[ฝันเฟื่องเรื่องสั้น] เรื่องที่สอง : เสียง
เขียนโดย larceta
วันที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557 เวลา 15.42 น.
แก้ไขเมื่อ 1 มีนาคม พ.ศ. 2557 18.57 น. โดย เจ้าของเรื่องสั้น
1) ช่วงต้น
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ
เรื่องที่สอง :เสียง
คุณเคยเห็นสาวผมตรงยาว ผิวขาว หน้าตาสะสวย กระจุ๋มกระจิ๋มน่ารักเหมือนดารานิตยสารวัยรุ่น มีรอยยิ้มที่ใครได้เห็นเป็นต้องใจละลายไหมครับ? ถ้าเคยเห็นคนแบบนั้นอยู่แถวนี้ละก็ คนนั้นเพื่อนผมเองแหละ
ม่ายๆ ...คำว่าเพื่อนที่ผมพูดถึงไม่ใช่ศัพท์แสลงของวงการบันเทิง แต่เป็นเพื่อนที่หมายถึงมิตรต่างเพศเพื่อนหญิง เพื่อนจริงๆ ถึงแม้คุณอาจเห็นผมอยู่กับเธอด้วยกันสองคนบ่อยๆ เห็นเธอกับผมกินข้าวในร้านอาหารกันสองคนบ่อยๆ เห็นเธอกับผมไปซื้อของด้วยกันสองคนบ่อยๆ เห็นเธอชอบลองเสื้อผ้าแล้วถามผมว่าน่ารักไหมบ่อยๆ เห็นเธอชอบชี้โน่นชี้นี่ให้ผมดูแล้วถามว่าน่ารักไหมบ่อยๆ เห็นเธอชอบเดินเบียดผมไม่ว่าคนจะมากหรือน้อยอยู่บ่อยๆ เห็นผมเดินไปส่งเธอถึงบ้านบ่อยๆ แล้วยังเรื่องที่เราทำด้วยกันบ่อยๆที่คุณไม่มีทางรู้เห็นได้อีก แต่ผมขอยืนยันนะ ยังไงเธอกับผมก็เป็นแค่เพื่อนเท่านั้น เป็นเพื่อนที่เป็นเพื่อนจริง เรื่องนี้เรื่องเดียวที่ผมขอเลยว่าอย่าเข้าใจผิดเด็ดขาดครับ
โอเค ถ้าเข้าใจแล้ว งั้นก็มาเข้าเรื่องกันเลย ผมจะเล่าเรื่องที่กับผมและเพื่อนหญิงได้ประสบพบเจอมาให้ฟัง แต่อย่าคาดหวังว่ามันจะเป็นเรื่องเล่าอลังการณ์ตื่นตาตื่นใจไฟลุกพรึ่บอะไรนะครับ ในโลกนี้ยังมีเรื่องที่น่าตื่นเต้นกว่าเรื่องนี้ แต่ทำไงได้ ผมออกปากว่าจะเล่าแล้ว ยังไงก็ต้องเล่าล่ะ
แต่นแต้น! ม่านเปิดฉาก ทำนองเพลงเข้าเรื่องเริ่มบรรเลง ตัวเอกเดินออกมาพร้อมจะร่ายอรัมบทแล้ว..
เรื่องราวเกิดขึ้นในวันนี้ เลขวันที่เดียวกันของเมื่อหลายเดือนก่อน (น่าแปลกนะ ผมจำได้แต่วันที่ แต่ดันจำเดือนไม่ได้) หลังจากผมและเพื่อนหญิงเสร็จจากการเอาเงินไปทิ้งในห้างสรรพสินค้าดัง ย่านกลางเมือง จากสภาพการจราจรบนถนนที่รถเคลื่อนที่ได้ราว 1 รอบล้อมต่อสามสิบนาทีทำให้พวกเราเลือกที่จะใช้บริการรถไฟใต้ดินเพื่อเดินทางกลับบ้าน แม้รู้ว่าต้องเบียดเสียดกับผู้คนจำนวนมากที่มีความคิดเดียวกันพร้อมกับสัมภาระที่เต็มไม้เต็มมือก็ตาม
ระหว่างที่เข้าคิวรอซื้อตั๋วที่เครื่องอัตโนมัติซึ่งยืดยาวไปถึงทางเดินด้านนอก อย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย จู่ๆเพื่อนหญิงของผมก็ผละจากแถวแล้วตรงไปที่กำแพงซึ่งเป็นผนังราบโล่งฝั่ง หนึ่งของทางเดิน ยันมือข้างหนึ่งแล้วหันหน้าด้านซ้ายแนบหูชิดราวกับได้ยินอะไรบางอย่างจากในนั้น
"ทำอะไรน่ะ?" ผมที่ออกจากแถวตามเธอมาเอ่ยถาม
เธอนิ่งคล้ายจะไม่ได้ยิน และแม้ผมจะเรียกอีกหลายครั้งก็ไร้ซึ่งปฏิกิริยาตอบสนอง คนรอบข้างเริ่มหันมอง ผมตัดสินใจจับแขนเธอแล้วเรียก นั่นเองที่ทำให้เธอได้ยินเสียงผมแล้วหันกลับมา
เธอบอกว่าเธอได้ยินเสียงจากกำแพงตรงนี้
"จริงๆนะ 'เตงลองฟังดูสิ"
เธอคะยั้นคะยอให้ผม ผมทำตามโดยเอาหน้าซีกซ้ายทาบกับกำแพงที่อุ่นเหมือนผนังตู้เย็นนั้น
"ได้เสียงอะไรป้ะ?" เธอถาม
"อื้อ" ผมขานพร้อมพยักหน้า "เสียงของปลาวาฬสีน้ำเงินตัวผู้กำลังติดสัดอยู่แถวทวีปแอนตาร์คติด"
"อย่าเพิ่งตลกสิ ฟังดีๆ" เธอเสียงกร้าวใส่ผม
ผม แนบหูชิดกว่าเดิมก่อนจะตอบไป "เสียง Kurt Cobain กำลังร้องเพลง Billie Jean กับ Freddie Mercury ในงานเลี้ยงตอนรับ Michael Jackson"
"นี่!" เธอตวาดแล้วฟาดฝ่ามือเพี๊ยะที่ไหล่ผมอย่างแรง
"ตีเราทำไมอ่ะ!" ผมเบิกตากว้างแล้วร้องถาม ซึ่งนั่นทำให้เธอใช้แววตาขมึงทึงตอบกลับมา
"ก็'เตงทำเป็นเล่นก่อนทำไมล่ะ! นี่เค้ากำลังจริงจังอยู่นะ" เธอว่าแล้วเค้นถาม "ตกลงได้ยินเสียงอะไรมั้ย"
ผมผละจากกำแพงแล้วกางมือตอบ "ก็ได้ยินอยู่ แต่เราฟังไม่ออกเลยว่าเป็นเสียงอะไร มันอื้อๆตึงๆ แล้วก็สะเทือนเหมือนมีคนเป็นล้านกระทืบส้นเท้าอยู่ข้างๆหู"
"แค่นั้นเหรอ" เธอยกหูจากกำแพงแล้วทำสีหน้าประหลาดใจ "'เตงไม่ได้ยินเสียงอะไรนอกจากนั้นแล้วเหรอ?"
"เช่นอะไร?" ผมถามกลับ
คิ้วเธอจรดเข้าหากัน ปากเม้นแน่นขณะที่หูข้างหนึ่งจมหายไปในกำแพง
"คือแบบ... พิเศษ....มีรูปแบบเฉพาะตัวไม่เหมือนใครอ่ะ"
"ลองออกเสียงได้มั้ย"
"/ /\ li Jrr / /\ li k\/"
เยี่ยม แถวนี้มีใครเป็นนักอิยิปต์วิทยาบ้างครับ
ตอนแรก ผมคิดว่าอาการที่เธอเป็นก็คงเป็นอาการหูฝาดธรรมดาๆที่เดี๋ยวก็คงหายไปเอง ทว่าเรื่องกลับไม่เป็นไปอย่างที่ผมคิดเมื่อมันมีครั้งที่สอง-สาม-สี่ และตามมาอีกหลายครั้ง ไม่ว่าจะอุโมงค์ใต้ดิน ไม่ว่าจะเป็นในห้าง , ข้างถนน , ซอยลึก หรือแม้แต่ในห้องน้ำสาธารณะ ทุกทีที่มีกำแพงก็ว่าได้
นับจากวันนั้น เสียงประหลาดนั้นดูเหมือนจะไปดักรอเธอในทุกๆที่ที่เธอไป ในบางครั้งก็มีผมที่อยู่ในเหตุการณ์ด้วยและต้องเป็นคนที่ลากเธอออกมาจาก กำแพงก่อนที่รปภ.หรือใครอื่นจะมาลากตัวไป แต่บางครั้งก็เป็นเหตุการณ์ที่เพื่อนหญิงของผมไปประสบพบมาคนเดียว ซึ่งอย่างหลังนี้ เพื่อนหญิงจะเป็นโทรมาเล่าฟังและจะทำให้ผมได้รายละเอียดมากกว่าตอนที่อยู่ในเหตุการณ์ด้วยตัวเองเป็นสิบเท่า เพราะเธอจะย้อนยาวไปตั้งแต่ความคิดแรกตอนตื่นนอน บ่นที่ต้องเสียเวลาเป็นชั่วโมงที่สางผมตัวเองที่กระเซอะกระเซิงเหมือนพุ่มสน จากนั้นก็เรื่องเมนูอาหารเช้าที่มีแค่ กาแฟ แฮม ไข่ สามอย่างไม่เคยมีมากกว่านี้ แต่เธอเล่าได้ไม่เคยซ้ำรูปแบบ จากนั้นก็เรื่องการเลือกชุดแล้วก็รองเท้าให้เหมาะสมกับวันที่ผมว่ามันซับซ้อนพอๆกับการคำนวณพื้นที่ภายในของรูปสามสิบเจ็ดเหลี่ยมเลยทีเดียว เกือบชั่วโมงในการเกริ่นก่อนจะเข้าประเด็นเรื่องเสียงที่เธอได้ยิน
ถึงตรงนี้ เรื่องเล่าของเพื่อนหญิงของผมก็จะเข้าสู่ฉากใหม่แต่แพทเทิร์นเดิม เริ่มจากการที่เดินหรือยืนอยู่ดีๆ จู่ๆก็จะมีเสียงที่มีลักษณะเฉพาะตัวอย่างที่เธอว่าแว่วออกมาจากกำแพง ซึ่งเมื่อได้ยิน เธอก็จะรุดไปที่ตรงนั้น เอามือทาบแล้วแนบหูชิดเพื่อฟัง และขณะที่เธอฟังเสียงนั้น สรรพเสียงรอบตัวจะถูกลบหายไปหมด ไม่ว่าใครจะเรียกหรือทักยังไงก็ไม่ได้ยิน เว้นแต่ว่าใครคนนั้นจะแตะตัวเธอขณะพูด ซึ่งนั่นเองที่ทำให้บางครั้งกว่าเธอจะรู้ตัวและผละจากกำแพงได้ เวลาก็ผ่านไปแล้วหลายชั่วโมง
"ถึงจะต่างที่ต่างเวลา แต่เค้ามั่นใจว่าเป็นเสียงเดียวกันแน่ๆเลย'เตง"
เธอพูดด้วยน้ำเสียงที่มีความตื่นเต้นเจืออยู่ ผมถามกลับว่าแล้วเธอล่ะตอนนี้เป็นยังไงบ้าง เธอว่าไม่เป็นไรหรอก แค่เสียงเอง ไม่มีอะไรต้องกังวล ก่อนจะวางหูไปเมื่อแสงแรกของวันสาดผ่านม่านเข้ามาในห้องผม
ผมหยิบรีโมตเครื่องเล่นซีดีที่อยู่ใกล้มือ ปลุกตัวเองด้วย Up Rising ของ Muse เบิกตาที่ช้ำเหมือนช้างเหยียบแหงนไปยังดวงอาทิตย์ที่ฉายแสงยิ้มเยาะในกรอบ ปลอดโปร่งกระจ่างใสของหน้าต่าง ท่อนเพลง 'The paranoia is in bloom (ภาวะทางจิตที่เริ่มลุกลาม)' ดังขึ้นขณะที่ผมคิด ถึงเรื่องเพื่อนหญิงกับเรื่องเล่าของเธอ ถึงปากจะบอกว่าไม่เป็นไร แต่จากการที่โทรมาปลุกผมเพื่อเล่าเรื่องนี้ตั้งแต่กลางดึกตีสองตีสามลากยาว จนสว่างคาตาแทบทุกวันและโทรศัพท์ก็แทบจะละลายเป็นเนื้อเดียวกันกับใบหู ผมว่าเรื่องนี้เป็นปัญหาแล้วล่ะ อย่างน้อยก็กับผมที่อาทิตย์เดียวน้ำหนักลดฮวบไปถึง 5 กิโลและมีสภาพตอนนี้ไม่ต่างจากซากกรังของปลาตากแห้งค้างปี
ไม่ไหว ต้องทำอะไรสักอย่างแล้ว ไม่งั้นผมได้กลายเป็นซอมบี้แหงๆ ....หรืออาจเลวร้ายถึงขั้นกลายเป็นมาริรีน แมนสันได้เลยล่ะ
-W-
เรานัดเจอกันในวันหยุดสุดสัปดาห์ต่อมาโดยนัดกันที่สถานีรถใต้ดินซึ่งเป็นที่แรกที่เธอได้ยินเสียง ผมมาถึงก่อนเวลานัดราวหนึ่งชั่วโมงขณะที่เธอจะมาถึงหลังจากเลยเวลานัดมาแล้วหนึ่งชั่วโมง ผมบอกเธอไปว่าให้สวมชุดที่จะเดินเหินได้สะดวกเพราะคงต้องเดินทั้งวัน ทว่าแม้จะสวมชุดไปเวทกางเกงยีนร้องเท้าผ้าใบเหมือนกัน ภาพลักษณ์ของผมกับเธอก็ยังดูต่างกันอย่างสิ้นเชืง ขณะที่ผมแต่งแล้วดูเหมือนกับเหมือนนักดนตรีข้างถนน เธอกลับสามารถใส่ชุดนี้แล้วไปถ่ายแบบนิตรสารวัยรุ่นได้สบายๆ
เธอถามขึ้นทันทีที่ผมยื่น 'สเต็ทโทสโคป (หูฟังของหมอ)' ให้
"อะไรน่ะ 'เตง"
"สเต็ท'"
"รู้ แต่เอามาทำไมอ่ะ"
"ฟังเสียงกำแพง"
"หา!?"
เธอร้องและมีสีหน้าที่สื่ออารมณ์ "หา!?" นั้นสุดๆ ขนิดที่ผมสามารถได้ยินเสียงร้องประสาน "หาาาาาาาาาาาา" จากวงไคว์ 820 คนข้างหลังด้วย ไม่ใช่ไม่เข้าใจอารมณ์นะ แต่ทำไงได้ล่ะ ในเมื่อเธอบอกว่าได้ยินเสียงไม่ชัด ก็มีแต่เจ้านี่แหละที่ช่วยได้ แล้วถ้าโชคดีได้ยินอะไรพอเป็นภาษาหน่อย บางทีอาจจะได้คำบอกใบ้อะไรสักอย่างก็ได้
แต่ผลที่ได้กลับเกินความคาดหมายของผมไปเยอะ
"ได้ยินแล้ว มันบอกว่าให้เดินไปที่ร้าน XXX ที่อยู่ทางทิศ 2 นาฬิกา ห่างไป 2 กิโลแน่ะ'เตง"
บอกกันโต้งๆแบบนี้เลยเรอะ ผมถามย้ำอีกครั้งเพื่อความแน่ใจ เธอย้ำหนักแน่นบอกว่าใช่แน่น้อน (การออกเสียงคำว่า 'น้อน' ของเธอนี้แปลว่าเธอมั่นใจมาก)
แต่เธอก็อธิบายผมต่อว่า ไม่ใช่ว่าเธอจะได้ยินเสียงนั้นเป็นคำพูด แต่มันคล้ายกับเป็นสัญลักษณ์อะไรบางอย่างที่ดูแล้วก็เข้าใจทันที เหมือนกับเวลาที่เรามองป้ายจราจรแล้วรู้ว่าข้างหน้าจะต้องเลี้ยว หรือสัญญาณไฟแดงที่เห็นแล้วต้องหยุด อะไรทำนองนั้น
คำอธิบายของเธอทำให้ผมนึกย้อนกลับไปตอนเรียนชั่วโมงวิทยาศาสตร์ ที่ว่าสัตว์แต่ละชนิดนั้นจะมีประสาทที่รับรู้ย่านความถี่ของเสียงไม่เหมือน กัน แพลงตอนบางชนิดรับรู้คลื่นความถี่ต่ำมากๆได้ หมายจะได้ยินเสียงในย่านความถี่ที่สูงกว่ามนุษย์หลายสิบเท่า ส่วนโลมานั้นมีความสามารถในการสื่อสารกันด้วยคลื่นโซนิค เพราะอย่างนั้น ผมจึงคิดว่าบางทีตอนนี้ บางอย่างในหูของเพื่อนหญิงผมเช่นกระดูกค้อน-ทั่ง-โกรนอาจมีการวิวัฒนาการที่เทียบเท่าปลาวาฬสีน้ำเงินไปแล้วก็ได้
แต่ก็ดี อย่างน้อยก็ประหยัดค่าจ้างนักอิยิปต์วิทยาไปได้ล่ะ
ตามการบอกทิศของกำแพง พวกเรากลายเป็นคณะแสวงบุญยุคใหม่ที่มีโปรแกรมจีพีเอส เป็นเครื่องนำทางบอกจุดจาริก หลายที่เป็นที่ๆผมกับเธอเคยไปด้วยกัน หลายที่เป็นที่เธอเคยไปคนเดียว และอีกหลายทีเช่นกันที่เราทั้งคู่เพิ่งรู้ว่ามันมีอยู่ในเมืองนี้ด้วยเหรอ (อย่างสำนักฝึกวิทยายุทธอะไรสักอย่างที่ดูท่าการต่อสู้แล้วเหมือนกำลังเต้นจ้ำบ๊ะไม่มีผิด)
และเฉกเช่นในตำนานที่มีมารผจญการเดินทางฉันใด การทำงานของพวกเราก็ถูกก่อนกวนขัดขวาง ด้วยทั้งผู้คนที่อัดอั้นความสงสัยไม่ได้และพยายามจะรู้ให้ได้ว่าพวกเรากำลังทำอะไรอยู่ รวมถึงบางคนที่ยืนจ้องเขม็งพลางจ่อนิ้วไปที่ปุ่มเตือนภัยเพราะสงสัยว่าพวก เราจะเป็นผู้ก่อการร้ายที่กำลังหาจุดวางระเบิด
แต่แน่นอน เรื่องนี้ก็เป็นสิ่งที่ผมคิดเอาไว้ล่วงหน้าและเตรียมทางหนีทีไล่ไว้แล้ว ด้วยการร่างหนังสือโครงการว่าด้วยงานของพวกเรานี้เป็นส่วนหนึ่งใน 'วิทยานิพนธ์ว่าด้วยการตรวจหารอยโหว่และฟองอากาศในโครงสร้างของกำแพงที่เกิด จากการทุจริตคอรัปชั่นเพื่อคำนวณอัตราความเสี่ยงที่ประชาขนชาวเมืองจะได้รับ จากการถล่มพังทลายโดยมีกรณีศึกษาจากกรณีตึกถล่มเมื่อ 25 ปีก่อนเป็นต้นแบบ' ดังนั้น เพื่อความปลอดภัยของลูกหลานเหลนโหลนของท่าน จึงขอความร่วมมือให้เราได้ทำงานต่อไปอย่างสงบด้วยครับ
และมันก็ได้ผล เหมือนกระทู้สาระดีๆในอินเตอร์เน็ตที่สุดท้ายก็จะมีคนคอมเมนต์ตอนท้ายหนึ่งคอมเมนต์ว่า 'ยาวไป ไม่อ่าน' ทันทีที่ผมให้ดูหนังสือเล่มดังกล่าว ผู้คนรอบข้างล้วนสลายหายไปอย่างรวดเร็ว
เราทำงานอย่างขันแข็ง หลังจากเดินจาริกได้หลายที่ เพื่อนหญิงของก็ดูจะติดใจเจ้าสเต็ทนี่เข้าให้เสียแล้ว ตอนที่ผ่านร้านเสื้อผ้า เธอแวะเข้าไปถามเลยว่ามีเสื้อกาวน์สีขาวไหม และที่สุดเธอก็ได้มาตัวหนึ่งจากร้านขายชุดคอสเพลที่แถมมาพร้อมกับชุดนางพยาบาลอีกชุดในราคาที่เพิ่มมาอีกแค่ครึ่งนึงจากเดียว แผนการตลาดอันยอดเยี่ยมทีเดียวสำหรับเซ็กส์ช็อปทั่วโลก
เที่ยงวัน เราหยุดพักกลางวันกันที่ฟู๊ดคอร์ทของห้างสรรพสินค้าใกล้ๆกับจุดล่าสุดที่เราเพิ่งไปมา ซึ่งประสบการณ์แปลกประหลาดที่เราได้เจอทำให้เรามีเรื่องคุยกันมากมายในช่วง พัก ...อันที่จริงแล้วก็เป็นเธอที่พูดอยู่ฝ่ายเดียว ซึ่งก็เหมือนเคย ไม่ว่าจะเล่าเรื่องอะไรมันก็มักจะมีการเกริ่นนำยาวซะจนล้นปริมาณเนื้อหาที่เธอจะบอกอยู่เสมอ
เว้นก็แต่ช่วงหนึ่งที่เธอหักเลี้ยวจากเนื้อหาที่กำลังร่ายยาวแล้วถามผม
"'เตง จะเป็นยังไงถ้าคนเราไม่มีหู"
เธอถามโพร่งขึ้นมาขณะที่ผมกำลังจะเอาผักซึ่งดูแล้วน่าจะเป็นเครื่องประดับจาน มากกว่าอาหารเข้าปาก คำถามนั้นชวนให้ผมนึกย้อนถึงมุขตลกเก่าแก่ "ถ้าตัดออกสองข้างแล้วเจาะรูตรงกลางนะ เ-ยวได้เลย" แต่อย่างไรก็ดี ด้วยผมเป็นคนที่ได้รับการอบรมมารยาทสังคมมาและรู้ว่าการเล่นมุขสัปดนกับผู้หญิงเป็นเรื่องไม่สมควร แม้คนๆนั้นจะเป็นเพื่อนสนิทของเราก็ตาม เพราะอย่างนั้น ผมต้องหาคำตอบอื่น
"คงต้องมีรูบนหัวไว้รับคลื่นเสียง เหมือนโลมา"
"แบบนั้นก็เ-ยวได้เลยดิ"
อ้าว พูดเองซะงั้น
จากนั้นเธอพูดต่อว่า "แต่ที่เค้าอยากบอก'เตงน่ะไม่ใช่เรื่องลักษณะทางกายภาพ แต่เป็น 'มนุษย์เราจะสื่อสารกันยังไงถ้าไม่มีหูไว้คอยฟังเสียง' ต่างหาก ภาษามือเหรอ? หรือจะต้องพกกระดาษออกจากบ้านเป็นหอบๆ จะคุยกันทีก็ต้องหาที่นั่งเขียนหรือพิมพ์? แบบนั้นแล้วคนที่เป็นเจ้าของโรงพิมพ์คือคนที่พูดมากที่สุดในโลกเหรอ?"
ผมร้อง ว้าว! ในปากเบาๆ แนวคิดน่าสนใจดีแฮะ ถ้าเป็นแบบนั้น โลกนี้คงปลอดจากมลพิษทางเสียงไป แต่ทดแทนด้วยสภาวะขยะล้นโลกแทน
ผมคิดตามเธอแล้วเสนอแนวคิดของตัวเองไปว่า "อาจมีการสร้างเครื่องแปลความคิดเป็นตัวหนังสือ ต่อสายแจ๊กค์เข้าสมองแล้วคล้องหน้าจอที่คอ คิดปุ๊บ ตัวอักษรวิ่ง เหมือนหนังที่มีซับไตเติล"
"แบบ นั้น ถ้าเกิดคนที่ใช้เป็นคนคิดเร็วพูดเร็วทำเร็วล่ะ เค้าจะอ่านทันเหรอ แล้วกับคนที่คิดหลายเรื่องพร้อมๆกันล่ะ เค้าจะแบ่งบรรทัดซับไตเติลกันยังไงอ่ะ"
"คนในโลกนั้นคงต้องถูกฝึกมาตั้งแต่เด็กว่าให้คิดเรื่องที่จะทำที่ละเรื่องอย่าง ช้าๆ ไม่ก็มีอาจมีกฎหมายบังคับไม่ให้คนใช้สมองคิดพร้อมกันหลายเรื่อง โดยที่จะมีระบบติดตามซึ่งเชื่อมต่อข้อมูลกับเซิฟเว่อร์คอมพิวเตอร์ของรัฐบาล ใครฝ่าฝืนคิดมากกว่าหนึ่งเรื่องในคราวเดียว ตำรวจก็จะถีบประตูพังเข้าบ้าน ยกปืนเล็งขึ้นเล็งแล้วบอกสิทธิ์ด้วยหน้าจอ 'คุณมีสิทธิ์ที่จะไม่คิด เพราะความคิดของคุณอาจถูกนำไปใช้เป็นหลักฐานในชั้นศาลได้' อะไรทำนองนั้นน่ะ"
"เหมือนเผด็จการทางความคิดเลย" เธอนิ่วหน้ายกมือขึ้นกอดอก "แล้วถ้าคำพูดเหมือนกับความคิดทุกอย่างแบบนั้น โลกที่ว่านั่นคงไม่มีความโรแมนติคเลย"
"ไม่เสมอไป" ผมแย้ง "นักกวีเปลี่ยนอักษรเป็นเสียงเพลงได้ เช่นกันกับนักเขียนที่ใช้ถ้อยคำสื่อความคิดความหมายได้อย่างสละสลวยชวนหลง ไหล"
"หรือยืดเยื้อเยิ่นเย้อ" เธอตัดบทสรุป "นิยายบางเรื่องที่เค้าเคยอ่านมา แค่ความรู้สึก 'เหงา' คำเดียวยังเขียนบรรยายเป็นหน้า"
"หรือบางคนก็ใช้หนังสือทั้งเล่มเพื่อบอกเล่าความรู้สึกเหงา" ผมเสริม
"แบบนั้นก็ไม่ไหวอ่ะ คุยกันแบบนั้น วันๆก็ไม่ต้องทำอะไรกันพอดี"
ก็ต้องเป็นแบบนั้นแหละ ถ้าไปคุยกับพวกเพ้อๆอย่างนักเขียนนิยาย
ผมคิดแล้วเสนอแนวคิดใหม่ "งั้นเอางี้เป็นไง ไม่ต้องผ่านสื่ออะไร จิตต่อถึงจิตโดยตรงโดยผ่านการสัมผัสปลายนิ้ว เหมือนในเรื่องอีที"
"โหย หนังเก่าคนแก่" เธอมองผมด้วยสายตาราวกับเห็นวัตถุโบราณที่ขุดค้นมาจากปิรามิดลึกลับกลางป่าอเมซอน
"งั้นก็เดอะเมทริค เชื่อมต่อทุกคนด้วยการผลักเข้าสู่โลกจำลองที่ควบคุมด้วยคอมพิวเตอร์"
"ดูยากปวดหัว"
"งั้นก็...ไม่มีอะไรจะเล่าขานแล้ว"
"อ๊ะ! เรื่องนี้เค้าเคยดูๆ"
ผมมองค้อน "เมื่อกี้ใช่ชื่อหนังที่ไหนเล่า"
เธอหัวเราะคิกคักชอบใจ ใบหน้ายิ้มแย้มอย่างอารมณ์ดีและท่าทางสดชื่นกระปรี้กระเปร่าของเธอในตอนนี้ ดูไม่เข้าเค้าคนที่กำลังถูกคุกคามทางจิตด้วยเสียงเลยสักนิด ซึ่งที่เป็นแบบนั้นก็คงเพราะเธอจัดการโยนมันมาที่ผมจนไม่เหลือค้างอยู่กับ ตัวแล้ว เป็นไปได้อย่างที่สุด
แล้วจากนั้นเราก็ทานข้าวกันต่อ ผมไม่มีความอยากอาหารเลยสักนิดแต่ก็ต้องฝืนใจกลืนเข้าไปไม่งั้นจะไม่มีแรง ไว้สู้กับงานภาคบ่าย ทว่าการต้องกระเดือกอาหารทั้งๆไร้ความอยากก็เป็นอะไรที่ทรมานเอาเรื่อง แต่ละคำที่กลืนลงไปเหมือนไม่ต่างอะไรกับการกลืนก้อนหินลงท้องก้อน แถมกินของตัวเองไม่พอ เพื่อนหญิงของผมยังมีปรารถนาดีหยิบยื่นสารอาหารจากจานของเธอเพิ่มมาให้อีก ด้วย
"กินแครอทนี่สิ มีวิตามินบี 12 ช่วยบำรุงประสาทและสมอง"
"เหมือนโฆษณาเครื่องดื่มชูกำลัง ร้อยล้าน!" ผมเชื่อมเรื่องพลางทำสัญลักษณ์เขาควายตามโลโก้เครื่องดื่มดังกล่าว จากนั้นก็มองไปที่กองแครอทขนาดหนึ่งอุ้งมือที่เธอให้มาแล้วถาม "แล้วอีกอย่าง ในแครอทน่ะมีแต่วิตามินบี 1,2,3,5,6,9 ไม่มี 12"
"งั้นก็ดีกว่าบี 12 อีกน่ะสิ เพราะรวมกันได้ตั้ง 26 แน่ะ"
ใช่เลย ยอดเยี่ยมเป็นที่สุด แบบนี้เท่ากับผมได้วิตามินเป็น 2.166666666667 เท่าของบี 12 เลยสินะ ผมค้อมรับความปรารถนาดีของเธออย่างไม่มีอะไรจะเถียงและช้อนแครอทตักเข้าปาก รสชาติเหมือนถุงพลาสติกไม่มีผิด ดูท่าคงการผ่านรีไซเคิลมาหลายรอบแล้ว
-WW-
คำยืนยันของเจ้าของเรื่องสั้น
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ