เรื่องที่หก : บูมเมอแรง

8.2

เขียนโดย larceta

วันที่ 28 เมษายน พ.ศ. 2557 เวลา 18.28 น.

  8 ตอน
  9 วิจารณ์
  11.65K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 28 เมษายน พ.ศ. 2557 20.32 น. โดย เจ้าของเรื่องสั้น

แชร์เรื่องสั้น Share Share Share

 

6) หก

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

     หลังจากวันนั้น  มีหลายครั้งเหมือนกันที่ในสมองผมผุดเรื่องราวขึ้นมาในความคิด ซึ้งยิ่งคิดผมก็ยิ่งรู้สึกแปลกใจ ผมไม่เข้าใจเลยว่าทำไมวันนั้นตำรวจถึงสอบสวนพวกเราด้วยกันก่อนจะแยกห้อง  แล้วทำไมช็อตถึงยอมรับคำโกหกของผม  ทั้งๆหากโต้แย้งสักหน่อย  เขาก็น่าจะลากผมให้ไปอยู่ด้วยกันในสถานพินิจกับเขาได้แต่เขาก็ไม่ทำ   ซึ่งด้วยเหตุที่คนที่จะตอบคำถามนั้นไม่อยู่แล้ว  ผมจึงได้แต่เก็บคำถามนี้ไว้ในใจ

     แม้จะรู้ว่าไม่ดีและอาจจุดชนวนความแค้นให้เกิดขึ้น  แต่หากนั่นจะทำให้คำถามที่ค้างคาใจมากกว่า 15 ปีนี้จะได้รับคำตอบ   ผมก็คิดว่ามันคุ้มที่จะเสี่ยง

     "ทำไมวันนั้น  แกถึงยอมรับว่ามีดเป็นของแกวะ"

     คำถามของผมทำให้ช็อตที่กำลังดื่มเบียร์อยู่ต้องชะงักมือ  ก่อนเอนหน้ามองมาทางผม

     "นี่แกยังติดใจเรื่องนี้อยู่อีกเหรอ"

     "ติดใจสิ" ผมตอบ "ทั้งๆที่จะโต้แย้งก็ได้  แล้วยังเป็นโอกาสที่อาจทำให้ฉันต้องตกอยู่ในสถานภาพเดียวกับแกด้วย  แต่แกกลับปล่อยให้ตัวเองต้องรับความผิดเรื่องนี้ไปคนเดียว ...แกทำแบบนั้นไปทำไมวะ"

     ช็อตหลุบตาลงมองที่กระป๋องเบียร์ จ้องอยู่นานมากกว่าจะตอบออกมาได้

     "ไมรู้สิ คงเพราะรู้ตัวว่าแกกับฉันมันต่างกันละมั้ง"

     "อะไรนะ?"  

     ผมถึงกับอุทานด้วยคำตอบของช็อต

     เขาถอนหายใจครั้งหนึ่งแล้วพูดต่อว่า "อย่างที่เห็น  แกน่ะตอนนั้นเป็นพวกเด็กเรียนดีหัวแถว  ส่วนฉันน่ะมันพวกเด็กเกร้อยแต้ม คำพูดของฉันกับแก  เทียบน้ำหนักดูก็รู้แล้วว่าตำรวจจะเชื่อใคร"

     "แต่ก็ไม่ได้หมายความแกจะพูดไม่ได้นี่นา" ผมบอก "ถ้าแกบอกว่านั่นเป็นมีดของฉัน  ตำรวจก็จะต้องสืบสาวไปว่ามีดนี้ซื้อมาจากที่ไหน  ซึ่งพอสืบไปแบบนั้น  ยังไงตำรวจก็ต้องรู้ว่าคนที่ซื้อมีดคือฉัน ไม่ใช่แก...แล้ว"

     "แล้วถ้าเป็นแบบนั้นมันจะต่างกันด้วยเหรอ?" ช็อตต่อคำพูดของผมด้วยคำถาม "ถ้าฉันตอบไปแบบนั้นแล้วตำรวจสืบได้ความจริง ผลที่ออกมาก็แค่แกที่อาจจะได้ไปอยู่สถานพินิจกับฉัน ไม่ได้แปลว่าฉันจะรอดพ้นความผิดไปได้สักหน่อยนี่หว่า ...บอกตามตรงเลยนะว่าตอนนั้นน่ะ ฉันเองก็เกลียดแกเข้าใส้พอๆกับที่รู้ว่าแกเกลียดฉัน  เราที่ต่างคนต่างเกลียดกันจนไม่อยากเห็นหน้ากันแบบนี้  จะหาเรื่องให้ได้ไปอยู่ด้วยกันทำซากอะไรวะ"

     คำตอบของซ็อตทำให้ผมตกตะลึง  คิดไม่ถึงเลยว่าจะมีคนที่คิดแบบนี้อยู่ด้วย ตอนนั้นในขณะที่ผมกำลังโป้ปดเอาตัวรอดด้วยความหวาดกลัว  อีกฝ่ายกลับใจเย็นและคิดถึงทางออกของตัวเองเอาไว้แล้ว  แม้ว่ามันจะไม่ได้เป็นคำตอบที่ควรจะชื่นชม  แต่เทียบกันแล้ว  เขาคือคนกล้าหาญในขณะที่ผมเป็นไอ้ขีขลาดตาขาวที่สมควรโดนประนาม

 

      ช็อตยกเบียร์ดื่มจนหมดกระปองแล้วบี้มันเป็นก้อนเก็บใส่ถุง  จากนั้นก็หันมาพูดกับผมต่อว่า

     "ก็ดีแล้วล่ะนะที่แกย้ายมากลับมาอยู่บ้าน เพราะพักนี้มีแต่คนย้ายเข้าไปทำงานในเมืองกันหมด  จนคนรุ่นๆพวกเราแทบจะเหลือในหมู่บ้านแล้ว  พอมีแก  อย่างน้อยฉันจะได้มีคนรุ่นเดียวกันคุยบ้าง" ช็อตตบไหล่ผมแล้วลุกขึ้นเตรียมจะกลับ "บ้านฉันตอนนี้ย้ายมาอยู่ตึกแถวหน้าสถานีอนามัยแล้ว มีร้านซ่อมเครื่องไฟฟ้าอยู่ร้านเดียวนั่นแหละ  ว่างๆก็เข้าไปเล่นได้"

     ผมพยักหน้าตอบรับคำพูด  ซึ่งมาคิดดูแล้วก็รู้สึกว่ามันแปลกๆอยู่เหมือนกัน  นอกจากที่ผมกับเขาจะไม่ได้เจอกันมาสิบกว่าปีแล้ว  ความทรงจำที่มีร่วมกันของพวกเรายังไม่ใช่เรื่องดีอีกต่างหาก  แบบนั้นแล้ว  เราจะมีอะไรให้คุยกันได้อีกหรือ  

     ทว่าหลังจากนั้นในวันหยุดถัดมา ผมไปหาเขาที่บ้าน ร้านซ่อมเครื่องไฟฟ้าที่รกรุงรังจนแทบไม่มีที่นั่ง  ดังนั้น หากไม่เอาโต๊ะพับมากางหน้าร้าน เขาก็จะปิดร้านแล้วเราทั้งคู่กันจะนั่งคุยกันที่ริมน้ำ  มีเบียร์เป็นสารหล่อลื่นบทสนทนา  แน่นอน  เริ่มแรกๆก็ดูจะฝืดๆไปบ้าง  โดยเฉพาะทางผมที่ยอมรับว่ายังรู้สึกหวาดๆเขาอยู่ ทว่าหลังจากนั้น  อะไรๆก็เริ่มจะคล่องตัวลื่นไหล ช่วงเวลา 15 ปีที่ไม่ได้เจอกันถูกเติมเต็มอย่างช้าๆ เขาฟังเรื่องในรั้วมหาวิทยาลัยของผม ผมฟังเรื่องในทัณฑสถานของเขา เขาฟังเรื่องชีวิตการทำงานของผม  ผมฟังชีวิตหลังออกจากทัณฑสถานของเขา ผมเล่าให้เขาฟังเรื่องผู้หญิงที่ผมเกือบจะได้แต่งงานด้วย เขาก็เล่าให้ผมฟังเรื่องที่เขาเลิกกับภรรยาแล้วต้องแยกจากลูก ผมเล่าให้ฟังเรื่องอาการป่่วยที่เป็นสาเหตุที่ทำให้กลับมาอยู่บ้าน  เขาเล่าให้ฟังเรื่องการเปลี่ยนแปลงในระแวกนี้ในรอบ 15 ปีว่ามีอะไรบ้าง ขณะที่ผมเริ่มกลายเป็นคนที่ห่ามขึ้น ความห่ามในตัวเขากลับค่อยๆลดลงไป เทียบกันแล้ว ชีวิตของเขาที่ผ่านมานั้นโลดโผนราวกับนวนิยายที่เอาเป็นสร้างเป็นละครได้สบายๆ เขามีจุดต่ำสุดของชีวิตและมีเหตุการณ์ที่ดึงตัวเองกลับขึ้นมาได้ ขณะที่ชีวิตของผมเปรียบไปก็คล้าบกับเป็นหนังสือเรียนที่ค่อนข้างจะน่าเบื่อไปหน่อย แต่กระนั้น  ช๊อตก็ฟังเรื่องราวของผมอย่างสนใจใคร่รู้อย่างมาก

     "น่าเสียดายว่ะที่แกไม่ได้แต่งงาน" เขาบอก "การแต่งงานน่ะ สำหรับฉัน มันคือจุดเปลี่ยนชีวิตเลย  ยิ่งถ้ามีลูกด้วยนะ  ชีวิตแกจะเปลี่ยนไปจนจำเค้าไม่ได้เลยล่ะ"

     "ถ้ามันดีแบบนั้นแล้ว  ทำไมถึงเลิกกันล่ะวะ" ผมถาม

     "อันนี้ก็ไม่รู้ว่ะ" ช็อตส่ายหน้า "...คงเพราะ  แยกกันอยู่แล้วมันสบายใจกว่าอยู่ด้วยกันละมั้ง"

     "แยกกันมันจะดีกว่าได้ไงวะ" ผมแย้ง

     ช็อตส่ายหน้าอีกครั้ง ยาวกว่าเดิม "แกไม่เข้าใจว่ะ" เขาบอก "แกจะไม่มีทางเข้าใจเรื่องนี้ได้หรอกจนกว่าแกจะได้แต่งงานมีครอบครัว  บางครั้งน่ะ  เราก็ต้องเสียสละอะไรบางอย่างเพื่อรักษาความสัมพันธ์เอาไว้ การฝืนรังไว้เสียอีกที่อาจทำให้ความสัมพันธ์พังทลาย โอเคว่าเมียฉันอาจจะไปแต่งงานใหม่แล้วกลายเป็นเมียคนอื่น  แต่ลูกฉัน ยังไงก็ยังเป็นลูกฉันไม่เปลี่ยนแปลง..."

     ผมได้เพียงรับฟังเรื่องที่ช็อตเล่าเงียบๆ  เขาพูดถูก  ผมที่ไม่เคยใช้ชีวิตคู่หรือมีลูกไม่มีทางเข้าใจเหตุผลนี้ได้เลย  

     เมื่อถึงเวลาที่ดวงตะวันกำลังจะทิ้งตัวลงที่ปลายน้ำ  พวกเราก็ลุกขึ้นจากริมตลิ่งซึ่งตอนนั้นมีน้ำเต็มคลอง กลับไปที่รถแล้วเตรียมกลับบ้าน

     ทว่าในวันนั้นซึ่งผมจำได้ว่าเป็นครั้งที่ห้าที่พวกเรามานั่งคุยกันที่นี่ ก่อนที่เราจะหลับ ผมได้ถามคำถามออกไป คำถามที่ผมคิดจะถามมานาน

     "ช็อต นี่แกยังโกรธฉันเรื่องเมื่อตอนนั้นอยู่หรือเปล่าวะ"

     ช็อตถึงกับชะงักมือที่กำลังจะคล้องสายหมวกกันน็อค ก่อนจะตอบออกมาด้วยคำถามว่า "แกหมายถึง  เรื่องมีดนั่นน่ะเหรอ"

 

     ผมพยักหน้า ไม่พูดอะไรเพิ่มเติมเพราะรู้ว่าตัวเองได้สื่อความหมายของคำถามครบถ้วนแล้ว

 

     ช็อตคิดอยู่พักหนึ่งก่อนจะถามกลับมาอีกครั้ง "แล้วแกล่ะ  ยังโกรธฉันเรื่องไถตังอยู่หรือเปล่า?"

     ผมตกใจไม่น้อยกับคำถามนั้น แต่ก็พยายามสตินึกถึงความรู้สึกในตอนนั้น แต่เพราะเวลาที่ผ่านไปนานเกือบ 15 ปีบวกกับมีเรื่องที่ใหญ่กว่าเกิดขึ้น ทำให้ผมนึกไม่ออกแล้วว่าความรู้สึกตอนนั้นเป็นยังไง

     สุดท้าย ผมก็ได้ส่ายหน้าแล้วตอบไป "นึกไม่ออกแล้วว่ะ"

     "ฉันก็เหมือนกัน" เขาตอบ "ก็นะ  เรื่องมันตั้งสิบกว่าปีมาแล้ว แถมฉันเองหลังจากนั้นก็มีเรื่องให้ต้องถูกส่งไปสถานพินิจอีกหลายครั้ง จนเหมือนเป็นบ้านหลังที่สองไปเลยล่ะ แบบนั้นแล้วใครจะไปจำได้ล่ะว่าความรู้สึกตอนนั้นมันเป็นแบบไหน"

     เขาขึ้นนั่งบนรถแล้วสตาร์ทเครื่อง  ผมเห็นดังนั้นก็กลับมาที่รถของตัวเองเพื่อเตรียมจะกลับเช่นกัน

     แต่ก่อนผมจะออกรถ ช็อตก็ขี่รถมาขนาบข้างผมแล้วบอกกับผมว่า

     "ตอนนี้ ในหมู่บ้านนี่ คนที่รุ่นเดียวกับฉันก็เหลือแค่แกคนเดียวแล้วว่ะ ขืนมาโกรธมาเกลียดกันอีก  แล้วฉันจะเหลือเป็นเพื่อนให้คุยละวะ"

     พูดแล้วช็อตก็ขับรถออกไปโดยทิ้งผมที่ตั้งตัวไม่ทันให้ยืนอึ้งอยู่ ผมต้องถึงกับพูดไม่ออก นานที่เดียวกว่าขยับใบหน้าพยักหน้าตอบไปได้ ซึ่งตอนนั้น มอเตอร์ไซค์ของช็อตก็วิ่งนำหน้าไปไกลแล้ว

     ผมเอง...ก็คิดเหมือนกับเขาเช่นกัน

 

 

คำยืนยันของเจ้าของเรื่องสั้น

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
7.8 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
8.4 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8.4 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา