มหัศจรรย์แห่งหนังสือ
เขียนโดย candle
วันที่ 12 มกราคม พ.ศ. 2557 เวลา 17.43 น.
แก้ไขเมื่อ 9 สิงหาคม พ.ศ. 2557 16.01 น. โดย เจ้าของเรื่องสั้น
5) โมโม่
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ
นี่เป็นหนังสือเล่มถัดมาที่ชื่อเรื่องไม่มีความหมายกับฉันอีกแล้ว เพราะฉันประทับความทรงจำชื่อของ ‘เอ็นเด้’ ไว้นั่นเอง ก่อนหน้าจะอ่านเรื่อง ‘จินตนาการไม่รู้จบ’ ฉันเองอ่านหนังสือมาก็หลายเล่มอยู่ แต่ไม่รู้เหมือนกันว่าเพราะอะไรหนังสือเล่มนั้นถึงประทับแน่นในความรู้สึกมาก และเป็นหนังสือเล่มแรกอีกเหมือนกันเมื่อทันทีที่อักษรตัวสุดท้ายวิ่งเข้าสู่สายตา ฉันก็เขียนไว้ตรงกระดาษแผ่นแรกหลังปกหน้าว่า
“ไม่เคยอ่านหนังสือเล่มไหนที่เมื่ออ่านจบแล้ว ประทับใจมากเหมือนหนังสือเล่มนี้เลย”
เช่นนั้นไม่ว่าหนังสือเล่มนี้จะชื่อว่าอะไร แค่เพราะเป็นเรื่องที่ ‘เอ็นเด้’ เขียนฉันก็คว้าหมับทันทีแบบไม่ต้องคิดกันเลย
‘โมโม่’ หนังสือเล่มนี้ไม่ว่าวันเวลาของมันจะผ่านไปนานแค่ไหน กลับรู้สึกได้ว่ามันยังคงร่วมสมัยอยู่นั่นเอง (ดูเหมือนคำพูดนี้จะใช้บ่อยอ่ะ หรือคิดอีกนัยหนึ่งได้ว่าหนังสือทรงคุณค่าทั้งหลายแหล่คือหนังสือที่ไม่ว่าคุณจะหยิบฉวยมาอ่านเมื่อไหร่ มันยังคงร่วมสมัยอยู่นั่นเอง) ยิ่งนับวันโลกแห่งวัตถุเจริญรุดหน้าขึ้นเรื่อยๆ ความเจริญก้าวหน้าการบริโภคนิยมทำให้ผู้คนมีแต่ความเร่งรีบกับการดิ้นรนไขว่คว้าโน่นนี่นั่นไม่หยุดหย่อน เวลาที่มีอยู่จึงหายไปอย่างไร้ร่องรอย
โมโม่คือชื่อของเด็กหญิงปริศนาคนหนึ่ง และแสนจะประหลาดล้ำ ที่จู่ๆ เธอก็มาอยู่ในโรงละครเก่าแก่ของเมืองอย่างไม่รู้ที่มาที่ไป รูปลักษณ์ภายนอกค่อนข้างประหลาด เธอเป็นเด็กตัวเล็กและค่อนข้างผอมแห้ง (นึกถึงตัวเองยังไงไม่รู้ล่ะ) มีเส้นผมสีดำ และหยิกหยอยยุ่งเหยิง นัยน์ตาของเธอเป็นสีดำเหมือนกับผมและกลมโตน่ารัก อีกส่วนหนึ่งที่เป็นสีดำคือเท้า เพราะโมโม่เดินเท้าเปล่าเกือบประจำ กระโปรงกรอมตาตุ่มทำจากเศษผ้าที่เอามาเย็บปะติดกัน เสื้อเก่าๆ ที่ใส่เป็นเสื้อผู้ชายตัวใหญ่ที่แขนทั้งสองข้างยาวจนต้องพับขึ้น
แต่โมโม่มีคุณสมบัติพิเศษประการหนึ่งที่หาได้ยากยิ่งจากคนทั่วไป ความสามารถพิเศษของโมโม่คือ ‘การฟังเป็น’ เธอเพียงแต่นั่งฟังด้วยความตั้งใจและเอาใจใส่ ขณะที่เธอมองเขาด้วยนัยน์ตาดำขลับผู้คนก็จับความคิดขึ้นมาได้
เมื่อเธอฟังคนที่ดูเหมือนหมดปัญญาหรือลังเลใจ เขาก็คิดขึ้นมาได้ว่าควรทำอย่างไรและตัดสินใจได้ทันที
คนขี้อายกลายเป็นคนกล้า
คนเป็นทุกข์กลับสุขใจถ้าได้พูดให้เธอฟัง
บางคนว่าเป็นคนไม่มีความหมายใครๆ ก็ไม่ให้ความสำคัญไม่เห็นจะต่างกันว่ามีเขาอยู่บนโลกหรือไม่ แต่ขณะเล่าให้โมโม่ฟังเกิดมีกำลังใจขึ้นมา เขาก็มีเอกลักษณ์มีความสำคัญอันแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล
นั่นคือความสามารถในการฟังของโมโม่!!!
ถ้าใครยังคิดว่าการฟังเป็นไม่ใช่สิ่งพิเศษ ก็ควรสังเกตดูสักทีว่าตัวเขาฟังได้ดีหรือไม่
หนังสือเล่มนี้แบ่งออกเป็น 3 ตอนหลักๆ
- โมโม่และเพื่อน
- ผู้ชายสีเทา
- ดอกไม้ชั่วโมง
ตอนแรก บอกเล่าเรื่องราวของเด็กหญิงชื่อ ‘โมโม่’ ผู้มีความสามารถพิเศษในการฟัง และเอาใจใส่กับคำพูดของคนอื่น ความพิเศษซึ่งแสนธรรมดาแต่กลับหายากยิ่งในหมู่ผู้คน ขณะทุกเมื่อเชื่อวันผู้คนต่างคนต่างพูด พูดในสิ่งที่ตัวเองต้องการ โดยไม่สักนิดที่จะยอมปิดปากลงเพียงชั่วครู่เพื่อจะรับฟังคนอื่นบ้าง
ตอนสอง ผู้ชายสีเทาที่กล่าวถึงค่อนข้างเปรียบเปรยเป็นเชิงสัญลักษณ์ แสดงถึงความเร่งรีบในสังคมปัจจุบันที่ทำอะไรต้องแข่งกับเวลาเสมอ ไม่ใช้เวลาให้เสียไปโดยเปล่าประโยชน์สักเพียงเสี้ยววินาที หลงลืมชีวิตเรียบง่าย หลงลืมการดูแลเอาใจใส่ผู้คนรอบข้างด้วยคำพูดที่ว่า ‘ไม่มีเวลา’
“สิ่งเดียวซึ่งเป็นจุดมุ่งหมายในชีวิตนี้ก็คือ เราต้องเป็นหลักเป็นฐานต้องตั้งเนื้อตั้งตัวได้ ต้องมีอะไรบ้าง ใครก้าวหน้ากว่า ใครมีหน้ามีตามากกว่า ใครมีอันจะกินมากกว่า” ...จากคำพูดของผู้ชายสีเทาในเรื่อง
หากความคิดเช่นนี้แล่นเข้ามาในหัวคุณแล้วล่ะก็ ความหมายของมันคือไม่ช้าไม่นานผู้ชายสีเทาซึ่งมาจากธนาคารออมเวลาจะมาปรากฏต่อหน้าคุณ เขาจะฉกฉวยเวลาในช่วงชีวิตคุณไปอย่างนิ่มนวลโดยตัวคุณเองนั่นแหละเป็นผู้หยิบยื่นให้ด้วยความเต็มใจ ด้วยเหตุผลร้อยแปดพันประการที่สมเหตุสมผลสำหรับการเป็นคนหนึ่งซึ่งประสบความสำเร็จในชีวิต ผู้ชายสีเทาไม่ได้ขโมยเวลาไปจากคุณแต่อย่างใด
เรามามองดูกันหากคุณมีครอบครัวเป็นของตัวเองแล้ว หมายถึงคุณเป็นพ่อ-แม่ มีลูกเล็กๆ ดูสิว่าคุณเลี้ยงดูเอาใจใส่เขาได้กี่วัน มีเพียงเศษเสี้ยวของประชากรที่เป็นพ่อ-แม่สักกี่คนกันเชียวที่เลี้ยงดูลูกเอง สถานอนุบาลเด็กเติบโตกันให้พรึบ!!! นั่นเป็นเพราะผู้ปกครอง ‘ฝากเลี้ยง’ เด็กส่วนใหญ่ทุกวันนี้เติบโตมาจากการเลี้ยงดูจากคนแปลกหน้าแทนที่จะเป็นผู้ให้กำเนิด เด็กที่ดื่มนมจากอกแม่ไม่กี่วันก็ไปดื่มนมจากสัตว์ชนิดอื่น สายใยความผูกพันจึงลดน้อยถอยลง เด็กเลี้ยงยากไม่เชื่อฟังคำสั่งสอนของพ่อ-แม่เป็นเพราะใครกันเล่าลองคิดดู นั่นเพราะคุณไม่มีเวลาให้พวกเขาครั้งเป็นเด็กใช่หรือไม่
สำหรับผู้เป็นลูกครั้นเติบโต เวลาส่วนใหญ่ที่ควรมีให้ผู้เป็นพ่อ-แม่ โน่น...เพื่อนฝูง มีเวลาให้กันเสมอ แต่แค่จะเจียดเวลาเพียงไม่กี่นาทีโทรศัพท์หาพ่อ-แม่ หรือพาท่านไปกินข้าวหรือแค่แวะมากินข้าวด้วยกันกลับเป็นเรื่องยาก เมื่อถูกทวงถามคำตอบคือ ‘ไม่มีเวลา’ ‘งานยุ่ง’
มีคนเพียงจำนวนน้อยนิดที่มีเวลาอย่างเหลือเฟือเช่นโมโม่ ในสังคมทุกวันนี้ผู้คนน้อยนักจะเสียเวลาให้กับเรื่องไร้สาระเช่นการเล่านิทานให้ลูกฟัง อ่านหนังสือให้ลูกฟัง หรือแม้การเดินเล่นชมนกชมไม้
‘อ่านทำไมหนังสือ?’
คุณเคยเจอคำถามนี้ไหม ฉันเคยเจอมาแล้วและไร้ซึ่งคำตอบให้ผู้ถาม นั่นเพราะฉันรู้ดีว่าผู้ถามกับฉันเป็นคนละประเภทกันและเขาไม่มีทางเข้าใจได้ ฉันเลยเลือกที่จะเงียบแทน แต่คนบ้านนี้ไม่เป็นแบบนั้นแค่ขอให้มีเวลาสักนิดมือจะต้องจับหนังสือ
“มาทีไรอ่านหนังสือทุกที”
ผู้ที่แวะเวียนมาเยี่ยมจะพูดประโยคนี้ประจำ แม่นี่เป็นประเภทว่างไม่ได้ต้องฉวยหนังสือกับแว่นตาทันทีแล้วก็นั่งบ้างนอนบ้างก็ว่ากันไป อ่านหนังสือจนต้องมีคำพูดประมาณแซวๆ กันว่า ‘พรุ่งนี้มีสอบเหรอ’ หรืออะไรที่คล้ายๆ อย่างนั้นแล้วก็จะหัวเราะกัน ในเมื่อพูดถึงแม่ก็ขอนินทาต่ออีกนิด เมื่อหลายเดือนก่อนแม่เขาบอกว่าซื้อสมุดให้แม่หน่อย พอถามว่าจะเอาทำไรเขาก็ว่าจะเอาไว้เขียนสิ แต่จนถึงทุกวันนี้เกือบหนึ่งปีแล้วยังไม่เห็นเขียนอะไรเลยนอกจากอ่านลูกเดียว พอแกล้งพูดถึงเรื่องนี้ก็จะบอกว่า...เดี๋ยวสิอารมณ์ยังไม่มา (น่าน...แม่ฉัน) นอกเรื่องไปยาวเหยียดอีกเช่นเคยมาต่อค่ะ
ตอนสาม เปรียบเปรยถึงความเข้าใจในเรื่องของเวลา “Secundus Minuts Hora”(ชั่วโมง...นาที...วินาที) ท่านโฮร่า เป็นผู้ดูแล มีหน้าที่จัดแบ่งเวลาส่วนที่มนุษย์จะได้รับ ท่านโฮร่าที่ว่านี้ค่อนข้างจะอยู่เหนือความเข้าใจในความเป็นจริงและเป็นสัญลักษณ์แทนความหมายของวันเวลา
ท่านโฮร่ามีสัตว์พิเศษตัวหนึ่งคือเต่าที่ชื่อ ‘คัสซิโอเพย่า’ (และเต่าธรรมชาติที่อยู่ตามในสระรอบบ้านเมื่อมันโผล่หน้ามาให้เห็นก็จะถูกเรียกว่า ‘คัสซิโอเพย่า’ ในทันที) เต่าตัวนี้ถูกส่งมาหาโมโม่เพื่อช่วยในการหลบหนีจากผู้ชายสีเทาและนำโมโม่ไปสู่ที่มาแห่งกาลเวลา...
บางวรรคบางตอนที่แสนสะกิดใจ
“หลายสิ่งหลายอย่างต้องการเวลาเป็นเครื่องแก้ไข”
“สิ่งที่เขาคิดว่าเป็นต้นเหตุแห่งความวุ่นวายในโลกนี้ก็คือ การที่คนทั้งหลายพูดจาโป้ปดมดเท็จกันมากมาย ทั้งโดยตั้งใจและไม่ตั้งใจ อันเป็นไปเพราะความสะเพร่ารีบร้อน”
“บางครั้งเรามีระยะทางอันยาวไกลอยู่ข้างหน้า แล้วคิดว่ามันช่างยากเหลือเกิน ไม่มีวันที่จะกวาดให้เสร็จได้”
“เราเริ่มรีบเร่ง แต่ทุกครั้งที่มองออกไปก็ไม่เห็นว่าทางเบื้องหน้ามันสั้นลง ยิ่งตรากตรำพยายามมากขึ้นไปอีกจนเกิดหวั่นใจ และในที่สุดแทบจะขาดใจ ทำต่อไปไม่ไหวแต่ทางก็ยังอยู่เบื้องหน้า เราจะทำอย่างนั้นไม่ได้”
“เราต้องไม่คิดถึงถนนทั้งสายในครั้งเดียว จะต้องคิดถึงแต่ก้าวต่อไป ลมหายใจต่อไป แล้วจึงคิดถึงครั้งต่อไปอีกครั้งแล้วครั้งเล่า”
“แล้วในทันใดเราก็จะเห็นว่า ด้วยการเดินเพียงทีละก้าวๆ ถนนที่ว่ายาวได้ถูกเดินผ่านไปแล้วโดยไม่ทันสังเกตว่าทำได้อย่างไร ทั้งยังไม่รู้สึกว่าได้ตรากตรำ”
“มันจะต่างกันตรงไหนว่าเรื่องราวมันจะมาจากหนังสือหรือไม่ แล้วใครรู้บ้างว่าหนังสือประวัติศาสตร์จะไม่ถูกคิดถูกแต่งขึ้นเหมือนกัน เพียงแต่ไม่มีคนรู้เรื่องเหลืออยู่เท่านั้น”
“อะไรมันจริง อะไรมันไม่จริง มีใครรู้บ้างว่าอะไรเกิดขึ้นที่นี่เมื่อพันปีหรือสองพันปีมาแล้ว”
“ถ้าเอาชนะคนไหนไม่ได้ ก็ให้เอาคนนั้นเป็นเพื่อน”
“เวลาที่ว่านี้จะตายไปเมื่อมันถูกพรากจากเจ้าของที่แท้จริงของมัน เพราะเวลาของใครก็เป็นเวลาของคนนั้น และตราบเท่าที่เวลาคงเป็นของเขาอยู่เท่านั้น ที่มันจะยังเป็นเวลาที่มีชีวิตอยู่”
“พวกเขากำเนิดขึ้นเพราะมนุษย์เปิดโอกาสให้ แค่นั้นก็เพียงพอต่อการอุบัติขึ้นแล้ว ขณะนี้ผู้คนก็ยังเปิดโอกาสให้พวกนั้นเข้ามามีอำนาจเหนือพวกเขาอีก แค่นั้นก็เพียงพอแล้วเหมือนกันที่จะทำให้พวกผู้ชายสีเทามีอำนาจได้”
“มันคือปัจจุบันนี้! พริบตานี้! อดีตคือพริบตาที่ผ่านไปแล้ว อนาคตคือพริบตาที่จะมาถึง เพราะฉะนั้นจะไม่มีทั้งอดีตและอนาคตถ้าไม่มีปัจจุบันนี้”
“ที่มีปัจจุบันนี้ได้เพราะอนาคตกลายเป็นอดีต”
“คนทั้งหลายมีตาสำหรับเห็นแสงสว่างและหูสำหรับได้ยินเสียงต่างๆ พวกเขาก็มีหัวใจสำหรับรู้สึกสัมผัสเวลา และเวลาทั้งหมดที่ไมได้รับการรู้สึกสัมผัสด้วยหัวใจจะสูญเสียไป”
“ถ้ามนุษย์รู้สักนิดว่าความตายคืออะไร พวกเขาจะไม่กลัวมันเลย และเมื่อไม่กลัวความตายแล้วก็จะไม่มีใครสามารถขโมยเวลาไปจากพวกเขาได้”
“สิ่งที่เป็นอันตรายที่สุดในชีวิตคนคือความฝันที่สมปรารถนา ไม่มีอะไรเหลือให้ฝันได้อีกแล้ว”
**
**
“มันไม่ได้ขึ้นอยู่กับความสนุก จะคิดอย่างนั้นไม่ได้ มันขึ้นอยู่กับว่า...มีประโยชน์ต่ออนาคต”
ผู้คนทุกวันนี้คิดกันแบบนี้แล้วใช่ไหม เด็กๆ อาจไร้จิตใจในอนาคต เป็นเพียงหุ่นยนต์แสนสมบูรณ์แบบ
"เราต้องอยู่อย่างไม่ให้มีใครรู้จักเรา จะมีใครรู้ไม่ได้ว่ามีเราอยู่ และเราทำอะไร...เราทำให้ไม่มีใครสามารถจะจดจำเราได้ ตราบใดที่เราไม่เป็นที่รู้จักเท่านั้นที่เราจะปฏิบัติงานของเราได้ง..งานที่ต้องบากบั่น ต้องดูดเอาชีวิตของผู้คนเป็นชั่วโมง เป็นนาที เป็นวินาที...เพราะเวลาที่เขาประหยัดเป็นเวลาที่สูญเสียไปแล้วสำหรับเขา เราช่วงชิงมันมาเป็นของเรา...เราเก็บมันเอาไว้...เราต้องการมัน...เราหิวมัน...โอ พวกเจ้าไม่รู้เลยว่ามันคืออะไร เวลาของพวกเจ้านั้น...แต่เรารู้ และสูบเอามาจนพวกเจ้าเหลือแต่กระดูก...และเราต้องการมันมากขึ้น...มากขึ้น...เพราะพวกเราเองก็เพิ่มมากขึ้น...มากขึ้น...มากขึ้น...”
นี่คือความลับของผู้ชายสีเทาผู้มาจากธนาคารออมเวลา เมื่อคุณรู้เช่นนี้แล้วคุณจะยังยอมให้เวลาของคุณถูกขโมยไปเช่นนั้นหรือ...?
ปริศนาท่านโฮร่า
“พี่น้องสามชายอาศัยอยู่ในเรือน
หน้าเหมือนกันไม่ผิดแผกแปลกไป
ใคร่ดูให้เห็นว่าใครเป็นคนไหน
ไม่ว่าคนใดเหมือนอีกสองเมื่อได้มอง
คนโตคนรองทั้งสองชายไม่เห็นหน้า
พี่ใหญ่ยังจะมาลาไปแล้วคนที่สอง
หนึ่งชายอยู่ในบ้านนั่นคือน้องคนสุดท้อง
หากขาดน้องไปขาดพี่ใหญ่พี่รอง
แต่น้องคนนี้เกิดมีขึ้นได้
เพราะว่าพี่ใหญ่กลายเป็นน้องคนที่สอง
ทุกครั้งทุกคราหากจะหาคนสุดท้อง
ก็ได้แต่มองหนึ่งในสองของพี่ชาย
เขาทั้งสามนายเป็นใครกันแน่
จงแก้ปริศนาคิดหาความหมาย
ทั้งสามคือหนึ่งหรือมีสองชาย
หรือไม่มีสักนายบอกให้รู้ความ
ทั้งสามพี่น้องครองสิ่งยิ่งใหญ่
ตรองดูรู้จักได้จากชื่อชายทั้งสาม
อันสิ่งยิ่งใหญ่บอกใบ้ได้ความ
คือใครก็ตามทั้งสามชายเหมือนกัน” ปริศนาท่านโฮร่า
ใครตอบได้ช่วยตอบหน่อยสิจ๊ะ
สุดท้ายเหมือนเช่นเคยผู้แบ่งปันจินตนาการคนนี้หวังเพียงแค่ว่า หนังสือเล่มนี้จะสะกิดต่อมความคิดได้บ้างแม้เพียงน้อยนิด และให้เหล่าผู้รักการอ่านทั้งหลายให้เวลากับการอ่านมากยิ่งขึ้นในทุกๆ วัน.
คุณจะประหยัดเวลาไปทำไม? หากนั่นไม่ได้ช่วยให้คุณมีความสุขขึ้นหรือความเป็นมนุษย์ผู้มีหัวใจสำหรับการสัมผัสสิ่งต่างๆ เหือดหายไป!!!
คำยืนยันของเจ้าของเรื่องสั้น
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ