มหัศจรรย์แห่งหนังสือ
เขียนโดย candle
วันที่ 12 มกราคม พ.ศ. 2557 เวลา 17.43 น.
แก้ไขเมื่อ 9 สิงหาคม พ.ศ. 2557 16.01 น. โดย เจ้าของเรื่องสั้น
6) ดินแดนหลับสบาย
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ
ดินแดนหลับสบาย
อย่างที่เคยบอกไปตั้งแต่ต้นแค่เพราะเห็นชื่อคนแต่งคือ มิฆาเอ็ล เอ็นเด้ ฉันก็เลือกที่จะหยิบออกมาจากชั้นหนังสือทันที ชื่อเอ็นเด้เป็นสิ่งยืนยันถึงเนื้อหาที่ซุกซ่อนอยู่ในเล่มสำหรับฉัน (อาจเพราะถูกจริตกับงานเขียนของชายผู้นี้อย่างเหนียวแน่นนั่นแหละ)
หนังสือเล่มนี้เป็นรวมเรื่องสั้นกึ่งนิทานของเอ็นเด้ นิทานเรื่องสั้นๆ ที่แฝงแง่คิดหลากหลายในเนื้อหาเบาๆ ที่ชวนให้คิด และฉันก็ฝันเสมอว่าตัวเองจะสามารถเขียนเรื่องราวง่ายๆ ที่แฝงแง่คิดได้บ้างในวันหนึ่งข้างหน้าโน้นนนนนนน...(ฝันเฟื่องอีกแล้ว)
หนังสือเล่มนี้ประกอบด้วยนิทานจำนวน 10 เรื่อง
- 1.มานะมุ่งหน้าเดิน เต่าผู้เต็มไปด้วยความมุ่งมั่น
- 2.ตุ๊กตาตัวตลก
- 3.เรื่องของพรแห่งพรทั้งหลาย
- 4.ขาใหญ่นอยาวแรดไร้เกราะ
- 5.นายจดจำและนายลืมเลือน
- 6.ทำไม ทำไม วิลลี่ขี้สงสัย (เรื่องราวหฤหรรษ์ไม่แฝงสาระใดสำหรับเด็กขี้สงสัยทั้งหลาย)
- 7.สงครามโถกับทัพพี
- 8.พลายใหญ่หนังย่น
- 9.ดินแดนหลับสบาย
- 10.ละครเงาของโอเฟเลีย
สำหรับฉันผู้นิยมชมชอบการอ่านนิทานมาแต่ไหนแต่ไร หนังสือเล่มนี้จึงเป็นเล่มโปรดอีกเล่มหนึ่ง (เพราะว่าหนังสือที่จะบอกเล่านั้นก็ต้องเป็นเล่มโปรดสิถูกมั๊ย) ตอนเรียนมัธยมปลายมีคุณครูบรรณารักษ์ท่านหนึ่งถามคำถามจี้ใจที่จำได้มาจนทุกวันนี้ ประโยคที่ว่าคือ “โตขนาดนี้แล้วยังอ่านนิทานอีกเหรอ” เพราะหนังสือที่ฉันยืมมาจากห้องสมุดนั้นล้วนแต่เป็นนิทานแทบทั้งสิ้น หรือให้ฉีกแนวออกไปเลยก็คือนิยายสืบสวนสอบสวนของ ‘อากาธา คริสตี้’ ขณะที่เพื่อนๆ ของฉันอ่านนิยายรักกันทุกคน ช่วงที่อยู่มัธยมปลายนี่ต้องถือว่าเป็นช่วงที่อ่านงานของอากาธามากมายหลายเล่ม ในห้องสมุดมีเท่าไหร่ก็อ่านมันหมดนั่นแหละ ทั้งตื่นเต้นและสนุกไปกับเรื่องราวทำให้รู้สึกว่าการอ่านนวนิยายสืบสวนช่วยให้เราสามารถมองคนได้ทะลุอีกด้วย คือสามารถจับบางอย่างจากลักษณะท่าทางหรือไม่ก็คำพูดคำจาได้ (แต่อันนี้ไม่รู้ว่าคิดไปเองหรือเปล่านะ) อ่านไปก็เดาไปว่าผู้ร้ายใช่ตัวที่เราคิดรึเปล่า ผิดบ้างถูกบ้างก็ว่ากันไป แต่พออ่านหลายๆ เล่มเข้าเริ่มเก็บรายละเอียดได้มากขึ้นจากสิ่งเล็กๆ ที่ผู้เขียนเสนอช่วยในการย่อยความคิดให้แตกขึ้นก็เริ่มชำนาญในการจับผู้ร้ายได้โดยปริยาย
กลับมาพูดถึงนิทานกันต่อ ฉันก็เริ่มสงสัยเหมือนกันนะว่าตัวเองเป็นคนแปลกรึเปล่าที่ยังคงชอบอ่านนิทานอยู่ แต่มีคนหนึ่งเคยพูดให้ได้ยินว่า ‘เพราะไม่รู้จักโตนะสิ ถึงได้อ่านนิทานยังสนุกอยู่’ ก็เข้าใจนะว่าเป็นประโยคเหน็บแนมอย่างแน่นอน แต่ช่างเถอะไม่รู้จักโตสิดีฉันฝันอยากเป็นอย่างปีเตอร์แพนจะตายไป เป็นคนที่ติดอยู่ในโลกแห่งความเป็นเด็กมันเสียหายตรงไหนกันใช่ม่ะ ก็เมื่อคุณยังคงอ่านหนังสือวรรณกรรมเยาวชนหรือนิทานต่างๆ สนุกอยู่ นั่นย่อมแสดงว่าหัวใจคุณยังเยาว์อยู่นั่นเองเชื่อเถอะ ฉันเชื่ออย่างนั้นมาตลอดแหละ แต่ก็กลัวอยู่เหมือนกันว่าถึงวันที่อ่านนิทานไม่สนุกอีกแล้วความหมายมันคืออะไร...?
‘ยิ้มเหมือนเด็ก’ ประโยคนี้ฉันยังสงสัยอยู่ในความหมาย อันนี้คนใกล้ตัวเหมือนกันที่พูด พอฉันถามถึงความหมายก็บอกแค่ว่า ‘ซื่อใสไร้พิษสงอยู่ในความฝันมากกว่าความจริง’ และคงจะถูกอย่างเขาว่านั่นแหละ แต่แม่เป็นคนบอกว่าแววตาไร้ความทะเยอทะยาน อันนี้ตรงอีกเหมือนกันเพราะฉันเป็นคนเรื่อยเปื่อยนั่นเอง พูดถึงแม่ขอนินทาต่อจากคราวที่แล้วอีกหน่อยแล้วกัน สองคนแม่ลูกว่างๆ ก็ต้องไปสิงสถิตอยู่ร้านหนังสือ สนิทสนมคุ้นเคยกับผู้จัดการร้านเป็นอย่างดีประมาณว่าเห็นแม่นี่ต้องยกมือไหว้เข้ามาชวนคุยทุกที แล้วที่ร้านหนังสือมันก็จะมีปากกาหลากหลายชนิดขายด้วย ฉันก็ถาม ‘แม่เอาปากกาไหมหนูเลือกให้’ ‘เอาสิปากกาสีดำ เส้นต้องเล็กนะ’ ก็เลือกให้ได้อย่างที่ชอบเลยสีดำเส้น 0.5 นี่ก็ผ่านมาเกือบ 2 เดือนแล้วสำหรับปากกา ที่ยังไม่มีทีท่าว่าจะจรดลงบนกระดาษแต่อย่างใด ดังนั้นประโยคเหน็บเล็กๆ จึงเกิดขึ้น ‘โห...กว่าจะเป็นนักประพันธ์ ใช้ระยะเวลายาวนานมากทีเดียวเลยนะสำหรับการเตรียมอุปกรณ์’ ชาตินี้ฉันจะได้อ่านสิ่งที่แม่เขียนไหมนี่...? แม่ก็แค่อมยิ้ม แล้วก็ยังคงมุ่งมั่นกับการอ่านต่อไป
กลับเข้าเรื่องหนังสือเล่มนี้กันต่อค่ะ (ชอบไถลไปเรื่อยเลย) และนี่คือส่วนเล็กน้อยที่สะกิดใจที่เก็บได้และอยากบอกต่อค่ะ
มานะ มุ่งหน้าเดิน เต่าผู้เต็มไปด้วยความมุ่งมั่น
เรื่องนี้เป็นเรื่องของเจ้าเต่าชื่อมานะ มุ่งหน้าเดิน ผู้ต้องการจะไปร่วมงานเลี้ยงฉลองสมรสของสุลต่านลีโอที่ 28 ระหว่างการเดิน
เจ้าเต่าเจอแมงมุมชื่อทอถัก นักชักใย
“มานะ มุ่งหน้าเดิน ตัวฉันเองยังคิดว่าหนทางนี่มันไกลเกินกว่ากำลังของฉัน ขนาดฉันน่ะขายาวแล้วก็มีขามากกว่าเธอ ฉันยังไม่คิดจะไปที่นั่นเลยลองคิดดูดีๆ! ฉันว่าล้มเลิกความตั้งใจแล้วกลับบ้านเสียดีกว่า!”
“ฉันคงทำอย่างนั้นไม่ได้ ฉันตัดสินใจแน่วแน่แล้ว”
เจ้าเต่าเจอหอยทากชื่อว่าหนุบหนับ เหนียวหนืด
“ให้หอยทากตายสิ! นี่เธอเดินมาผิดทางแล้วล่ะ”
“ไม่เป็นไร อย่างน้อยตอนนี้ฉันก็รู้แล้วว่ากำลังเดินมาผิดทาง”
“แต่งานจะมีขึ้นวันมะรืนนี้แล้วนะ”
“ฉันว่าฉันจะต้องไปถึงทันงานแน่นอน”
“ไม่มีทาง! ถ้าเธอเดินไปทางใต้ตั้งแต่แรกอาจจะพอเป็นไปได้ แต่เมื่อเดินมาผิดทางอย่างนี้ก็ไม่มีทางที่จะไปถึงทันงานอย่างแน่นอน ตอนนี้ทุกอย่างมันสายเกินแก้แล้ว อุตส่าห์บากบั่นมาเสียแรงเปล่าจริงๆ ให้หอยทางตายสิ!”
“ถึงสิ ค่อยๆ เดินไปทีละก้าวอย่างนี้แหละ”
เจ้าเต่าเจอจิ้งเหลนตัวหนึ่งชื่อขี้เกียจ นอนเหยียดยาว
“เห็นทีจะไม่เป็นไปอย่างที่แกคิดหรอก ในฐานะข้าราชการระรับสูงประจำราชสำนักของท่านราชสีห์ ข้าขอบอกให้แกรู้เอาไว้ตรงนี้ว่างานแต่งงานของท่านลีโอที่ 28 มีอันต้องเลื่อนออกไปชั่วคราว เนื่องจากท่านราชสีห์มีภารกิจต้องออกไปต่อสู้กับเจ้าเสือกราดเกรี้ยวเขี้ยวแหลม ข้าว่าแกกลับบ้านไปก่อนดีกว่า”
“ฉันคงทำอย่างนั้นไม่ได้ ฉันตัดสินใจแน่วแน่แล้ว”
เจ้าเต่าเจอนกกาเหว่าชื่อฮัดเช้ย ผู้เฉลียวฉลาด
“เธอไม่เห็นหรือว่าพวกเราสวมชุดไว้ทุกข์อยู่ พวกเราเพิ่งจะทำพิธีฝังศพท่านสุลต่านลีโอที่ 28 ไปเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา ท่านราชสีห์ได้รับบาดเจ็บสาหัสจากการต่อสู้เจ้าเจ้าเสือกราดเกรี้ยว เขี้ยวแหลม ในที่สุดท่านก็เสียชีวิตเพราะทนพิษบาดแผลไม่ไหว...รู้อย่างนี้แล้วก็กลับบ้านไปเสียเถอะ”
“ฉันคงทำอย่างนั้นไม่ได้ ฉันตัดสินใจแน่วแน่แล้ว”
ในที่สุดมันก็มาถึงป่าแห่งหนึ่ง มันเห็นสัตว์น้อยใหญ่ชุมนุมกันอยู่ที่นี่
“ขอโทษเถอะนะ เธอรู้ไหมว่าถ้ำของท่านสุลต่านไปทางไหน” เจ้าเต่าถามชะนีตัวหนึ่ง
“ที่เธอยืนอยู่คือหน้าถ้ำแห่งนี้ไง...วันนี้พวกเรามาชุมนุมกันเพื่อเฉลิมฉลองงานสมรสของท่านสุลต่านองค์ใหม่ของพวกเรา ท่านสุลต่านลีโอที่ 29”
“ฉันบอกแล้ว ว่าฉันต้องมาถึงทันงานแน่นอน”
พรแห่งพรทั้งหลาย
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ยังมีผู้วิเศษสามคนเดินทางมายังเมืองเมืองหนึ่ง ชื่อว่าเมืองของเด็กๆ ทั้งหลาย ผู้วิเศษมีชื่อว่า คาถา ปัญญา และไม่นำพา ผู้วิเศษทั้งสามเสกสรรสิ่งต่างๆ มากมายให้เด็กๆ ได้เพลิดเพลินกับของแปลกใหม่...ทว่า!!!มีเด็กบางคนนึกสงสัย ผู้วิเศษเหล่านี้ประสงค์ดีหรือร้าย...? แล้ววันที่ผู้วิเศษจะต้องเดินทางต่อไปก็มาถึง
“เราทั้งสามซาบซึ้งในไมตรีของพวกเจ้า
จึงคิดจะมอบของขวัญให้พวกเจ้าชิ้นหนึ่ง
เพื่อให้พวกเจ้าระลึกถึงเราตลอดไป
ไม่ว่าพรที่ขอจะเล็กน้อยหรือยิ่งใหญ่แค่ไหน
พรนั้นจะสมประสงค์ในทันใด
บอกเรามาสิว่าพวกเจ้าคิดหวังสิ่งใด”
“ต้องขอโทษด้วยถ้าสิ่งที่พวกเราขอนั้นมากเกินไป
พรอย่างเดียวที่พวกเราอยากขอคือ
พวกเราอยากให้พรทุกพรที่พวกเราขอสมประสงค์ในทันใด”
“ถ้าพวกเจ้าต้องการอย่างนั้น ก็จงได้ตามที่หวัง!”
ปีหนึ่งล่วงผ่านพรวิเศษยังคงสัมฤทธิผลทุกวัน เด็กๆ เริ่มรู้สึกกลัว เพราะถ้าได้ทุกอย่างตามที่หวังเราย่อมไม่ดีใจกับสิ่งที่เราได้รับ นับวันเด็กเหล่านั้นจึงขอพรกันน้อยลง น้อยลง...ทุกอย่างล้วนได้มาโดยไม่ต้องทำอะไร! ไม่มีใครคิดจะขอพรอีกต่อไป ไม่มีอะไรที่จะทำให้เขารู้สึกดีใจได้อีก เด็กๆ ได้แต่นั่งเศร้าใจ เด็กๆ ได้แต่รำพึงว่า
“พระเจ้าทรงทำให้เราตาสว่าง บัดนี้เรารู้แล้วว่าผู้วิเศษทั้งสามเป็นคนไม่ดี”
เด็กๆ ได้แต่นั่งทอดอาลัย ในที่สุดเด็กตัวเล็กๆ คนหนึ่งก็เอ่ยขึ้นว่า
“ถ้าพวกเราสามารถขอพรทุกอย่างได้ ทำไมเราถึงไม่ขอพรให้พรที่เราสามารถขอพรทุกอย่างได้เลิกสัมฤทธิผลเสียล่ะ”
เด็กคนอื่นจึงทำตามที่เด็กตัวเล็กแนะนำ และนับจากนั้นชีวิตของพวกเขาก็กลับมามีสีสันเหมือนก่อน พวกเขากลับมาเป็นเด็กที่รื่นเริงอีกครั้ง ต่างกันที่พวกเขาฉลาดขึ้นกว่าเดิมเล็กน้อย
ขาใหญ่ นอยาว:เจ้าแรดไร้เกราะ
นี่เป็นเรื่องราวของแรดขี้ระแวงที่ชื่อขาใหญ่ นอยาว แรดตัวนี้หงุดหงิดง่าย บางครั้งแค่เรื่องเล็กๆ น้อยๆ ก็ทำให้มันโมโหเป็นฟืนเป็นไฟพาลหาเรื่องสัตว์อื่น นับวันนิสัยขี้ระแวงของมันจะยิ่งรุนแรงขึ้น สัตว์ที่กระหายน้ำต้องเสี่ยงชีวิตเดินหรือบินเข้าไปยังบ่อกลางทุ่งหญ้าแห่งนั้น เพราะไม่รู้ว่าเจ้าขาใหญ่จะเกิดหงุดหงิดขึ้นมาเมื่อไหร่ ส่วนลูกหลานสัตว์ตัวเล็กตัวน้อยก็ถูกห้ามไม่ให้วิ่งเล่น หรือลงไปเล่นน้ำในบ่อแห่งนั้น แม้แต่นกก้ไม่กล้าส่งเสียงร้องเพลง เพราะถ้าเจ้าขาใหญ่ได้ยินเสียง มันจะวิ่งเข้าขวดนกพวกนั้นรวมถึงสัตว์ที่ป้วนเปี้ยนอยู่ใกล้ๆ ทันที พร้อมกับโวยวายว่าสัตว์อื่นพยามจะลอบทำร้ายมัน
ในที่สุดสัตว์ทุกตัวต่างก็อพยพไปที่อื่นเสียแม้แต่เสี้ยงเข้ม ขนฟู เจ้าสิงโต ลำพังตัวมันคงไม่มีปัญญาจะไปต่อกรกับแรดขี้ระแวงตัวนั้นได้ มันจึงพาภรรยาและลูกอีกสามตัวจากไป ด้วยเหตุนี้จึงเหลือขาใหญ่ นอยาว อยู่เพียงลำพังบนทุ่งกว้างแห่งนี้ แต่ยังมีเจ้านกเอี้ยงตัวจ้อย ไม่ด้อยปัญญาอยู่อีกตัวหนึ่ง
“ว่ายังไงเป็นผู้ชนะแล้วรู้สึกดีไหม” มันถามเจ้าแรด
“ถึงอย่างไรตอนนี้ท่านก็เป็นผู้ปกครองทุ่งแห่งนี้โดยลำพัง นับเป็นชัยชนะที่ยิ่งใหญ่จริงๆ แต่ท่านรู้สึกบ้างไหมว่า ท่านยังขาดอะไรไปอย่างหนึ่ง”
“ยังมีอีกอย่างหนึ่งที่ขาดไป ผู้ชนะและผู้ปกครองทุกคนมีสิ่งหนึ่งที่ท่านยังไม่มี สิ่งนั้นคือรูปปั้น”
“ผู้ชนะหรือผู้ปกครองที่ยังไม่มีรูปปั้นเป็นของตัวเอง ย่อมไม่อาจถือเป็นผู้ชนะหรือผู้ปกครองที่แท้จริงได้ ด้วยเหตุนี้ผู้มีความสำคัญเยี่ยงท่านจึงต้องมีรูปปั้นเป็นที่ระลึกถึงเกียรติคุณของตัวเอง ท่านก็ควรจะทำอย่างนั้นเหมือนกัน”
“แล้วไอ้ของที่แกว่านี่เขาไปเอามาจากที่ไหนล่ะ” แรดเอ่ยถาม
“ในกรณีของท่านค่อนข้างลำบากหน่อย เพราะตอนนี้ไม่เหลือใครอยู่ที่นี่เพื่อสร้างรูปปั้นให้ท่านแล้ว”
“แล้วเขาทำกันอย่างไรล่ะ”
“อย่างแรกเลยคือ รูปปั้นนี่ต้องเหมือนตัวจริงมากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ผู้ที่มาดูเขาจะได้รู้ว่าเป็นรูปปั้นของใคร ท่านพอจะแกะไม้หรือสลักหินให้เป็นรูปท่านเองได้ไหมล่ะ”
“ไม่ได้”
“แย่จริง ถ้าเป็นแบบนี้เห็นทีจะไม่มีทางทำรูปปั้นได้”
“แต่ข้าอยากได้รูปปั้น ลองคิดหาทางดูสิ”
“ท่านต้องเป็นรูปปั้นให้ตัวท่านเอง ท่านต้องหาที่สูงๆ สักแห่งหนึ่งแล้วขึ้นไปยืนบนนั้น ที่สำคัญคือท่านต้องยืนนิ่งๆ ให้เหมือนกับว่าท่านเป็นรูปปั้นที่ทำจากเหล็ก”
ขาใหญ่จึงปีนขึ้นไปยืนบนแท่นหินแล้วพยามจัดท่าทางของตัวเองให้เหมือนรูปปั้น
“ตอนนี้ท่านมีทุกอย่างที่ผู้ปกครองควรจะมี แล้วดูสิรูปปั้นแบบนี้จะหาที่ไหนมาเทียบได้สัตว์น้อยใหญ่จะต้องอิจฉาท่าน และสัตว์รุ่นต่อๆ ไปจะต้องชำเลืองมองรูปปั้นของท่านด้วยความชื่นชมและกล่าวนามของท่านด้วยความยำเกรง นอกเสียจากว่าท่านหรือรูปปั้นของท่านจะถูกทำลาย”
แรดขี้ระแวงตอนนี้ได้แต่ยืนนิ่งไม่กล้าขยับเขยื้อน เหลือบมองมายังนกเอี้ยงตัวน้อยด้วยสายตาส่อแววกังวล
“เจ้าหมายความว่าอย่างไร”
“ก็หมายความว่าผู้ปกครองบางคนอาจจะถูกโค่นลงจากอำนาจ อย่างเช่นกรณีเกิดการปฏิวัติ รูปปั้นของผู้ปกครองคนนั้นก็จะถูกทำลาย แต่ถ้ามีใครโค่นหรือทำลายรูปปั้นของผู้ปกครองที่ยังไม่ถูกโค่นอำนาจ ผู้นั้นก็จะต้องโดนจับไปขังคุกหรือไม่ก็ประหารชีวิต นอกจากว่ามันจะหนีไปได้เสียก่อน”
“ท่านอย่าเอาเรื่องนี้มาเป็นกังวลเลยใครกันจะหาญกล้ามาโค่นท่านลงจากอำนาจ...นอกเสียจากว่าท่านจะเป็นผู้โค่นรูปปั้นของตัวท่านเอง”
“ทำไมถึงต้องเป็นตัวข้าเองด้วย”
“อย่างเช่นถ้าท่านลงมาจากแท่นหิน ก็เท่ากับท่านเป็นผู้โค่นรูปปั้นของตัวท่านเอง ท่านต้องเลือกเอาว่าท่านจะเป็นผู้ปกครองหรือไม่ ถ้าท่านโค่นตัวท่านเองในฐานะที่เป็นผู้ปกครองท่านก็ต้องประหารตัวท่าน เพราะนั่นเป็นกฎของการปฏิวัติ ถ้าท่านโค่นรูปปั้นของตัวเอง ท่านก็ต้องโดนตัวท่านเองประหารชีวิตเพราะท่านยังเป็นผู้ปกครองอยู่ นอกเสียจากว่าท่านจะหนีไปได้ก่อนที่ท่านจะจับตัวท่านเองได้ จริงไหม”
“ให้ตายสิ ข้าไม่คิดว่ามันจะวุ่นวายขนาดนี้” ขาใหญ่บ่น
“ก็เพราะเหตุนี้ จึงมีแต่ผู้ที่มีความสำคัญเท่านั้นจึงจะมีสิทธิ์มีรูปปั้นได้ แต่ท่านยังมีเวลาอีกมากที่จะคิดทบทวนเรื่องที่ข้าพูดให้ฟังเมื่อครู่ ลาก่อน! ข้าเองก็ต้องลาท้องทุ่งแห่งนี้ไปหาดินแดนใหม่ เพราะลำพังท่านคนเดียวคงจะช่วยให้ข้าอิ่มท้องไม่ได้”
หลายคืนหลายวันพ้นผ่านมันยังคงยืนอยู่อย่างนั้นเพ่งมองไปข้างหน้า...นี่ข้าจะย่องลงไปหาหญ้ากินให้อิ่มท้องสักหน่อยจะได้ไหม...มันคิด แต่แล้วก็ตกใจสุดขีดเมื่อนึกขึ้นได้ว่า ถ้ามันย่องลงไปจากแท่นหินก็เท่ากับมันโค่นรูปปั้นของตัวเอง หรือไม่มันก็ได้โค่นอำนาจของตัวมันเองในฐานะที่เป็นผู้ปกครอง หรืออย่างไรกันแน่ ความคิดมันเริ่มสับสน
อาทิตย์อัสดงผ่านไป
อาทิตย์อุทัยผ่านมา
แสงแดดอบอุ่นผ่านไป
แสงแดดเกรี้ยวกราดของกลางวันผ่านมา
ขาใหญ่ยังคงยืนอยู่บนแท่นหินพยามเรียบเรียงความคิดของตัวเอง...แต่มันจะหนีตัวมันเองโดยที่ตัวมันเองไม่ทันสังเกตไปได้อย่างไร ก็เป็นไปไม่ได้อีก เมื่อเป็นเช่นนั้นมันก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากจะยืนเป็นรูปปั้นของตัวเองอย่างนี้ต่อไป ไม่อย่างนั้นจะต้องเกิดเรื่องเลวร้ายกับตัวมันไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง ข้อสรุปนี้ไม่ได้ทำให้ความหิวที่เฝ้าคุกคามอยู่ลดน้อยถอยลงไปเลย ตรงกันข้ามกลับเพิ่มพูนขึ้น ขาใหญ่ นอยาว ชักเริ่มระแวงตัวเองมากขึ้นเรื่อยๆ หรือว่าจริงๆ แล้ว
“ศัตรูที่ร้ายกาจที่สุดของเราคือตัวเราเอง”
มันจึงตัดสินใจเฝ้าระวังตัวเองอย่างดีที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ มันจะไม่ยอมปล่อยให้ตัวของมันคลาดสายตาแม้เพียงเสี้ยววินาที แม้แต่ตอนหลับก็ตาม มันจะไม่เปิดโอกาสให้ตัวมันเองเด็ดขาด!!!
คืนหนึ่ง ในคืนที่มืดสนิทเมฆปกคลุมอยู่ทั่วฟ้า พายุฝนลูกใหญ่คงจะเคลื่อนมาในไม่ช้า ขาใหญ่ นอยาว ผ่ายผอมลงผิดหูผิดตา ทันใดนั้นมันก็ไถลตกลงมากองอยู่กับพื้น ก้อนเนื้อก้อนเล็กๆ ที่หลงเหลือจากความเป็นขาใหญ่ ได้ตกลอดช่องเล็กๆ ทิ่อยู่ระหว่างเกราะหนังแล้วไถลลงมาจากแท่นหิน แต่ดูนั่นสิ...เกราะอันแข็งแกร่งของมันยังยืนตระหง่านอยู่บนแท่นหินอย่างมั่นคง
ทันใดนั้นเกิดฟ้าแลบขึ้นเป็นครั้งแรก ขาใหญ่แหงนหน้าขึ้นมองสิ่งที่อยู่บนแท่นหิน สิ่งที่มันไม่เคยเห็นด้วยตาของตนเอง มันมองไปเห็นศัตรูตัวที่ร้าจกาจที่สุดของมัน!
“ช่วยด้วย!!!” มันร้องออกมาเสียงลั่น และด้วยความกลัวสุดขีดมันวิ่งออกไปเต็มกำลังเท่าที่ขาน้อยๆ อันอ่อนแรงของมันจะพาไปได้ ตอนนี้มันเป็นอย่างไรบ้างเป็นเรื่องที่ยากจะคาดเอา บางทีมันอาจจะยังไม่ยอมหยุดวิ่ง...ถ้าใครเคยเห็นแรดที่ไม่มีเกราะอาจจะลองถามดูก็ได้ ว่าใช่เจ้าขาใหญ่หรือเปล่า?
หลังจากนั้นบรรดาสัตว์ต่างๆ ก็อพยพกลับมายังทุ่งหญ้าแห่งนั้นอีกครั้ง หลังจากที่มีข่าวแพร่สะพัดออกไปว่ารูปปั้นของเจ้าแรดขี้ระแวงเหลือแต่เกราะกลวงๆ เท่านั้น แต่สัตว์พวกนั้นก็ไม่ได้โค่นรูปปั้นของเจ้าขาใหญ่ มันตกลงกันว่าจะเก็บรูปปั้นเอาไว้ให้สัตว์รุ่นหลังได้ดู...เพื่อเป็นเครื่องเตือนใจ
อ่านมาถึงตรงนี้แล้วสุดท้ายก็ต้องบอกว่า นิทานเหล่านี้สอนให้รู้ว่า...
คุณคงเห็นด้วยใช่ไหมว่านิทานไม่ใช่แค่นิทาน อย่างไรเสียไม่ว่าเด็กหรือผู้ใหญ่ก็สมควรอ่านเป็นอย่างยิ่ง อย่าเที่ยวได้คิดดูถูกนิทานสำหรับเด็กทีเดียว ขอบอก จากคนที่ชอบอ่านนิทานและเรื่องเด็กเป็นชีวิตจิตใจ และหวังเป็นอย่างยิ่งอย่างที่สุดคือ ให้ทุกคนมีความสุขกับการอ่านหนังสือค่ะ.
byผู้แบ่งปันจินตนาการ
คำยืนยันของเจ้าของเรื่องสั้น
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ