มหัศจรรย์แห่งหนังสือ
8.7
เขียนโดย candle
วันที่ 12 มกราคม พ.ศ. 2557 เวลา 17.43 น.
9 chapter
34 วิจารณ์
34.49K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 9 สิงหาคม พ.ศ. 2557 16.01 น. โดย เจ้าของเรื่องสั้น
7) โรงเรียนคาถาวิเศษ
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความโรงเรียนคาถาวิเศษ
หากคุณเป็นคนหนึ่งที่อ่านเรื่องราวก่อนหน้านี้มาแล้ว คงไม่ต้องบอกว่าฉันนั้นปลื้มนักเขียนท่านนี้มากขนาดไหนแล้วสินะ หนังสือเล่มนี้เป็นผลงานอีกชิ้นหนึ่งของ ‘มิฆาเอ็ล เอ็นเด้’ อีกเหมือนกัน โรงเรียนคาถาวิเศษเป็นหนังสือรวมเรื่องสั้นกึ่งนิทานอีกเล่มหนึ่งเช่นเดียวกับเรื่อง ‘ดินแดนหลับสบาย’ ซึ่งทั้งหมดมีอยู่ด้วยกัน 6 เรื่อง คือ
- โรงเรียนคาถาวิเศษ
- ความลับของเลนเชน
- ไม่เป็นไร
- โมนี่กับรูปวาดชิ้นเอก
- ตุ๊กตาหมีกับสัตว์ทั้งหลาย
- ทางสายยาวสู่ซานตาครูซ
แต่สิ่งหนึ่งที่ฉันชอบมากอย่างหนึ่งของหนังสือเล่มนี้ที่สุดคือบทแทนคำนำ : ถ้าจะพูดกันให้ชัดเจนแล้ว มันเป็นเหมือนกับเรื่องอีกเรื่องหนึ่งด้วยเช่นกัน และมันเริ่มต้นว่า...
“สมาชิกทุกคนในครอบครัวเรา ไม่ว่าจะแก่เฒ่าหรืออ่อนเยาว์ขนาดไหน ล้วนมีข้อเสียที่เหมือนกันอยู่อย่างหนึ่งคือติดหนังสือ มันเป็นเรื่องที่น่าเหนื่อยหน่ายไม่น้อยที่จะโน้มน้าวให้พวกเรายอมวางหนังสือลงสักครู่ เพื่อหันไปทำภารกิจเร่งด่วนและไม่อาจผัดผ่อนออกไปได้อีก แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าพวกเราจะไม่ยอมทำภารกิจเหล่านั้นเลย เพียงแต่พวกเราคิดว่ามันไม่จำเป็น เราต้องถึงกับยอมวางหนังสือลงเพื่อจัดการเรื่องพวกนั้น ในเมื่อเราสามารถที่จะจัดการกับสิ่งหนึ่งไปพร้อมๆ กับทำอีกสิ่งหนึ่งได้ คุณคงเห็นด้วยใช่ไหม แต่ถึงอย่างไรก็คงปฏิเสธไม่ได้เช่นกันว่า บางครั้งการที่พวกเราทำอะไรหลายๆ อย่างพร้อมกันมันก็ทำให้เกิดเรื่องที่ไม่น่าเกิดขึ้นได้เหมือนกัน ซึ่งจริงๆ แล้วมันก็ไม่เห็นจะเป็นอะไรสักหน่อยใช่ไหม...”
ที่ชอบก็เพราะว่าฉันก็เป็นเช่นนั้นนั่นเอง อย่างมีหนังสือเล่มไหนที่อ่านติดพันแล้วละก็แทบไม่อยากวางมันลงเพื่อไปทำอย่างอื่นเลย แม้แต่การกินข้าวก็เถอะมันเป็นอย่างนั้นจริงๆ นะเคยเป็นกันไหมเวลาที่อ่านหนังสือบางเล่มแล้วเป็นประมาณว่าวางไม่ลง อย่างล่าสุดเมื่อประมาณหนึ่งเดือนก่อนที่ฉันได้อ่านหนังสือเล่มหนึ่ง หนังสือเล่มนั้นเมื่อเปิดเรื่องดูเอื่อยๆ ไม่ค่อยน่าสนใจเท่าไหร่เลย ครั้นผ่านไปสักพักเท่านั้นแหละ วางไม่ลงจริงๆ (ถึงจะไม่ใช่หนังสือของโรฮัลด์ ดาห์ก็เถอะนะ) ว่างไม่ได้ หรือแม้แต่ขณะไม่ว่างก็ยังพยามจะอ่านอยู่นั่นแล้ว แบบว่าถือติดมือตลอดเวลาแต่มันไม่ดีเลยเพราะมักทำให้เกิดเหตุอันไม่ควรเกิดอยู่เสมอเลยล่ะ (เป็นความลับไม่ขอพูด)
โรงเรียนคาถาวิเศษ
เป็นการบอกเล่าของชายผู้หนึ่งผู้ซึ่งได้รับคำเชิญอย่างเป็นทางการไปยังดินแดนมหัศจรรย์ (ทำไมฉันถึงไม่ได้รับคำเชิญบ้างน้อ...ฉันล่ะอยากไปจริงๆ นะเออ) เพื่อศึกษาการใช้ชีวิตและขนบธรรมเนียมประเพณีของผู้คนในดินแดนแห่งนั้น ทำให้เขาได้รู้จักเด็กชาย-หญิงคู่แฝด คือมุกกับมาลี ทั้งคู่เป็นลูกของเจ้าของโรงแรมที่เขาไปพักระหว่างที่อยู่ในดินแดนมหัศจรรย์ นั่นทำให้เขามีโอกาสได้ไปนั่งเรียนกับเด็กๆ ด้วย ในโรงเรียนคาถาวิเศษนั่นเอง
และสิ่งที่คุณจะได้อ่านต่อไปนี้คือเคล็ดลับต่างๆ ที่เหล่าเด็กนักเรียนได้เรียนรู้กันในดินแดนมหัศจรรย์ เป็นเคล็ดลับที่นำมาบอกต่อ...(จงตั้งใจอ่านให้ดีล่ะ)
กฎของการใช้คาถาวิเศษ
เธอจะสามารถใช้คาถาวิเศษได้ก็ต่อเมื่อเธอเชื่อว่าสิ่งที่เธอปรารถนานั้นเป็นไปได้
ความปรารถนาที่เธอเชื่อว่าเป็นไปได้นั้น คือความปรารถนาที่เป็นส่วนหนึ่งของเรื่องราวที่แท้จริงของเธอ
ความปรารถนาที่จะเป็นส่วนหนึ่งของเรื่องราวที่แท้จริงของเธอนั้น คือสิ่งที่เธอปรารถนาอย่างแท้จริง
“ใครที่จะใช้คาถาวิเศษได้จะต้องเป็นผู้ที่มีความปรารถนาอยู่ในตัว และสามารถที่จะดึงมันออกมาใช้ได้เมื่อต้องการ”
“จริงๆ แล้วสิ่งที่เราต้องทำก็คือเราต้องหาให้ได้ว่าความปรารถนาที่แท้จริงของเราคืออะไร เราต้องทำความรู้จักกับมันอย่างเปิดเผยและซื่อสัตย์ ส่วนที่เหลือก็จะตามมาเอง แต่มันไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เลยที่ใครสักคนจะค้นพบว่าจริงๆ แล้วเขามีความปรารถนาอะไร”
“คนส่วนใหญ่มักคิดว่าตัวเขาเองรู้ว่าตัวเองต้องการอะไร คนบางคนคิดว่าตัวเองต้องการจะเป็นหมอ หรืออาจารย์มหาวิทยาลัย หรือนักการเมืองที่มีชื่อเสียง แต่ความปรารถนาที่แท้จริงของตัวเขาซึ่งแม้แต่ตัวเขาเองก็ไม่เคยล่วงรู้มาก่อนก็คือ เขาอยากเป็นแค่คนสวนธรรมดาๆ คนหนึ่งที่ปลูกผักผลไม้ได้ดอกออกผลเท่านั้นเอง
หรือบางคนอาจคิดว่าตัวเองอยากร่ำรวยและมีอำนาจล้นฟ้า แต่คนพวกนี้หารู้ไม่ว่าจริงๆ แล้วตัวเองใฝ่ฝันที่จะเป็นเพียงตัวตลกตามคณะละครสัตว์
คนมากมายคิดว่าตัวเองมีความปรารถนาอย่างแรงกล้าที่จะทำให้มนุษย์ทุกคนในโลกอยู่ดีมีความสุข มีความสงบและพึงพอใจกับชีวิตของตัว พวกเขาคิดว่าตัวเองอยากจะทำให้คนทุกคนเป็นมิตรต่อกัน อยากให้สัจธรรมเป็นฝ่ายมีชัยและให้โลกใบนี้มีแต่สันติภาพ
หากคนพวกนี้ได้ล่วงรู้ถึงความปรารถนาที่แท้จริงในใจของตัวเองแล้วล่ะก็ พวกเขาคงประหลาดใจไม่น้อยทีเดียวที่พวกเขาคิดว่าตัวเองปรารถนาสิ่งเหล่านั้นเพราะพวกเขาอยากจะรู้สึกว่าตัวเองงเป็นคนดีมีคุณธรรม แต่ความอยากนั้นแตกต่างจากความปรารถนาที่แท้จริงมาก
ความปรารถนาที่แท้จริงของคนส่วนใหญ่มักจะเป็นอะไรที่ห่างไกลจากความอยากของพวกเขา ด้วยเหตุนี้พวกเขาจึงไม่เคยเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับตัวเอง และเนื่องจากความปรารถนาที่แปลกปลอมนั้นไม่ได้กำเนิดจากเรื่องราวที่แท้จริงของมัน คนส่วนใหญ่จึงไม่เคยรู้เรื่องราวที่แท้จริงของตัวเองเป็นอย่างไร ด้วยเหตุนี้ที่ทำให้พวกเขาไม่สามารถใช้คาถาวิเศษได้”
บทเรียนที่สองคือ การสั่งของที่เราไม่ได้เห็นอยู่ตรงหน้ามาปรากฏต่อหน้าเรา เงื่อนไขข้อแรกคือ...
ต้องจินตนาการจนเห็นภาพของสิ่งที่ตัวเองต้องการอย่างชัดเจน ให้เหมือนกับว่าของสิ่งนั้นอยู่เบื้องหน้าตัวเองจริงๆ ต้องนึกถึงรายละเอียดทุกอย่างของสิ่งที่เราต้องการ เพราะไม่อย่างนั้นเราจะไม่สามารถสั่งให้มันมาปกกฎต่อหน้าเราได้ (ขณะอ่านอยู่ลองทำตามดูก็ได้นา...ไม่แน่ว่า...) แต่มีข้อแม้อยู่อย่างหนึ่งคือ ต้องเสกของนั้นกลับไปยังที่เดิมของมันด้วย
“มีแต่คนไร้ความสามารถและปลิ้นปล้อนเท่านั้นที่ฉกฉวยสิ่งที่ตัวเองไม่ได้ต้องการจริงๆ มาเป็นของตัว คนพวกนี้แหละที่ทำให้โลกวุ่นวาย”
วิธีการเสกให้ของสิ่งหนึ่งกลายเป็นอีกสิ่งหนึ่ง โดยเราจะต้องโยงใยความเกี่ยวพันระหว่างของทั้งสองสิ่งเข้าด้วยกัน
“ไม่มีของชิ้นไหนทั่วโลกใบนี้ที่ไม่มีความเกี่ยวพันกับของอีกชิ้นหนึ่ง ของทุกอย่างมีความเกี่ยวพันกันอย่างเร้นลับ”
“ต้องจำไว้ให้ดีว่า สิ่งที่ถูกเนรมิตขึ้นมาทุกสิ่งจะมีผลต่อผู้เนรมิตมัน”
คุณคิดเห็นเป็นไงกับประโยคนี้ สำหรับฉันการเนรมิตก็คือการสร้างการให้กำเนิดการก่อให้เกิด คิดในแง่มุมแห่งความเป็นจริงไม่ใช่ด้วยเรื่องแห่งจินตนาการ แม้เป็นสิ่งปลูกสร้างหรือความเจริญก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ต่างๆ ก็เช่นเดียวกัน ฉันคิดอยู่เสมอว่ายิ่งวิทยาศาสตร์เจริญก้าวหน้าเท่าไหร่ ความหายนะก็มาเยือนเร็วขึ้นเท่านั้น (อันนี้เป็นความคิดเห็นส่วนตัวโดยสมบูรณ์แบบ) การพัฒนาอาวุธสงคราม อาวุธชีวิภาพ การฝืนกฎธรรมชาติต่างๆ นาๆ ล้วนเป็นเรื่องฝ่าฝืนกฏและผลของมันก็คือเราผู้เป็นมนุษย์ต้องยอมรับในผลของมันอย่างไม่มีทางหลีกเลี่ยงนั่นเอง
เอาล่ะ...หลังจากเรียนรู้สิ่งต่างๆ ในโรงเรียนของดินแดนมหัศจรรรย์แล้ว อยากลองทำดูบ้างก็คงไม่เสียหายอะไรหรอกมั้ง ไม่แน่ว่าผู้อ่านคนใดคนหนึ่งอาจทำได้จริงๆ ขึ้นมา (ก็ไม่แน่อาจมีใครบางคนเป็นผู้คนที่มาจากดินแดนมหัศจรรย์ก็ได้นี่) แต่เมื่อมองอีกมุมหนึ่งทุกสิ่งทุกอย่างล้วนเกิดขึ้นได้ ภายใต้ความตั้งใจและมุ่งมั่นเพียงพอจริงมั๊ยล่ะ เว้นแต่ว่าใครบางคนจะเรื่อยเปื่อยเกินขนาดไปสักหน่อยเท่านั้นเอง แต่จะว่าไปฉันเองยังเคยลองใช้คาถาของโรงเรียนนี้บ้างเหมือนกันแหละ และฉันก็เชื่อเกินร้อยเปอร์เซ็นต์ซะด้วยว่ามันสามารถเป็นจริงได้
แต่หากคุณเคยอ่านหนังสือ ‘เดอะซีเคร็ต’ ซึ่งเป็นหนังสือที่ว่าด้วยเรื่องกฎของแรงดึงดูด ก็น่าจะแปลกใจอยู่ไม่น้อยที่ในเรื่องราวบทเรียนของโรงเรียนคาถาวิเศษที่เอ็นเด้เขียน กลับสอดแทรกเรื่องนี้ไว้อย่างไม่น่าเชื่อ เพราะหลักใหญ่ใจความมันคือหัวใจเดียวกัน ว่ากันว่ากฎของการดึงดูดเป็นศาสตร์เก่าแก่ยาวนาน แต่ก็นั่นแหละนะแม้ทุกคนจะรู้ก็ใช่ว่าจะทำได้กันทั้งหมด เพราะมันหมายถึงความปรารถนาอย่างแน่วแน่และตั้งใจอย่างแรงกล้า ต้องใช้พลังความคิดทางเชิงบวกอยู่มากโข หากคนเราช่างหน้าแปลกแท้ที่มักใช้พลังความคิดในเชิงลบซะเกินครึ่ง แทนที่จะคิดเรื่องดีๆ
ความลับของเลนเชน
เป็นเรื่องราวของเด็กผู้หญิงผู้เอาแต่ใจคนหนึ่งชื่อ ‘เลนเชน’ ปกติแล้วเธอเป็นเด็กหน้ารัก หรืออย่างน้อยก็ตราบเท่าที่พ่อกับแม่ของเธอทำตัวมีเหตุผล และยอมทำตามที่เธอต้องการ (เด็กๆ มักเป็นแบบนี้เสมอเลยเนอะ) แต่มันไม่เป็นอย่างนั้นนะสิ ดังนั้นเลนเชนจึงตัดสินใจออกไปตามหาแม่มดสักคนหนึ่ง โดยไม่สนใจว่าจะเป็นแม่มดที่ดีหรือร้าย
“มันเป็นเรื่องเกี่ยวกับพ่อแม่ของหนู หนูไม่รู้จริงๆ ว่าจะจัดการกับพวกเขายังไงดี พวกเขาไม่เคยยอมทำตามอย่างที่หนูต้องการเลย ปัญหาก็คือพวกเขามีจำนวนมากกว่า แถมทั้งสองยังตัวใหญ่กว่าหนูอีก...ถ้าสมมุติว่าทั้งสองคนนั้นตัวเล็กกว่าหนูละก็ เรื่องที่พวกเขามีจำนวนมากกว่าก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่ อย่างเช่นว่าพวกเขาตัวเล็กกว่าสักครึ่งหนึ่ง” นั่นคือสิ่งที่เลนเชนบอกกับแม่มด
แม่มดจึงมอบน้ำตาลวิเศษให้เลนเชนมาสองก้อน แต่...มีกฎอย่างหนึ่งที่ว่า...การมาขอคำปรึกษาครั้งแรกไม่คิดเงิน แต่ถ้ามาอีกเป็นครั้งที่สองจะต้องจ่ายเป็นราคาแพง (จ่ายด้วยอะไรล่ะมันน่าสงสัยอยู่นะ ก็ในเมื่อฟรานซิสกาเป็นแม่มด) ในตอนนั้นเลนเชนคิดเพียงแต่ว่าเธอไม่มีทางกลับมาหาแม่มดอีกเป็นครั้งที่สองแน่ ในเมื่อเธอได้ในสิ่งที่ต้องการแล้ว
เด็กหญิงนำน้ำตาลสองก้อนใส่ลงในถ้วยชาของพ่อกับแม่คนละก้อน และทันทีที่พ่อกับแม่ขัดใจเลนเชนเท่านั้นแหละ พวกเขาก็ตัวเล็กลงครึ่งหนึ่งในทันที
หลังจากพ่อกับแม่กลายเป็นคนตัวเล็ก เลนเชนจึงเข้านอนโดยไม่ยอมอาบน้ำแปรงฟัน เธอเป็นคนกำหนดเองว่าควรจะทำหรือไม่ทำอะไร แต่ในคืนที่ฝนตกหนักและฟ้าแลบฟ้าร้องเลนเชนอยากเข้าไปนอนกับพ่อแม่ เธอเริ่มรู้สึกอ้างว้าง ที่ทำได้ในเวลานี้เพียงก้มหน้าร้องไห้กับหมอนอยู่คนเดียว ครั้นรุ่งสางความกลัวก็หายไปอย่างรวดเร็ว เด็กหญิงไปโรงเรียนโดยไม่อาบน้ำและไม่ยอมปิดประตูบ้าน
วันหนึ่งขณะเลยนเชนเปิดปลากระป๋องกินเป็นอาหารกลางวัน ในที่สุดเธอก็โดยปากปลากระป๋องบาดนิ้วจนเลือดไหล เธอเอาแต่ตะโกนและเรียกหาพ่อ-แม่ เธอกลัวว่าเลือดจะไหลไม่หยุด ด้วยความเป็นพ่อ-แม่แม้ขนาดตัวจะเล็กแต่ด้วยความเป็นห่วงลูกสาวทั้งสองทนได้ยินเสียงลูกสาวของตัวเองร้องไห้ไม่ได้ หลังจากนั้นเลนเชนจึงเล่าเรื่องที่เธอไปหาแม่มดฟรานซิสกาเครื่องหมายคำถามให้กับพ่อ-แม่ฟัง จนถึงตอนที่เธอแอบเอาน้ำตาลใส่ให้พ่อแม่กิน
แม้เลนเชนจะรู้สึกไม่ค่อยสบายใจกับเรื่องที่เกิดขึ้น แต่เธอก็ตัดสินใจว่าไม่มีทางไปหาแม่มดเป็นครั้งที่สองอีกแน่ และคนที่ผิดก็คือพ่อกับแม่เธอนั่นเอง ถ้าทั้งสองคนเพียงแต่ยอมทำตามความต้องการของเลนเชนเรื่องร้ายๆ ก็คงไม่เกิดขึ้น เรื่องร้ายๆ ที่ว่าก็คือ พ่อกับแม่ของเธอเกือบจะโดนแมวของเพื่อนกินนะสิ แล้วก็เรื่องที่เธอออกไปเที่ยวเล่นจนดึกดื่นและกลับเข้าบ้านไม่ได้เพราะไม่มีใครเปิดประตูให้ (ก็เธอจับพ่อกับแม่ขังไว้ในตู้กระจกนะสิ และเลนเชนก็ไม่ได้เอากุญแจติดตัวไป) ทันใดนั้น...กระดาษแผ่นหนึ่งปลิวมาตกตรงเท้าของเลนเชน มีข้อความเขียนไว้
“ไม่เอา ไม่เอา รีบตัดสินใจอย่ารอช้า
เธอเองก็รู้นี่ว่า คนผิดคือใคร
พ่อกับแม่ของเธอ จะไปรู้ได้อย่างไร
หากคิดได้ จงรีบมา ชักช้าอาจเสียใจ”
“เธอต้องตัดสินใจตอนนี้ เพราะอีกไม่กี่อึดใจทุกอย่างก็จะสายเกินกว่าจะทำให้กลับเป็นเหมือนเดิมได้ อะไรสักอย่างที่มันสายเกินแก้เราคงต้องปล่อยเลยตามเลย ชีวิตมันก็มักเป็นแบบนี้แหละ เธอต้องเป็นคนตัดสินใจเอง”
“เธอต้องตัดสินใจเอง เธอต้องเลือกทำในสิ่งที่เธอคิดว่ามันถูกต้อง”
ตอนนี้ฉันยังสามารถหมุนเวลากลับไปณ.จุดที่เราสองคนพบกันครั้งแรก ก่อนที่เธอจะหย่อนน้ำตาลลงไปในถ้วยชาของพ่อกับแม่ เธอจะเป็นคนเดียวที่จำเรื่องทั้งหมดได้ ถ้าหมุนเวลากลับไปตอนนี้มันจะเป็นเวลาในอนาคตของเธอ เธอสามารถเลือกตัดสินใจได้ว่าจะเอาน้ำตาลสองก้อนนั้นหย่อนลงไปในถ้วยชาของพ่อกับแม่เธอหรือเปล่า...? แต่มันไม่ง่ายไปเสียทั้งหมด การมาขอคำปรึกษาเป็นครั้งที่สองฉันจะคิดค่าจ้างแพงมากจำได้มั๊ย
‘เธอต้องเป็นคนกินน้ำตาลพวกนั้นซะเอง มันเป็นทางเดียวที่จะทำให้ทุกอย่างกลับไปเหมือนเดิม’
‘ถ้าหนูกินน้ำตาลนั่นเข้าไป หนูก็ต้องตัวเล็กลงเรื่อยๆ’
‘นอกเสียจากว่าเธอจะไม่ดื้อกับพ่อแม่ของเธออีก ถ้าเธอทำตามที่ทั้งสองคนนั้นบอกตลอดเวลา มันก็จะไม่เกิดอะไรขึ้นง่ายๆ แค่นั้นเอง’
ตั้งแต่นั้นมาเลนเชนก็กลายเป็นเด็กหญิงที่น่ารักเชื่อฟังพ่อแม่ นั่นเพราะเธอรู้ซึ้งถึงผลของการไม่เชื่อฟังและทำตามใจตัวเองแล้วนั่นเอง
ไม่เป็นไร
เป็นเรื่องราวของชายคนหนึ่งกับเด็กยักษ์คนหนึ่งผู้พูดได้คำเดียวว่า “ไม่เป็นไร” ไม่ว่าจะมีเรื่องราวอย่างไรเกิดขึ้นเด็กยักษ์คนนั้นก็จะพูดแค่คำว่าไม่เป็นไร
แล้วผู้ใหญ่อย่างเราๆ ล่ะ จะพูดคำว่า “ไม่เป็นไร” ได้บ้างมั๊ยนะ
โมนี่กับรูปวาดชิ้นเอก
เป็นเรื่องราวของชายอายุ 60 กับเด็กหญิงชื่อโมนี่วัย 10 ขวบ สองคนเป็นเพื่อนกัน คิดอะไรคล้ายๆ กัน บางครั้งก็ผลัดกันอ่านหนังสือเล่มโปรดกันให้ฟังกัน สองคนต่างมีความเคารพซึ่งกันและกัน ชายสูงวัยเคารถเธอเพราะเธอมีความคิดไม่เหมือนคนอื่น ส่วนเธอเคารถเขาเพราะเขาไม่ดูถูกความคิดของเธอ
ในวันหนึ่งที่เขามอบกล่องระบายสี กระดาษวาดรูปและพู่กันเป็นของขวัญแก่โมนี่ เด็กหญิงจึงวาดรูปหนึ่งให้เขาเป็นการตอบแทน เธอวาดรูปตัวเองลงไปในกระดาษ
“คุณอยากเพิ่มอะไรเข้าไปในรูปอีกบอกได้เลยนะคะ”
“ฉันว่าเธอน่าจะวาดเตียงลงไปสักหน่อยนะ เธจะได้นอนบนเตียงแล้วก็รู้สึกสบายกว่าการนอนลอยอยู่บนอากาศแบบนี้”
จากนั้นโมนี่ก็วาดเตียงไม้อันโตลงใต้รูปของตัวเธอ เลยกลายเป็นว่ารูปคนที่นอนอยู่บนเตียงนั้นเล็กเสียจนหน้าเศร้า
“หนูว่าน่าจะสวมเสื้อผ้าอะไรที่มันสวยๆ หน่อย จะได้ดูเข้ากับเตียงตัวนี้” ดังนั้นโมนี่ก็ลงมือวาดชุดนอนยาวสีขาวคลุมเหนือรูปตัวเองที่นอนอยู่บนเตียงทันที
“เยี่ยมมาก แต่ฉันยังเป็นห่วงเรื่องสุขภาพของเธออยู่ดี”
ด้วยเหตุนี้เธอจึงจุมสีขาวระบายเป็นผ้านวมผืนหนาคลุมบนรูปตัวเธอ รวมทั้งชุดนอนแสนสวยที่เธอเพิ่งจะวาดลงไปเมื่อครู่ด้วย เธอนั่งคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะจุ่มสีน้ำเงินเข้ม ป้ายลงไปเป็นม่านกำมะหยี่ห้อยลงมาจากเพดานขาวของเตียง และคลุมทั้งสี่ด้านของมันจนมิด
“หนูดึงม่านลงมาคลุมเตียงน่ะค่ะ ไม่อย่างนั้นจะมีม่านเอาไว้ทำไม”
“ผ้าม่านจะไปมีประโยชน์อะไรถ้ารวบมันเอาไว้เฉยๆ”
“แล้วคราวนี้ก็ได้เวลาดับไฟนอนกันซะที” พูดจบเธอก็จุ่มสีดำระบายลงทั่วทั้งแผ่นกระดาษ
“ที่นี้คุณพอใจรึยังคะ”
“รูปนี้เป็นงานศิลปะชิ้นเอกจริงๆ โดยเฉพาะสำหรับคนที่รู้ว่า แม้จริงแล้วมีอะไรอยู่ข้างใน”
เรื่องนี้อาจไม่มีอะไรมากมาย แต่มันน่ารักดีในมิตรภาพระหว่างเด็กกับผู้ใหญ่คนหนึ่งว่ามั๊ยล่ะ
ตุ๊กตาหมีกับสัตว์ทั้งหลาย
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว...มีตุ๊กตาหมีตัวหนึ่งชื่อว่า ‘ซักได้’ วันหนึ่งขณะที่ซักได้กำลังนั่งอยู่ที่มุมโซฟาเหมือนทุกวัน มีแมลงวันตัวหนึ่งบินวนไปวนมาอยู่ในห้อง
“ทำไมเธอถึงต้องนั่งอยู่อย่างนี้ด้วยล่ะ มันต้องมีเหตุผลสิว่าเธออยู่ที่นี่เพื่ออะไร” แมลงวันพูด
“แล้วคำถามนี้มันสำคัญนักเหรอ”
“มันเป็นคำถามที่สำคัญที่สุดในโลก อย่างฉันก็เกิดมาเพื่อบินไปที่โน่นที่นี่ แล้วก็ตอมของทุกอย่างที่ขวางหน้า”
ดังนั้นซักได้จึงออกถามถึงความหมายของการมีชีวิตอยู่ของมัน
“ความหมายของการมีชีวิตอยู่ก็คือต้องฉลาด ต้องรู้จักที่จะหลบหลีกไม่ให้ถูกจับตัวได้ แล้วก็คอยเที่ยวหาเนยแข็งและเศษอาหารมาเลี้ยงดูครอบครัว” เป็นความหมายของเจ้าหนู
“แต่ว่าในโลกนี้จะมีอะไรที่สำคัญไปกว่าไข่อีกล่ะ เหตุผลเดียของการมีชีวิตอยู่ก็คือการวางไข่” เป็นความหมายของแม่ไก่
“ความหมายของการมีชีวิตอยู่ก็คือความงามนะสิ” เป็นความหมายของหงส์
“ทุกวันนี้ไม่ว่าจะเป็นอะไรก็ต้องอาศัยตัวเลขและสถิติทั้งนั้น อะไรที่นับได้ย่อมมีอยู่จริง อะไรที่นับไม่ได้ก็ไม่มีความสำคัญ” คำตอบของนกคุกคู
“เป้าหมายของการมีชีวิตอยู่ก็คือการก่อตั้งอะไรสักอย่างขึ้น ไม่ว่าจะเป็นสมาคม ชมรม คณะกรรมการ พรรคการเมือง ก่อตั้งอะไรก็ได้ที่มีสักษณะของความเป็นกลุ่มก้อน เพราะว่าการอยู่ร่วมกันเป็นสิ่งสำคัญ เมื่ออยู่ร่วมกันก็ต้องมีคนที่ออกคำสั่ง และคนที่ทำตามคำสั่ง” เป็นความหมายของลิงจ่าฝูง
“จริงๆ แล้ว ความหมายของการมีชีวิตอยู่ ก็คือการครุ่นคิดถึงความหมายของการมีชีวิตอยู่นั่นเอง” เป็นความหมายของช้าง
“เรามีชีวิตอยู่เพื่อจะได้มีชีวิตอยู่ให้ได้นานที่สุดเท่าที่จะทำได้นะสิ” เป็นความหมายของเต่า
“ไม่มีอะไรบนโลกใบนี้ที่มีความหมาย ทุกอย่างล้วนไม่เที่ยงแท้ สิ่งที่เห็นอยู่ทุกอย่างล้วนเป็นเพียงภาพมายา เอาอย่างฉันสิ นอนผึ่งแดดคิดถึงความว่างเปล่า ความว่างเปล่าอย่างเดียวเท่านั้น” เป็นความหมายของจิ้งจก
“เมื่อแรกเกิดฉันเป็นเพียงไข่ใบหนึ่ง จากนั้นฉันก็ค่อยๆ เปลี่ยนตัวเองให้เป็นดักแด้ แล้วไม่นานฉันก็ออกจากดัดแก้และกลายเป็นผีเสื้อ นั่นคือเป้าหมายของการมีชีวิตอยู่ของพวกฉัน พวกเรามีชีวิตอยู่เพื่อพัฒนาตัวเองสู่สิ่งที่สูงขึ้นเรื่อยๆ” เป็นความหมายของผีเสื้อ
แล้วความหมายของการมีชีวิตอยู่ของคุณล่ะ...คืออะไร? ตอบได้ไหมเอ่ย...แต่ว่านะความหมายของแต่ละคนแต่ละชีวิตในสิ่งแวดล้อมที่แตกต่างกันก็ย่อมไม่เหมือนกันอยู่แล้ว มันค่อนข้างขึ้นอยู่กับปัจจัยหลากหลายที่จะประกอบกันขึ้นมาก เราจะค้นหาความหมายของมันได้หรือไม่ย่อมไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไรนักหนา แค่ว่าเรามีชีวิตขึ้นมาและเป็นคนที่ดีของครอบครัวนั่นก็น่าจะเพียงพอแล้ว ยังไงซะเราก็ย่อมเป็นคนสำคัญของครอบครัวเราอยู่แล้วล่ะ
ทางสายยาวสู่ซานตาครูซ
เป็นเรื่องของเด็กชายคนหนึ่งชื่อ ‘แฮร์มัน’ ผู้ไม่อยากไปโรงเรียนในเช้าวันจันทร์ และบนหนทางไปสู่โรงเรียนเขาใช้จินตนาการของตัวเองให้เพลิดเพลิน ตื่นเต้นต่างๆ ระหว่างการเดินทางจากบ้านไปสู่โรงเรียนจึงไม่เป็นไปตามนั้น เด็กชายเดินออกนอกเส้นทางการไปโรงเรียนเรื่อยๆ ท้ายที่สุดไปพบเจอกับคนจรจัดที่หลอกเอาเงินไปด้วยการใช้จินตนาการของแฮร์มันเป็นเครื่องมือนั่นเอง
เด็กชายจึงกลับมาบ้านด้วยเนื้อตัวเปียกปอนและรู้สึกแย่มากๆ แต่ที่หน้าแปลกคือแม่กับพ่อไม่มีท่าทีโกรธเขาเลย ตรงกันข้าม หลังอาหารเย็นพ่อกลับทำอะไรบางอย่างที่เขาไม่ได้ทำมานานแล้ว พ่อหยิบหนังสือนิทานสนุกมาอ่านให้แฮร์มันน์ฟังที่เตียง
เรื่องนี้มีบางอย่างที่เป็นการสอนอย่างกลายๆ ว่าบางทีคนเราก็ย่อมทำเรื่องผิดพลาดกันได้บ้าง กว่าจะรู้สึกตัวกว่าจะพบหนทางที่ถูกต้องกว่าจะสำนึกได้ แต่ก็ไม่มีอะไรที่สายเกินไปเสียทั้งหมด หากครอบครัวจะคอยเป็นเกราะป้องกันภัยให้ ให้กำลังใจฟูมฟักดูแลอย่างถูกต้องทุกอย่างย่อมมีหนทางแก้ไขเสมอ.
หนังสือเล่มนนี้ก็เป็นแค่หนังสือนิทานอีกเล่มหนึ่งที่มีอะไรสะกิดใจได้บ้างนิดๆ หน่อยๆ ซึ่งคงพอจะมีประโยชน์กับคนอ่านได้บ้างไม่มากก็น้อย หวังว่าคงจะหลงรักมันเหมือนที่ฉันหลงรัก. by ผู้แบ่ปันจินตนาการ
***วันนี้เป็นวันครบรอบหนึ่งปีสำหรับการอยู่ในเวปขีดเขียน ก็เลยอยากเอามาลงวันนี้
คำยืนยันของเจ้าของเรื่องสั้น
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
8.3 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9.9 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
7.9 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ