เรื่องที่หก : บูมเมอแรง
เขียนโดย larceta
วันที่ 28 เมษายน พ.ศ. 2557 เวลา 18.28 น.
แก้ไขเมื่อ 28 เมษายน พ.ศ. 2557 20.32 น. โดย เจ้าของเรื่องสั้น
2) สอง
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ หลังจากเรียนจบระดับปริญญาตรีจากมหาวิทยาลัยชื่อดังแห่งหนึ่ง สิ่งแรกที่ผมคิดถึงก็คือ หางานที่มีที่ทำงานไกลบ้านเกิดที่สุด ไม่ใช่เพราะผมเกลียดบ้านเกิดเมืองนอนหรือมีเรื่องมีปัญหาจนกลับบ้านไม่ได้ แต่หลังจากใช้ชีวิตอยู่ในกรอบมาตลอด 22 ปี กลิ่นอายหอมหวานของการเป็นอิสระมันช่างเย้ายวน จากนี้ นอนดึกก็ไม่มีใครว่า อยากเที่ยวอยากกินที่ไหนก็ได้ อยากใช้เงินยังไงก็ได้เพราะเงินที่ใช้จะเป็นเงินที่ผมหามาได้เอง ชีวิตจากนี้ไปจะเป็นชีวิตอิสระที่ตัวผมเองจะเป็นผู้กำหนด
ด้วยความคิดดังกล่าว ผมจึงอยากจะไปให้ไกลที่สุดจากบ้านเกิดเมืองนอนของตัวเอง
ด้วยผลการเรียนระดับดีเยี่ยมจากรั้วมหาวิทยาลัย ใช้เวลาไม่นาน ผมก็ได้งานในกลุ่มบริษัทเครื่องใช้ไฟฟ้ายักษ์ใหญ่ระดับโลกแห่งหนึ่ง บริษัทที่ไม่ว่าใครก็บอกว่าเงินเดือนดีและมั่นคง อีกทั้งตำแหน่งงานที่ได้ก็เป็นตำแหน่งที่ผมรู้สึกว่าเหมาะสมกับตัวเองอย่างมาก ทำให้ในเวลาไม่ถึง 5 ปี จากพนักงานระดับล่าง ผมก็กลายเป็นพนักคนสำคัญของบริษัท รายได้และสวัสดิการพุ่งทะยานประหนึ่งกระสวยอวกาศถูกยิ่งจากฐาน หน้าที่การงานของผมเรียกได้ว่าก้าวล้ำหน้าคนอื่นๆที่อายุเท่ากันหรือมากกว่าเป็นสิบปีหลายเท่า จนถึงขนาดที่มีคนเก็งกันว่า อีกไม่ถึงสิบปี ผมอาจจะได้กลายเป็นหัวหน้าแผนกที่อายุน้อยที่สุดก็เป็นได้
และไม่เพียงแต่ชีวิตทำงานเท่านั้น แม้แต่ชีวิตส่วนตัวก็จัดว่าดีเยี่ยมไม่แพ้กัน โดยเฉพาะความรัก ผมมีผู้หญิงซึ่งสานสัมพันธคบหากันอย่างแน่นแฟ้น เธอเป็นรุ่นน้องที่ทำงานผม จบจากมหาวิทยาลัยชื่อดัง ทำงานเก่ง มนุษย์สัมพันธ์ดี และที่สำคัญ รูปร่างหน้าตาสะสวยเป็นที่สุด ผู้ชายทุกคนในแผนกล้วนแล้วแต่เคยขายขนมจีบกับเธอทั้งสิ้น แต่สุดท้าย เมื่อทุกคนรู้ว่าผมกำลังสานสัมพันธ์กับเธอ พวกเขาก็ยอมหลีกทางแต่โดยดี อย่างที่บอก ในแผนกผมเป็นคนที่แนวโน้มจะได้เป็นหัวหน้าแผนกคนต่อไปมากที่สุด บริษัทของเราไม่สนใจเรื่องความอาวุโส และผลงานที่ผ่านมาของผมเข้าตาผู้หลักผู้ใหญ่เป็นอย่างมาก กลายๆแล้ว ผมคือผู้มีอิทธิพลคนหนึ่งในแผนกทีเดียว
แต่เมื่อเข้าปีที่ 6 ของการทำงาน แท่งเชื้อเพลิงกระสวยอวกาศของผมจู่ๆก็เกิดระเบิดขึ้น
ในกลางดึกคืนหนึ่ง ขณะที่ผมนั่งทานอาหารมื้อดึกคนเดียวที่ห้องคอนโดกลางเมืองของตัวเอง จู่ๆผมก็เกิดอาการใจสั่นอย่างหนัก คล้ายมีคนจับหัวใจเขย่า มันเต้นแรงจนผมหายใจไม่ออกและต้องตะโกนให้รปภ.ขึ้นมาช่วย ผมถูกหามขึ้นรถพยาบาลแล้วถูกพาเข้าห้องฉุกเฉินของโรงพยาบาลที่ทำประกันไว้ ผมหมดสติไปก่อนจะตื่นมาอีกครั้งในอีกสองวันต่อมา โดยมีเพียงนางพยาบาลซึ่งมาตรวจอาการพอดีเท่านั้นที่เห็นผมตอนได้สติ
"คุณมีอาการของโรคลิ้นหัวใจรั่วครับ"
นั่นคือคำตอบจากหมอที่ทำการรักษาผม หัวใจผม อวัยวะสำคัญที่เป็นเครื่องสูบฉีดโลหิตในร่างกายของผมมีปัญหา ซึ่งนั่นเองที่ทำให้ผมต้องเข้ารับการผ่าตัดและต้องแอดมิดอยู่ที่โรงพยาบาลนานนับเดือน
ในระหว่างนั้น คนจากบริษัทได้แวะเวียนมาเยี่ยมผมไม่ขาด โดยเฉพาะเธอ ผู้หญิงของผมคนนั้น เธอแวะเวียนมาทุกวันพร้อมกับนำขนมนมเนยติดไม้ติดมือมาเสมอ ซึ่งทุกคนที่มาเยี่ยมเยียนผมต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าไม่ต้องห่วงเรื่องงาน พักผ่อนให้เต็มที่จะได้หายไวๆ ซึ่งผมก็รับความประสงค์ดีนั้นไว้ด้วยความขอบคุณ ยังไงเสียผมก็เป็นพนักงานคนสำคัญของบริษัท แม้จะน่าเบื่อไปหน่อยที่ต้องอยู่โรงพยาบาล แต่ก็ถือเป็นการพักร้อนครั้งแรกของผมเลยทีเดียวนับแต่เริ่มต้นทำงานมา
หลังอยู่โรงพยาบาลไปสามสัปดาห์ ผมกลับเข้าทำงานอีกครั้งที่โต๊ะเดิมและตำแหน่งเดิม แต่สิ่งที่ไม่เหมือนเดิมก็คือบรรยากาศของการทำงาน เวลาสามสัปดาห์ที่ผมได้แต่นอนอยู่เฉยๆนั้นเป็นเวลาที่มีงานมากมายหลายชิ้นเข้ามาในบริษัท และมันได้ถูกแจกจ่ายไปให้คนอื่นๆสร้างผลงานไปหมดแล้ว ทุกคนนอกจากผม ผมกลายเป็นคนเดียวที่ไม่มีงานหลักของตัวเองและมีฐานะเพียงสมาชิกผู้เข้าร่วมประชุม งานทุกงานที่ผมได้ทำล้วนกลายเป็นคนผลงานของคนอื่น แม้จะมีชื่อว่าเป็นผู้มีส่วนร่วม แต่สุดท้ายเมื่อทำการประเมิน เปอร์เซ็นต์คะแนนประเมินเกินกว่าครึ่งก็จะตกเป็นของเจ้าของโครงการโดยมีเพียงเศษเสี้ยวเท่านั้นที่จะตกมาถึงผม แรกๆก็ยังไม่เห็นชัดนัก แต่นานวันเข้า เรื่องๆนี้ก็ยิ่งชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ จากที่ผู้คนเคยพูดว่าผมเป็นดาวรุ่ง ตอนนี้คำๆนี้ได้ถูกนำไปใช้กับคนอื่นไปแล้ว และพวกเขาก็เอาคำๆมาใช้พูดยกย่องคนอื่นต่อหน้าผมซึ่งเคยเป็นผู้ครองคำๆนี้มาตลอด บางคนก็ด้วยความไม่รู้ แต่บางคน ผมรู้สึกเลยว่าพวกเขาจงใจพูดให้ผมได้ยิน
แน่นอน ผมไม่นิ่งนอนใจกับเรื่องนี้และพยายามที่จะกู้ชื่อของตัวเองกลับมา ผมคิดและนำเสนอโครงการใหม่ด้วยวิสัยทัศน์ที่แปลกใหม่ซึ่งแท้จริง ผมคิดโครงการนี้ไว้นานแล้วและคิดว่าจะใช้มันเป็นโครงการสำหรับเลื่อนขั้นเป็นหัวหน้า แต่ตอนนี้ฉุกเฉิน ผมจำเป็นต้องงัดมันขึ้นมาใช้ก่อน
เพราะเป็นโครงการที่มีความเสี่ยงค่อนข้างสูงจึงทำให้การผ่านการพิจารณาไม่ง่ายนัก แต่ด้วยฐานเสียงในหมู่ผู้บริหารที่ยังพอจะมีอยู่บ้าง บวกกับการใช้ลูกเล่นการเมืองที่ผมเรียนรู้มานิดหน่อย ทำให้แนวโน้มที่โครงการณ์นี้จะได้รับการอนุมัตินั้นเป็นไปได้สูงทีเดียว เรียกว่ารอเพียงให้มันผ่านไปถึงบอร์ดบริหารใหญ่เท่านั้น ผมก็จะได้ชื่อเสียงและเกียรติยศของตัวเองกลับมา
แต่แล้วในช่วงเวลาที่รอนั้น หัวใจของผมก็เกิดอาการพยศขึ้นมาอีกครั้ง
เหมือนกับครั้งก่อน อาการหัวใจสั่นจนหายใจไม่ออกทำให้ผมต้องถูกพาโรงพยาบาล และเป็นอีกครั้งที่ผมต้องรับการผ่าตัดและแอดมิดด้วยโรคเดิมอาการเดิม แต่ที่ต่างออกไปก็คือคราวนี้ นอกจากญาติพี่น้องกับฝ่ายบุคคลที่มาเยี่ยมตามหน้าที่แล้ว ไม่มีใครโผล่มาเยี่ยมผมอีกเลยแม้แต่คนเดียว
รักษาอยู่ราวหนึ่งเดือน ผมออกจากโรงพยาบาลและกลับเข้าทำงานอีกครั้ง โต๊ะเดิมและตำแหน่งเดิมยังคงอยู่ แต่ไม่ที่ไม่เหมือนเดิมอีกแล้วคือจุดยืนของผม โครงการที่เคยนำเสนอไปถูกปัดตกจากคณะผู้บริหาร คงเพราะเขาไม่มั่นใจว่าผมจะสามารถทำงานได้จนจบ อีกทั้งหลังจากมีอาการป่วยหนักถึงสองครั้งในสองปี พวกเขาดูจะไม่กล้าอีกแล้วที่จะมอบโครงการไหนให้ผมบริหารงาน หรือแม้แต่ตำแหน่งหน้าที่ที่ต้องต่อเนื่องติดพันยาวนานก็ไม่กล้ามอบหมาย เหลือเพียงการเป็นสมาชิกโครงการระยะสั้นกับตำแหน่งที่แทบจะไม่มีความสำคัญใดๆเลยกับบริษัทเท่านั้นที่มอบให้ได้ คล้ายกับผมเป็นส่วนเกินที่ไม่ว่าใครก็ไม่ต้องการ เป็นต้นตอเชื้อมะเร็งที่ไม่มีใครอยากติดพัน
ชีวิตการทำงานของผมเปลี่ยนไปเลยนับแต่วันนั้น ตั้งแต่เวลาเข้างานจนถึงเวลาเลิก ผมแทบไม่ได้พูดกับใครเลย ขณะที่นั่งอยู่ที่ประชุม ผมปิดปากเพราะรู้แน่ว่าไม่ว่าเสนอความคิดอะไรไปก็จะถูกปัดตก ไม่ก็เหม่อลอยวาดภาพไร้รูปร่างในสมอง ผมแทบไม่รู้เลยว่าวันหนึ่งๆที่มาทำงานนั้นผมทำอะไรลงไปบ้าง คล้ายกับความทรงจำที่มีนั้นมีเพียงเดินเข้าบริษัทกับเดินออกไปเท่านั้น เวลาระหว่างนั้นช่างว่างเปล่าเหลือเกิน
หลังจากที่เป็นแบบนั้นอยู่ราวสามเดือน เมื่อรู้แน่ว่าตัวเองไม่เหลือที่ยืนอีกต่อไปแล้ว ณ ที่แห่งนี้ ผมตัดสินใจลาออก
"การที่บริษัทจะต้องเสียบุคลากรที่มีคุณค่าอย่างคุณไปเป็นเรื่องที่น่าเสียดายจริงๆ"
นั่นคือคำพูดที่ผู้บริหารพูดกับผมในวันที่ผมยื่นใบลาออก ซึ่งผมรู้ดีว่านั่นเป็นแค่คำพูดตามมารยาท เพราะที่จริงแล้วสถานภาพของผมในตอนนี้ก็เหมือนชิ้นเนื้อที่พวกเขาอยากตัดทิ้งอยู่แล้ว
หลังยื่นใบลาออกและได้รับการชี้แจงเรื่องผลประโยชน์และเงินสะสม ผมใช้เวลาวันลาทั้งหมดที่เหลือเพื่อให้ไม่ต้องกลับเข้ามาทำงานอีก และของทุกอย่างในที่ทำงานผม ผมบอกกับคนจัดการว่าใครอยากได้อะไรก็เอาไปเลย หรือถ้าไม่ก็ทิ้งไปให้หมด ผมบอกเลิกศาลาถาวร ไม่อยากมีอะไรติดพันที่จะทำให้นึกถึงที่นี้อีกแล้ว โดยในช่วงเวลาที่ผมใช้วันลานั้น ผมตัดสินใจใช้มันรักษาร่างกายตัวเอง จากที่เข้าๆออกๆโรงพยาบาลหลายครั้ง ผมตัดสินใจเข้าทำการตรวจรักษาร่างกายอย่างละเอียด ผมใช้จ่ายเงินค่ารักษาจนเกินวงประกันและต้องออกเงินเองโดยขายคอนโดมิเนียมกลางกรุงในราคาที่เกือบเท่าทุน แต่ช่างมัน ผมตัดสินใจเด็ดขาดแล้ว สิ่งที่แรกที่ผมต้องทำก็คือ การกำจัดเชื้อร้ายที่ทำให้ชีวิตผมตกต่ำนี้ออกไปจากร่างกายให้หมด
หลังรักษาจนหาย ผมคิดเรื่องที่จะหางานใหม่ทำ แต่พอคิดไปคิดมา ผมก็เกิดความคิดที่ว่า ไหนๆก็ออกจากงานจนมีเวลาว่างแล้ว น่าจะใช้เวลานี้ให้รางวัลกับชีวิตบ้าง เพราะพูดตรงๆว่าตลอด 6 ปีที่ทำงานนั้น ผมทำงานหนักจนแทบจะหาเวลาว่างไม่ได้และนั่นเองที่เป็นสาเหตุอย่างหนึ่งที่ทำให้ผมล้มป่วย ผมไม่อยากให้ประวัติศาสตร์เรื่องนี้ซ้ำรอย เพราะอย่างนั้น ผมจึงคิดว่าการมีเวลาให้ตัวเองบ้างน่าจะเป็นเรื่องดี
ด้วยความคิดนั้น ผมเจียดเงินอีกราวหนึ่งในสามจากที่สะสมไว้เพื่อการนี้ การทำงานหนักมาตลอด 6 ปีโดยไม่แทบไม่มีเวลาใช้เงินทำให้ผมมีเงินเก็บเป็นทุนรอนอยู่ก้อนโตไม่น้อย ชนิดที่ผมสามารถใช้ชีวิตอยู่ได้เป็นปีโดยไม่ต้องทำงานเลยก็ได้ แต่อย่างไรก็ดี ผมตั้งลิมิตเวลาพักผ่อนของตัวเองไว้ที่สามเดือน เพราะหากนานกว่านั้นมันจะนานเกินไปจนต่อไม่ติด
นี่คือ การพักร้อนครั้งที่สองในชีวิตของผม
คำยืนยันของเจ้าของเรื่องสั้น
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ