เอาอย่างนี้แล้วกันคุณควรส่งเธอไปเรียนโรงเรียนเอกชนที่เปิดรับคนต่างชาติก็แล้วกัน"
แม่ชีพาฉันออกมาจากโรงเรียนเธอยิ้มอย่างอ่อนโยนให้ฉันเหมือนเคย
"โซระไม่เรียนก็ได้ โรงเรียนเอกชนแพงมาก โซระช่วยงานคุณแม่ดีกว่า"
ฉันพูดซื่อๆตามประสาเด็กในตอนนั้น แต่แม่ชีก็ยังยืนกรานอย่างหนักแน่น
"พูดอะไรน่ะเด็กคนนี้ การเรียนคือทุกอย่างของเด็กในวัยแค่นี้นะ"
ฉันได้เรียนในโรงเรียนเอกชน ที่นี่เปิดรับชาวต่างชาติ ที่นี่ฉันเจอคนจากประเทศไทยเป็นครั้งแรกนอกจากแม่และน้องสาวของฉัน เธอเดินยิ้มเข้ามาพูดคุยกับฉัน
"dfgkjbhnrjbfgkbfgkhrk fgnfjghfkdk emnfve ?"
ฉันตกตะลึง คนสัญชาติเดียวกับฉันทำไมถึงพูดจากันไม่รู้เรื่องเลย ฉันเลยร้องให้ คนไทยคนนั้นเข้ามาพูดปลอบทันที
"ดเ้ดดิดิดิดหว สดาวด?""35dvnekldnvdd ์ฒ?์?๋ศษ๋ฒ"
ฉันฟังไม่รู้เรื่อง เขาพูดภาษาอะไรกัน นี่เหรอภาษาของประเทศที่ฉันถือสัญชาติอยู่ ยิ่งเขาพูดฉันยิ่งตื่นกลัว เขาโมโหฉันมากเลยเดินจากไป หลังจากนั้นครูก็โทรเรียกแม่ชีฮิโตมิมารับฉันกลับบ้าน พอฉันเห็นเธอฉันก็วิ่งเข้าไปหาทันที มิกิก็มาด้วย
"คุณแม่คะ โซระมาทำอะไรอยู่ที่นี่ ทำไมโซระไม่ไปเรียนที่โรงเรียนเดียวกันกับมิกิ"
ฉันเห็นแม่ชีทำท่าทางลำบาก เธอไม่ยิ้มเหมือนเคยจนกลับมาถึงสถานสงเคราะห์
"โซระ มาหาทางนี้สิมา"
ฉันเดินเข้าไปหาอย่างว่าง่าย เธอคว้าฉันเข้าไปกอด แล้วย่อตัวลงเพื่อคุยกับฉัน
"โซระอยากเจอคุณแม่ไหม"
ฉันพยักหน้า เธอคว้าตัวฉันเข้าไปกอด แน่น และเธอก็คลายกอดออก
"ประเทศไทย กับ ประเทศญี่ปุ่น โซระเลือกอยู่ที่ใหนจ๊ะ"
พอฉันได้ยินคำว่าไทย ฉันก็นึกถึงคนที่พูดฟังไม่ออกคนนั้น ฉันเริ่มกลัว ฉันจึงตอบว่า อยากอยู่ญี่ปุ่น โซระฟังภาษาไทยไม่ออก แม่ชีได้ยินอย่างนั้นเธอก็ยิ้มหวานให้ฉันอย่างเคย
"โซระเป็นคนญี่ปุ่นทั้งตัวและหัวใจ เพราะฉะนั้นโซระจะได้ไปเรียนกับมิกิ"
เย้ ฉันร้องอย่างดีใจแล้ววิ่งเข้าไปในสถานสงเคราะห์เพื่อไปบอกมิกิ และทุกๆคน
ปีนั้นแม่ชีฮิโตมิรับฉันเข้าสู่การอุปการะของเธอโดยตรงอย่างเป็นทางการตามกฎหมาย
+++++++++++++++++++++++++++++
ปี 2549 ฉันกับมิกิและเท็ตสึขึ้นประถมชั้นปีที่สอง มิกิก็ได้มีคู่สามีภรรยารับไปอุปการะ
"เท็ตสึ ฉันไม่อยู่แล้วนายดูแลโซระด้วย ถ้านายรังแกน้องสาวฉันฉันจะฆ่านาย"
เท็ตสึเด็กชายหน้าตาดีพวกเราสามคนเป็นคนที่มีอายุมากที่สุดในสถานสงเคราะห์ฮิโตมิ เท็ตสึมีท่าทีสุขุมเกินวัยอยู่เสมอ พวกเราทุกคนออกมาส่งมิกิที่หน้าสถานสงเคราะห์
"โซระ ฉันไปล่ะนะ และฉันจะมาที่นี่บ่อยๆเธอจะได้ไม่เหงา"
"เธอกับโซระก็เจอกันที่โรงเรียนทุกวันอยู่แล้วนี่หว่า"
เท็ตสึพูดออกมาทำให้มิกิกระฟัดกระเฟียด พวกเราหัวเราะร่าเริง
"มิกิ ฉันขอบคุณที่ดูแลฉันมาตลอด"
"มิกิจังมาเถอะจ้ะ"คูสามีภรรยาเรียกมิกิ เธอหันมามองพวกเราที่ยืนพร้อมเพียงอีกครั้ง แม่ชีฮิโตมิที่ตอนนี้ฉันเรียกเธอว่าแม่พูดกับทุกคนว่า
"ร้องเพลงส่งมิกิกันเถอะจ้ะ"
"อย่าร้องนะพวกบ้า"
พวกเราร้องเพลงโดยไม่สนคำปรามของมิกิ ทำให้มิกิจากไปด้วยรอยยิ้มและน้ำตา
ทุุกคนรักมิกิ เธอเปรียบเสมือนพี่ใหญ่ของพวกเรา
ในปี 2550 ฉันก็ได้เจอกับแม่แท้ๆของฉันอีกครั้ง
:::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::
ปี 2550 พวกเรามีคนรับไปอุปการะอยู่เรื่อยๆ จนจำนวนคนเริ่มลดลงไปบ้าง
"เท็ตสึ ทำไมนายไม่มีคนรับไปบ้าง"
"ไม่เอาหรอกแม่ของฉันมีแค่แม่ฮิโตมิคนเดียวเท่านั้น"
เท็ตสึหยุดพูดเมื่อเขาเห็นคนมาด้อมด้อมมองๆที่หน้าประตู ฉันจึงเดินไปพร้อมกับเท็ตสึ เธอคนนั้นเห็นฉันก็ดีใจ ฉันจำได้เธอคือ แม่ของฉันนั่นเอง แม่ที่ฉันจำไม่ได้แม้แต่ชื่อ
"โซระ ฦ์?ฬฒ.๋ษณซษฬ๋?ฬ์ฬซ?"
ฉันฟังไม่ออก เพราะพูดภาษาไทย ฉันจึงพูดกลับไปเป็นภาษาของฉัน
"ที่นี่ไม่มีคนชื่อโซระ"
ฉันวิ่งหนีมามันเกิดความรู้สึกประหลาดในใจของฉัน ฉันมาหลบในห้องนอนแล้วร้องให้ ในใจตูมตามด้วยจังหวะของหัวใจที่ถูกบีบรัด
"ตอนนี้เนี่ยนะ ทำไมมาเอาป่านนี้ ฉันเป็นสิ่งของเหรอไง นึกอยากจะเก็บคืนเมื่อไรก็ได้" ในใจมันตูมตามด้วยความน้อยใจแต่ใจยังหวังลึกถึงจะเพียงน้อยนิดว่าอยากให้เธอรับฉันกลับไป
ฉันได้ยินว่าเธอคนนั้นเข้ามาข้างในด้วย
และคุณแม่ฮิโตมิเข้ามาหาฉันในตอนเย็นส่วนฉันนั่งขดอยู่บนเตียงนอน
"เขาพูดว่าอย่างไรบ้างคะ คุณแม่"
คุณแม่ฮิโตมิมานั่งข้างๆฉันแล้วลูบผมของฉัน น้ำตาของฉันยังซึมอยู่
"เสียใจด้วยนะ เธอไม่ได้มารับโซระหรอกจ้ะ และฉันจะไม่ยอมให้ใครมาพรากลูกสาวที่น่ารักของฉันไปหรอก โดยเฉพาะคนที่ทิ้งเธอ"
ฉันกอดแม่ฮิโตมิแล้วร้องให้ ฉันไม่รู้จะทดแทนบุญคุณเธออย่างไรแล้วในตอนนี้
"เธออาศัยอยู่ที่ คาโงะชิมะ ถ้าโซระอยากพบกับเธอเป็นการส่วนตัว ฉันอยากให้โซระโตกว่านี้สักหน่อย แต่ถ้าโซระอยากไปฉันจะวางที่อยู่ไว้ตรงนี้"
แม่ฮิโตมิวางกระดาษที่เขียนแผนที่และที่อยู่ไว้บนเตียงแล้วกลับออกจากห้อง ฉันนั่งกอดเข่าแล้วมองปฎิทิน แล้วหยิบกระดาษแผ่นนั้นมาไว้ในมือ
วันต่อมาฉันนั่งรถประจำทางมาที่ สถานีฮะกะตะเพื่อขึ้นชินกังเซ็น เท็ตสึบ่นอุบ ส่วนมิกินั่งนิ่ง
"ว้า วันคริสต์มาสทั้งที ฉันอยากซื้อของขวัญให้คุณแม่(แม่ชีฮิโตมิ) แต่ต้องเอาเงินมานั่งรถไฟในวันหนาวๆเนี่ยนะ"
"เงียบน่ะ ได้เดทกับโซระทั้งที ดีใจซะสิ"
มิกิเอ็ดเท็ตสึเลยเงียบ เขานั่งหน้าเบ้ แต่ก็ยอมแต่โดยดี
"เชอะ เดทตอนนี้ฉันไม่ดีใจหรอก เอาอย่างนี้พอโซระขึ้นมอปลายเราค่อยไปเดทกันอีกรอบสัญญานะ"
"ได้ ฉันสัญญา"
"เอ่อ นี่พวกเธอ มิกิแค่พูดเล่นเล่นนะ"
พวกเราหัวเราะ ฉันตัดสินใจจะเอาของบางอย่างให้กับแม่คนแรกของฉันและจะไม่ยุ่งกับเธออีก ฉันอยากรู้แค่ว่าเธอสบายดีแค่นั้น แม้ในใจจะหวังลึกให้เขามาโอบกอด
นั่งรถไฟชั่วโมงกว่าการเดินทางที่ไกลมากสำหรับฉันในตอนนั้นพอลงจากสถานีฮะกะตะมาลงสถานีคาโงะชิมะจูโอ เราขึ้นรถประจำทางเพื่อมาลงยังสถานที่ที่เขียนไว้ในแผนที่ วันคริสต์มาส ผู้คนต่างอยู่กับบ้านเพื่อฉลองกับครอบครัว ฉันเห็นแม่ของฉันหิ้วของที่เหมือนซื้อจากห้างสรรพสินค้าเธอเดินกับชายคนนั้น ฉันจึงวิ่งตามไปแต่ต้องหยุดอยู่กับที่
แม่กำลังอุ้มเด็กอายุประมาณขวบเศษ เท็ตสึและมิกิวิ่งตามมาพวกเราเห็นทั้งหมด มิกิเดินมาปลอบใจ
"ไม่เป็นไรน่ะโซระ เธอมาเพื่อมอบของขวัญไม่ใช่เหรอ"
"อื้ม ใช่แล้ว"
พวกเราเดินตามพวกเขามาในภายหลัง บ้านของแม่ฉันกำลังฉลอง หิมะตกลงมาในวันอันหนาวเหน็บ ฉันหน้าชาและเหมือนไฟฟ้าช็อตเมื่อเห็นภาพในบ้านผ่านหน้าต่างกระจก
เขาฉลองกัน ป้ายติดอยู่ข้างฝา มันเขียนว่ายินดีครบรอบหนึ่งขวบ สึคุโยะ
แม่ของฉันอุ้มและหอม ยิ้มถ่ายรูปด้วยกัน แต่ฉันกลับเจ็บตรงที่แผลเก่า
แผลที่เคยโดนแม่ทำร้าย
"โอ้ย โอ้ย มิกิฉันไม่ไหวแล้ว"
"โซระ เป็นอะไร เท็ตสึมานี่เร็ว"
ฉันเจ็บปวดในหัวใจอย่างมาก จนส่งผลกระทบถึงความรู้สึก ฉันร้องด้วยความเจ็บปวดทุกครั้งที่คิดถึงวันที่เคยได้รับจากแม่
มันคือความเจ็บปวดจากฝ่ามือ และแส้ มันต่างจากความรักที่ลูกคนใหม่ของเธอได้รับเหลือเกิน หึ สึคุโยะงั้นเหรอ เธอได้ทุกอย่างไปจากชีวิตฉันเรียบร้อยแล้วสึคุโยะ
ฉันยืนไม่ไหวจนต้องคุกเข่าลงกับพื้นหิมะ เท็ตสึพยุงฉันขึ้น
"ไม่ว่าเธอจะว่ายังไง ฉันต้องให้เธอหยุดแค่นี้ ผู้หญิงคนนั้นไม่ใช่คุณแม่ของเธออีกต่อไปแล้ว เธอกำลังทำให้มิกิ กับฉัน รู้สึกแย่ตามเธอไปด้วย"
ฉันมองหน้าทุกคน ทุกคนต่างกำลังเศร้าสร้อย และเจ็บปวด ใช่สิ จริงด้วย
พวกเราคือเด็กกำพร้าและมีประสบการณ์ถูกทอดทิ้ง
พวกเราสามคนนั่งชินกังเซ็นกลับโดยไม่มีใครพูดคุยอะไรกันเลย
+++++++++++++++++++++++++++++++
ปี 2554 โซระ มิกิ เท็ตสึ ขึ้นชั้นมัธยมต้นปีที่1
พวกเราในสถานสงเคราะห์เลี้ยงฉลอง มีเด็กถูกทอดทิ้งเข้ามาใหม่แต่ที่นี่ไม่ได้มีแต่คุณแม่ฮิโตมิอีกแล้ว พวกเราโตขึ้น และพร้อมเป็นพี่เลี้ยง และมอบความฝันความวังให้พวกเขาเหมือนที่พวกเราเคยได้รับฉันไม่ได้คิดถึงแม่คนเก่าอีกต่อไป แต่คุณแม่ฮิโตมิก็เดินมาบอกฉันเป็นการส่วนตัว
"แม่ของเธอเสียชีวิตแล้วด้วยอุบัติเหตุทางรถยนต์"
"งั้นเหรอคะ โชคไม่ดีซะเลยน๊า ฉันเลยไม่ได้มอบสิ่งนี้ให้แก่เธอ"
ฉันล้วงมันออกมา มันเป็นรูปถ่ายที่ถ่ายรวมครอบครัวเก่าของฉัน มีพ่อและแม่มีฉันและน้องสาวฝาแฝดของฉัน
"ฉันอยากให้เธอรับรู้ว่าเธอไม่ได้มีแค่ฉันเท่านั้นที่เธอทอดทิ้ง ยังมีตัวโซระอีกครึ่งหนึ่งที่อยู่ประเทศไทยด้วยเช่นกัน"
คุณแม่ฮิโตมิหัวเราะ ฉันก็ขำหน่อยๆด้วย
"โซระอีกครึ่งหนึ่งงั้นเหรอ แล้วโซระคนนี้อยากรู้หรือเปล่าล่ะว่าโซระที่ประเทศไทยมีชีวิตความเป็นอยู่อย่างไร"
"มันคงเกินกำลังที่หนูจะดั้นด้นค้นหาแล้วล่ะ หนูไม่รู้ด้วยซ้ำว่าพวกเขาอยู่ที่ใหน"
ฉันอยากรู้เหมือนกัน แต่ไม่รู้จริงๆว่าจะหาเธอพบได้ยังไง ชื่อของเธอชื่อว่ายังไงนะ เมอิ จำได้แล้ว เพราะในห้วงแห่งกาลเวลาความทรงจำฉันเหมือนรู้สึกว่าพ่อเรียกเธอว่าอย่างนั้น
แต่ก็รู้แค่นี้อยู่ดี ไม่มีใครให้สอบถามแล้วล่ะนะ
PPPPPPPPPPPPPPPPPPPPPPPPPPPPPPPPPPPPPP
พอขึ้น ปี3 พวกเขาในสถานสงเคราะก็ทึ่งในคะแนนสอบของฉัน
"โฮ๊- ภาษาญี่ปุ่นใหม่ 98 คะแนน สังคม 95 คะแนน สุดยอด เธอทำได้ดีกว่าคนญี่ปุ่นแท้ๆเลยนะเนี่ย"
มิกิทำตาโตแล้วหลบคะแนนสอบไว้ข้างหลัง เท็ตสึดึงมันออกมาจนได้
"อะไรเนี่ยคนญี่ปุ่นแท้ๆทำคะแนนไม่ถึง70คะแนนเลยด้วยซ้ำทุกวิชาเลยด้วย"
ทุกคนหัวเราะร่าเริง มิกิพยายามแย่งมันคืนมา เท็ตสึนึกขึ้นได้ จึงปล่อยให้มิกิแย่งมันกลับไป เขาวางรูปภาพใบใหญ่ไว้บนโต๊ะ
" แต่โซระตรงนี้มีแค่ครึ่งเดียวใช่ใหม แล้วคิดว่าโซระอีกคนจะเก่งในด้านใหนกัน โซระเธออยากรู้ใหมล่ะ"
ในรูปภาพบรรยายว่า "อัจฉริยะไทยวัยเยาว์ ชิงแชมป์คณิตศาสตร์โลกที่อเมริกาอันดับหนึ่ง เมอิ สาวไทยเก่ง ทำให้เอเชียภูมิใจไปด้วย....."
รูปในนั้น เหมือนโซระทุกอย่าง หน้าตา รูปร่าง แตกต่างกันแค่ทรงผมแค่นั้น
"เมอิ ฉันพบเธอแล้ว"ฉันปิดปากสะอื้น
มิกิ และทุกคน รวมทั้งคุณแม่ฮิโตมิด้วยเช่นกันต่างยืนมองดูรูปนั้นด้วยความประหลาดใจ
"มันจะมีความบังเอิญขนาดนี้อีกใหม"เท็ตสึเสริมขึ้นอีก
"ความบังเอิญไม่มีอยู่จริง" คุณแม่พูดขึ้นอีก ฉันเข้าใจแต่การเดินทางไปต่างประเทศมันต้องใช้เงินเยอะ
"โซระอีกคนเหรอ เรารู้นะว่าเธอมีน้องสาวฝาแฝดแต่คนน่ารักมีถึงสองคนมันก็โหดร้ายสำหรับคนหน้าตาธรรมดาอย่างฉันแย่เลย ฉันอยากเห็นกับตาจังเลย"
มิกิยิ้มพลางลูบแก้ม คุณแม่ฮิโตมิมองพวกเราแล้วยิ้ม
"ถ้าพวกเธอเรียนจบ มอต้น ฉันจะอนุญาติให้เดินทางออกนอกประเทศได้ แต่ต้องเก็บเงินให้ลำบากฉันน้อยที่สุด ถ้างั้นคนที่จะจบมอต้นก็จะมีแค่ 6คน ยังงั้นสินะ พยายามเข้าล่ะ โซระ"
ฉันยิ้ม และรู้สึกรักคุณแม่คนนี้มากมายเหลือเกินขอบคุณค่ะ
ฉันเรียนไปด้วย ช่วยงานที่สถานสงเคราะด้วย เก็บเงินและอดออม ฉันอยากเจอจังเลย อยากเห็นเต็มสองตาว่าครึ่งหนึ่งของฉันมีความสุขแค่ใหน แตกต่างกับฉันแค่ใหน
ตอนฉันเรียนจบมอต้น ฉันเก็บตังค์ได้ 112,163 เยนไม่รู้เหมือนกันว่ามันจะพอรึเปล่าแต่เต็มที่แล้ว
"โอ้โห โซระเก็บเงินได้เยอะมาก"มิกิทำตาโตอีกแล้ว ส่วนเท็ตสึเฉยๆ
"มิกิเก็บได้ 60,000 เยน ส่วนฉันเก็บได้ 300,000 เยน"
"เฮ้ย นายเลิกแอบดูของคนอื่นซะที แต่ทำไมเท็ตสึเก็บได้เยอะจังฟะ"
มิกิบ่นอุบ ส่วนอีกสามคนที่เหลือเก็บได้คนละเก้าหมื่นเยน เราหกคนรวมเงินกันได้ประมาณ ล้านสี่แสนเยน คุณแม่ฮิโตมิ นั่งมองพวกเราด้วยรอยยิ้ม
"พวกเธอพยายามได้ดีมาก พวกเธอเก็บส่วนที่พวกเธอเก็บได้เอาไว้ใช้จ่ายส่วนตัว ส่วนค่าเครื่องบินฉันจะเป็นคนจัดการเอง ส่วนโซระฉันขอบอกว่า เพื่อเป็นการมอบของขวัญให้เธอที่เรียนจบมอต้นมาได้ จากตอนนั้นจนถึงตอนนี้เธออยู่ที่ญี่ปุ่นมาถึง10ปีแล้วในการอุปการะของฉัน ฉันจึงทำเรื่องขอสัญชาติญี่ปุ่นให้แก่เธอแล้ว"
ทุกคนต่างปรบมือและร้องดีใจส่วนฉัน ยิ้มอย่างเล็กๆแต่ข้างในดีใจอย่างมากในที่สุดฉันก็ไม่แตกต่างจากมิกิ เท็ตสึ และคนอื่นๆแล้ว
"ขอบคุณค่ะ คุณแม่"
ฉันขอบคุณเธออย่างซาบซึ้งและจริงใจ และทุกคนก็ลุกขึ้นพร้อมกันและโค้งอย่างสวยงาม
"ขอบคุณครับ/ค่ะ คุณแม่"
พวกเราพร้อมออกเดินทางในอีกสองเดือนข้างหน้า
::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::
พวกเราขึ้นเครื่องบินมาลงที่สนามบินสุวรรณภูมิ มิกิ และคนอื่นต่างตื่นเต้นในการเดินทางมาต่างประเทศครั้งแรก
พวกเท็ตสึและมิกิไปเช็คอินที่โรงแรม พอเช็คอินเสร็จฉันก็ขอออกมาคนเดียว
"จะดีหรือโซระ นี่ไม่ใช่ คาโงะชิมะ นะ ให้เท็ตสึไปด้วยสิ"
ฉันรู้ว่ามิกิเป็นห่วงแต่มันไม่ไกลจากโรงแรมและอยู่ในเขตตัวเมืองและฉันอยากไปพบด้วยตัวฉันเอง
"โธ่ถ้างั้น ฉันจะโทรหาทุกสามสิบนาทีนะ เธอก็โทรกลับมาทุกสิบห้านาทีด้วยนะ"
ฉันรับปาก และเรียกแท็กซี่ เท็ตสึดึงฉันไว้
"เธอพูดภาษาไทยได้เหรอ โซระ"
"อ๋อ ฉันใช้เครื่องแปลภาษาน่ะ ไม่ต้องห่วงนะ"
รถแทกซี่มาจอดหน้าบ้านที่ดูกว้างใหญ่ แม้ตัวบ้านจะไม่ใหญ่มากแต่ฉันรู้สึกโล่งมากกว่าญี่ปุ่นที่แออัด และวันนั้นฉันก็ได้พบ เมอิ เธอเข้ามาทักฉันก่อน
" Excuse me, Can I help you.?"
เธอมาในชุดนักเรียนสีขาวสะอาด ผมซอยสไลด์ปกหู ตากลมแบ๊วและไม่มีเครื่องสำอางค์ สิ่งที่ฉันคิดได้ตอนนั้นคือพุ่งเข้ากอดเธอ ด้วยความคิดถึง
"เจอเธอสักที นี่ฉันเอง ฉันเป็นพี่สาวของเธอ"
เธอทำท่าดีใจ วันนั้นหลังจากที่ฉันโทรรายงานมิกิ คุณแม่คนที่สามและพวกเพื่อนๆแล้วก็เผลอหลับไปบนเตียงนอนของเมอิน้องสาวของฉัน เหมือนความฝันฉันได้ยินเสียงเมอิเรียกฉันเป็นภาษาญี่ปุ่น
"พี่จ๋า"
"จ๋า"
ฉันก็ได้ตอบกลับไป เป็นความสั้นสั้นๆที่มีความสุขมากมันเหมือนความฝันที่กลายเป็นจริง นี่หรือคำว่า ครอบครัวมันมีความสุขเหลือเกิน
จนวันไกล้ครบกำหนด มิกิ เท็ตสึก็ได้บุกมาหาฉันถึงบ้านเพราะฉันไม่ยอมกลับโรงแรมเลย พ่อของฉันออกไปต้อนรับ
"ยินดีต้อนรับทุกๆคน โซระเล่าให้ฟังแล้ว"
"ว้าวพ่อพูดญี่ปุ่นคล่องปรื๋อเลย"
มิกิดีใจอีกแล้วเธอทำท่าปวดท้อง เลยขอเข้าห้องน้ำ พวกเราที่เหลือเลยออกมานั่งที่สวน เท็ตสึยังนั่งเงียบเช่นเคย จนฉันได้ยินเสียงมิกิร้องด้วยความตื่นเต้น
"ว้าย มีอีกคนล่ะ"
มิกิจูงมือ เมอิ ตามมาด้วย ท่าทางมิกิสนุกสนาน ส่วนเท็ตสึมองเห็นเมอิแล้วก็ตะลึงเหมือนกัน ฉันบอกเมอิไปว่าพวกเขาคือเพื่อนไม่ต้องกลัวด้วยภาษาไทย
" Hello, Glad to meet you."
เมอิยิ้มอาย และพวกเราก็คุยกับเมอิแต่เธอคงไม่เข้าใจหรอก คนที่สนุกที่สุดเห็นจะเป็นมิกิ
"สุดยอด หน้าตาน่ารักกว่าในภาพอีก ให้ตายเถอะ โซระสองคน โลกนี้โหดร้าย"
เท็ตสึที่นั่งนิ่งมาสักพักเขาเริ่มพูดด้วยความสุขุมเหมือนเคย
"เธอมีครอบครัวที่นี่แล้วนี่ เพราะอย่างนั้นเธอจะไม่กลับไปญี่ปุ่นกับพวกเรางั้นเหรอโซระ"
ทุกคนได้ยินอย่างนั้นแล้วนิ่งเงียบ ฉันรู้หรอกฉันอยู่ที่นี่ไม่ได้ แม้เมอิจะใจดีแต่ก็มีบางทีเราไม่เข้าใจกัน นี่ไม่ใช่บ้านของฉัน ฉันนิ่งฟังเท็ตสึพูดต่อ
"ที่นี่ไม่ใช่บ้านของเธอหรอกนะ"
เท็ตสึพูดถูกเสมอและมีเหตุผลตลอดเวลา ฉันไม่มีเหตุผลอะไรเลยที่จะแย้งเขาได้
"ใช่แล้วล่ะ ขอเวลาฉันสักพักนะ"
พอพวกมิกิกลับไปเมอิได้มานั่งข้างๆฉันเธอจะอยากรู้เรื่องราวของฉันใหมนะ จะอยากรู้เรื่องของแม่ใหมนะ เธอจำหน้าแม่ได้ใหมนะ ฉันจึงเล่าเรื่องของฉันให้ฟัง เธอเศร้าไปกับมัน
ถึงเวลาที่จะต้องลา เธอแล้ว และจะไม่มาอีก ฉันกอดเธอไว้ก่อนที่จะไม่ได้กอดเธออีกต่อไป
"เธอคือกระจกเงาที่สะท้อนทุกอย่างที่ตรงกันข้ามกับฉัน เมอิ"
"ขอบคุณนะ และลาก่อน อีกครึ่งหนึ่งของฉัน"
ในเช้าวันจันทร์เมอิไปโรงเรียนฉันจึงถือโอกาสลาพ่อของฉัน พ่อแท้ๆ
"หนูต้องกลับค่ะคุณพ่อ โซระคงไม่มาอีก แต่ก็ไม่แน่เหมือนกันเพราะวันข้างหน้าไม่มีอะไรแน่นอน"
"พ่อเข้าใจ พ่อขอโทษที่ปล่อยให้ลูกต้องลำบากมาตั้งนาน ขอให้โชคดี"
ก่อนฉันจะเดินออกมาฉันนึกขึ้นได้ เมอิกำลังจะสนิทกับฉัน แต่ตอนนี้เรากำลังจะแยกจากันเหมือนตอนสมัยเด็ก ฉันเลยล้วงเอารูปที่ไม่ได้ให้แม่ออกมาให้คุณพ่อ
"หนูคิดว่าเมอิคงจำหน้าแม่ไม่ได้แล้วฝากไว้ให้เธอด้วยนะคะ"
พ่อรับรูปไปฉันจึงหิ้วกระเป๋าขึ้นรถแทกซี่กลับมาเช็คเอาท์โรงแรม และพวกเราก็มาที่สนามบินสุวรรณภูมิ
"เฮ้อ วันแสนสุขมันสั้นเนาะเท็ตสึ แน่ะเงียบ คิดถึงเมอิน้องสาวของโซระใช่ใหมล่า"
มิกิพูดแหย่ทุกคนหัวเราะร่าเริง เท็ตสึทำท่าอารมณ์เสีย
"บ้าน่ะ ฉันน่ะกลัวโซระไม่กลับไปกลับพวกเรา โซระยังมีสัญญากับฉัน"
"อ้าว นี่คิดจริงจังขนาดนั้นเลยเหรอ นี่คิดบ้างใหมว่าโซระเขาจะขยะแขยงน่ะ"
มิกิพูดแต่ฉันรู้สึกอารมณ์ดีคงเพราะชีวิตนี้ไม่มีอะไรติดค้างแล้ว ก็เพราะพวกเธอนั่นแหละที่เคียงข้างฉันเสมอมมา
"ได้สิ เท็ตสึฉันรักษาสัญญาอยู่แล้ว"
"ห๊าาาา " มิกิร้องลั่น
ปุ่ง ปิ๊ง มีเมลล์เข้าฉันอ่านแล้วยิ้มออกมาอย่างดีใจ ก่อนจะเดินตามพวกมิกิไปขึ้นเครื่องบิน ฉันจะเซฟเมลล์นี้ลงไปในหัวใจของฉัน
..........................................................................................................
Name : Mei chan
subject: へ送る SoRa (ถึง SoRa)
私はあなたを愛しています. (ฉันรักคุณ)
..........................................................................................................
______________終わり(อวสาน)______________
หลังจากวันนั้นก็มีผู้ชายคนใหม่เข้ามาอยู่กับแม่ แม่ชอบตีฉันและด่าฉันด้วยเสียงอันดัง ไม่นานแม่ก็พาฉันมายังที่ที่แห่งหนึ่งแม่บอกให้เดินไปจุดในแผนที่ส่วนแม่จะไปรอที่นั่น แล้วเธอก็หายไปเลย ฉันคิดว่าฉันหลงทาง ฉันรออยู่ที่ในจุดที่แม่บอกไว้ นานมาก จนแม่ชีฮิโตมิเปิดประตูออกมาเจอกับฉัน ในตัวฉันไม่มีอะไรเลยนอกจากบัตรประจำตัวของฉันที่บ่งบอกว่าเป็นสัญชาติไทย ไม่มีใครติดต่อหาแม่ของฉันได้ ที่อยู่ที่ประเทศไทยของแม่ในบัตรเป็นที่อยู่ที่ไม่มีคนอยู่ และฉันก็ไม่รู้ว่าจะทำยังไงต่อไป ฉันจึงรออยู่ที่นี่ สถานสงเคราะห์ฮิโตมิ....
"อย่ามาตีซี้กับฉันนะยัยเด็กต่างด้าว"
ทุกคนในห้องหันมามองฉันที่นั่งตัวแข็งทื่อตรงหน้ามิกิที่เอามือปัดข้าวกล่องของฉันซะกระเด็นในตอนพักเที่ยง เธอชะงักนิดหน่อยตอนเห็นฉันยิ้มและเธอสะบัดหน้าเดินหนีไปปล่อยให้ฉันนั่งเก็บกวาด...
空の雲
Sora no kumo
เมฆหมอกของโซระ
สถานสงเคราะห์ฮิโตมิ มีแม่ชีฮิโตะมิเป็นผู้อำนวยการเธอมักจะบอกกับฉันเสมอว่า ญี่ปุ่นคือบ้านของฉัน
"ไม่ใช่ทุกคนที่จะมีชีวิตที่สดใสหากไม่มีพวกเธอสังคมก็จะไม่สมบูรณ์เพราะฉะนั้นจงเข้มแข็งเข้าไว้ที่นี่คือบ้านของเธอ พวกเราเป็นครอบครัว ใช่ใหม มิกิจัง โซระจัง" แม่ชีพูดกับฉันและฮิโตมิในขณะที่พวกเราทุกคนรวมตัวกันเพื่อฟังแม่ชีสอนศาสนา
"ฉันดีกับเธอก็ได้ แต่เธอต้องเป็นน้องสาวฉันนะฉันพูดอะไรต้องเชื่อฟัง" มิกิกระซิบข้างหูฉัน ท่ามกลางเพื่อนๆที่หัวเราะอย่างสนุกสนาน
"มิกิอายุน้อยกว่าโซระก็ต้องเป็นน้องสาวสิ"
"อย่ามายุ่งน่าพวกแก"
ฉันหัวเราะและยังเห็นแม่ชีฮิโตมิหัวเราะเบาๆด้วยทำให้ฉันรู้สึกลดความกังวลใจลง นั่นคือตอนที่ฉันหรือ โซระอายุ ห้าขวบ
ปีต่อมาฉันก็เข้าเรียนที่โรงเรียนประถมโดยมีแม่ชีเป็นผู้ปกครองเพราะฉันไม่ได้ใช้สัญชาติไทยซึ่งเธอโดนสัมพาทษ์หลายชั่วโมง
"เราจะส่งตัวเธอให้สถานทูตไทยดีใหมครับ พวกเขาจะจัดการเรื่องครอบครัวของเธอ"
"ไม่ คุณครูไม่เข้าใจ แม่ของเธอไม่มีอีกแล้ว เธอเกิดที่นี่ ที่ญี่ปุ่น ประเทศไทยไม่ใช่บ้านของเธอ เธอไม่เข้าใจในภาษาไทยเลยด้วยซ้ำ แม่เธอนำมาทิ้งไว้ก่อนเธอจะพูดชัดซะอีก ถ้าเราส่งเธอกลับจะเป็นยังไงคะ พวกเขาที่ทิ้งเธอจะต้อนรับเธออย่างงั้นหรือ"
ฉันซึ่งนั่งอยู่ข้างๆทึ่งและตื้นตันเธอมากที่แม่ชีออกมาต่อสู้เพื่อให้ฉันได้เรียนในโรงเรียนประถมของญี่ปุ่น ฉันนั่งเงียบ ครูก็เงียบเช่นกัน
"ผมเข้าใจแต่ที่นี่เป็นโรงเรียนรัฐบาลนะคุณ ผมหมายถึงเราไม่สามารถจัดการเรื่องทะเบียนบ้านและหมายเลขประจำตัวประชาชนได้ เอาอย่างนี้แล้วกันคุณควรส่งเธอไปเรียนโรงเรียนเอกชนที่เปิดรับคนต่างชาติก็แล้วกัน"
แม่ชีพาฉันออกมาจากโรงเรียนเธอยิ้มอย่างอ่อนโยนให้ฉันเหมือนเคย
"โซระไม่เรียนก็ได้ โรงเรียนเอกชนแพงมาก โซระช่วยงานคุณแม่ดีกว่า"
ฉันพูดซื่อๆตามประสาเด็กในตอนนั้น แต่แม่ชีก็ยังยืนกรานอย่างหนักแน่น
"พูดอะไรน่ะเด็กคนนี้ การเรียนคือทุกอย่างของเด็กในวัยแค่นี้นะ"
ฉันได้เรียนในโรงเรียนเอกชน ที่นี่เปิดรับชาวต่างชาติ ที่นี่ฉันเจอคนจากประเทศไทยเป็นครั้งแรกนอกจากแม่และน้องสาวของฉัน เธอเดินยิ้มเข้ามาพูดคุยกับฉัน
"dfgkjbhnrjbfgkbfgkhrk fgnfjghfkdk emnfve ?"
ฉันตกตะลึง คนสัญชาติเดียวกับฉันทำไมถึงพูดจากันไม่รู้เรื่องเลย ฉันเลยร้องให้ คนไทยคนนั้นเข้ามาพูดปลอบทันที
"ดเ้ดดิดิดิดหว สดาวด?""35dvnekldnvdd ์ฒ?์?๋ศษ๋ฒ"
ฉันฟังไม่รู้เรื่อง เขาพูดภาษาอะไรกัน นี่เหรอภาษาของประเทศที่ฉันถือสัญชาติอยู่ ยิ่งเขาพูดฉันยิ่งตื่นกลัว เขาโมโหฉันมากเลยเดินจากไป หลังจากนั้นครูก็โทรเรียกแม่ชีฮิโตมิมารับฉันกลับบ้าน พอฉันเห็นเธอฉันก็วิ่งเข้าไปหาทันที มิกิก็มาด้วย
"คุณแม่คะ โซระมาทำอะไรอยู่ที่นี่ ทำไมโซระไม่ไปเรียนที่โรงเรียนเดียวกันกับมิกิ"
ฉันเห็นแม่ชีทำท่าทางลำบาก เธอไม่ยิ้มเหมือนเคยจนกลับมาถึงสถานสงเคราะห์
"โซระ มาหาทางนี้สิมา"
ฉันเดินเข้าไปหาอย่างว่าง่าย เธอคว้าฉันเข้าไปกอด แล้วย่อตัวลงเพื่อคุยกับฉัน
"โซระอยากเจอคุณแม่ไหม"
ฉันพยักหน้า เธอคว้าตัวฉันเข้าไปกอด แน่น และเธอก็คลายกอดออก
"ประเทศไทย กับ ประเทศญี่ปุ่น โซระเลือกอยู่ที่ใหนจ๊ะ"
พอฉันได้ยินคำว่าไทย ฉันก็นึกถึงคนที่พูดฟังไม่ออกคนนั้น ฉันเริ่มกลัว ฉันจึงตอบว่า อยากอยู่ญี่ปุ่น โซระฟังภาษาไทยไม่ออก แม่ชีได้ยินอย่างนั้นเธอก็ยิ้มหวานให้ฉันอย่างเคย
"โซระเป็นคนญี่ปุ่นทั้งตัวและหัวใจ เพราะฉะนั้นโซระจะได้ไปเรียนกับมิกิ"
เย้ ฉันร้องอย่างดีใจแล้ววิ่งเข้าไปในสถานสงเคราะห์เพื่อไปบอกมิกิ และทุกๆคน
ปีนั้นแม่ชีฮิโตมิรับฉันเข้าสู่การอุปการะของเธอโดยตรงอย่างเป็นทางการตามกฎหมาย
+++++++++++++++++++++++++++++
ปี 2549 ฉันกับมิกิและเท็ตสึขึ้นประถมชั้นปีที่สอง มิกิก็ได้มีคู่สามีภรรยารับไปอุปการะ
"เท็ตสึ ฉันไม่อยู่แล้วนายดูแลโซระด้วย ถ้านายรังแกน้องสาวฉันฉันจะฆ่านาย"
เท็ตสึเด็กชายหน้าตาดีพวกเราสามคนเป็นคนที่มีอายุมากที่สุดในสถานสงเคราะห์ฮิโตมิ เท็ตสึมีท่าทีสุขุมเกินวัยอยู่เสมอ พวกเราทุกคนออกมาส่งมิกิที่หน้าสถานสงเคราะห์
"โซระ ฉันไปล่ะนะ และฉันจะมาที่นี่บ่อยๆเธอจะได้ไม่เหงา"
"เธอกับโซระก็เจอกันที่โรงเรียนทุกวันอยู่แล้วนี่หว่า"
เท็ตสึพูดออกมาทำให้มิกิกระฟัดกระเฟียด พวกเราหัวเราะร่าเริง
"มิกิ ฉันขอบคุณที่ดูแลฉันมาตลอด"
"มิกิจังมาเถอะจ้ะ"คูสามีภรรยาเรียกมิกิ เธอหันมามองพวกเราที่ยืนพร้อมเพียงอีกครั้ง แม่ชีฮิโตมิที่ตอนนี้ฉันเรียกเธอว่าแม่พูดกับทุกคนว่า
"ร้องเพลงส่งมิกิกันเถอะจ้ะ"
"อย่าร้องนะพวกบ้า"
พวกเราร้องเพลงโดยไม่สนคำปรามของมิกิ ทำให้มิกิจากไปด้วยรอยยิ้มและน้ำตา
ทุุกคนรักมิกิ เธอเปรียบเสมือนพี่ใหญ่ของพวกเรา
ในปี 2550 ฉันก็ได้เจอกับแม่แท้ๆของฉันอีกครั้ง
:::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::
ปี 2550 พวกเรามีคนรับไปอุปการะอยู่เรื่อยๆ จนจำนวนคนเริ่มลดลงไปบ้าง
"เท็ตสึ ทำไมนายไม่มีคนรับไปบ้าง"
"ไม่เอาหรอกแม่ของฉันมีแค่แม่ฮิโตมิคนเดียวเท่านั้น"
เท็ตสึหยุดพูดเมื่อเขาเห็นคนมาด้อมด้อมมองๆที่หน้าประตู ฉันจึงเดินไปพร้อมกับเท็ตสึ เธอคนนั้นเห็นฉันก็ดีใจ ฉันจำได้เธอคือ แม่ของฉันนั่นเอง แม่ที่ฉันจำไม่ได้แม้แต่ชื่อ
"โซระ ฦ์?ฬฒ.๋ษณซษฬ๋?ฬ์ฬซ?"
ฉันฟังไม่ออก เพราะพูดภาษาไทย ฉันจึงพูดกลับไปเป็นภาษาของฉัน
"ที่นี่ไม่มีคนชื่อโซระ"
ฉันวิ่งหนีมามันเกิดความรู้สึกประหลาดในใจของฉัน ฉันมาหลบในห้องนอนแล้วร้องให้ ในใจตูมตามด้วยจังหวะของหัวใจที่ถูกบีบรัด
"ตอนนี้เนี่ยนะ ทำไมมาเอาป่านนี้ ฉันเป็นสิ่งของเหรอไง นึกอยากจะเก็บคืนเมื่อไรก็ได้" ในใจมันตูมตามด้วยความน้อยใจแต่ใจยังหวังลึกถึงจะเพียงน้อยนิดว่าอยากให้เธอรับฉันกลับไป
ฉันได้ยินว่าเธอคนนั้นเข้ามาข้างในด้วย
และคุณแม่ฮิโตมิเข้ามาหาฉันในตอนเย็นส่วนฉันนั่งขดอยู่บนเตียงนอน
"เขาพูดว่าอย่างไรบ้างคะ คุณแม่"
คุณแม่ฮิโตมิมานั่งข้างๆฉันแล้วลูบผมของฉัน น้ำตาของฉันยังซึมอยู่
"เสียใจด้วยนะ เธอไม่ได้มารับโซระหรอกจ้ะ และฉันจะไม่ยอมให้ใครมาพรากลูกสาวที่น่ารักของฉันไปหรอก โดยเฉพาะคนที่ทิ้งเธอ"
ฉันกอดแม่ฮิโตมิแล้วร้องให้ ฉันไม่รู้จะทดแทนบุญคุณเธออย่างไรแล้วในตอนนี้
"เธออาศัยอยู่ที่ คาโงะชิมะ ถ้าโซระอยากพบกับเธอเป็นการส่วนตัว ฉันอยากให้โซระโตกว่านี้สักหน่อย แต่ถ้าโซระอยากไปฉันจะวางที่อยู่ไว้ตรงนี้"
แม่ฮิโตมิวางกระดาษที่เขียนแผนที่และที่อยู่ไว้บนเตียงแล้วกลับออกจากห้อง ฉันนั่งกอดเข่าแล้วมองปฎิทิน แล้วหยิบกระดาษแผ่นนั้นมาไว้ในมือ
วันต่อมาฉันนั่งรถประจำทางมาที่ สถานีฮะกะตะเพื่อขึ้นชินกังเซ็น เท็ตสึบ่นอุบ ส่วนมิกินั่งนิ่ง
"ว้า วันคริสต์มาสทั้งที ฉันอยากซื้อของขวัญให้คุณแม่(แม่ชีฮิโตมิ) แต่ต้องเอาเงินมานั่งรถไฟในวันหนาวๆเนี่ยนะ"
"เงียบน่ะ ได้เดทกับโซระทั้งที ดีใจซะสิ"
มิกิเอ็ดเท็ตสึเลยเงียบ เขานั่งหน้าเบ้ แต่ก็ยอมแต่โดยดี
"เชอะ เดทตอนนี้ฉันไม่ดีใจหรอก เอาอย่างนี้พอโซระขึ้นมอปลายเราค่อยไปเดทกันอีกรอบสัญญานะ"
"ได้ ฉันสัญญา"
"เอ่อ นี่พวกเธอ มิกิแค่พูดเล่นเล่นนะ"
พวกเราหัวเราะ ฉันตัดสินใจจะเอาของบางอย่างให้กับแม่คนแรกของฉันและจะไม่ยุ่งกับเธออีก ฉันอยากรู้แค่ว่าเธอสบายดีแค่นั้น แม้ในใจจะหวังลึกให้เขามาโอบกอด
นั่งรถไฟชั่วโมงกว่าการเดินทางที่ไกลมากสำหรับฉันในตอนนั้นพอลงจากสถานีฮะกะตะมาลงสถานีคาโงะชิมะจูโอ เราขึ้นรถประจำทางเพื่อมาลงยังสถานที่ที่เขียนไว้ในแผนที่ วันคริสต์มาส ผู้คนต่างอยู่กับบ้านเพื่อฉลองกับครอบครัว ฉันเห็นแม่ของฉันหิ้วของที่เหมือนซื้อจากห้างสรรพสินค้าเธอเดินกับชายคนนั้น ฉันจึงวิ่งตามไปแต่ต้องหยุดอยู่กับที่
แม่กำลังอุ้มเด็กอายุประมาณขวบเศษ เท็ตสึและมิกิวิ่งตามมาพวกเราเห็นทั้งหมด มิกิเดินมาปลอบใจ
"ไม่เป็นไรน่ะโซระ เธอมาเพื่อมอบของขวัญไม่ใช่เหรอ"
"อื้ม ใช่แล้ว"
พวกเราเดินตามพวกเขามาในภายหลัง บ้านของแม่ฉันกำลังฉลอง หิมะตกลงมาในวันอันหนาวเหน็บ ฉันหน้าชาและเหมือนไฟฟ้าช็อตเมื่อเห็นภาพในบ้านผ่านหน้าต่างกระจก
เขาฉลองกัน ป้ายติดอยู่ข้างฝา มันเขียนว่ายินดีครบรอบหนึ่งขวบ สึคุโยะ
แม่ของฉันอุ้มและหอม ยิ้มถ่ายรูปด้วยกัน แต่ฉันกลับเจ็บตรงที่แผลเก่า
แผลที่เคยโดนแม่ทำร้าย
"โอ้ย โอ้ย มิกิฉันไม่ไหวแล้ว"
"โซระ เป็นอะไร เท็ตสึมานี่เร็ว"
ฉันเจ็บปวดในหัวใจอย่างมาก จนส่งผลกระทบถึงความรู้สึก ฉันร้องด้วยความเจ็บปวดทุกครั้งที่คิดถึงวันที่เคยได้รับจากแม่
มันคือความเจ็บปวดจากฝ่ามือ และแส้ มันต่างจากความรักที่ลูกคนใหม่ของเธอได้รับเหลือเกิน หึ สึคุโยะงั้นเหรอ เธอได้ทุกอย่างไปจากชีวิตฉันเรียบร้อยแล้วสึคุโยะ
ฉันยืนไม่ไหวจนต้องคุกเข่าลงกับพื้นหิมะ เท็ตสึพยุงฉันขึ้น
"ไม่ว่าเธอจะว่ายังไง ฉันต้องให้เธอหยุดแค่นี้ ผู้หญิงคนนั้นไม่ใช่คุณแม่ของเธออีกต่อไปแล้ว เธอกำลังทำให้มิกิ กับฉัน รู้สึกแย่ตามเธอไปด้วย"
ฉันมองหน้าทุกคน ทุกคนต่างกำลังเศร้าสร้อย และเจ็บปวด ใช่สิ จริงด้วย
พวกเราคือเด็กกำพร้าและมีประสบการณ์ถูกทอดทิ้ง
พวกเราสามคนนั่งชินกังเซ็นกลับโดยไม่มีใครพูดคุยอะไรกันเลย
+++++++++++++++++++++++++++++++
ปี 2554 โซระ มิกิ เท็ตสึ ขึ้นชั้นมัธยมต้นปีที่1
พวกเราในสถานสงเคราะห์เลี้ยงฉลอง มีเด็กถูกทอดทิ้งเข้ามาใหม่แต่ที่นี่ไม่ได้มีแต่คุณแม่ฮิโตมิอีกแล้ว พวกเราโตขึ้น และพร้อมเป็นพี่เลี้ยง และมอบความฝันความวังให้พวกเขาเหมือนที่พวกเราเคยได้รับฉันไม่ได้คิดถึงแม่คนเก่าอีกต่อไป แต่คุณแม่ฮิโตมิก็เดินมาบอกฉันเป็นการส่วนตัว
"แม่ของเธอเสียชีวิตแล้วด้วยอุบัติเหตุทางรถยนต์"
"งั้นเหรอคะ โชคไม่ดีซะเลยน๊า ฉันเลยไม่ได้มอบสิ่งนี้ให้แก่เธอ"
ฉันล้วงมันออกมา มันเป็นรูปถ่ายที่ถ่ายรวมครอบครัวเก่าของฉัน มีพ่อและแม่มีฉันและน้องสาวฝาแฝดของฉัน
"ฉันอยากให้เธอรับรู้ว่าเธอไม่ได้มีแค่ฉันเท่านั้นที่เธอทอดทิ้ง ยังมีตัวโซระอีกครึ่งหนึ่งที่อยู่ประเทศไทยด้วยเช่นกัน"
คุณแม่ฮิโตมิหัวเราะ ฉันก็ขำหน่อยๆด้วย
"โซระอีกครึ่งหนึ่งงั้นเหรอ แล้วโซระคนนี้อยากรู้หรือเปล่าล่ะว่าโซระที่ประเทศไทยมีชีวิตความเป็นอยู่อย่างไร"
"มันคงเกินกำลังที่หนูจะดั้นด้นค้นหาแล้วล่ะ หนูไม่รู้ด้วยซ้ำว่าพวกเขาอยู่ที่ใหน"
ฉันอยากรู้เหมือนกัน แต่ไม่รู้จริงๆว่าจะหาเธอพบได้ยังไง ชื่อของเธอชื่อว่ายังไงนะ เมอิ จำได้แล้ว เพราะในห้วงแห่งกาลเวลาความทรงจำฉันเหมือนรู้สึกว่าพ่อเรียกเธอว่าอย่างนั้น
แต่ก็รู้แค่นี้อยู่ดี ไม่มีใครให้สอบถามแล้วล่ะนะ
PPPPPPPPPPPPPPPPPPPPPPPPPPPPPPPPPPPPPP
พอขึ้น ปี3 พวกเขาในสถานสงเคราะก็ทึ่งในคะแนนสอบของฉัน
"โฮ๊- ภาษาญี่ปุ่นใหม่ 98 คะแนน สังคม 95 คะแนน สุดยอด เธอทำได้ดีกว่าคนญี่ปุ่นแท้ๆเลยนะเนี่ย"
มิกิทำตาโตแล้วหลบคะแนนสอบไว้ข้างหลัง เท็ตสึดึงมันออกมาจนได้
"อะไรเนี่ยคนญี่ปุ่นแท้ๆทำคะแนนไม่ถึง70คะแนนเลยด้วยซ้ำทุกวิชาเลยด้วย"
ทุกคนหัวเราะร่าเริง มิกิพยายามแย่งมันคืนมา เท็ตสึนึกขึ้นได้ จึงปล่อยให้มิกิแย่งมันกลับไป เขาวางรูปภาพใบใหญ่ไว้บนโต๊ะ
" แต่โซระตรงนี้มีแค่ครึ่งเดียวใช่ใหม แล้วคิดว่าโซระอีกคนจะเก่งในด้านใหนกัน โซระเธออยากรู้ใหมล่ะ"
ในรูปภาพบรรยายว่า "อัจฉริยะไทยวัยเยาว์ ชิงแชมป์คณิตศาสตร์โลกที่อเมริกาอันดับหนึ่ง เมอิ สาวไทยเก่ง ทำให้เอเชียภูมิใจไปด้วย....."
รูปในนั้น เหมือนโซระทุกอย่าง หน้าตา รูปร่าง แตกต่างกันแค่ทรงผมแค่นั้น
"เมอิ ฉันพบเธอแล้ว"ฉันปิดปากสะอื้น
มิกิ และทุกคน รวมทั้งคุณแม่ฮิโตมิด้วยเช่นกันต่างยืนมองดูรูปนั้นด้วยความประหลาดใจ
"มันจะมีความบังเอิญขนาดนี้อีกใหม"เท็ตสึเสริมขึ้นอีก
"ความบังเอิญไม่มีอยู่จริง" คุณแม่พูดขึ้นอีก ฉันเข้าใจแต่การเดินทางไปต่างประเทศมันต้องใช้เงินเยอะ
"โซระอีกคนเหรอ เรารู้นะว่าเธอมีน้องสาวฝาแฝดแต่คนน่ารักมีถึงสองคนมันก็โหดร้ายสำหรับคนหน้าตาธรรมดาอย่างฉันแย่เลย ฉันอยากเห็นกับตาจังเลย"
มิกิยิ้มพลางลูบแก้ม คุณแม่ฮิโตมิมองพวกเราแล้วยิ้ม
"ถ้าพวกเธอเรียนจบ มอต้น ฉันจะอนุญาติให้เดินทางออกนอกประเทศได้ แต่ต้องเก็บเงินให้ลำบากฉันน้อยที่สุด ถ้างั้นคนที่จะจบมอต้นก็จะมีแค่ 6คน ยังงั้นสินะ พยายามเข้าล่ะ โซระ"
ฉันยิ้ม และรู้สึกรักคุณแม่คนนี้มากมายเหลือเกินขอบคุณค่ะ
ฉันเรียนไปด้วย ช่วยงานที่สถานสงเคราะด้วย เก็บเงินและอดออม ฉันอยากเจอจังเลย อยากเห็นเต็มสองตาว่าครึ่งหนึ่งของฉันมีความสุขแค่ใหน แตกต่างกับฉันแค่ใหน
ตอนฉันเรียนจบมอต้น ฉันเก็บตังค์ได้ 112,163 เยนไม่รู้เหมือนกันว่ามันจะพอรึเปล่าแต่เต็มที่แล้ว
"โอ้โห โซระเก็บเงินได้เยอะมาก"มิกิทำตาโตอีกแล้ว ส่วนเท็ตสึเฉยๆ
"มิกิเก็บได้ 60,000 เยน ส่วนฉันเก็บได้ 300,000 เยน"
"เฮ้ย นายเลิกแอบดูของคนอื่นซะที แต่ทำไมเท็ตสึเก็บได้เยอะจังฟะ"
มิกิบ่นอุบ ส่วนอีกสามคนที่เหลือเก็บได้คนละเก้าหมื่นเยน เราหกคนรวมเงินกันได้ประมาณ ล้านสี่แสนเยน คุณแม่ฮิโตมิ นั่งมองพวกเราด้วยรอยยิ้ม
"พวกเธอพยายามได้ดีมาก พวกเธอเก็บส่วนที่พวกเธอเก็บได้เอาไว้ใช้จ่ายส่วนตัว ส่วนค่าเครื่องบินฉันจะเป็นคนจัดการเอง ส่วนโซระฉันขอบอกว่า เพื่อเป็นการมอบของขวัญให้เธอที่เรียนจบมอต้นมาได้ จากตอนนั้นจนถึงตอนนี้เธออยู่ที่ญี่ปุ่นมาถึง10ปีแล้วในการอุปการะของฉัน ฉันจึงทำเรื่องขอสัญชาติญี่ปุ่นให้แก่เธอแล้ว"
ทุกคนต่างปรบมือและร้องดีใจส่วนฉัน ยิ้มอย่างเล็กๆแต่ข้างในดีใจอย่างมากในที่สุดฉันก็ไม่แตกต่างจากมิกิ เท็ตสึ และคนอื่นๆแล้ว
"ขอบคุณค่ะ คุณแม่"
ฉันขอบคุณเธออย่างซาบซึ้งและจริงใจ และทุกคนก็ลุกขึ้นพร้อมกันและโค้งอย่างสวยงาม
"ขอบคุณครับ/ค่ะ คุณแม่"
พวกเราพร้อมออกเดินทางในอีกสองเดือนข้างหน้า
::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::
พวกเราขึ้นเครื่องบินมาลงที่สนามบินสุวรรณภูมิ มิกิ และคนอื่นต่างตื่นเต้นในการเดินทางมาต่างประเทศครั้งแรก
พวกเท็ตสึและมิกิไปเช็คอินที่โรงแรม พอเช็คอินเสร็จฉันก็ขอออกมาคนเดียว
"จะดีหรือโซระ นี่ไม่ใช่ คาโงะชิมะ นะ ให้เท็ตสึไปด้วยสิ"
ฉันรู้ว่ามิกิเป็นห่วงแต่มันไม่ไกลจากโรงแรมและอยู่ในเขตตัวเมืองและฉันอยากไปพบด้วยตัวฉันเอง
"โธ่ถ้างั้น ฉันจะโทรหาทุกสามสิบนาทีนะ เธอก็โทรกลับมาทุกสิบห้านาทีด้วยนะ"
ฉันรับปาก และเรียกแท็กซี่ เท็ตสึดึงฉันไว้
"เธอพูดภาษาไทยได้เหรอ โซระ"
"อ๋อ ฉันใช้เครื่องแปลภาษาน่ะ ไม่ต้องห่วงนะ"
รถแทกซี่มาจอดหน้าบ้านที่ดูกว้างใหญ่ แม้ตัวบ้านจะไม่ใหญ่มากแต่ฉันรู้สึกโล่งมากกว่าญี่ปุ่นที่แออัด และวันนั้นฉันก็ได้พบ เมอิ เธอเข้ามาทักฉันก่อน
" Excuse me, Can I help you.?"
เธอมาในชุดนักเรียนสีขาวสะอาด ผมซอยสไลด์ปกหู ตากลมแบ๊วและไม่มีเครื่องสำอางค์ สิ่งที่ฉันคิดได้ตอนนั้นคือพุ่งเข้ากอดเธอ ด้วยความคิดถึง
"เจอเธอสักที นี่ฉันเอง ฉันเป็นพี่สาวของเธอ"
เธอทำท่าดีใจ วันนั้นหลังจากที่ฉันโทรรายงานมิกิ คุณแม่คนที่สามและพวกเพื่อนๆแล้วก็เผลอหลับไปบนเตียงนอนของเมอิน้องสาวของฉัน เหมือนความฝันฉันได้ยินเสียงเมอิเรียกฉันเป็นภาษาญี่ปุ่น
"พี่จ๋า"
"จ๋า"
ฉันก็ได้ตอบกลับไป เป็นความสั้นสั้นๆที่มีความสุขมากมันเหมือนความฝันที่กลายเป็นจริง นี่หรือคำว่า ครอบครัวมันมีความสุขเหลือเกิน
จนวันไกล้ครบกำหนด มิกิ เท็ตสึก็ได้บุกมาหาฉันถึงบ้านเพราะฉันไม่ยอมกลับโรงแรมเลย พ่อของฉันออกไปต้อนรับ
"ยินดีต้อนรับทุกๆคน โซระเล่าให้ฟังแล้ว"
"ว้าวพ่อพูดญี่ปุ่นคล่องปรื๋อเลย"
มิกิดีใจอีกแล้วเธอทำท่าปวดท้อง เลยขอเข้าห้องน้ำ พวกเราที่เหลือเลยออกมานั่งที่สวน เท็ตสึยังนั่งเงียบเช่นเคย จนฉันได้ยินเสียงมิกิร้องด้วยความตื่นเต้น
"ว้าย มีอีกคนล่ะ"
มิกิจูงมือ เมอิ ตามมาด้วย ท่าทางมิกิสนุกสนาน ส่วนเท็ตสึมองเห็นเมอิแล้วก็ตะลึงเหมือนกัน ฉันบอกเมอิไปว่าพวกเขาคือเพื่อนไม่ต้องกลัวด้วยภาษาไทย
" Hello, Glad to meet you."
เมอิยิ้มอาย และพวกเราก็คุยกับเมอิแต่เธอคงไม่เข้าใจหรอก คนที่สนุกที่สุดเห็นจะเป็นมิกิ
"สุดยอด หน้าตาน่ารักกว่าในภาพอีก ให้ตายเถอะ โซระสองคน โลกนี้โหดร้าย"
เท็ตสึที่นั่งนิ่งมาสักพักเขาเริ่มพูดด้วยความสุขุมเหมือนเคย
"เธอมีครอบครัวที่นี่แล้วนี่ เพราะอย่างนั้นเธอจะไม่กลับไปญี่ปุ่นกับพวกเรางั้นเหรอโซระ"
ทุกคนได้ยินอย่างนั้นแล้วนิ่งเงียบ ฉันรู้หรอกฉันอยู่ที่นี่ไม่ได้ แม้เมอิจะใจดีแต่ก็มีบางทีเราไม่เข้าใจกัน นี่ไม่ใช่บ้านของฉัน ฉันนิ่งฟังเท็ตสึพูดต่อ
"ที่นี่ไม่ใช่บ้านของเธอหรอกนะ"
เท็ตสึพูดถูกเสมอและมีเหตุผลตลอดเวลา ฉันไม่มีเหตุผลอะไรเลยที่จะแย้งเขาได้
"ใช่แล้วล่ะ ขอเวลาฉันสักพักนะ"
พอพวกมิกิกลับไปเมอิได้มานั่งข้างๆฉันเธอจะอยากรู้เรื่องราวของฉันใหมนะ จะอยากรู้เรื่องของแม่ใหมนะ เธอจำหน้าแม่ได้ใหมนะ ฉันจึงเล่าเรื่องของฉันให้ฟัง เธอเศร้าไปกับมัน
ถึงเวลาที่จะต้องลา เธอแล้ว และจะไม่มาอีก ฉันกอดเธอไว้ก่อนที่จะไม่ได้กอดเธออีกต่อไป
"เธอคือกระจกเงาที่สะท้อนทุกอย่างที่ตรงกันข้ามกับฉัน เมอิ"
"ขอบคุณนะ และลาก่อน อีกครึ่งหนึ่งของฉัน"
ในเช้าวันจันทร์เมอิไปโรงเรียนฉันจึงถือโอกาสลาพ่อของฉัน พ่อแท้ๆ
"หนูต้องกลับค่ะคุณพ่อ โซระคงไม่มาอีก แต่ก็ไม่แน่เหมือนกันเพราะวันข้างหน้าไม่มีอะไรแน่นอน"
"พ่อเข้าใจ พ่อขอโทษที่ปล่อยให้ลูกต้องลำบากมาตั้งนาน ขอให้โชคดี"
ก่อนฉันจะเดินออกมาฉันนึกขึ้นได้ เมอิกำลังจะสนิทกับฉัน แต่ตอนนี้เรากำลังจะแยกจากันเหมือนตอนสมัยเด็ก ฉันเลยล้วงเอารูปที่ไม่ได้ให้แม่ออกมาให้คุณพ่อ
"หนูคิดว่าเมอิคงจำหน้าแม่ไม่ได้แล้วฝากไว้ให้เธอด้วยนะคะ"
พ่อรับรูปไปฉันจึงหิ้วกระเป๋าขึ้นรถแทกซี่กลับมาเช็คเอาท์โรงแรม และพวกเราก็มาที่สนามบินสุวรรณภูมิ
"เฮ้อ วันแสนสุขมันสั้นเนาะเท็ตสึ แน่ะเงียบ คิดถึงเมอิน้องสาวของโซระใช่ใหมล่า"
มิกิพูดแหย่ทุกคนหัวเราะร่าเริง เท็ตสึทำท่าอารมณ์เสีย
"บ้าน่ะ ฉันน่ะกลัวโซระไม่กลับไปกลับพวกเรา โซระยังมีสัญญากับฉัน"
"อ้าว นี่คิดจริงจังขนาดนั้นเลยเหรอ นี่คิดบ้างใหมว่าโซระเขาจะขยะแขยงน่ะ"
มิกิพูดแต่ฉันรู้สึกอารมณ์ดีคงเพราะชีวิตนี้ไม่มีอะไรติดค้างแล้ว ก็เพราะพวกเธอนั่นแหละที่เคียงข้างฉันเสมอมมา
"ได้สิ เท็ตสึฉันรักษาสัญญาอยู่แล้ว"
"ห๊าาาา " มิกิร้องลั่น
ปุ่ง ปิ๊ง มีเมลล์เข้าฉันอ่านแล้วยิ้มออกมาอย่างดีใจ ก่อนจะเดินตามพวกมิกิไปขึ้นเครื่องบิน ฉันจะเซฟเมลล์นี้ลงไปในหัวใจของฉัน
..........................................................................................................
Name : Mei chan
subject: へ送る SoRa (ถึง SoRa)
私はあなたを愛しています. (ฉันรักคุณ)
..........................................................................................................
______________終わり(อวสาน)______________
คำยืนยันของเจ้าของเรื่องสั้น
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ