7 ลี้ลับ
8.7
เขียนโดย AraTemp
วันที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2557 เวลา 13.32 น.
9 บท
5 วิจารณ์
15.52K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 8 มีนาคม พ.ศ. 2557 17.26 น. โดย เจ้าของเรื่องสั้น
4) บันไดขั้นที่ 13
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความเวลา 03.30 น.
โองะตื่นขึ้นมาเพราะเสียงที่ดังเหมือนมีอะไรตกลงมา เขาลุกขึ้นมาแล้วเดินไปที่หน้าต่างของห้อง เขามองเห็นได้ไม่ชัดเจนนักแต่รู้สึกว่าเหมือนจะเห็นอะไรสีเข้มๆกองอยู่เป็นวงกลางกับพื้นของสนามถึงจะพยายามมองเท่าไรก็ไม่เห็นอยู่ดี เขาจึงตันสินใจว่าจะออกไปดูซักหน่อย หลังจากที่ใส่เสื้อคลุมและหยิบไฟฉายได้แล้ว เขาก็ค่อยๆเปิดประตูเดินออกมาจากห้องอย่างเงียบๆ เพราะกลัวว่าจะทำให้คนอื่นๆที่นอนอยู่ตื่นขึ้นมา โดยที่ไม่ทันได้สังเกตว่าเพื่อนของเขาได้หายไปหนึ่งคน เมื่อออกมาจากห้องโองะก็เดินตรงไปยังบันไดเดินลงไปข้างล่างเรื่อยๆ โองะเป็นคนที่ไม่ค่อยกลัวอะไรเท่าไรเนื่องจากเป็นคนที่แข็งแรงและมีความมั่นใจในร่างกายของตนเองพอสมควร
เมื่อโองะเดินลงมายังชั้น 1 เขาก็ตรงไปยังประตูหน้าของอาคาร เนืองจากสภาพของอาคารที่เก่าและโทรมมากทำให้เวลาเดินมีเสียงดัง อี๊ด อ๊าด และเสียงของรองเท้าที่กระแทกลงบนพื้นก็ชัดเจนพอสมควร เขาเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าประตูเอื้อมมือไปจับลูกบิดประตูแต่ลูกบิดประตูกลับไม่สามารถบิดมันเพื่อเปิดประตูได้ เขาพยายามออกแรงให้มากยิ่งขึ้นแต่ลูกบิดประตูก็ไม่มีท่าทีว่าจะขยับเลยแม้แต่น้อย เขาจึงเดินถอยออกมาแล้วพุ่งตัวเข้ากระแทกประตูอย่างแรงจนตัวเองถึงกับเซถอยออกมาจากประตู
“ประตูอะไรเนี่ย แข็งแรงชะมัดเลย หวังว่าเสียงจะไม่ปลุกให้ทุกคนตื่นนะ ชั่งเถอะไว้ตอนเช้าค่อยว่ากันอีกที กลับขึ้นไปดูทุกคนก่อนดีกว่า”
เมื่อตัดสนิใจได้แล้วโองะจึงหันหลังเดินกลับขึ้นไปยังชั้นบน เมื่อมาถึงชั้น 3 เขาก็เหลือบเห็นเงาคนลางๆเดินขึ้นบันไดที่ไปยังชั้นดาดฟ้า เขาจึงตะโกนเรียกแต่ก็ไม่มีเสียงใดตอบกลับมา เขาจึงตัดสินใจเดินตามขึ้นไปจนมาหยุดอยู่ตรงบันไดที่ขึ้นไปยังประตูของดาดฟ้า ซึ่งจู่ๆเขาก็นึกเรื่องราวของบันได 13 ขั้น ขึ้นมาได้ ซึ่งเป็นเรื่องเกี่ยวกับบันไดที่ปกติจะมีเพียง 12 ขั้น แต่หากเดินขึ้นไปแล้วนับได้ 13 ขั้น ก็จะถูกดึงไปสู่โลกวิญญาณ ถึงแม้จะเป็นคนที่มีความกล้าแค่ไหนแต่โองะก็ยังระแวงอยู่ดี เขาจึงตัดสินใจที่จะส่องไฟฉายไปยังขั้นบันไดและค่อยๆนับขึ้นไปทีละขั้นๆ 1...2...3...4...5...6...7...8...9...10...11...12 ครบพอดีไม่มีเกินมา เมื่อมั่นใจแล้วว่ามีบันไดเพียงแค่ 12 ขั้น เขาจึงก้าวขึ้นบันไดไปทีละขั้น โดยยังคงนับขั้นบันไดที่ตนเหยียบไปด้วยเพื่อความแน่นอน เมื่อเดินขึ้นมาถึงบันไดขั้นที่ 12 เขาก็เกิดสะดุดเมื่อเดินไปข้างหน้า เขาจึงรีบหันกลับมาส่องไฟฉายไปยังบันไดและพบว่าเขาสะดุดเข้ากับบันไดอีกขั้นหนึ่ง ซึ่งเมื่อกี้เขามั่นใจว่านับได้ 12 ขั้น แล้วทำไมถึงมีบันไดขั้นที่ 13 ขึ้นมาได้ ด้วยความกลัวเขาจึงเอามือยันพื้นเพื่อลุกขึ้นจากพื้นแล้วรีบดึงลูกบิดประตูเปิดเข้าไปยังดาดฟ้า เขาหันกลับไปมองยังบันไดอีกครั้งหนึ่ง แต่เท่าที่ดูแล้วก็เหมือนไม่มีอะไรที่ผิดปกติ สงสัยว่าจะนับผิดไปเองคงไม่มีอะไรหรอกมั้ง เมื่อคิดได้ยังงั้นเขาจึงหันกลับมามองยังดาดฟ้าที่โลงไร้ซึ่งวี่แววของคนแม้แต่คนเดียว เขาจึงเดินสำรวจรอบๆดาดฟ้าเพื่อความแน่ใจอีกครั้ง ก่อนจะเดินไปยังรั้วเหล็กกั้นและมองลงไปยังกองสีเข้มๆที่เห็นก่อนหน้านี้แต่ถึงมองยังไงก็ยังไม่รุ้อยู่ดีว่านั้นคืออะไร เขาจึงตัดใจแล้วเดินกลับไปยังบันได เมื่อเดินไปถึงประตูเขาก็เห็นร่างเล็กๆร่างหนึ่งนอนกองอยู่กับพื้นตรงขั้นบันได เขาจึงรีบเดินเข้าไปพะยุงร่างนั้นขึ้นมาซึ่งเป็นร่างของเด็กชายอายุประมาณ 11-12 ขวบ
“เกิดอะไรขึ้นเนี่ย นายได้อยู่ตรงนี้ได้ยังไง เป็นอะไรมากไหมบาดเจ็บตรงไหนหรือเปล่า ตอบหน่อยสิ”
“ช่วยผมด้วย ผมเจ็บเหลือเกิน”
เด็กชายค่อยๆตอบออกมาอย่างช้าๆ
“ไม่เป็นอะไรแล้วนะ เดียวฉันจะพาไปหาเพื่อนๆ เพื่อจะพอช่วยอะไรนายได้บ้าง เอาละนายขี่หลังฉันได้ไหมเกาะให้แน่นๆนะ”
เมื่อพูดจบโองะก็หันหลังเพื่อให้เด็กคนนั่งสามารถเกาะข้างหลังของเขาได้ ขณะที่กำลังจะลุกขึ้นยืนเพื่อเดินลงบันได เด็กชายคนนั้นก็เอ่ยถามออกมา
“พี่ชายตอนพี่เดินขึ้นมาบนนี้พี่นับบันไดได้กี่ขั้นเหรอ”
“ตอนแรกพี่นับได้ 12 ขั้นนะ แต่พอเดินขึ้นมากลับสะดุดขั้นที่ 13 พี่เลยไม่รู้เหมือนกันว่าพี่นับผิดไปเองหรือเปล่าตอนที่เดินขึ้นมา”
“พี่นับได้ 13 ขั้นงั้นเหรอ แล้วพี่รู้หรือเปล่าว่าเรื่องบันได 13 ขั้นมีความเป็นมายังไงบ้าง”
“พี่ก็พอได้ยินมาบ้างอยู่นะ เห็นว่าที่เคยมีเด็กเกเรคนหนึ่งขึ้นมายังชั้นดาดฟ้านี้เพื่อจะเผาโรงเรียน แต่ถูกอาจารย์ขึ้นมาพบซะก่อน จีงวิ่งหนีและไม่ทันระวังทำให้สะดุดจนตกบันไดหัวฟาดพื้นจนเสียชีวิตคาที่ ว่ากันว่าวิญญาณของเด็กคนนั้นจะสิงอยู่ที่บันไดและค่อยลากคนที่นับบันไดได้ 13 ขั้น เพื่อนำไปอยู่ด้วย เท่าที่ได้ยินมาก็ประมาณนี้แหละมั้ง”
“หึหึ เรื่องที่พี่ชายได้ยินมาถูกต้องแล้วแหละ พี่ชายเนี่ยใจดีจังเลยนะ ไม่สนใจมาอยู่กับผมเหรอ พี่ชาย”
เมื่อได้ยินประโยคหลังโองะชะงักขาอันทีก่อนที่จะก้าวลงบันได เขาหันกลับไปมองใบหน้าของเด็กคนนั้นที่ตอนนี้เต็มไปด้วยเลือดที่ไหลออกมาอาบทั่วใบหน้า ด้วยความตกใจทำให้โองะปล่อยมือที่อุ้มหลังของเด็กคนนั้นออก ทำให้ร่างของเด็กชายกระแทกลงกับพื้น ขณะที่เขากำลังจะหันกลับไป ร่างของเด็กคนนั้นก็ลุกขึ้นมาแล้วแสยะยิ้มให้ก่อนจะผลักโองะที่ไม่ทันตั้งตัว กลิ้งตกบันไดลงไปจนถึงขั้นสุดท้าย ร่างของโองะนอนนิ่งไม่ขยับ เด็กชายค่อยๆก้าวลงบันไดมาทีละขั้นๆ โองะที่ตอนนี้นอนสลบอยู่ที่พื้นค่อยๆได้สติแต่ด้วยความเจ็บที่เกิดจากการกระแทกลงมาทำให้เขาไม่สามารถลุกขึ้นยืนได้ในทันที เขาค่อยๆพยุงร่างกายขึ้นมาอย่างช้าๆและมองไปยังเด็กชายที่เดินลงมาเกือบถึงตัวเขา
หลังจากที่ตั้งหลักยืนได้โองะก็รีบเดินให้เร็วที่สุด เพื่อให้ห่างจากเด็กคนนั้นมากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ เขาเดินกลับไปยังห้องวิทยาศาสตร์ที่เพื่อนๆอยู่กัน แต่ประตูกลับเปิดไม่ได้ เขาพยายามตะโกนเรียกเพื่อนที่ยังคงหลับกันอยู่ให้ช่วย แต่ดูเหมือนจะไม่มีใครได้ยินเสียงของเขาเลยแม้แต่เพียงคนเดียว เมื่อหันมาอีกทีเด็กชายคนนั้นก็อยู่ห่างจากเขาเพียงไม่กี่เมตรเท่านั้น เขาหันไปมองเพื่อนๆผ่านหน้าต่างของห้องก่อนจะคิดได้ว่าเพื่อนๆของเขาอาจจะได้รับอันตราย เขาจึงเสียสละตัวเองโดยเดินเข้าไปหาเด็กชายคนนั้น ขณะที่เด็กชายกำลังจะเอ่ยปากพูดอะไรออกมา โองะก็ชกเข้าไปที่ใบหน้าของเด็กชายอย่างจัง
“โทษทีนะ ถึงฉันจะไม่ชอบทำร้ายคนอายุน้อยกว่าก็เถอะ แต่แกเป็นผีฉันขอยกเว้นไว้ก็แล้วกัน ถ้าแกอยากได้ตัวฉันไปอยู่ด้วยนักก็ชนะฉันให้ได้สิ”
เมื่อพูดจบโองะก็เดินเข้าไปชกเด็กชายคนนั้นจนล้มลงไป ก่อนจะใช้ขาขวาเตะเข้าไปเต็มแรง แต่แล้วเขาก็ต้องล้มลงเมื่อเด็กชายกระชากขาขวาของโองะอย่างแรง ก่อนจะลากโองะแล้วเดินกลับไปยังบันไดที่ขึ้นไปดาดฟ้า
โองะพยายามที่จะดิ้นขาของเขาให้หลุดจากมือของเด็กชายแต่ก็เหมือนจะไม่มีประโยชน์เพราะแรงบีบที่มือของเด็กคนนั้นมากขึ้นเรื่อยๆมากซะจนเขารู้สึกเจ็บจนต้องร้องออกมา
“ปล่อยนะ ปล่อยฉัน บ้าจริงเจ็บชะมัด ขาฉันนนนน”
กร๊อบ กร๊อบ “อ๊ากกก ขาฉันบ้าจริง กระดูกขาฉัน”
“หึหึ พี่ชายผิดเองนะที่ไม่ยอมมากับผมดีๆ ไม่งั้นขาพี่ก็ไม่ต้องหักแบบนี้หรอก เอาเถอะอีกไม่นานพี่ก็จะสบายเองแหละ”
“ไม่ๆ ปล่อยฉันนะ ปล่อยเดียวนี้ ขาฉันเจ็บไปหมดแล้วให้ตายเถอะ”
ตอนนี้โองะทำได้เพียงร้องโอดครวญด้วยความเจ็บปวด เขาพยายามดึงขาของเขาให้หลุดจากมือของเด็กชายแต่ก็เหมือนจะไม่ได้ช่วยอะไรเลย เขาเอื้อมมือไปจับกำแพงและดึงเอาไว้ไม่ยอมปล่อย ทให้เด็กชายต้องหยุดเดินและหันกลับมามอง ก่อนที่จะปล่อยมือจากขาของโองะจนกระแทกลงกับพื้น ทำให้โองะร้องออกมาด้วยความเจ็บ เขาพยายามพลิกตัวก่อนจะพยายามลุกขึ้นและเดินลากขาหนีจากเด็กชาย แต่ด้วยความเจ็บทำให้เขาล้มลงไปกับพื้น แล้วเขาก็รู้สึกเหมือนกับว่าขาขวาของเขาถูกจับลากไปอีกครั้งในท่าทีตัวเองต้องนอนคว่ำลงกับพื้น เขาพยายามใช้มือทั้งสองข้างขูดไปตามพื้นโดยหวังว่าจะมีอะไรให้เกาะรั้งเอาไว้ได้บ้าง แต่ก็ไม่มีอะไรช่วยเขาเอาไว้ได้เลย มือและเล็บที่ตอนนี้เต็มไปด้วยเลือดและรอยถลอกทำให้โองะเริ่มที่จะถอดใจ เมื่อร่างของเขาถูกลากมาจนถึงบันได เขาก็พูดออกมาอย่างหมดแรง
“นี้เป็นเรื่องจริงงั้นเหรอเนี่ย ฉันยังไม่อยากตาย ทำไมกัน”
เมื่อพูดจบร่างของโองะก็ถูกลากขึ้นบันไดหัวและตัวของเขากระแทกเข้ากับขั้นบันไดจนหัวแตกเลือดไหลออกมาตามขั้นบันได สุดท้ายเหลือไว้เพียงกองเลือดที่อยู่บนบันไดขั้นที่ 13 เท่านั้น แต่กับไม่มีแม้กระทั่งร่างของโองะ โองะได้หายไปแล้ว
เวลา 03.46 น. คิริซากิ โองะ เสียชีวิต
โองะตื่นขึ้นมาเพราะเสียงที่ดังเหมือนมีอะไรตกลงมา เขาลุกขึ้นมาแล้วเดินไปที่หน้าต่างของห้อง เขามองเห็นได้ไม่ชัดเจนนักแต่รู้สึกว่าเหมือนจะเห็นอะไรสีเข้มๆกองอยู่เป็นวงกลางกับพื้นของสนามถึงจะพยายามมองเท่าไรก็ไม่เห็นอยู่ดี เขาจึงตันสินใจว่าจะออกไปดูซักหน่อย หลังจากที่ใส่เสื้อคลุมและหยิบไฟฉายได้แล้ว เขาก็ค่อยๆเปิดประตูเดินออกมาจากห้องอย่างเงียบๆ เพราะกลัวว่าจะทำให้คนอื่นๆที่นอนอยู่ตื่นขึ้นมา โดยที่ไม่ทันได้สังเกตว่าเพื่อนของเขาได้หายไปหนึ่งคน เมื่อออกมาจากห้องโองะก็เดินตรงไปยังบันไดเดินลงไปข้างล่างเรื่อยๆ โองะเป็นคนที่ไม่ค่อยกลัวอะไรเท่าไรเนื่องจากเป็นคนที่แข็งแรงและมีความมั่นใจในร่างกายของตนเองพอสมควร
เมื่อโองะเดินลงมายังชั้น 1 เขาก็ตรงไปยังประตูหน้าของอาคาร เนืองจากสภาพของอาคารที่เก่าและโทรมมากทำให้เวลาเดินมีเสียงดัง อี๊ด อ๊าด และเสียงของรองเท้าที่กระแทกลงบนพื้นก็ชัดเจนพอสมควร เขาเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าประตูเอื้อมมือไปจับลูกบิดประตูแต่ลูกบิดประตูกลับไม่สามารถบิดมันเพื่อเปิดประตูได้ เขาพยายามออกแรงให้มากยิ่งขึ้นแต่ลูกบิดประตูก็ไม่มีท่าทีว่าจะขยับเลยแม้แต่น้อย เขาจึงเดินถอยออกมาแล้วพุ่งตัวเข้ากระแทกประตูอย่างแรงจนตัวเองถึงกับเซถอยออกมาจากประตู
“ประตูอะไรเนี่ย แข็งแรงชะมัดเลย หวังว่าเสียงจะไม่ปลุกให้ทุกคนตื่นนะ ชั่งเถอะไว้ตอนเช้าค่อยว่ากันอีกที กลับขึ้นไปดูทุกคนก่อนดีกว่า”
เมื่อตัดสนิใจได้แล้วโองะจึงหันหลังเดินกลับขึ้นไปยังชั้นบน เมื่อมาถึงชั้น 3 เขาก็เหลือบเห็นเงาคนลางๆเดินขึ้นบันไดที่ไปยังชั้นดาดฟ้า เขาจึงตะโกนเรียกแต่ก็ไม่มีเสียงใดตอบกลับมา เขาจึงตัดสินใจเดินตามขึ้นไปจนมาหยุดอยู่ตรงบันไดที่ขึ้นไปยังประตูของดาดฟ้า ซึ่งจู่ๆเขาก็นึกเรื่องราวของบันได 13 ขั้น ขึ้นมาได้ ซึ่งเป็นเรื่องเกี่ยวกับบันไดที่ปกติจะมีเพียง 12 ขั้น แต่หากเดินขึ้นไปแล้วนับได้ 13 ขั้น ก็จะถูกดึงไปสู่โลกวิญญาณ ถึงแม้จะเป็นคนที่มีความกล้าแค่ไหนแต่โองะก็ยังระแวงอยู่ดี เขาจึงตัดสินใจที่จะส่องไฟฉายไปยังขั้นบันไดและค่อยๆนับขึ้นไปทีละขั้นๆ 1...2...3...4...5...6...7...8...9...10...11...12 ครบพอดีไม่มีเกินมา เมื่อมั่นใจแล้วว่ามีบันไดเพียงแค่ 12 ขั้น เขาจึงก้าวขึ้นบันไดไปทีละขั้น โดยยังคงนับขั้นบันไดที่ตนเหยียบไปด้วยเพื่อความแน่นอน เมื่อเดินขึ้นมาถึงบันไดขั้นที่ 12 เขาก็เกิดสะดุดเมื่อเดินไปข้างหน้า เขาจึงรีบหันกลับมาส่องไฟฉายไปยังบันไดและพบว่าเขาสะดุดเข้ากับบันไดอีกขั้นหนึ่ง ซึ่งเมื่อกี้เขามั่นใจว่านับได้ 12 ขั้น แล้วทำไมถึงมีบันไดขั้นที่ 13 ขึ้นมาได้ ด้วยความกลัวเขาจึงเอามือยันพื้นเพื่อลุกขึ้นจากพื้นแล้วรีบดึงลูกบิดประตูเปิดเข้าไปยังดาดฟ้า เขาหันกลับไปมองยังบันไดอีกครั้งหนึ่ง แต่เท่าที่ดูแล้วก็เหมือนไม่มีอะไรที่ผิดปกติ สงสัยว่าจะนับผิดไปเองคงไม่มีอะไรหรอกมั้ง เมื่อคิดได้ยังงั้นเขาจึงหันกลับมามองยังดาดฟ้าที่โลงไร้ซึ่งวี่แววของคนแม้แต่คนเดียว เขาจึงเดินสำรวจรอบๆดาดฟ้าเพื่อความแน่ใจอีกครั้ง ก่อนจะเดินไปยังรั้วเหล็กกั้นและมองลงไปยังกองสีเข้มๆที่เห็นก่อนหน้านี้แต่ถึงมองยังไงก็ยังไม่รุ้อยู่ดีว่านั้นคืออะไร เขาจึงตัดใจแล้วเดินกลับไปยังบันได เมื่อเดินไปถึงประตูเขาก็เห็นร่างเล็กๆร่างหนึ่งนอนกองอยู่กับพื้นตรงขั้นบันได เขาจึงรีบเดินเข้าไปพะยุงร่างนั้นขึ้นมาซึ่งเป็นร่างของเด็กชายอายุประมาณ 11-12 ขวบ
“เกิดอะไรขึ้นเนี่ย นายได้อยู่ตรงนี้ได้ยังไง เป็นอะไรมากไหมบาดเจ็บตรงไหนหรือเปล่า ตอบหน่อยสิ”
“ช่วยผมด้วย ผมเจ็บเหลือเกิน”
เด็กชายค่อยๆตอบออกมาอย่างช้าๆ
“ไม่เป็นอะไรแล้วนะ เดียวฉันจะพาไปหาเพื่อนๆ เพื่อจะพอช่วยอะไรนายได้บ้าง เอาละนายขี่หลังฉันได้ไหมเกาะให้แน่นๆนะ”
เมื่อพูดจบโองะก็หันหลังเพื่อให้เด็กคนนั่งสามารถเกาะข้างหลังของเขาได้ ขณะที่กำลังจะลุกขึ้นยืนเพื่อเดินลงบันได เด็กชายคนนั้นก็เอ่ยถามออกมา
“พี่ชายตอนพี่เดินขึ้นมาบนนี้พี่นับบันไดได้กี่ขั้นเหรอ”
“ตอนแรกพี่นับได้ 12 ขั้นนะ แต่พอเดินขึ้นมากลับสะดุดขั้นที่ 13 พี่เลยไม่รู้เหมือนกันว่าพี่นับผิดไปเองหรือเปล่าตอนที่เดินขึ้นมา”
“พี่นับได้ 13 ขั้นงั้นเหรอ แล้วพี่รู้หรือเปล่าว่าเรื่องบันได 13 ขั้นมีความเป็นมายังไงบ้าง”
“พี่ก็พอได้ยินมาบ้างอยู่นะ เห็นว่าที่เคยมีเด็กเกเรคนหนึ่งขึ้นมายังชั้นดาดฟ้านี้เพื่อจะเผาโรงเรียน แต่ถูกอาจารย์ขึ้นมาพบซะก่อน จีงวิ่งหนีและไม่ทันระวังทำให้สะดุดจนตกบันไดหัวฟาดพื้นจนเสียชีวิตคาที่ ว่ากันว่าวิญญาณของเด็กคนนั้นจะสิงอยู่ที่บันไดและค่อยลากคนที่นับบันไดได้ 13 ขั้น เพื่อนำไปอยู่ด้วย เท่าที่ได้ยินมาก็ประมาณนี้แหละมั้ง”
“หึหึ เรื่องที่พี่ชายได้ยินมาถูกต้องแล้วแหละ พี่ชายเนี่ยใจดีจังเลยนะ ไม่สนใจมาอยู่กับผมเหรอ พี่ชาย”
เมื่อได้ยินประโยคหลังโองะชะงักขาอันทีก่อนที่จะก้าวลงบันได เขาหันกลับไปมองใบหน้าของเด็กคนนั้นที่ตอนนี้เต็มไปด้วยเลือดที่ไหลออกมาอาบทั่วใบหน้า ด้วยความตกใจทำให้โองะปล่อยมือที่อุ้มหลังของเด็กคนนั้นออก ทำให้ร่างของเด็กชายกระแทกลงกับพื้น ขณะที่เขากำลังจะหันกลับไป ร่างของเด็กคนนั้นก็ลุกขึ้นมาแล้วแสยะยิ้มให้ก่อนจะผลักโองะที่ไม่ทันตั้งตัว กลิ้งตกบันไดลงไปจนถึงขั้นสุดท้าย ร่างของโองะนอนนิ่งไม่ขยับ เด็กชายค่อยๆก้าวลงบันไดมาทีละขั้นๆ โองะที่ตอนนี้นอนสลบอยู่ที่พื้นค่อยๆได้สติแต่ด้วยความเจ็บที่เกิดจากการกระแทกลงมาทำให้เขาไม่สามารถลุกขึ้นยืนได้ในทันที เขาค่อยๆพยุงร่างกายขึ้นมาอย่างช้าๆและมองไปยังเด็กชายที่เดินลงมาเกือบถึงตัวเขา
หลังจากที่ตั้งหลักยืนได้โองะก็รีบเดินให้เร็วที่สุด เพื่อให้ห่างจากเด็กคนนั้นมากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ เขาเดินกลับไปยังห้องวิทยาศาสตร์ที่เพื่อนๆอยู่กัน แต่ประตูกลับเปิดไม่ได้ เขาพยายามตะโกนเรียกเพื่อนที่ยังคงหลับกันอยู่ให้ช่วย แต่ดูเหมือนจะไม่มีใครได้ยินเสียงของเขาเลยแม้แต่เพียงคนเดียว เมื่อหันมาอีกทีเด็กชายคนนั้นก็อยู่ห่างจากเขาเพียงไม่กี่เมตรเท่านั้น เขาหันไปมองเพื่อนๆผ่านหน้าต่างของห้องก่อนจะคิดได้ว่าเพื่อนๆของเขาอาจจะได้รับอันตราย เขาจึงเสียสละตัวเองโดยเดินเข้าไปหาเด็กชายคนนั้น ขณะที่เด็กชายกำลังจะเอ่ยปากพูดอะไรออกมา โองะก็ชกเข้าไปที่ใบหน้าของเด็กชายอย่างจัง
“โทษทีนะ ถึงฉันจะไม่ชอบทำร้ายคนอายุน้อยกว่าก็เถอะ แต่แกเป็นผีฉันขอยกเว้นไว้ก็แล้วกัน ถ้าแกอยากได้ตัวฉันไปอยู่ด้วยนักก็ชนะฉันให้ได้สิ”
เมื่อพูดจบโองะก็เดินเข้าไปชกเด็กชายคนนั้นจนล้มลงไป ก่อนจะใช้ขาขวาเตะเข้าไปเต็มแรง แต่แล้วเขาก็ต้องล้มลงเมื่อเด็กชายกระชากขาขวาของโองะอย่างแรง ก่อนจะลากโองะแล้วเดินกลับไปยังบันไดที่ขึ้นไปดาดฟ้า
โองะพยายามที่จะดิ้นขาของเขาให้หลุดจากมือของเด็กชายแต่ก็เหมือนจะไม่มีประโยชน์เพราะแรงบีบที่มือของเด็กคนนั้นมากขึ้นเรื่อยๆมากซะจนเขารู้สึกเจ็บจนต้องร้องออกมา
“ปล่อยนะ ปล่อยฉัน บ้าจริงเจ็บชะมัด ขาฉันนนนน”
กร๊อบ กร๊อบ “อ๊ากกก ขาฉันบ้าจริง กระดูกขาฉัน”
“หึหึ พี่ชายผิดเองนะที่ไม่ยอมมากับผมดีๆ ไม่งั้นขาพี่ก็ไม่ต้องหักแบบนี้หรอก เอาเถอะอีกไม่นานพี่ก็จะสบายเองแหละ”
“ไม่ๆ ปล่อยฉันนะ ปล่อยเดียวนี้ ขาฉันเจ็บไปหมดแล้วให้ตายเถอะ”
ตอนนี้โองะทำได้เพียงร้องโอดครวญด้วยความเจ็บปวด เขาพยายามดึงขาของเขาให้หลุดจากมือของเด็กชายแต่ก็เหมือนจะไม่ได้ช่วยอะไรเลย เขาเอื้อมมือไปจับกำแพงและดึงเอาไว้ไม่ยอมปล่อย ทให้เด็กชายต้องหยุดเดินและหันกลับมามอง ก่อนที่จะปล่อยมือจากขาของโองะจนกระแทกลงกับพื้น ทำให้โองะร้องออกมาด้วยความเจ็บ เขาพยายามพลิกตัวก่อนจะพยายามลุกขึ้นและเดินลากขาหนีจากเด็กชาย แต่ด้วยความเจ็บทำให้เขาล้มลงไปกับพื้น แล้วเขาก็รู้สึกเหมือนกับว่าขาขวาของเขาถูกจับลากไปอีกครั้งในท่าทีตัวเองต้องนอนคว่ำลงกับพื้น เขาพยายามใช้มือทั้งสองข้างขูดไปตามพื้นโดยหวังว่าจะมีอะไรให้เกาะรั้งเอาไว้ได้บ้าง แต่ก็ไม่มีอะไรช่วยเขาเอาไว้ได้เลย มือและเล็บที่ตอนนี้เต็มไปด้วยเลือดและรอยถลอกทำให้โองะเริ่มที่จะถอดใจ เมื่อร่างของเขาถูกลากมาจนถึงบันได เขาก็พูดออกมาอย่างหมดแรง
“นี้เป็นเรื่องจริงงั้นเหรอเนี่ย ฉันยังไม่อยากตาย ทำไมกัน”
เมื่อพูดจบร่างของโองะก็ถูกลากขึ้นบันไดหัวและตัวของเขากระแทกเข้ากับขั้นบันไดจนหัวแตกเลือดไหลออกมาตามขั้นบันได สุดท้ายเหลือไว้เพียงกองเลือดที่อยู่บนบันไดขั้นที่ 13 เท่านั้น แต่กับไม่มีแม้กระทั่งร่างของโองะ โองะได้หายไปแล้ว
เวลา 03.46 น. คิริซากิ โองะ เสียชีวิต
คำยืนยันของเจ้าของเรื่องสั้น
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
8.4 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8.6 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ