เรื่องที่หก : บูมเมอแรง

8.2

เขียนโดย larceta

วันที่ 28 เมษายน พ.ศ. 2557 เวลา 18.28 น.

  8 ตอน
  9 วิจารณ์
  11.65K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 28 เมษายน พ.ศ. 2557 20.32 น. โดย เจ้าของเรื่องสั้น

แชร์เรื่องสั้น Share Share Share

 

5) ห้า

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

     เหมือนกับที่โรงเรียนมัธยมทั่วไปพึงมี  หากมีเด็กวิชาการก็ต้องมีเด็กสายพละ  เด็กสายวิทย์และเด็กสายศิลป์ และสุดท้ายที่ขาดไม่ได้เลยคือเด็กเรียบร้อยกับเด็กก้าวร้าว  ซึ่งหากจับผมกับช็อตเข้ากลุ่มแล้ว  ผมนั้นจะค่อนข้างค่อนไปทางเด็กเรียบร้อย  แต่ช็อตนั้นล้ำเส้นการเป็นเด็กก้าวร้าวไปเยอะ

     "เฮ้ยมึง เอาตังมาป่าววะ"

     หนึ่งประโยคที่่จะได้ยินเสมอตามห้องน้ำหรือมุมลับๆตามตึกต่างๆ เช่นกันกับควันบุหรี่ที่เคล้ากลิ่นน้ำเน่า การรีดไถนั้นประดุจหนึ่งแบบทดสอบที่เด็กมัธยมพึงเผชิญ  แล้วเด็กกลุ่มเป้าหมายที่จะถูกรีดไถก็มักเป็นเด็กในกลุ่มเรียบร้อยซึ่งมักจะ เป็นคนที่ค่อนข้างจะมีฐานะ  ซึ่งโดยส่วนใหญ่เงินที่ถูกรีดไถไปก็จะถูกนำไปซื้อบุหรี่  ไม่ก็ของที่ร้ายแรงกว่านั้น

     แน่นอน ผมก็เป็นหนึ่งในเป้าหมายของพวกมัน  หรือพูดให้ตรงจุดก็คือ  ช็อต  ที่ตอนนั้นทุกคนต่างเรียกกันว่า 'ไอ้ช็อตกัน (Shot Gun)'

     "ทำไมมึงคิดนานจังวะเฮ้ย  หรือมึงอยากเจอตีน"

     เขาข่มขู่ผมที่ดูท่าทางจะไม่ยอมให้เงิน ซึ่งก็เป็นแบบนั้นจริง  หลังจากที่โดนรีดไถมาหลายครั้ง  ผมตัดสินใจว่าครั้งนี้จะปลดถึงคราวจะปลดแอกเสียที  
     ผมชักมีดที่แอบพกไว้ขึ้นมา  มีดพกเล่มเล็กสำหรับเดินป่าที่ผมแอบไปซื้อมาซึ่งแม้จะเล็กแต่ก็คมกริบ  ในใจตอนนั้นคิดอย่างเดียวว่าถ้าใครเข้าละก็  กูจะแทงแม่ง  ซึ่งก็ดูจะได้ผลไม่น้อย  เพราะคนอื่นๆอีกสองคนเมื่อเห็นมีดแล้วก็ถึงกับถอยไปเลยทีเดียว

     ยกเว้นก็แต่ไอ้ช็อตกันคนเดียวที่ไม่กลัวมีดของผม

     "ไอ้เชี่ยนี่  มึงจะเอากับกูเหรอวะ!"

     เขาตะคอกแล้วพุ่งเข้ามาแย่งมีดจากผม  เสียงโครมครามโรมรันพันตูดังไปถึงข้างนอกจนมีคนได้ยินแล้วเอาไปบอกอาจารย์ ให้มาห้าม  ซึ่งตอนนั้นเหลือแค่ผมกับช็อตสองคนเท่านั้น  คนอื่นหนีไปหมดแล้ว  

     ขณะที่อาจารย์กำลังจะจับแยก  ระดับความรุนแรงแค่การทะเลาะกันของเด็กวัยรุ่นก็กลายเป็นคดีขึ้นมา  เมื่อมีดที่พวกเราแย่งกันอยู่นั้นได้พลั้งปาดเข้าที่แขนของอาจารย์ที่เข้ามา ห้าม  และไม่เพียงแค่เส้นเลือดธรรมดา  แต่เป็นเส้นเลือดใหญ่ที่ทำให้มีเลือดไหลเจิ่งนองพื้นเต็มไปหมด

     เราสองคนตัวแข็งเป็นหินท่ามกลางเสียงกรีดร้องของคนอื่นๆ  ความโกรธเกลียดเคียดแค้นที่เคยมีมลายสิ้นไปราวกับไอน้ำระเหยหายไปในอากาศ  เพียงสิ่งเดียวที่คงอยู่คือความหวาดกลัว 

 

 

     เรื่องที่เกิดขึ้นกลายเป็นเรื่องใหญ่ ไม่หยุดแค่ในโรงเรียนแต่ไปถึงตำรวจ  พวกเราถูกสอบสวนถึงที่มาของเหตุที่ทะเลาะกัน  และที่มาของมีดเล่มนี้

     "ตกลง  มีดเล่มนี้เป็นของใคร"

     คำถามนี้เย็นถึงไขกระดูก  เราทั้งคู่ตัวสั่นงันงกเป็นลูกนกจับไข้  ไม่เกี่ยวกับว่าจะเป็นเด็กเรียบร้อยหรือเด็กก้าวร้าว  ตอนนั้นที่พวกเรามีเหมือนกันก็คือความหวาดกลัวอันเย็นยะเยือกสุดขั้วหัวใจ

     "มีดเล่มนี้เป็นของใคร"

     ตำรวจถามย้ำอีกครั้ง ซึ่งตัวผมที่เป็นเจ้าของมีดย่อมต้องรู้สึกหวาดวิตกมากกว่าอย่างเลี่ยงไม่ได้  หากตำรวจรู้ว่าผมเป็นคนซื้อมีดเล่มนี้ ตัวเองจะโดนทำอะไรบ้างก็ไม่รู้  แล้วอีกอย่างก็คือพ่อกับแม่ของผมที่ท่านรออยู่ข้างนอกห้อง.... ท่านทั้งสองซึ่งเป็นข้าราชทั้งคู่  จะเกิดอะไรขึ้นถ้ามีข่าวว่าลูกตัวเองพกมีดไปโรงเรียน

     ด้วยความกลัวที่พุ่งถึงขีดสุด  ทำให้ผมตัดสินใจที่จะปกป้องตัวเอง

"ของมันครับ  มันเป็นเจ้าของมีดนี้"

     ผมชี้ไปที่ช็อต  ซึ่งแน่นอน  เมื่อมันได้ยินก็สะดุ้งเฮือกด้วยความตกใจ  แต่ผมก็ไม่ให้เวลาเขาได้เอ่ยปากพูด บอกเรื่องราวของตัวเองที่ถูกเขาข่มขู่รีดไถเงินมาแล้วหลายต่อหลายครั้ง  โดยเฉพาะคำอ้างที่เขามักจะพูดประจำว่า "กูมีปืนอยู่บ้านนะโว้ย  ปากโป้งกุยิงมึงแน่" นั่นด้วย  ผมไม่รู้ว่าเขามีปืนจริงหรือเปล่า แต่จริงแน่ๆก็คือ เขาพูดคำๆนี้บ่อยจนผมจำได้ขึ้นใจ

     คล้ายคนที่ใกล้จะอกแตกตาย  ผมบอกเล่าเรื่องราวบวกกับการใส่ร้ายป้ายสีช็อตไม่ยั้ง  ไม่ให้และไม่ว่างเว้นแม้แต่ประโยคเดียวจะจะไม่พูดถึงเขาในแง่ร้าย ผมพูดยาวแล้วก็เร็วรัวมากจนตำรวจต้องบอกให้ผมพูดช้าๆ ซึ่งตลอดเวลานั้น  ช็อตนิ่งเงียบโดยไม่พูดอะไรสักคำ  

     จนกระทั่งผมพูดจบและทบทวนคำพูดของผมซ้ำอีกครั้ง ตำรวจก็หันไปถามช็อตว่าที่ผมพูดนั้นจริงไหมในขณะที่ผมนั้นลุ้นระทึกจนหัวใจแทบจะหลุดออกจากเบ้าอยู่แล้ว

     แล้วคำตอบของช็อตก็ออกมาว่า

     "เออ ก็ตามนั้นแหละ"

     ผมแทบไม่เชื่อหูตัวเอง  ช็อตยอมรับว่าเรื่องราวเป็นไปตามที่ผมพูดทุกคำ เรื่องราวที่มีทั้งจริงและป้ายสีเบือนเท็จ  แต่ไม่มีสักเรื่องจากเขาที่ซักค้านไปว่ามันไม่เป็นความจริง  เขายอมรับทุกข้อกล่าวหาที่ผมกล่าวมานั้น

     ด้วยคำพูดนั้น  ช็อตจึงถูกพาตัวออกไปอีกห้องหนึ่งเพื่อทำการสอบสวนในรายละเอียด    โดยตั้งแต่เริ่มต้นจนลุกออกไปนั้น  เขาไม่ได้มองมาที่ผมซึ่งกำลังจ้องมองเขาอยู่เลยแม้แต่ครั้งเดียว  คล้ายรอบดวงตาของเขากลายเป็นพื้นที่ในเงามืดที่ผมมองไม่เห็น

     หลังจากสามวันที่ถูกกักบริเวณในบ้านออกมา  ผลการตัดสินออกมา  ผมถูกลงโทษด้วยการแค่ตัดคะแนนความประพฤติ  ส่วนช็อตนั้นถูกให้ออกจากโรงเรียนไปอยู่สถานพินิจ  ซึ่งนั่นเองที่เป็นข่าวคราวสุดท้ายที่ผมได้ยินเกี่ยวกับชายที่ชื่อช็อตคนนี้ 

 

คำยืนยันของเจ้าของเรื่องสั้น

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
7.8 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
8.4 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8.4 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา