เรื่องที่หก : บูมเมอแรง
8.2
เขียนโดย larceta
วันที่ 28 เมษายน พ.ศ. 2557 เวลา 18.28 น.
8 ตอน
9 วิจารณ์
11.66K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 28 เมษายน พ.ศ. 2557 20.32 น. โดย เจ้าของเรื่องสั้น
3) สาม
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ ตุ๊บ! เสียงของบางอย่างที่ตกลงมาทำให้ผมสะดุ้งตื่นจากห้วงความคิด มันดังมาจากข้างตัวผม ซึ่งเมื่อผมหันมองก็พบว่ามันเป็นกิ่งไม้เล็กๆกิ่งหนึ่ง กิ่งไม้แห้งกรอบที่ไม่มีใบเหลือ สภาพที่กลายเป็นซากเหือดแห้งเพราะหมดอายุไขไปแล้ว ร่างที่ไร้น้ำหล่อเลี้ยงจะเหือดแห้งเช่นนี้ ผมรู้และเข้าใจมันจากประสบการณ์ของตัวเอง หลังเบิกเงินสะสม ผมฝากข้าวของไว้ที่บ้านญาติ จากนั้นก็ปลดปล่อยตัวเองให้ลิ้มรสชาติของอิสระเสรีที่ไม่มีงานเข้ามาเกี่ยวข้อง กินทุกอย่างที่อยากกินแล้วก็เที่ยวทุกที่ที่อยากไป นอกจากที่ทำงานแล้ว ผมเองก็มีเพื่อนอยู่ไม่มากนัก แล้วทุกคน แน่นอน มีภาระส่วนตัวต้องรับผิดชอบ มนุษย์เงินเดือน ที่มีวันหยุดเพียงสัปดาห์ละ 2 วันซึ่งทั้งหมดแทบจะหมดไปกับการฟื้นตัวเพื่อรอการทำงานหนักอีก 5 วันข้างหน้า จึงไม่มีใครใคร่เต็มใจจะเดินทางไปกับผมนัก ดังนั้นแล้ว ส่วนใหญ่การเดินทางของผมจึงเป็นการเดินทางคนเดียว แต่ก็ดีเหมือนกันที่ได้เดินทางอย่างเป็นอิสระไม่ต้องพวงหน้าพวงหลังกับใครหรืออะไรแบบนี้ สัปดาห์แรก ผมตระเวนเที่ยวในเมือง ทั้งแบบปกติแล้วก็ที่มีแหล่งฉาวคาวโลกีย์ ตระเวนชิมอาหารร้านดังที่เคยเห็นในนิตรยสารที่้พวกนักวิจารณ์การันตีนักการันตีหนา ก่อนที่จากนั้น สัปดาห์ต่อมา ผมแบกกระเป๋าขึ้นรถ ล่องเที่ยวตั้งแต่ชายทะเลทางตะวันออกไล่มาจนถึงเขตแดนล่าง เที่ยวชมทะเลและเมืองท่องเที่ยวชาวฝั่ง ข้ามเกาะไปนอนพักรีสอร์ท ดูสาวนานาชาติปลดเปลื้องท่อนบนอาบแดด เข้าร่วมปาร์ตี้ใต้แสงจันทร์อันเลื่องชื่อแล้วก็ได้ลิ้มรสชาติพิศดารที่ไม่เคยพบมาก่อน แน่นอน มีสาวๆเข้ามาเกี่ยวข้อง ซึ่งผมบอกได้เลยว่านั่นเหนือยิ่งกว่าข่าวลือที่บอกต่อๆกันมาเสียอีก เบื่อจากทะเล ผมจับเครื่องบินขึ้นเหนือสู่ดินแดนภูเขาและป่าไม้ พักผ่อนลิ้มรสธรรมชาติดื่มด่ำ สัมผัสหมอกบริสุทธิ์เหนือยอดเขา สัมผัสวัฒนธรรมแปลกตาของชาวที่บางส่วนก็ดี บางส่วนก็เฉยๆ จากนั้นก็ลงมาแล้วลิ้มรสชาติแห่งราตรีของเมืองเหนือ แน่นอนอีกเช่นกัน มีสาวๆเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย และทั้งหมดก็ล้วนเป็นความสัมพันธ์ข้ามคืนทั้งสิ้น สามสัปดาห์ในการล่องเหนือจรดใต้ กลับมาพักได้ไม่ถึงสัปดาห์ ผมคิดโครงการใหม่ เปิดหน้าหนังสือท่องเที่ยวต่างประเทศ ดูงบประมาณในมือว่าพอจะไปที่ไหนได้บ้าง โชคดีที่สุดที่หลายมีโปรโมชั่นในราคาที่ถูกเหลือเชื่อ อีกทั้งเมื่อผมไม่ต้องการไกด์นำทาง ค่าใช้จ่ายก็ยิ่งถูกขึ้นไปอีก หลังคำนวณเงินที่ต้องใช้และทำเอกสารที่จำเป็น ผมจับเสื้อผ้ายัดกระเป๋า สะพายเป้หลังขึ้นแล้วขึ้นเครื่องออกนอกประเทศ โดยไม่เน้นประเทศที่มีความเคร่งครัดเรื่องพาสปอร์ตนัก ไล่จากเพื่อนบ้านใกล้เรือนเคียง กระเถิบขึ้นข้างบนสู่แผ่นดินใหญ่ จากนั้นก็ประเทศเกาะอันเป็นผู้นำของโลกด้านเทคโนโลยีแล้วก็การ์ตูนอนิเมชั่น ก่อนจะบินกลับข้ามฝากอยู่ตอนเหนือของโลกไปดูสถาปัตยกรรมเก่าแก่ เมืองศิลปะ อนุสรณ์สถาน ภูเขา ป่าไม้ ลำธาร แล้ววกลงมาอีกหน่อยสู่มหาวิหารทรงสามเหลี่ยมกลางทะเลทรายใหญ่ ก่อนที่สัปดาห์สุดท้าย ผมตัดสินใจโดยสารกลับบ้านทางเรือเฟอร์รี่ชั้นหนึ่งที่ตัดข้ามมหาสมุทรเพื่อดื่มด่ำกับมารดาสมุทรผู้ให้กำเนิดสรรพชีวิตให้เต็มที่ ก่อนจะกลับสู่ความเป็นจริงในชีวิตทำงานอีกครั้ง
สามเดือนเต็มๆกับการพักผ่อน ผมคิดว่าตัวเองพร้อมแล้วที่จะเริ่มต้นต่อยอดสิ่งที่ทำค้างไว้ หลังกลับถึงท่าเรือ ผมรีบติดต่อกลับไปที่บ้านญาติซึ่งผมเปลี่ยนที่อยู่ของเอกสารทั้งหมดไปที่นั่น ถึงป่านนี้แล้วดูท่าเอกสารที่ส่งมาคงจะมีจนล้น แต่ผมก็อยากรีบเช็คดูเอกสารที่สำคัญๆก่อน โดยเฉพาะเอกสารตอบรับการสมัครงานซึ่งผมได้ส่งไปหลายที่มากก่อนจะออกเดินทาง อย่างน้อยๆหากแค่สิบเปอร์เซ็นต์ตอบรับมา ผมก็มีตัวเลือกให้เลือกแล้วเป็นสิบๆที่ "ไม่เห็นมีนะ ไอ้เอกสารตอบรับการสมัครงานที่ว่านะ" นั่นคือคำตอบที่ผมได้รับจากญาติ ผมไม่เชื่อว่ามันจะเป็นอย่างนั้นไปได้จึงรีบจับแท็กซี่ตรงดิ่งไปที่บ้านญาติทันทีแล้วขอดูเอกสารทั้งหมดที่เกี่ยวกับผม เป็นไปตามที่เขาบอก นอกจากเอกสารค่าใช้จ่ายบัตรเครดิตกับประกันชีวิตแล้วก็พวกใบปลิวโฆษณาแล้ว ไม่มีแม้แต่ใบเดียวที่ใบตอบรับใบสมัครของผม อาจจะมีอะไรผิดพลาด ผมคิดแล้วรีบติดต่อไปยังที่ต่างๆที่สมัครงานไว้ แต่ก็คำตอบในแนวเดียวกันทั้งสิ้น ผมฟังคำว่า 'กำลังพิจารณาอยู่' บ่อยครั้งจนมันเหมือนจะเห็นว่ามันเป็นตราประทับบนเอกสารไปแล้ว แม้กระทั่งหลายครั้งที่ผมถึงกับเดินทางไปที่บริษัทด้วยตนเองเพื่อขอเข้าสัมภาษณ์ คำตอบที่ได้ก็ไม่ต่างจากนี้เท่าใดนัก หลังจากเฝ้ารอเฝ้าถามถึงใบตอบรับแต่ไร้วี่แววอย่างสิ้นเชิง ความหวังของผมก็คล้ายจะเลือนลางลงเรื่อยๆและถูกแทนที่ด้วยความหวาดกลัวและสิ้นหวัง ผมไม่เข้าใจเลยว่าทำไมพวกเขาถึงไม่พิจารณาผมสักที หากนับแค่ 5 ปีแรก ประวัติการทำงานของผมนั้นจัดได้ว่ายอดเยี่ยมจะถึงขั้นเพอร์เฟค เหมือนกระสวยอวกาศที่กำลังพุ่งไปสู่ดวงจันทร์ แน่นอนว่าเหตุการณ์ปีสุดท้ายในการทำงานของผมอาจจบไม่สวยนัก แต่ผมก็ยืนยันหนักแน่นแล้วด้วยผลการตรวจร่างกายราคาแพงของผมว่า ผมไม่มีทางกลับไปเป็นโรคร้ายอย่างที่เคยเกิดขึ้นอีกแล้ว ทว่าเมื่อเวลาเป็นสิ่งที่ย้อนกลับไม่ได้ นานจากสัปดาห์เป็นเดือน สองเดือน สามเดือน ความหวังเรื่องที่จะมีการตอบรับจากที่ที่ผมส่งใบสมัครงานไปก็ยิ่งเลือนลางลงไปทุกๆที อีกทั้งการที่ผมมาอาศัยอยู่ในบ้านของคนอื่นๆนานเป็นเดือนๆแบบนี้ก็นับไม่ว่าไม่ใช่เรื่องดีเลยเช่นกัน แม้ญาติผมจะเต็มใจแล้วผมก็ช่วยเรื่องค่าใช้จ่ายส่วนกลางแล้วก็ตาม ผมก็ยังรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังจะกลายเป็นกาฝากไร้ค่าไร้ประโยชน์ เหมือนที่เคยเป็นมาแล้วในปีสุดท้ายที่ทำงาน หลังผ่านสามเดือน ช่วงเวลาที่เสมือนฟางเส้นสุดท้ายที่ผมจะใช้ยึดเกาะดันพยุงตัวเองก็ได้ขาดลง ไม่มีคำตอบหรือการตอบรับใดๆทั้งสิ้น เพียงสามเดือนที่หลุดวงโคจร ผมกลายคนนอกไปแล้วสำหรับพวกเขา และนั่นเองที่เป็นสาเหตุที่ทำให้ผมต้องกลับคืนบ้านเกิด สถานที่ซึ่งผมไม่คิดว่าจะได้กลับมาเร็วอย่างนี้ และในสภาพเฉกเช่นทหารพ่ายสงครามเช่นนี้ แน่นอนว่าเมื่อกลับมาบ้าน พ่อกับแม่ของผมให้การต้อนรับผมเป็นอย่างดี พวกท่านรู้เรื่องที่เกิด และปลอบใจผมว่าไม่ต้องคิดมากเรื่องที่เกิดขึ้น อยู่บ้านตัวเองห้องไม่ต้องเช่าข้าวไม่ต้องซื้อ แถมอากาศก็บริสุทธิ์กว่าในเมือง อยู่ที่นี่พักผ่อนให้สบายไปก่อนแล้วค่อยคิดว่าจะทำยังไงต่อ ไม่ต้องรีบร้อน อันที่จริง เพราะพวกท่านเป็นข้าราชการที่รู้จักคนพอสมควรกับประวัติการทำงานของผมที่เคยดีเยี่ยม ท่านจึงเคยออกปากบอกผมว่าจะฝากฝังให้ทำงานกับคนรู้จักของท่านก็ได้ แต่ผมก็ปฏิเสธไปเพราะตั้งแต่เริ่มทำงานมา สิ่งที่ผมเกลียดที่สุดคือการเป็นเด็กเส้น ผมสาบานกับตัวเองแล้วว่าต่อให้ตาย ผมก็จะไม่ขอใช้เส้นสายเด็ดขาด เริ่มแรก มันดูเป็นความคิดที่ดีที่ได้กลับมาอยู่บ้าน เพราะอย่างน้อยที่ก็เป็นบ้านของตัวเอง ที่ๆตัวผมสามารถอยู่อาศัยได้โดยไม่กระดากใจ อีกทั้งด้วยบ้านผมนั้นอยู่ในชนบทที่ค่อนข้างสงบ ทำให้บางครั้ง ผมรู้สึกว่าความสงบและผ่อนคลายแบบนี้แหละคือสิ่งที่ผมตามหามาตลอด และถ้าได้อยู่ในสภาพนี้ ผมอาจจะมีความคิดดีๆหรือไอเดียดีๆขึ้นมาก็ได้ว่าจะทำยังไงกับชีวิตต่อไป แต่แล้วเมื่อผ่านนานวันเข้า ผมก็ได้รู้ว่าความสงบสุขและความผ่อนคลายนั้นเป็นแค่ภาพฝันลวงตา เวลาว่างที่เคยใฝ่หามาตลอดกลายเป็นสิ่งที่ทำร้ายผม มันทำให้ผมเริ่มฟุ้งซ่าน ยิ่งนานก็ยิ่งหน่วงช้า ผมจำได้ว่าหลายครั้งเหลือเกินที่ผมนอนกลางวันไปแล้วถึงสามรอบแล้วยังไม่ถึงเวลาเลิกงานของคนทั่วไปด้วยซ้ำ นิยายกับหนัง รวมถึงการจัดและทำความสะอาดห้องอาจช่วยได้บ้างบางครั้ง แต่ก็นั่นแหละ การนั่งอ่านนิยายหรือดูหนังในวันที่ปกติแล้วควรจะได้นั่งทำงานในออฟฟิศแบบนี้ มันไม่ใช่สิ่งที่ผมคุ้นเคยเลยสักนิด ใช่ว่าผมจะไม่พยายามหางาน ตลอดเวลาที่กลับมาอยู่บ้าน ผมเขียนประวัติและใบสมัครงานส่งไปยังที่ต่างๆมากกว่าเดิมที่เคยเสียอีก ซ้ำยังแวะเวียนดูประกาศสมัครงานแทบทุกวัน สัปดาห์ละครั้ง ผมจะขับรถวิ่งเข้านิคมอุตสาหกรรม เข้าหาทุกบริษัทที่เปิดรับตำแหน่งงานที่ตรงกับตัวเองหรือแม้แต่ต่ำกว่าตัวเอง กระทั่งยอมลดเงินเดือนค่าประสบการณ์ที่ตัวเองควรจะได้รับ ซึ่งการทำผมแบบนั้นทำให้หลายๆที่สนใจในตัวผมอย่างมากและเรียกเข้าสอบสัมภาษณ์ ซึ่งไม่ว่าจะสัมภาษณ์เดี่ยวหรือกลุ่ม ผมก็ไม่หวั่นเกรงและตอบได้อย่างฉะฉานเสมอ การพูดเป็นอาวุธของผมอยู่แล้ว และในตอนนี้ก็ยังเป็นอยู่ ทว่าทุกเรื่องที่ควรจะไปได้ด้วยดีก็มีอันต้องสะดุดลงทุกครั้งไปด้วยผลการตรวจสุขภาพของผม เมื่อเห็นประวัติของผมที่เคยเป็นโรคลิ้นหัวใจ ความดีความชอบในการสอบหรือสัมภาษณ์ต่างๆก็เหมือนชักโครกที่ถูกกด แม้ผมจะพยายามแก้ต่างด้วยใบตรวจสุขภาพราคาแพงที่สุดในชีวิตของผมแล้วก็ตาม แต่โรคหัวใจของผม ความบกพร่องในตัวผมกลายเป็นแผลอัปลักษณ์ติดตัวที่ใครก็ไม่อยากเข้าใกล้ เป็นเหมือนเชื้อร้ายที่หากรับเข้ามาแล้วจะกลายเป็นโรคระบาดร้ายแรงที่ไร้การรักษา ทำให้สุดท้ายแล้ว ไม่มีที่ใดเลยสักทีที่ตอบรับผมเข้าทำงาน เมื่อหางานเองไม่ได้ แล้วก็ไม่สามารถทนได้กับเวลาว่างที่ยิ่งมีก็ยิ่งฟุ้งซ่าน ผมกลืนน้ำลายตัวเอง ละทิ้งศักดิ์ศรีและคำสาบานมั่นเหมาะของตัวเอง ตบปากรับคำงานที่พ่อกับแม่ผมฝากฝังให้
สามเดือนเต็มๆกับการพักผ่อน ผมคิดว่าตัวเองพร้อมแล้วที่จะเริ่มต้นต่อยอดสิ่งที่ทำค้างไว้ หลังกลับถึงท่าเรือ ผมรีบติดต่อกลับไปที่บ้านญาติซึ่งผมเปลี่ยนที่อยู่ของเอกสารทั้งหมดไปที่นั่น ถึงป่านนี้แล้วดูท่าเอกสารที่ส่งมาคงจะมีจนล้น แต่ผมก็อยากรีบเช็คดูเอกสารที่สำคัญๆก่อน โดยเฉพาะเอกสารตอบรับการสมัครงานซึ่งผมได้ส่งไปหลายที่มากก่อนจะออกเดินทาง อย่างน้อยๆหากแค่สิบเปอร์เซ็นต์ตอบรับมา ผมก็มีตัวเลือกให้เลือกแล้วเป็นสิบๆที่ "ไม่เห็นมีนะ ไอ้เอกสารตอบรับการสมัครงานที่ว่านะ" นั่นคือคำตอบที่ผมได้รับจากญาติ ผมไม่เชื่อว่ามันจะเป็นอย่างนั้นไปได้จึงรีบจับแท็กซี่ตรงดิ่งไปที่บ้านญาติทันทีแล้วขอดูเอกสารทั้งหมดที่เกี่ยวกับผม เป็นไปตามที่เขาบอก นอกจากเอกสารค่าใช้จ่ายบัตรเครดิตกับประกันชีวิตแล้วก็พวกใบปลิวโฆษณาแล้ว ไม่มีแม้แต่ใบเดียวที่ใบตอบรับใบสมัครของผม อาจจะมีอะไรผิดพลาด ผมคิดแล้วรีบติดต่อไปยังที่ต่างๆที่สมัครงานไว้ แต่ก็คำตอบในแนวเดียวกันทั้งสิ้น ผมฟังคำว่า 'กำลังพิจารณาอยู่' บ่อยครั้งจนมันเหมือนจะเห็นว่ามันเป็นตราประทับบนเอกสารไปแล้ว แม้กระทั่งหลายครั้งที่ผมถึงกับเดินทางไปที่บริษัทด้วยตนเองเพื่อขอเข้าสัมภาษณ์ คำตอบที่ได้ก็ไม่ต่างจากนี้เท่าใดนัก หลังจากเฝ้ารอเฝ้าถามถึงใบตอบรับแต่ไร้วี่แววอย่างสิ้นเชิง ความหวังของผมก็คล้ายจะเลือนลางลงเรื่อยๆและถูกแทนที่ด้วยความหวาดกลัวและสิ้นหวัง ผมไม่เข้าใจเลยว่าทำไมพวกเขาถึงไม่พิจารณาผมสักที หากนับแค่ 5 ปีแรก ประวัติการทำงานของผมนั้นจัดได้ว่ายอดเยี่ยมจะถึงขั้นเพอร์เฟค เหมือนกระสวยอวกาศที่กำลังพุ่งไปสู่ดวงจันทร์ แน่นอนว่าเหตุการณ์ปีสุดท้ายในการทำงานของผมอาจจบไม่สวยนัก แต่ผมก็ยืนยันหนักแน่นแล้วด้วยผลการตรวจร่างกายราคาแพงของผมว่า ผมไม่มีทางกลับไปเป็นโรคร้ายอย่างที่เคยเกิดขึ้นอีกแล้ว ทว่าเมื่อเวลาเป็นสิ่งที่ย้อนกลับไม่ได้ นานจากสัปดาห์เป็นเดือน สองเดือน สามเดือน ความหวังเรื่องที่จะมีการตอบรับจากที่ที่ผมส่งใบสมัครงานไปก็ยิ่งเลือนลางลงไปทุกๆที อีกทั้งการที่ผมมาอาศัยอยู่ในบ้านของคนอื่นๆนานเป็นเดือนๆแบบนี้ก็นับไม่ว่าไม่ใช่เรื่องดีเลยเช่นกัน แม้ญาติผมจะเต็มใจแล้วผมก็ช่วยเรื่องค่าใช้จ่ายส่วนกลางแล้วก็ตาม ผมก็ยังรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังจะกลายเป็นกาฝากไร้ค่าไร้ประโยชน์ เหมือนที่เคยเป็นมาแล้วในปีสุดท้ายที่ทำงาน หลังผ่านสามเดือน ช่วงเวลาที่เสมือนฟางเส้นสุดท้ายที่ผมจะใช้ยึดเกาะดันพยุงตัวเองก็ได้ขาดลง ไม่มีคำตอบหรือการตอบรับใดๆทั้งสิ้น เพียงสามเดือนที่หลุดวงโคจร ผมกลายคนนอกไปแล้วสำหรับพวกเขา และนั่นเองที่เป็นสาเหตุที่ทำให้ผมต้องกลับคืนบ้านเกิด สถานที่ซึ่งผมไม่คิดว่าจะได้กลับมาเร็วอย่างนี้ และในสภาพเฉกเช่นทหารพ่ายสงครามเช่นนี้ แน่นอนว่าเมื่อกลับมาบ้าน พ่อกับแม่ของผมให้การต้อนรับผมเป็นอย่างดี พวกท่านรู้เรื่องที่เกิด และปลอบใจผมว่าไม่ต้องคิดมากเรื่องที่เกิดขึ้น อยู่บ้านตัวเองห้องไม่ต้องเช่าข้าวไม่ต้องซื้อ แถมอากาศก็บริสุทธิ์กว่าในเมือง อยู่ที่นี่พักผ่อนให้สบายไปก่อนแล้วค่อยคิดว่าจะทำยังไงต่อ ไม่ต้องรีบร้อน อันที่จริง เพราะพวกท่านเป็นข้าราชการที่รู้จักคนพอสมควรกับประวัติการทำงานของผมที่เคยดีเยี่ยม ท่านจึงเคยออกปากบอกผมว่าจะฝากฝังให้ทำงานกับคนรู้จักของท่านก็ได้ แต่ผมก็ปฏิเสธไปเพราะตั้งแต่เริ่มทำงานมา สิ่งที่ผมเกลียดที่สุดคือการเป็นเด็กเส้น ผมสาบานกับตัวเองแล้วว่าต่อให้ตาย ผมก็จะไม่ขอใช้เส้นสายเด็ดขาด เริ่มแรก มันดูเป็นความคิดที่ดีที่ได้กลับมาอยู่บ้าน เพราะอย่างน้อยที่ก็เป็นบ้านของตัวเอง ที่ๆตัวผมสามารถอยู่อาศัยได้โดยไม่กระดากใจ อีกทั้งด้วยบ้านผมนั้นอยู่ในชนบทที่ค่อนข้างสงบ ทำให้บางครั้ง ผมรู้สึกว่าความสงบและผ่อนคลายแบบนี้แหละคือสิ่งที่ผมตามหามาตลอด และถ้าได้อยู่ในสภาพนี้ ผมอาจจะมีความคิดดีๆหรือไอเดียดีๆขึ้นมาก็ได้ว่าจะทำยังไงกับชีวิตต่อไป แต่แล้วเมื่อผ่านนานวันเข้า ผมก็ได้รู้ว่าความสงบสุขและความผ่อนคลายนั้นเป็นแค่ภาพฝันลวงตา เวลาว่างที่เคยใฝ่หามาตลอดกลายเป็นสิ่งที่ทำร้ายผม มันทำให้ผมเริ่มฟุ้งซ่าน ยิ่งนานก็ยิ่งหน่วงช้า ผมจำได้ว่าหลายครั้งเหลือเกินที่ผมนอนกลางวันไปแล้วถึงสามรอบแล้วยังไม่ถึงเวลาเลิกงานของคนทั่วไปด้วยซ้ำ นิยายกับหนัง รวมถึงการจัดและทำความสะอาดห้องอาจช่วยได้บ้างบางครั้ง แต่ก็นั่นแหละ การนั่งอ่านนิยายหรือดูหนังในวันที่ปกติแล้วควรจะได้นั่งทำงานในออฟฟิศแบบนี้ มันไม่ใช่สิ่งที่ผมคุ้นเคยเลยสักนิด ใช่ว่าผมจะไม่พยายามหางาน ตลอดเวลาที่กลับมาอยู่บ้าน ผมเขียนประวัติและใบสมัครงานส่งไปยังที่ต่างๆมากกว่าเดิมที่เคยเสียอีก ซ้ำยังแวะเวียนดูประกาศสมัครงานแทบทุกวัน สัปดาห์ละครั้ง ผมจะขับรถวิ่งเข้านิคมอุตสาหกรรม เข้าหาทุกบริษัทที่เปิดรับตำแหน่งงานที่ตรงกับตัวเองหรือแม้แต่ต่ำกว่าตัวเอง กระทั่งยอมลดเงินเดือนค่าประสบการณ์ที่ตัวเองควรจะได้รับ ซึ่งการทำผมแบบนั้นทำให้หลายๆที่สนใจในตัวผมอย่างมากและเรียกเข้าสอบสัมภาษณ์ ซึ่งไม่ว่าจะสัมภาษณ์เดี่ยวหรือกลุ่ม ผมก็ไม่หวั่นเกรงและตอบได้อย่างฉะฉานเสมอ การพูดเป็นอาวุธของผมอยู่แล้ว และในตอนนี้ก็ยังเป็นอยู่ ทว่าทุกเรื่องที่ควรจะไปได้ด้วยดีก็มีอันต้องสะดุดลงทุกครั้งไปด้วยผลการตรวจสุขภาพของผม เมื่อเห็นประวัติของผมที่เคยเป็นโรคลิ้นหัวใจ ความดีความชอบในการสอบหรือสัมภาษณ์ต่างๆก็เหมือนชักโครกที่ถูกกด แม้ผมจะพยายามแก้ต่างด้วยใบตรวจสุขภาพราคาแพงที่สุดในชีวิตของผมแล้วก็ตาม แต่โรคหัวใจของผม ความบกพร่องในตัวผมกลายเป็นแผลอัปลักษณ์ติดตัวที่ใครก็ไม่อยากเข้าใกล้ เป็นเหมือนเชื้อร้ายที่หากรับเข้ามาแล้วจะกลายเป็นโรคระบาดร้ายแรงที่ไร้การรักษา ทำให้สุดท้ายแล้ว ไม่มีที่ใดเลยสักทีที่ตอบรับผมเข้าทำงาน เมื่อหางานเองไม่ได้ แล้วก็ไม่สามารถทนได้กับเวลาว่างที่ยิ่งมีก็ยิ่งฟุ้งซ่าน ผมกลืนน้ำลายตัวเอง ละทิ้งศักดิ์ศรีและคำสาบานมั่นเหมาะของตัวเอง ตบปากรับคำงานที่พ่อกับแม่ผมฝากฝังให้
คำยืนยันของเจ้าของเรื่องสั้น
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
7.8 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
8.4 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8.4 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ