กรงแลตน
เขียนโดย นายน่าเบื่อ
วันที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2556 เวลา 18.00 น.
แก้ไขเมื่อ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2556 18.04 น. โดย เจ้าของเรื่องสั้น
4) ข้าแลเธอ
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความรุ่งสางที่ไม่สดชื่นบนผืนดินในตอนเช้าของเมืองใหญ่ มันเป็นอีกเช้าที่ข้ายังคงตื่นขึ้นมาด้วยความรู้สึกเบื่อหน่าย เป็นอีกเช้าที่ขาสองข้างเริ่มก้าวไปบนวิถีที่ไร้จุดหมาย ถนนในเมืองใหญ่ในยามเช้าก็ไม่แตกต่างจากที่เคยเป็นมากนัก ความโสมมยังคงไม่ลดลงเลยแม้แต่นิด ข้าไม่แปลกใจหรอกที่จะเห็นสิ่งเจริญมากมายด้วยเทคโนโลยีของพวกมนุษย์ เมืองแห่งนี้ก้าวหน้าไปไกลจนรับรู้ได้ถึงการเปลียนแปลงชั่วข้ามคืน โลกกำลังหมุนไปในหนทางแห่งศาสตร์ที่มีตัวตนด้วยการพัฒนาไม่หยุดยั้ง แต่หารู้ไม่ในรุ่งเช้าอีกวันจะเกิดสิ่งโสมมอันใด
การเฝ้ามองคืองานของข้าหรือ ? ไม่เลยข้าเพียงแต่อยากเฝ้ามองในวันที่แมลงมนุษย์โสมมทั้งหลายนั้นจะถึงจุดจบเพียงเท่านั้น แล้วจะเกิดวงเวียนซ้ำซากอีกหน เหมือนรถที่วิ่งไปในถนนของเมืองใหญ่ที่ส่งกลิ่นเสียเน่าเหม็น เมืองแห่งนี้จึงถูกยอมสีด้วยหมอกอันหนาแนน พิษภัยร้ายเหลือก่อเกิดจากสิ่งที่ขับพาไปยังจุดหมาย หารู้ไม่ว่าสักวันจะเจอสิ่งนั้นกัดกิน ช่างหน้าเบื่อหน่ายสำหรับตอนเช้า ภาพรถบนถนนวิ่งสวนขวั่กไขว น่าเวียนหัวเสียจริง
ข้าเดินถอดถอนใจไปข้างหน้า เสียงดังจ้อยแจ้วคือตลาดยามรุ่งสาง เหล่าพวกมนุษย์จับกลุ่มนินทาอย่างสนุกปาก ก่อนเด็กส่งผักคนหนึ่งจะเดินชนไหลข้า ไร้ซึ่งคำขอโทษที่ควรกล่าว ไร้ซึ่งการหันมามองแม้เพียงหางตา มนุษย์ยังคงเร่งรีบเสมอ ข้าถอนหายใจออกยาวอย่างเบื่อหน่าย มองดูหลังของเด็กหนุ่มเข็นผักจากไป ชั่ววินาทีเหมือนเห็นภาพสะท้อน ครั้งหนึ่งข้าเคยใช้ชีวิตในแบบมนุษย์ แต่ก็ไม่มีครั้งใดเลยจะสงบสุข เหมือนคำสาปที่ตามติดตัวไม่ให้ได้อยู่เป็นมนุษย์ แต่ตอนนี้ ข้าไม่อยากเป็นแบบมนุษย์พวกนี้เลย
สายลมร้อนอ่อนแรงพัดมากระทบให้ใจพอสงบลง ข้ายืนนิ่งอยู่บนสะพานลอย แหงนมองเบื่อบนเป็นฟ้าสีสวย ฟ้าสีเทาหม่นเหมือนถูกคลุมด้วยหมอกควันตลอดเวลา อากาศร้อนอ้าวแม้ยามเช้าในฤดูหนาวก็ยังคงร้อนอยู่ โลกถูกเร่งให้เปลี่ยนไปไวเหลือเกินในสายตาของข้ายามนี้ วิถีชีวิตแสนซ้ำซากเหม็นคาวของแมลงมนุษย์ยังคงหมุนไปในความโลภที่ไม่รู้ตัว ไม่มีเช้าใดเลยที่แมลงมนุษย์โสมมจะไม่โหยหาให้มากกว่าเมื่อวาน ไม่มีเช้าวันใหม่ใดเลยที่แมลงเหล่านี้จะไม่ไขว่คว้าสนองความต้องการที่คลุ้งกลิ่นคาวขุ่น และไม่มีเช้าใดเลยที่จะห้ามสิ่งเหล่านี้ได้ ไม่ว่ายุคสมัยใดก็ตาม
ต้นไม้ใบดำมัวกลางถนนนั้นทำให้ข้าหวนนึกถึง ภาพลำลึกผุดขึ้นมาในโสตยากหลบหนี นานเหลือเกินที่ห่างหายจากสิ่งที่เรียกว่าสงบ แม้แต่สายลมแห่งยุคยังวุ่นวาย สายลมเก่ามิอาจลืมลง ครั้งหนึ่งข้าเคยมีบ้านที่สวยสด สงบสุขเหมือนสวนแห่งวิญญาณ ในรุ่งเช้าของทุกวันไม่มีการไขว่คว้า ไร้ซึ่งการแย่งชิงเกิดกัดตัวตน ทุกอย่างอยู่ในวงเวียนที่เหมาะสม ผืนป่าชุ่มฉ่ำ พันธ์ไม้อุดมสมบูรณ์ สัตว์เกิดและตายอย่างมีคุณค่าในตัวตน ไร้ซึ่งแมลงมนุษย์โสมม
ข้ายังจำได้ในเช้าวันหนึ่งซึ่งแสนสุข ที่ถูกปลุกจากการหลับไหลด้วยเสียงสายน้ำเม้ดเล็กใหญ่ของเบื่องบน เหล่าเพื่อนสีเขียวน้อยใหญ่สดชื่นแสดงหน้าอิ่มเอม เหล่าสัตวืออกวิ่งเมื่อฝนเบาบาง สีลำธารเริ่มกลับมาแจ่มใส ข้าออกจากบ้านเพื่อยลความงามอย่างสุขสม ทุกอย่างสะท้อนในสองตาคู่ บทกวีถูกทอถักร้อยเรียง คู่ไปกับสำเนียงแห่งสายลม แส่งอาทิตยืแรกออกมาเวลาสาย ความหลากหลายของป่าทำให้ข้าไม่เคยเบื่อ การหนีจากมนุษย์ยามนั้นสุขที่สุดแล้ว
แต่จะมีที่แห่งใดในโลกอยู่ลอดพ้นหุตานานไม่ อีกครั้งที่ความสงบสุขถูกความโลภทำลาย ในสายของวันแห่งการเปลี่ยนแปลก เสียงไม้ล้มลงดังสั่นป่า เสียงรำเราะแหลมเล้กดังแว่วมากับสายลม เหมือนเสียงวีดร้องของเพื่อนข้าที่บอกลาจากผืนดิน สัตว์ป่าน้อยใหญ่แตกตื่นหนีตายเอาตัวรอด ไม่นานเปลวไฟก็ลุกลาม ทุกเขตลามลุกเป็นไฟ เสียงไม้ใหญ่ไหม้แตกระแหง ข้าวิ่งอุ้มลูกเสือสองตัวหนีให้พ้น ในขระที่สองข้าสาวก้าวไวว่อง สองตาต้องเก็บภาพร่างไร้วิณญาณ เพื่อนพ้องน้องนอนไหม กลิ่นเลือดร้อนจากซากเอียนจนเวียนหัว ควันทมึนลอยคลุ้งจนน่ากลัว มองไปทางใดก็ไม่มีความสงบดั่งคืนวาน
ข้าพึ่งรู้ก็ครั้งนั้นเอง ว่ามนุษย์นั้นเป็นแมลงที่น่าลังเกลียด หากไม่ถึงคราวโลกวิบัติก็คงไม่หยุดไขว่คว้าสิ่งโสมม ครั้งนั้นไม่มีสิ่งใดเหลือป้าไหมควันโขมง ความเขียวขจีหายไปเพียงข้ามคืน ความสงบสุขหายไปเพียงผ่านวัน มันทำให้ข้านึกถึงความโหดร้ายของพระเจ้า เมื่อครั้งที่ท่านสั่งให้น้ำถ้วมโลก ข้าคิดว่ามันสมควรแล้ว มนุษย์สมควรตายยิ่ง หายยังไม่หยุดยังไขว่คว้าสิ่งที่หลอกตาเหล่านี้ สักวันก็คงถึงคราวล่มสลายลงเหมือนดั่งเมื่อครั้งในอดีต
ข้าปล่อยพื่อนสองตัวสุดท้ายไว้ที่ป่าวิญญาณทางตอนเหนือ เมื่อเราไม่สามารถทำสิ่งใดได้ชีวิตของเพื่อนจึงถูกส่งต่อ นานเหลือเกินที่ข้าไม่ได้กลับไปยังที่เดิมเคย นานเหลือเกินที่ไม่ได้ยินเสียงบนเพลงใบไม้ไหว และหากนึกดุแล้วช่วงชีวิตที่แสนยาวนานของช้านั้นความสุขมีนับได้จริง ๆ
ไม่รู้ว่าข้าเผลอเหม่อลอยเกินไปหรือเปล่า สัมผัสเย็นชืดจากกมือที่คุ้นเคยแตะลงบนแก้มจนสะดุ่งตกใจ พึ่งรู้ตัวว่าน้ำตาไหลออกอาบแก้มสักเพียงนี้ มือของหญิงสาวในชุดเดรสสีดำแม้จะเย็นแต่ก็สร้างสัมผัสเบาบางถนอม ไม่มีความอบอุ่นเกิดจากเธอหรอก สำหรับข้าเท่านี้ก็เพียงพอ
นิ้วของเธอปาดน้ำตาของข้าออกช้า ๆ ข้าหันกลับไปมองใบหน้าเย้นชืดไร้สีหน้าบอกอารมณ์ใด ๆ ของเธอก่อนจะยิ้มให้ หญิงในชุดเดรสผู้ไม่เคยเปลียนไป แม้ข้าจะเจอเธอไม่นานแต่ข้าก็ไม่อาจหนีจากเธอได้ เหมือนดั่งที่ผู้คนบนโลกไม่อาจหนีจากเอได้ มือซีดขาวละออกจากใบหน้าของข้าไปแล้ว ทิ้งไว้เพียงสัมผัสที่เย็นชื้น น้ำตาของข้าหยุดลงด้วยความจริงของโลก ข้าช่างอ่อนแอ
หญิงในชุดเดรสกางร่มดำออก บังแสงที่ส่องร้อนแรงกล้าของตอนสาย เราทั้งสองละสายตาจากกันก่อนจะหันมองความเป็นไปของท้องถนนทิ้งท้าย
“หากเมืองนี้กลับเป็นป่าของเธอ เอผู้เป็นฆาตกรจะดีใจไหม” เสียงของเธอดังแข่งกับเสียงของรถยนต์ นั้นสิหากมันกลับไปเป็นแบบเดิม ป่าที่จากข้าไป ความคิดนี้ไม่เคยอยู่ในหัวข้าเพราะคำตอบนั้นเอรู้ก่อนจะถาม
“เธอก็รู้ เวลาไม่มีทางกลับคืนหลอกหลอนคนได้” เสียงเย็นหัวเราะเมื่อได้ยินคำตอบของผม สองขาของเธอเริ่มก้าวเดินเป็นการปิดบทสนทนาบทนี้ ไม่มีเสียงใดเอากลับคืนได้ ไม่มีเวลาใดจะไม่โสมม
เราทั้งสองก้าวเดินลงจากสะพานลอย วันเวลาช่างเคว้งคว้างที่สุดเมื่อเกิดความว่างเปล่า ในชีวิตของผู้อยู่ยงทั้งหลายนั้นมีช่องว่างระหว่างกาลมากมาย หลากหลายคนที่มีเวลาตายนั้นช่างหน้าอิจฉา แมลงมนุษย์ก้เช่นกัน นี้เป็นสิ่งเดียวที่ข้าเห็นว่าเป็นสิ่งที่อิจฉา ความตายอันเป็นอนิจจัง
มองรถที่แล่นไปมาสลับสวนทางจากมุมใกล้แบบนี้ มันก้ไม่ต่างจากมุมอื่นเลย ทำไมชีวิตต้องโหยหามากขนาดนั้นกันนะ แต่สุดท้ายก็ไม่เคยมีคำตอบสำหรับข้า แล้วร่มดำเบื่อหน้าก็หยุดลง ข้าค่อย ๆ ชลอเท้าแล้วยืนอยู่ข้างเธอ สายตาของเธอจ่องไปยังรถคันหนึ่ง ไม่สิ พายในรถคั้รนั้นมีใบหน้าที่ข้ารู้สึกคุ้นเคย เด็กหนุ่มในรถคันนั้นช่างมีแววตาที่เหมือนเหลือเกิน เหมือนกันกับหญิงสีดำคนนี้
“เขากำลังจะตาย” หญิงสาวในชุดเดรสสีดำพูดก่อนใบหน้าของเธอจะเผยยิ้มเย็น ๆ มุมปาก หากแต่แววตาของเธอกลับเศร้าสร้อย เธอหุบร่มสีดำลงกระทันหัน ข้าเดินถอยห่างจากเธออย่างเข้าใจในตัวของกันและกัน
“ครั้งนี้ไม่สำเร็จหรอก” ผมบอกเธอเมื่อรู้ว่าเธอกำลังจะไป คำถามนับล้านกำลังจะจากผมไปอีกครั้ง เมื่อหญิงในชุดเดรสสีดำตรงหน้ากำลังยิ้มเย็นเยือกให้ เธอเผยปากพูดกับผมแต่กลับไม่มีเสียงออกมา
แต่ผมก็ไม่แปลกใจหลอกกับถ้อยคำนี้ รสคำซ้ำที่ได้ยินจนชินชา หวงเวลาแห่งการจดจำของเธอช่างลึกซึ้ง
ผมเงยหน้ามองท้องฟ้าที่ขมุกขมัวอีกครั้งของวัน ยิ้มออกมากับความเป็นหญิงสาวผู้แต้มสีดำ เธอเกิดมาเพื่อพวกมนุษย์โดยแท้ แต่กลับถูกเบียดเสียดเกลียดกลัวจากทุกหมู่เหล่า เทวา ซาตาน วิญญาณ หรือมนุษย์ ก็ล้วนแต่มีเธออยู่ในตัวทั้งสิ้น คำที่หญิงในชุดเดรสสีดำบอกไม่ออกเสียงยังคงดังในหูของผม ภาพริมฝีปากสะท้อนในสองตา
“ ไม่มีวันหมดคำถาม”
มีสิ สักวันเธอจะต้องพบกับเขาคนนั้นแน่ เพียงผมกระพิบตาเธอก็หายไปในอีกวัน ผมคงต้องไปทำหน้าที่อีกครั้ง วันนี้คงไม่มีความสิ่งสนมาขั้นความจิงบนห้วงเวลาที่ว่างเปล่า งานนั้นแท้มีคำถามมากมายเหลือเกิน มันจึงดำเนินต่อไป
----------------------------------------------------------------------------
ข้าพเจ้า ทรงเขียนตอนนี้เป็นรอบที่สอง หลังจากที่รอบแรกหายไป
ตอนนี้มันสั้น และไม่มีสาระอันใด หากแต่มันมีคำผิดมากมายของข้าพเจ้าอยู่
ข้าพเจ้ากราบขออภัยหากไม่ได้ตรวจคำผิดอย่างถ่องแท้
ไม่ว่าสิ่งใดจะคงอยู่ของผู้อยู่ยง
"ไม่มีวันหมดคำถามเป็นแน่"
กราบขอบพระคุณ ท่านที่ผ่านมาอ่าน ผ่านมาวิ และพี่เพื่อนน้อง
คำยืนยันของเจ้าของเรื่องสั้น
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ