[ฝันเฟื่องเรื่องสั้น] เรื่องที่สอง : เสียง

8.8

เขียนโดย larceta

วันที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557 เวลา 15.42 น.

  3 ตอน
  10 วิจารณ์
  7,397 อ่าน

แก้ไขเมื่อ 1 มีนาคม พ.ศ. 2557 18.57 น. โดย เจ้าของเรื่องสั้น

แชร์เรื่องสั้น Share Share Share

 

2) ช่วงปลาย

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ
ขนาดตัวอักษร เล็ก กลาง ใหญ่ ใหญ่มาก
     เราเริ่มต้นงานภาคบ่ายด้วยขั้นตอนเดิม เธอฟังแล้วบอกจุดผม เรามาร์คจุดในจีพีเอส แล้วเดินไปที่จุดหมาย "สถานที่ A 3 นาฬิกา 5 กิโลเมตร" , "สถานที่ B 12 นาฬิกา 3 กิโลเมตร" , "สถานที่ C 7 นาฬิกา 6 กิโลเมตร" พวกเราเดินเหมือนรถไฟที่วิ่งตามรางอันซับซ้อนของประเทศที่พัฒนาแล้ว ซึ่งพอทำเรื่องเดิมซ้ำๆหลายครั้งเข้า ความตื่นเต้นก็ขาดหาย แม้แต่คนรอบข้างก็ดูจะหมดความสนใจกับเรา ทุกคนปล่อยเราให้ทำงานไปโดยไม่มีใครเฉียดเข้ามาไกล สู่บาทวิถีคืนสู่เท้า ทุกคนล้วนทำงายของตัวเองและยุ่งเกินกว่าจะยุ่งเรื่องของคนอื่น     งานของพวกเราดำเนินไปอย่างราบเรียบไม่ต่างกับการวิ่งในทุ่งหญ้าโล่ง อันที่จริง ผมสามารถข้ามเนื้อเรื่องช่วงนี้ไปเลยก็ได้ หากไม่ติดว่ามีตอนหนึ่งที่เราทั้งคู่ได้เจอกับชายประหลาดผู้เป็นเจ้าของบ้าน ที่มีกำแพงสูงประหนึ่งคุกอัลคาทราซ           "พวกยูกำลางทามอาร้ายกาบกำแพงบ้านไอ?"     เสียงอักขระตกร่องประหนึ่งเปิดจากคาสเซ็ตเทปยืดยานเอ่ยทักขณะที่ผมยืนอยู่และกำลังปล่อยให้เพื่อนหญิงมะมุมมะหงาราอยู่กับกำแพง ชายชาวต่างชาติผู้มีใบหน้าและร่างกายประดุจร่างจำแลงของชายผู้ทำให้ผลิตภัณฑ์โทรศัพท์ตราแอปเปิลถูกแทะเป็นที่นิยมไปทั่วโลกคนนั้นยืนอยู่ แน่นอนว่าตอนนั้นผมยังไม่รู้ชื่อเขา แต่จากรูปร่างหน้าตาตั้งแต่หัวจรด หากเขาไม่ได้ชื่อสตีฟ หรือนามสกุล -อปป์ ก็ควรไปเปลี่ยนที่อำเภอเดี๋ยวนี้เลย     ผมใช้สูตรเดิมเรื่องอ้างการวิจัยวิศวกรรมพร้อมยื่นรายงานที่ไม่เคยมีใครอ่านได้เกินชื่อเรื่องให้  แต่ครั้งนี้ มิสเตอร์สตีฟผู้นี้อ่านรายงานของผม แถมยังอ่านจนจบอีกด้วย    "แบบนี้ ดูท่าจาเปนปานหาหย่ายเลยน้า" เขาพูดขึ้นหลังจากเงยหน้าที่แทบจะจมอยู่ในหน้ากระดาษขึ้นมา    "ครับ" ผมตอบโดยที่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าปัญหาใหญ่ที่ว่านั้นคืออะไร "เพราะเรื่องนี้ทำให้ผม... พวกต้องใคร่ขออนุญาติตรวจสอบกำแพงบ้านของคุณหน่อยนะครับ สัญญาเลยว่าจะไม่ทำให้เธอเกิดด่างพร้อยมลทิณแน่นอนครับ"    ฟังดูเหมือนผมกำลังสู่ขอกำแพงบ้านเขามาแต่งงานด้วยไม่มีผิด  แต่ทำไงได้ล่ะ  มาถึงขึ้นนี้แล้ว ด้านได้อายอดละวะ    "โอ้ว... ม่ายต้องขออานูยาดอารายร้อก  เชิญเลย  ตราบใดที่ยูม่ายด้าวเอาขี้มาปาส่ายกำแพงบ้านไอ จะทำอารายก็ตามสาบายเลย"    แสดงว่าเคยมีสินะ  แต่เรื่องนั้นจะเป็นยังไงก็ช่างเถอะ เอาเป็นว่าตอนนี้ได้รับอนุญาติก็โอเคแล้ว    เพื่อนหญิงของผมตั้งใจใช้สโคปฟังเสียงกำแพงราวกับกำลังตรวจครรภ์ ดูท่ากำแพงคุกอันนี้คงหนาจนเสียงที่ออกมาฟังได้ไม่ง่ายนัก (หรือพูดว่า  เห็นสัญลักษณ์ไม่ชัดจะถูกกว่า)    สตีฟท้าวคางมองเธออยู่นานพักใหญ่ก่อนจะหันมาพูดกับผม    "เกิร์ลคนนี่น่าร้ากมากเลยน่า  แฟนยูสินะ?"คำพูดนั้นทำเอาผมสะดุด ผมเงยหน้าขึ้นก่อนจะหันไปหาเขาด้วยความรู้สึกขุ่นเคืองอย่างมาก    "ไม่ใช่ครับ  พวกเราเป็นเพื่อนกัน"    "หวอด!"  เขาอุทานเบิกตาโพรง คงจะพูดว่าอะไรนะ    "พวก-เรา-เป็น-เพื่อน-กัน-ครับ" ผมพูดทีละคำช้าๆ "เป็นเพื่อนต่างเพศ  มิตรต่างพันธุ์  มนุษย์ที่เป็นสหายกันแต่เพียงว่ามีโครโมโซมตัวนึงที่ไม่เหมือนกันเท่านั้นครับ"    ผมย้ำชัด เรื่องนี้เท่านั้นที่ผมไม่ยอมให้ใครมาเข้าใจผิดเด็ดขาด  ผมกับเธอไม่มีอะไรมากกว่าคำว่าเพื่อน  และก็จะเป็นแบบนี้ตลอดไปด้วย    ดูเหมือนคำตอบของผมจะทำให้ระบบอะไรสักอย่างในสมองของสตีฟรวน  เขาทั้งก้มหน้า  เกาหัว แลบลิ้น  โยกคอ ยืนลูบเป้าแล้วร้อง เอ้า! เหมือน โดนหนามทิ่มส้นเท้า รวมถึงการมองเราทั้งสองคนสลับกันไปมาราวกับว่ามีหูรูปเทพีเสรีภาพโผล่ออกมา ที่ติ่งหู  จนสุดท้ายก็กลับไปก้มหน้าในท่าของรูปปั้นนักคิดของรอแด็ง ซึ่งนั่นเองที่ทำให้การสนทนาของพวกเราขาดหายไปนาน นานจนคิดว่าเดี๋ยวเขาคงเต้นมูนวอร์คหายกลับเข้าไปในบ้านเอง ซึ่งนั่นจะดีกับเรา...กับผมที่ตอนนี้แบตเตอร์รี่กาแฟดำใกล้จะหมดฤทธิ์เต็มทีแล้ว     แต่ผมคิดผิด  เพราะหลังจากที่สตีฟใช้เวลาแปรรูปขบวนความคิดตัวเองเสร็จ  เขาก็หันมาเปิดประเด็นใหม่คุยกับด้วยคำพูดที่เริ่มฟังรู้เรื่องกว่าเดิม...นิดหน่อย    "ยูเคยฝันถึงเครื่องร้าบวิทยุม้าย?"     "ฮ้า!?"     ผมอุทานชนิดที่ความง่วงขาดกระจุย อารมณ์ของผมในตอนนั้นเหมือนกับอ่านหนังสือพิมพ์ข่าวเศรษฐกิจอยู่ดีๆก็เกิดลม แรงพัดหน้ากระดาษเปิดเปิงหมด แล้วหน้าแรกที่ผมจับไว้ได้คือข่าวหมีแพนด้าคลอดลูกใต้น้ำ     โดยไม่มีคำอธิบายว่าทำไมจู่ๆก็พูดถึงเรื่องนี้ สตีฟร่ายยาว "เหมื่อก่อน  หลายสิบปีมาแล้ว ไอเคยฝานวาตัวเองมีเครื่องรับวิทยุหย่ายอยู่เครื่องหนึ่ง  ใหญ่เท่าประตูชัยแห่งติตุสเลยล่ะ  เป็นเครื่องวิทยุโบราณแบบที่ต้องหมุนปุ่มหย่ายๆเลื่อนแถบหาคลื่น แต่ถึงจาโบราณแต่ก็อ่ยาดูถูกนะ  เพราะมานเปนเครื่องราบวิทยุที่ราบคลื่นได้ทั่วโลกเลย  แล้วเสียงที่รับได้ยังฉาดมั่กๆ  ฉาดขนาดที่ว่าถ้าฟางบานทึกการแสดงสดคอร์นเสิร์ตวูดสต๊อกละก็ แทบจะได้กลิ่นกาญชาลอยคลุ้งจากลำโพงเลยล่ะ"       เขาเลียนแบบรอยยิ้มเมากัญชาของบุพผาชนในยุคนั้น ก่อนจะกลับด้านมุมปากหักลง       "แต่เพราะมานรับคลื่นได้ทั่วโลกนี่แหละที่ทำให้น่าลำบากใจ  จากคลื่นวิทยุถั่วโลกที่มีมากพอๆกาบดาวโบนฟ่า ทำให้พอเอามาซอยในช่องความถี่วิทยุของไอแล้วมานจะแน่นแล้วก็ถี่ยิบมั่กๆ ขนาดที่ว่าถ้ามีแมลงวันสักตัวมาเกาะปุ่มปราบคลืนลาก้อ จากเดอะบีบ (BBC) อาจกลายเป็นอัล-จาซีร่า (al jazeera) หรือ อาจเป็นวิทยุชุมชนที่กำลังอ่านแถลงการณ์เพื่อปลุกระดมกลุ่มชนในการประท้วง รัฐบาลม่ายให้นำเข้าตุ๊กตาบาบี้ก็ได้ ซึ่งทั้งหมดนั้นล้วนม่ายช่ายสิ่งที่ไอต้องการฟางเลยสักนิด" เขาหยุดเติมออกซิเจนเข้าปอด ก่อนจะพูดต่อ "เพราะแบบน้าน ทำให้ไอต้องพยายามล็อคคลื่นโดยใช้พิน... เข่มมู้ดทีมีปลายเล่กๆปักช่องที่ไออยากฟังเอาไว้  แบบนั้นแล่ว  ต้องให้แมลงวานหรือใครหน้าไหนก็มาเปลี่ยนคลื่นของไอไม่ได้ Eureka!!"     เขากางมือดั่งดารานำในบรอดเวย์แผ่ผายรับเสียงปรบมือตอนจบการแสดง ผู้ชมแสดนดิ้งโอเวชั่นพร้อมเพรียง ผมแทบจะได้ยินเสียงตะโกน 'superbe! (สุดยอด)!' ดังก้องจากทิวทัศน์ฉากหลังของเขาเลยทีเดียว  กะอีกแค่เอาเข็มปักหน้าปัดวิทยุเนี่ยนะ?     รอจนเสียงปรบมือเงียบลง สตีฟก็พูดกับผมต่อ "หลังจากน้าน  แม้ไอจาตื่นแล้ว  แต่ดูเหมือนความฝานของไอจาไม่ได้หายไปเลย  แต่กลับยึดมั่นฝั่งตรึงอยู่ในนี้เลย" เขาเอานิ้วชี้เคาะที่โคนผมข้างใบหู "และจากการที่ไอจำความฝานน้านได้ทุกรายละเอียด ทำให้ไอต้องเอามานมาแล้วนั่งวิเคราะห์อยู่หลายปีเลยทีเดียวว่าความฝันจาบอก อารายไอ จนเมื่อไอนึกลองนับจำนวนเข่มมู้ดที่ไอปีกไว้ล็อคคลื่นที่แผงหน้าปาดวิทยุ เท่านั้นแหละ หลอดไฟในหัวไอก็สว่างวาบขึ้นมาทันทีเลย! ไอได้คำตอบแล้ว! ไอรู้แล้วว่าความฝานต้องการจาบอกอะไรไอ ยูรู้ไหมว่าเพราะอะไร?"     'ไม่รู้ครับ อันที่จริง  ไอยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่ายูกำลังพูดเรื่องบ้าอะไรอยู่  ไม่สิ  ...ไอ้คนที่เอาไอ้ความฝันบ้าๆบอๆนี่มาคิดเป็นจริงเป็นจังได้เป็นปีๆต่างหาก ที่...' แน่นอนว่านั่นคือเสียงที่เปล่งออกมาแค่ในกายละเอียดของผมเท่า นั้น  กายหยาบนอกของผมการยักไหล่ให้เขาครั้งหนึ่งแทนการบอกว่า "เล่ามาสิครับ"     สตีฟสูดหายใจลึกก่อนจะตอบ "รูปแบบงายล่า"       "รูปแบบ?" ผมทวนคำพูดเขา     "ก็ทั้งรายา  ความถี่  พีกเวฟ (Peak Wave) โลว์เวฟ (Low Wave) หรืออาไรพวกนั้นล่า , ในบรรดาคลื่นที่มีมากมายราวกาบดาวบนฟ้าน่าน ม่ายช่ายทุกคลื่นแต่มีเพียงหยิบมือเดียวเท่านั้นที่สอดคล้องกับอัตลักษณ์ในตัวไอ  เป็นคลื่นที่กราเพื่อมเซลล์ชีวิตไอให้ทำงาน เสริมพลังให้แทนที่จาหักล้าง  ย้ำชัดเอกลักษณ์และดึงตัวตนของไอออกมา  ....จะเรียกว่าอารายดีล่ะ มันเหมือนกาบ....  "     เขาทำหน้าอึดอัดเหมือนคนถ่ายไม่ออก  ส่วนผมก็ไม่อาจเข้าใจประโยคต่างดาวที่เขาพูดเมื่อกี้ได้เช่นกัน แค่พูดธรรมดาก็ฟังยากอยู่แล้ว  นี่ยังพูดเรื่องยากๆที่เข้าใจยากเข้าไป  ไม่รู้เรื่องยกกำลังสามไปเลย     แต่เพราะความกลัวว่ามิสเตอร์สตีฟที่ตอนนี้หน้าเริ่มซีดเขียวแล้วตรงหน้าจะขาดใจ ตายกลับสู่สวรรค์ไปเสียก่อนจากการคิดไม่ออกและพวกเราทั้งคู่อาจตกเป็นผู้ ต้องสงสัยวางแผนฆาตรกรรม (ในโลกวรรณกรรม การตายโดยธรรมชาติเป็นเรื่องที่ยอมรับไม่ได้) ทำให้ผมพยายามหยิบเอาคำศัพท์ที่พอจะแปลออกจากประโยคตกร่องของเขามาเรียบ เรียงเป็นคำพูด จากนั้นก็ออกความเห็น     "คลื่นจูนกันติด"     Eureka! ผมได้ยินเสียงนี้จากใบหน้าที่สตีฟแสดงออกมา     "ยูให้คำนิยามแก่ไอแล้ว!!"     เขาดึงผมไปด้วยท่อนแขน นานจนขนแข็งๆที่แขนนั้นเกือบจะทิ่มทะลุแขนผมอยู่แล้วจึงยอมปล่อย     "รู้ไหม  ไอน่าพยายามหาคำนิยามเรื่องนี้มานานแล้ว  แต่ที่ผ่านมา  ไม่ว่าครายก็ห้ายคำตอบดีๆม่ายด้ายเลย  ยูนี่จีเนียสจริงๆ!!"     งั้นเหรอครับ  ยินดีด้วยนะครับ  ผมกล่าวกับสตีฟและปล่อยเขาที่กำลังฟินาเล่อยู่ในท่าทราโวต้าไว้แล้วหันกลับ ไปหาเพื่อนหญิง นึกขอบคุณเสียงพิลึกๆนั่นที่ทำให้เธอไม่ได้ยินบทสนทนาบ้าๆเมื่อกี้  ผมนึกออกเลยว่าเธอจะทำหน้าหน้ายังไงถ้าเกิดได้ยินเรื่องนี้       เพื่อนหญิงของผมตั้งใจทำงานมาก  ท่าทางการใช้สเต็ทแนบกำแพงอย่างเป็นการเป็นงานนั้นทำให้ผมนึกถึงสูตินารี แพทย์ที่กำลังตรวจครรภ์ให้ปลาวาฬสีน้ำเงิน  น่าเป็นนะ อาชีพพิศดารหนึ่งเดียวในโลก ค่าฝากครรภ์มหาศาล แล้วท่าทางของเธอก็เหมาะกับอาชีพนี้อย่างที่สุด     ระหว่างที่กำลังคิดเพลินๆ ชายผู้หนึ่งที่โผล่มาจากไหนไม่รู้ได้ปรากฎตัวข้างหลังพวกเรา     "ได้เวลาที่แขกท่านต่อไปจะมาแล้วขอรับนายท่าน"     เขาเอ่ยขึ้นด้วยเสียงทุ้มต่ำ ผมมองดูเขาและมั่นใจทันทีว่าเขาต้องเป็นพ่อบ้าน ชายวัย 60 ปีแต่ยังเกลี้ยงเกลาไร้รอยเหี่ยวย่นลึกร้าว ผมขาวแสกกลาง  หนวดหนายาวแต่ตัดแต่งเรียบร้อยเป็นตัว W ตาที่เหมือนจะปิดแต่ที่จริงแล้วมองเห็น 360 องศา เสียงฝีเท้าแผ่วเบาชนิดเดียวบนผิวน้ำได้  โค้งตัวงดงามราวกับนกกระสาก้ม  และยังสวมชุดสูทเน็กไทไร้รอยยับย่นได้แนบชิดสนิทราวกับเป็นผิวหนังที่มีติด ตัวตั้งแต่เกิด หากแผ่นซีดีเพลงจากโรงงานต้องมีฉลากคำว่า ชัดเจนยิ่งกว่าฉลากซีดีเพลงที่เขียนว่า 'ใช้เพื่อฟังเท่านั้น' ติดไว้ ชายผู้นี้อาจมีข้อความเขียนไว้บนสายรกตอนคลอดว่า 'ใช้เพื่อเป็นพ่อบ้านเท่านั้น' ก็เป็นได้     "ว๊อด! ถึงเวลาแล้วเหรอเนี่ย" สตีฟมองดูเวลาแล้วส่ายหัว "เวลานี่ช่างโบยบินไปเรวเจงๆ"     จริงๆแล้วช้าไปด้วยซ้ำ  ผมคิดแล้วก็ถอนหายใจโล่งอกที่จะได้หลุดพ้นจากสตีฟเสียที  Go Steve Go!     ทว่าก่อนจะไป  สตีฟที่ดูอยากจะสานความสัมพันธ์เพิ่มเติมก็ทำการหยิบยื่นกึ่งยัดเยียดกระดาษใบเล็กๆใบหนึ่งแก่ผม     "นี่นามบัตรของไอเอง  , ไอน่าว่างช่วงเวลานี้ของวานเสมอ  คงจาดีถ้าเราด้ายคุยกานอีก"     'ในเรื่องการผลิตวิทยุที่ใช้เข็มหมุดเป็นตัวล็อกสัญญาณนั่นน่ะเหรอ  ถึงตอนนี้ผมจะรู้สึกสนใจขึ้นมานิดๆแล้วก็เถอะ  แต่ว่าก็ยังพอจะจูงใจพอให้ผมสละเวลาอันมีค่าของผมที่มีให้เพื่อนหญิงของผมมา หรอกครับ  ขอโทษด้วยและลาขาด...'  กายละเอียดผมร่ายประโยคยาวขณะที่กายหยาบนั้นยื่นมือไปรับมาเรียบร้อยแล้ว  พร้อมยังแสร้งทำเป็นอ่านข้อความในนั้นอย่างสนใจด้วย...     ไม่สิ นามบัตรนี้ทำให้ผมต้องสะดุดจริงๆ  บนกระดาษที่ขาวราวกับผ้าในโฆษณาผงซักฟอกนั้น  มีข้อความที่พิมพ์ด้วยตัวอักษรสีดำ 2 บรรทัดถ้วน  หนึ่งคือชื่อ  ส่วนอีกหนึ่งเป็นเบอร์โทร  ไม่มีชื่อสถานที่หรือชื่อบริษัท ไม่มีชื่อนำหน้า  ไม่มียศตำแหน่ง  ไม่มีแม้แต่ที่อยู่ในการติดต่อ หากมีการประกวดนามบัตรที่ประยัดหมึกที่สุดในโลก ผมขอส่งใบนี้เข้าประกวดเลย     และที่สำคัญที่ทำให้ผมสะดุดกับนามบัตรใบนี้ก็คือชื่อที่เขียนด้วยตัวอักษรขนาด ครึ่งแผ่น ตัวอักษรที่เรียงกันนั้นไม่มีทางเป็นชื่ออื่นไปได้นอกจาก สตีฟ บอจส์ (Steve Bojs)     ผมเงยหน้ามอง ชื่อนี้มันดูยังไงก็ก็อปมาแล้วสลับตัวอักษรเอาชัดๆ แถมหน้าตาก็เหมือนกันยังกะแกะ ของปลอมเกรดเอเลยล่ะ     และสตีฟก็กรุณาโดยการเล่าที่มาของชื่อและนามสกุลนี้ให้ผมฟัง     "หมู่บ้านที่ไอเกิดน่าเป็นหมู่บ้านเล็กๆที่มีนามสกุลอยู่แค่สามนามสกุลคือ บอจส์ (Bojs) , ฟับเบต (Fubbet) แล้วก็ เทก (Tage) น่า  ส่วนชื่อ สตีฟ (Steve) นั้น มาจากการที่ฟาเธอร์ของไออยากให้ลูกชายเป็น New Stevie Wonder แต่น่าเสียดายที่ไอดันตาไม่บอด เล่นดนตรีได้ห่วยแตก แถมเสียงร้องก็เหมือนเสียงตดเลยด้วย ฮ่าๆๆ"     สตีฟหัวเราะให้เรื่องเล่าของตัวเองหนึ่งขำถ้วน  ส่วนผมก็กำลังนึกหาว่าไอ้หมู่บ้านที่มีนามสกุลสามอย่างนั้นมันอยู่ส่วนไหนของโลกกัน     "เอาล่าๆ  งั้นวันนี้ไอคงต้องขอตัวก่อนแล้วล่านา  ขอให้ยูท้างคู่โชคดีพบสิ่งที่ตามหา"      สตีฟเอ่ยคำลาแล้วทำท่าจะจากไป ทว่าก่อนหน้านั้น เขากลับหยุดแล้วมองข้ามผมไปยังเพื่อนหญิง ก่อนจะผุดรอยยิ้มที่มุมปากเล็กๆแล้วเอามือแตะไหล่บอกผมขณะที่กำลังมองไปทาง อื่นพอดี     "ม่ายว่าเรื่องราวจะร้ายแรงแค่ไหน ก็จาบมือกานว้ายห้ายมั่นนะ แล้วทู้กอย่างก็จาผ่านโพ้นปายด้ายเอง"     คำพูดนั้นทำให้ผมสะดุ้งและหันมองเขา ทว่าเมื่อหันไป สตีฟก็ไม่อยู่ตรงนั้นแล้ว เช่นกันกับพ่อบ้าน  ทั้งคู่หายลับไปในเสี้ยววินาทีนั้นราวกับภาพลวงตาจากปรากฎการณ์มิราจ...         ผมเก็บนามบัตรลงกระเป๋าพร้อมๆกับเสียงเรียกจากเพื่อนหญิงก็ดังขึ้น เธอได้พิกัดแล้ว ตอน นั้นเพื่อนหญิงของผมยังไม่รู้เรื่องของสตีฟนะ เพราะอย่างที่บอกไปแล้วว่าเวลาที่เธอเอาหูแนบกำแพงฟังเสียง เธอจะตัดขาดจากทุกอย่างรอบตัวไปเลย  ไม่เห็นอะไร ไม่ได้ยินอะไรนอกจากเสียงพิเศษนั้นอย่างเดียว  แล้วอีกอย่าง  เวลาที่เธอเริ่มฟังเสียงจนจบกับเวลาที่สตีฟคุยกับผมแล้วจากไปก็พอดิบพอดีกัน ด้วย เพราะงั้น  ทั้งสองคนก็ยังไม่ได้เจอกัน ..ตอนนั้น     เราลาจากบ้านสตีฟไปที่ป้ายรถเมล์เพื่อไปจุดต่อไป  สถานีรถไฟใต้ดิน  จุดเริ่มต้น     "วนกลับมาที่เก่าซะแล้ว"       เพื่อนหญิงของผมพูดแล้วหันมาพร้อมเอามือเคาะหัวด้วยสีหน้า 'ว้า  แย่จัง' แบบดาราวัยรุ่นสมัยยี่สิบปีก่อน     เราพลาด  หรือไม่ก็เป็นเพราะเสียงในกำแพงนั่นแท้จริงเป็นแค่สิ่งที่ใครสักคนหรืออะไร สักอย่างทำไว้เพื่อปั่นหัวเราเล่น เหมือนจุดในเกมส์ลากเส้นให้เป็นรูปที่สุดท้ายก็กลับมาที่เดิม     "แล้วไงต่อล่ะ 'เตง  วนอีกรอบป่ะ"       เธอพูดแล้วทำท่าคึกคัก ประมาณว่าอีกสามรอบก็ไหว แต่สำหรับผม รอบเดียวก็เกินพอแล้วสำหรับการจาริกแสวงบุญครั้งนี้ แล้วอีกอย่าง ผมรู้ว่าไม่จำเป็นต้องเดินสะเปะสะปะได้ความหมายอีกต่อไปแล้วจากการนำทางทั้งหมดที่ผมกับเธอเดินมาทั้งวันลากเป็นเส้นตรงที่เชื่อมต่อกัน     เห็นอย่างที่ผมเห็นไหม ถ้าเห็นก็ยินดีด้วย คุณได้บิงโกแล้ว-----WWW------     เราไปถึงจุดหมายก็ตอนผีตากผ้าอ้อม เรือนชำ  โรงงาน หรือโกดังเก็บของ ขึ้นอยู่กับนิยามของคุณแล้วว่าจะเรียกไอ้อาคารหลังคาสังกะสีที่ล้อมรอบแต่ ทุ่งหญ้าแห้งกรอบขนาดไร่กว่าๆนี้ว่าอะไร  และจากที่รอบข้างไม่มีอาคารอื่นใดอีกเลย  ผมมั่นใจว่าเป็นที่นี่ไม่ผิดแน่     ผมผลักประตูเหล็กที่ส่งเสียงร้องโหยหวนเข้าไปและต้องปะทะเข้ากับกลิ่นสาปจน ต้องถอยออกมาตั้งหลัก  ก่อนจะเข้าไปใหม่อีกครั้งโดยเอาทุกอย่างที่เป็นผ้าในตัวมาใช้ปิดจมูก  ทำไมผมไม่คิดถึงเรื่องนี้นะ  ทั้งๆที่แม้แต่คีมสำหรับตัดโซ่ประตูยังเอามาด้วยแท้ๆ ทำไมผมไม่คิดถึงเรื่องนี้นะ  ทั้งๆที่แม้แต่คีมสำหรับตัดโซ่ประตูยังเอามาด้วยแท้ๆ     ภายในนั้นไม่มีอะไรเลย  นอกเสียจากคุณจะนับว่าเครื่องเรือนเก่าผุพังกับแอ่งน้ำเน่าว่าเป็นอะไรของ คุณด้วย จากสภาพผุพังที่ให้นิยามสมบูรณ์แบบของคำว่ารกร้าง  ฝุ่นหนาเป็นคืบ  และแสงแสดหม่นของยามเย็นที่ทะลุผ่านผนังเข้ามาก็ชวนให้นึกถึงจุดจบสิ้นของ โลก     เราเดินสำรวจรอบพื้นที่ อย่างที่บอกไปแล้ว  ในนี้แทบไม่มีอะไรที่พอจะเรียกว่าอะไรได้ ไม่มีสิ่งที่เป็นเครื่องจักรหรือเครื่องยนต์ที่มาจากนอกโลก ไม่มีอะไรที่พอจะมองได้ว่าเป็นสิ่งลี้ลับเช่นหัวกระโหลกปักเขียนไข วงอักขระแพนตาแกรม หรือซากสัตว์ที่เหลือจากการบูชายันต์ แม้แต่สัตว์ที่มักจะมากลับกลุ่มกันในที่รกร้างอย่างแมวหรืออีกาก็ไม่มีสัก ตัว และที่เป็นที่สุดก็คือ ทิพยานต์ฟังเสียงของเพื่อนหญิงของผมนั้นไม่ได้ยินเสียงอะไรจากที่นี่เลย     หลังใช้เวลาสำรวจอยู่ราวครึ่งชั่วโมงและไม่พบอะไรที่สะดุดใจเลยแม้แต่อย่าง เดียว  พวกเราเลิกล้ม ไม่มีประโยชน์ที่จะอยู่ในที่นี่นอกจากจะอยากให้โพรงจมูกของตัวเองพัง       ทว่า ขณะที่กำลังจะหันหลังกลับนั้น  เพื่อนหญิงของผมก็สะดุดเข้ากับบางอย่างที่พื้น  ซึ่งเมื่อเราก้มมองดูก็พบว่ามันเป็นแผ่นเหล็กสี่เหลี่ยมแผ่นหนึ่งขนาดเท่า ทะเบียนรถแผ่นหนึ่ง       เธอหยิบมันขึ้นมา  นำไปเคาะกับเสาเพื่อให้ฝุ่นหนาเตอะที่เกาะอยู่ร่วงออกแล้วปาดซ้ำด้วยสันมือ  เบิ่งตามองอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะยื่นให้ผม     "เขียนว่าอะไรไม่รู้  'เตงอ่านออกมั้ย"     ผมรับมันมา  โดยพยายามไม่จับตรงขอบที่สนิมกินจนเขรอะและมองดูข้อความที่เธอว่า     "kF33Il"     ผมอ่านคำในป้ายเหล็ก ประโยคไร้ความหมาย ความเลอะเลือนของมันจากการกัดกร่อนกระแสเวลาทำให้ผมแทบดูไม่ออกเลยว่าเป็น ข้อความที่เขียนด้วยอักษรภาษาอะไร  และเสียงที่เปล่งออกมาก็ฟังดูเหมือนไม่เหมือนภาษาใดๆเลยในโลกนี้     ทว่าเมื่อผมเอ่ยคำนั้นออกมา เพื่อนหญิงของผมก็เกิดอาการแปลกๆขึ้นมาทันที"kF33Il..."เธอเปล่งเสียงครั้งหนึ่งแล้วยกมือป้องหู  จากนั้นก็พูดออกมาอีก"kF33Il... kF33Il... kF33Il... kF33Il... kF33Il... kF33Il...kF33Il..! kF33Il..! kF33Il..! kF33Il..! kF33Il..! kF33Il..!kF33Il.!! kF33Il.!! kF33Il.!! kF33Il.!! kF33Il.!! kF33Il.!!kF33Il!!! kF33Il!!! kF33Il!!! kF33Il!!! kF33Il!!! kF33Il!!! kF33Il!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!"     เสียงระรัวจากแผ่วเบาดังขึ้นจนกลายเป็นเสียงกรีดร้อง  ผมตกใจและรีบไปจับตัวเธอ เขย่าพร้อมกับตะโกนเรียก แต่ไม่ได้ผล  ทั้งแววตา  สีหน้า  รวมถึงทั้งร่างกายของเธอแข็งทื่อราวกับถูกสาปเป็นหิน มีเพียงปากที่ขยับแล้วเปล่งเสียง ราวกับเป็นหน้าที่เธอสำคัญที่หากละเว้นแล้วจะต้องตายดับไป     ผมคิดอะไรไม่ออก  ไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นแล้วก็ไม่รู้ว่าตัวเองจะทำยังไง  ทำให้สุดท้ายแม้แต่ตัวผมเองก็พลอยตัวแข็งทื่อไปด้วย  เพื่อนหญิงผมยืนปิดหูเปล่งเสียง  ส่วนผมได้แต่ยื่นนิ่งมองโดยที่ทำอะไรไม่ได้เลย     แต่แล้วในตอนนั้นเอง  'เสียง' หนึ่งก็แล่นเข้ามาในหัวผม
 
    "l l [ ] L I] l l E k"     ที่ว่าเสียงแล่นเข้ามาในหัวนั้น  ไม่ได้เป็นแบบเสียงที่พูดอยู่ข้างหูเฉกเช่นมีพรายกระซิบ  หรือเป็นภาพโปร่งบางใสปรากฎให้เห็นเช่นวิญญาณถอดร่าง  เสียงนั้นมาในรูปแบบที่ต่างไป  รูปแบบอื่นที่.... พิเศษไม่เหมือนใคร รูปแบบที่เหมือนจะสวมทับตัวตนของผมได้อย่างพอดิบพอดีเป็นเหมือนสัญลักษณ์ที่มีแต่ผมเท่านั้นที่เข้าใจได้      ผม.... ในเสี้ยววินาทีก่อนจะได้ยินเสียง ผมเหมือนอยู่ในห้องว่างเปล่า  ไม่มีเครื่องเรือนเครื่องประดับ  กำแพงเรียบโล่งไร้รอยต่อ ไม่มีสี  ไม่มีรูปร่างสัญลักษณ์ใดๆ  และผมก็ยืนอยู่ตรงกลางห้องนั้นพอดี     แล้วจากนั้น  จู่ๆห้องนั้นก็กลายเป็นบ่อน้ำ  จากนั้นก็เป็นแม่น้ำ  เป็นทะเลแล้วก็เป็นใต้ทะเลลึก  ผมกำลังจมลงในโพรงลึก  แหลมมารีน่าหรือเหวใดๆที่นิยามได้ว่าเป็นความลึกสุดหยั่ง  ผมกำลังจมลงไปในนั้น  ลึกลงไปทุกทีๆ และรอบข้าง แสงที่เคยครอบตัวผมเป็นทรงโดมหดรัศมีเล็กลงทุกทีๆจนแทบจะกลายเป็นจุดที่อยู่ เหนือศีรษะ     ทว่าในวินาทีที่จุดแสงสุดท้ายจะดับหายไป เสียงนั้นแว่วดังขึ้น  พร้อมๆกับที่มีเชือกเส้นหนึ่งก็ถูกหย่อนลงมา     ผมคว้ามันไว้  เหมือนเป็นปฏิกิริยาอัตโนมัติของร่างกายที่ต้องทำอย่างนั้น  จากนั้น ผมก็ดึงข้อมือแล้วไต่มัน  การปีนต่อต้านแรงดึงดูดจากด้านล่าง แรงที่จะดูดทุกอย่างลงไปเหมือนอ่างน้ำที่เปิดจุ๊กก็อกให้น้ำไหล พร้อมกับๆที่รอบตัวผมได้กลายเป็นสายระยางและพุ่งตรงมาหาตัวผม       "อึก..."     ผมกัดฟันราวกับจะขบให้แตกละเอียด ออกแรงไต่เชือกอย่างสุดกำลังขณะที่สายระยางพยายามไล่คว้าตัวผม  ฉีกเนื้อลอกหนัง ผมรู้สึกถึงแรงดึงลงที่ปลายเท้า เช่นเดียวกับแรงดึงขึ้นที่ปลายผม   ทั้งสองแรงในทางตรงข้ามนั้นราวกับจะฉีกร่างผมให้ขาดครึ่งออกจากกัน  ผมรู้สึกถึงการบิดม้วนฉีกดึงของอวัยวะ  คล้ายเชือกพันเกลียวแน่นแล้วแน่นอีก   และคงจะหยุดลงได้ก็ต่อเมื่อร่างกายของผมฉีกเป็นชิ้นๆไปแล้วเท่านั้น     แต่ไม่ว่าจะเกิดอะไร  ผมก็จะไม่ปล่อยเชือก     แม้ว่าร่างกายของผมจะฉีกขาดจนเหลือแค่ท่อนบน  ขอแค่มีมือนี้อยู่  ยังไงผมก็จะปีนขึ้น     ผมต้องออกไปให้ได้     "อ๊าก!!!"     ผมแผดเสียงตะโกนขณะที่มือเอื้อมไปแตะแสง  วินาทีนั้น ภวังค์รอบตัวผมสลายวาบไปราวกับหมอกยามเช้าที่สลายไปเมื่อตะวันแผ่รัศมี แรงกล้า ดั่งภาพลวงตา ณ ปลายคลองจักษุที่คลายออก ภาพทิวทัศน์โกดังเปื้อนสนิมที่กลับมาทำให้รู้ว่าตัวเองกลับสู่ที่ที่ผมอยู่ แล้ว  ที่ที่เป็นโลกของผม  ผมออกมาได้แล้ว     ทันทีที่ร่างกายเป็นอิสระ ผมมองหาเพื่อนหญิง และเพียงหันได้ครึ่งรอบก็เจอเธอที่ยืนอยู่ข้างๆ ยังคงกุมมือและอ้าปากขยับ ทว่ากลับไม่เสียงใดๆออกมา คล้ายกับมันถูกช่วงชิงไปแล้ว ซึ่งถ้าเป็นผมเมื่อก่อนหน้านี้คงไม่สามารถทำอะไรได้นอกจากยืนดูเธอ  แต่ตอนนี้  สถานการณ์เปลี่ยนไปแล้ว  ผมรู้แล้วว่าจะต้องทำยังไง     ผมมองเพื่อนหญิงที่อยู่ตรงหน้าแล้วยื่นมือไปที่ข้างใบหน้า มือของผมโอบทับมือของแล้วกลายเป็นมือของเราทั้งคู่ที่ประสานโอบป้องใบหูทั้ง สองข้างนั้นไว้     แล้วจากนั้น ผมก็เรียกเธอด้วยกำลังทั้งหมดที่มี     "...............!"     ผมเรียกเธอด้วยชื่อ ชื่อที่ไม่ใช่ "เธอ", ไม่ใช่ "เพื่อนหญิง" ไม่ใช่ "มิตรต่างเพศ" แต่เป็นชื่อที่ระบุถึงตัวตนและอัตลักษณ์ของเธอ  นามแท้จริงที่ทำให้รู้ว่าเธอเป็นสิ่งใดกันแน่ในโลกนี้     ปากของเธอหยุดค้างทันทีเมื่อผมเรียกชื่อเธอ แล้วจากนั้นไม่นาน  ดวงตาที่เบิกค้างของเธอก็เริ่มขยับ  ตามด้วยเสียงหายใจที่หายที่กลับสู่สภาวะปกติ  เหงื่อไหลซึมทั่วใบหน้า  และสุดท้ายกับปากที่อ้าค้างของเธอที่หุบลงมาเป็นเส้นเรียบสนิท     ผมเห็นทุกอย่างที่เปลี่ยนแปลงชัดเจน  เพราะเราสองอยู่ห่างกันเพียงหนึ่งมือเอื้อม     เธอปล่อยมือที่ป้องหูลงจากข้างใบหน้า  มือผมไหลตามการเลื่อนนั้น  มือของเราประสานกันตรงท้องน้อยของเธอ มือผมโอบห่อมือเธอเอาไว้ด้านใน สายตาของเราประสานกัน ลมหายใจของเธอสัมผัสริมฝีปากแห้งกร้านของผมเช่นกันกับที่ลมหายใจของผมสัมผัส ริมฝีปากชมพูระเรื่อของเธอ  ผมสัมผัสได้ถึงกลิ่นหอมจางๆจากเส้นผมและเรือนหน้าของเธอเช่นกันกับเธอที่คง ได้กลิ่นเหงื่อเปรี้ยวเค็มจากตัวผม ผมรู้สึกถึงเสียงและกระเพื่อมเบาๆจากหน้าอกของเธอและเธอก็คงรู้สึกเช่นกัน มือของผมเริ่มเย็นลงขณะที่มือของเธอเริ่มอุ่นขึ้น เราใกล้กันจนรู้สึกได้ถึงการทับซ้อนของส่วนขยายจากเรือนร่าง คล้ายมีเข็มที่กำลังลงด้ายถักทอบางอย่างของเราเข้าหากันอย่างช้าๆและปราณีตบรรจงอย่างที่สุด       เราไม่สามารถหยุดยั้งหรือหักห้ามมันได้ ทำได้เพียงปล่อยให้มันดำเนินไป ละทิ้งความรับรู้เรื่องกาลเวลาจนกว่ามันจะจบลงด้วยตัวมันเองเท่านั้น....-WWWW-     แสงสุดท้ายของวันลับหาย  ผมทิ้งตัวเองจมลงที่โซฟาท่ามกลางความมืด  การเล่าเรื่องผลาญพลังงานในร่างกายผมจนหมดแล้ว     คิดๆ ดูก็แปลกนะ  ทั้งๆที่ผมสัญญากับตัวเองแล้วว่าจะพูดเรื่องนี้อีก สัญญาว่าจะเก็บกุมมันไปจนกว่าจะถึงวันที่ร่างผมจะถูกเพลิงเผาจนสลายเป็น เถ้า  ทว่ากับคุณ  คนที่เพิ่งได้เจอกันครั้งแรก ผมกลับเล่าเรื่องนี้ให้ฟังอย่างไม่รู้สึกตะขิดตะขวงหรือรู้สึกว่าผิดสัญญา กับตัวเองเลยแม้แต่น้อย     อาจ เพราะบางที  ผมอาจอยากโยนหินมวลหนักที่กดทับอกก้อนนี้ทิ้ง หรืออย่างน้อยๆก็แบ่งน้ำหนักให้ใครสักคนช่วยแบกรับมันไว้บ้าง คงเพราะแบบนั้น  ผมจึงเล่าเรื่องนี้ให้คุณฟัง     หาก จะถามหาบทสรุปของเรื่องนี้  ...เอาเป็นว่า ผมก็ยังอยู่ไม่ตายจากไปไหน และเธอก็สบายดีเช่นกัน  แล้วหลังจากนั้น  ผมกับเธอก็เจอเรื่องอื่นอีกหายเรื่อง  แต่ไว้คราวหน้า  ...ถ้าคราวหน้ามีโอกาสได้เล่าอีก  ผมจะเล่าให้ฟังแล้วกัน ตอนนี้ผมเหนื่อยตาจะปิดอยู่แล้ว  ไม่ต้องอาบมันล่ะน้ำเนิ้ม  นอนทั้งแบบนี้เลยแล้วกันว่าแต่... แล้วคุณเคยฝันบ้างมั้ยล่ะครับ? ถึงวิทยุที่ล็อคคลื่นโดยปักเข็มหมุดน่ะ...-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-+-

 

คำยืนยันของเจ้าของเรื่องสั้น

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8.5 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา