ไม่ว่าพรุ่งนี้จะเป็นอย่างไร
7.6
เขียนโดย CyCloEclipse
วันที่ 3 ตุลาคม พ.ศ. 2556 เวลา 17.13 น.
3 ตอน
10 วิจารณ์
7,846 อ่าน
แก้ไขเมื่อ 9 ตุลาคม พ.ศ. 2556 17.13 น. โดย เจ้าของเรื่องสั้น
1) ตอนเดียวจบ
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ“พ่อ”… งั้นเหรอ!?
ตัวอักษรสามตัวที่นำมาเรียบเรียงต่อเชื่อมเข้าด้วยกันจนกลายมาเป็นคำพยางค์เดียวที่มีความหมายอันยิ่งใหญ่ทางวรรณศาสตร์และทางจิตใจอย่างมหาศาลยิ่งกว่าจำนวนตัวอักษรหรือความยากในการขับวรรณยุกต์ออกมา ซึ่งความหมายที่แฝงอยู่ในข้อความที่เขียนง่ายๆนั้นก็ไม่ได้ง่ายเลยเช่นกัน
“หนึ่งในสองบุคคลที่ยิ่งใหญ่ที่ร่วมกันมอบชีวิตและฟูมฟักชีวิตน้อยๆนั้นขึ้นมาด้วยความรักและความห่วงใยจากหัวใจที่ปราศจากการปรุงแต่งใดๆจนเติบโตแข็งกล้าพอที่จะออกเดินด้วยกำลังขาทั้งสองข้างของตัวเอง”
ตลอดเวลา12ปีของชีวิตภายในรั้วโรงเรียนที่ผ่านมา ฉันเคยถูกครูที่โรงเรียนสั่งให้เขียนเรียงความเกี่ยวกับพระคุณพ่อและความรู้สึกเวลาที่ได้อยู่ร่วมกันกับเขาทุกๆช่วงปลายปีหลังจากเปิดภาคการศึกษาที่สองมาได้หมาดๆไม่ถึงหนึ่งเดือน ซึ่งนั่นได้ทำให้ฉันต้องลำบากใจอยู่ตลอดเวลาว่าควรจะเขียนบรรยายอะไรลงไปในแผ่นกระดาษสีขาวที่ถูกดินสอขีดแบ่งเป็นเส้นบรรทัดอย่างบรรจงที่สุดเท่าที่ทำได้ทุกๆครั้งที่ถูกตั้งประเด็นนี้ขึ้นมา จนในที่สุดฉันก็ลงมือเขียนคำๆแรกของหัวกระดาษขึ้นมาอย่างใจเย็นและด้วยสีหน้าที่เรียบเฉยราวกับไม่มีความจำเป็นที่จะต้องย้อนคิดอะไรมากมาย
“ พ่อของฉันเป็นคนดีที่สุดในโลก… ไม่ว่าเมื่อก่อนนี้ฉันจะร้องไห้งอแงหรือส่งเสียงโวยวายสักแค่ไหน ท่านก็ไม่เคยต่อว่าฉันเลย แต่ในขณะเดียวกัน… ไม่ว่าฉันจะถูกเพื่อนที่โรงเรียนรังแกมาสักแค่ไหน ท่านก็ไม่เคยมีสีหน้าเป็นทุกข์ร้อนใดๆเลย ท่านไม่เคยเอ่ยถามถึงชีวิตประจำวันที่แสนน่ารำคาญหรือความสนุกสนานที่ฉันได้พบเจอตลอดทั้งวันนั้นเลย ท่านได้แต่ก้มลงมองฉันด้วยแววตาที่เหมือนเดิมตลอดเวลาแม้จะผ่านมาเป็นเวลาหลายปีแล้วหลังจากที่แม่ของฉันแนะนำพ่อให้รู้จัก ท่านไม่เคยเดินออกจากห้องพระที่ฉันมักจะไปสวดมนต์ทุกๆคืนแม้แต่ครั้งเดียว และท่านก็คงไม่เคยกระพริบตาเสียด้วยซ้ำ นั่นจึงทำให้ฉันสงสัยว่าคนเป็นพ่อตามปกติที่คนอื่นๆเขามีกันจะเป็นเช่นนั้นหรือเปล่า!?”นั่นคือเนื้อความโดยย่อในเรียงความหรือกลอนวันพ่อที่ฉันมักจะเขียนซ้ำแนวเดิมทุกๆครั้งที่คุณครูสั่งให้ทำ และก็เช่นกันที่คุณครูและเพื่อนๆที่สงสัยในเนื้อความเหล่านี้มักจะถามถึงพ่อของฉันว่าเป็นคนเช่นไรกันแน่จึงไม่เคยลุกออกจากที่เดิมเลยแม้แต่ครั้งเดียว… ท่านไม่ต้องกินต้องนอนแบบคนอื่นๆหรืออย่างไร
และคำตอบที่ฉันใช้เพื่อตอบคำถามของบุคคลที่แสนสำคัญเหล่านั้นเพื่อให้คำถามที่แสนน่าเบื่อนั้นจบลงโดยเร็วที่สุดก็คือ…
“ก็ไม่รู้สินะ… ก็ฉันไม่เคยเห็นรูปถ่ายของพ่อขยับไปไหนเลยนี่นา!!”
ทุกวันนี้ก็ดังเช่นทุกๆวันที่ผ่านมา ไม่ว่าเสียงของคนอื่นที่เอาแต่ย้ำนักย้ำหนาว่าอ้อมกอดของพ่อนั้นอบอุ่นยิ่งกว่าเปลวไฟที่ลุกโชติช่วงกลางค่ำคืนที่หนาวเหน็บหรือเสื้อกันหนาวใดๆที่มีในโลกนี้จะดังเข้ามาในหูของฉันตลอดทุกช่วงต้นเดือนธันวาคมจะหนาหูสักเท่าไหร่ก็ตาม ฉันก็ไม่คิดว่าจะมีอะไรที่จะอุ่นไปกว่าเปลวเพลิงที่กำลังจะพรากบิดาผู้ที่ขึ้นชื่อว่ามีพระคุณและสำคัญที่สุดในชีวิตรองลงมาจากมารดาไปจากอ้อมอกของเหล่าลูกๆทั้งหลายที่สามัคคีกันกอดราวกับจะเย้ยหยันฉันเป็นแน่แท้ และด้วยความที่ฉันต้องมีชีวิตอยู่โดยที่ไม่เคยมองเห็นความสำคัญของผู้เป็นพ่อที่ทิ้งให้แม่ต้องดูแลฉันอยู่ตามลำพังนับตั้งแต่ฉันเกิดขึ้นมา ทำให้ฉันกลายเป็นจุดสนใจของผู้คนรอบข้างไปโดยปริยาย…
“เมื่อไหร่เธอถึงจะเลิกพูดแบบนั้นสักที! เธอจะบอกว่าพ่อที่ให้กำเนิดเธอไม่มีพระคุณอะไรเลยอย่างนั้นเหรอ อย่างน้อยเขาก็ทำให้เธอได้มีชีวิตอยู่มาเถียงกับฉันนี่ไม่ใช่เหรอ!!”
“พระคุณ..!? ฉันไม่อยากนับเจ้าผู้ชายเศษโคลนที่ทิ้งแม่ของฉันไปเสพสุขกับผู้หญิงคนอื่นว่ามีพระคุณกับฉันหรอกนะ! ถ้าพ่อของนายทิ้งนายกับแม่ของนายให้ใช้ชีวิตกันตามลำพังแบบฉันบ้าง…นายจะไม่มีวันพูดแบบนั้นออกมาแน่!!”
“เธอว่าพ่อฉันเหรอ!! ยัยเด็กไม่มีพ่อ!!!”
ผัวะ..!!!!!
ในระหว่างที่ฉันกำลังนึกถึงผลงานที่แสนสะใจที่ฉันฝากเอาไว้บนใบหน้าของเพื่อนชายที่เถียงกับฉันเรื่องพระเดชพระคุณของผู้ชายไร้ค่าคนนั้นอย่างเพลินๆอย่างมีความสุข… เสียงของแข็งสากๆบางอย่างกระทบกันที่ดังขึ้นมาจากด้านหลังก็ได้ทำให้ความคิดที่แสนสะใจของฉันหยุดลงทันที ทันใดนั้นเองลำคอของฉันก็หันกลับไปมองโดยอัตโนมัติ ซึ่งสิ่งที่ฉันเห็นก็ไม่ใช่สิ่งอื่นใดเลยนอกจากภาพที่ฉันเห็นเป็นประจำทุกวันในห้องเรียนที่รั้งนักเรียนอันดับท้ายๆเอาไว้ที่ฉันก็เป็นหนึ่งในนั้นด้วยที่กำลังเปิดฉากขึ้นนอกห้องเรียน
ชายวัยกลางคนที่ดูมีอายุราวๆสามสิบกว่าๆที่มีท่ายืนคล้ายๆกับนักเลงผ่านศึกคนหนึ่งกำลังยืนอยู่ท่ามกลางวงล้อมของเหล่านักเรียนที่สวมชุดเหมือนพวกสายอาชีวะประมาณ5-6คนที่ในมือมีอาวุธครบมือยิ่งกว่าพวกทหารในสงครามเวียดนามซึ่งกำลังกระตุกช่วงบนเป็นการข่มขวัญคู่ต่อสู้ของพวกเขาราวกับเป็นการฝึกซ้อมสำหรับเอาไปใช้กับคู่อริของโรงเรียนตนในภายภาคหน้า
และบนพื้นข้างหน้าชายวัยกลางคนที่กำลังยืนไม่สนโลกคนนั้นก็มีนักเรียนคนหนึ่งล้มลงไปนอนหมดสติพร้อมกับบาดแผลแตกบนริมฝีปากข้างขวาที่มีเลือดไหลเป็นทาง
“ทำเพื่อนเราเหรอไอ้แก่!! ไม่รู้จักความน่ากลัวของนักเลงประจำโรงเรียนเทคนิกXXXซะแล้ว… พวกเราเล่นแม่งให้หนัก!!!”
“ดูเหมือนว่าที่บ้านจะสอนพวกเธอมาไม่ดีพอนะ… ถึได้ปล่อยปละละเลยพฤติกรรมของลูกจนกลายมาเป็นพวกขยะสังคมแบบนี้ แล้วอีกอย่าง… คำว่า’นักเลง’ กับ ‘อันธพาล’ไม่ใช่คำๆเดียวกันนะ!”
สิ้นเสียงอันกวนอารมณ์ของชายหนุ่มคนนั้น พวกช่างกลอาวุธครบมือก็กรูเข้าไปทำร้ายเขาในทันทีพร้อมกับเสียงของแข็งกระทบร่างกายอย่างต่อเนื่องที่ดังออกมาจากกลางวงล้อมอยู่ตลอดเวลาจนแทบไม่มีวินาทีไหนเลยที่จะการันตีได้ว่าจะไม่มีใครได้รับบาดเจ็บ แต่เป็นที่น่าแปลกใจว่าคนที่ถูกประเคนหมัดมวยใส่จนหมดสภาพกลับเป็นพวกช่างกลที่มีพวกมากกว่าเสียแทน พวกนักเรียนอันธพาลเหล่านั้นต่างล้วงเงินในกระเป๋าของตัวเองว่งให้กับชายคนนั้นก่อนจะเผ่นหนีไปคนละทางอย่างรวดเร็ว
“ชายคนนั้นนี่ดูท่าจะไม่ใช่คนดีนะ… มีฝีมือมวยดีแต่กลับเอาไปใช้เพื่อรีดเงินจากพวกนักเรียนแทนที่จะเอาไว้ช่วยเหลือคนอื่น นี่ถ้าคนที่อยู่ตรงนั้นเป็นเรานะ…เจ้านั่นได้หมอบอยู่แทบเท้าเราแล้ว!”
ในห้วงความคิดของเด็กสาวที่ยืนดูการต่อสู้อย่างมีชั้นเชิงของชายวัยกลางคนที่สามารถเอาชนะคนจำนวนมากที่มีอาวุธครบทุกคนได้อย่างง่ายดายราวกับผู้ใหญ่เตะเด็กนั้นเริ่มมีถ้อยคำวิจารณ์พฤติกรรมของเขาไปในทางลบเสียส่วนมาก แม้ว่าชายคนนั้นจะเก่งมากก็ตาม…เธอก็อดคิดไม่ได้ว่าถ้าเจ้าผู้ชายคนนั้นมาเป็นพ่อของเธอเสียเองจะเป็นเช่นไร
และในระหว่างนั้นเอง สายตาของเด็กสาวก็มองเห็นภาพชายวัยกลางคนที่สามารถเล่นกลุ่มเด็กช่างไปยกกลุ่มกำลังเดินไปยังนักเรียนชายรุ่นประมาณเด็กมัธยมต้นด้วยท่าทีที่เปลี่ยนไปจากเมื่อครู่ ด้วยความรู้สึกใหม่ที่ต่างออกไปโดยสิ้นเชิง..!!
“เอ้า! พ่อหนู เงินนี้ฉันคืนให้ คราวหลังจำเอาไว้ให้ดีว่าเวลาคนเรามีเงินเยอะๆน่ะอย่าแสดงออกให้คนอื่นรู้เด็ดขาด ครั้งนี้เธอแค่โชคดีที่ลุงผ่านมาเห็นพอดี ไม่งั้นป่านนี้เจ้าเด็กรุ่นๆพวกนั้นคงได้เอาเงินของเธอไปเปิบกันสบายอารมณ์แล้วล่ะมั้ง”
กำมือที่กุมธนบัตรสีเทาที่มีประมาณ3-4ใบของชายคนนั้นถูกยื่นออกมาคืนให้กับเด็กหนุ่มชุดนักเรียนกางเกงฟ้าอย่างทะนุถนอมราวกับเป็นเงินของตัวเองด้วยใบหน้าและคำพูดที่เรียบๆแต่แฝงไปด้วยความอ่อนโยนอย่างไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นคนๆเดียวกับที่เก่งศิลปะการป้องกันตัวอย่างเกินคนธรรมดาไปไกลคนนั้น แต่ไม่ทันไรสาวน้อยที่กำลังดูพฤติกรรมที่น่ายกย่องของพลเมืองดีที่เธอเผลอไปมองในแง่ร้ายก็สะดุ้งขึ้นมาเมื่อชายคนนั้นหันมามองทางเธอ
แต่สาวน้อยคงไม่ทันสังเกตว่าภายในแววตาของชายที่แต่งตัวปอนๆราวกับไม่สนใจสมัยนิยมของโลกภายนอกคนนั้นก็มีความรู้สึกตกใจเช่นเดียวกับเธอ… ราวกับการสบตากันของสองคนที่ไม่ได้เจอหน้ากันมานานแสนนาน
“แกจะกลับมาทำไมอีก..!! ในเมื่อแกเองไม่ใช่เหรอที่ทิ้งให้ฉันกับยัยน้ำต้องอยู่ด้วยกันอย่างลำบากลำบน… คนเก่ามันทิ้งแกไปสนุกสนานสำราญเพลินกับตะกวดตัวอื่นแล้วเพิ่งจะมาเห็นค่าของฉันหรือไง!! รีบๆกลับไปซะก่อนที่ยัยน้ำจะกลับมาเจอแกในสภาพทุเรศๆแบบนี้!!!”
“น้ำ”ได้ยินเสียงแม่ตัวเองกำลังตะโกนโวยวายอยู่ภายในบ้านราวกับกำลังต่อล้อต่อเถียงกับใครสักคนหนึ่งที่แกไม่อยากพบหน้าอีกแล้วในชั่วชีวิตนี้ด้วยระดับเสียงที่ดังที่สุดเท่าที่พนักงานต้อนรับสายการบินระดับแม่ค้าปากตลาดจะเร่งเสียงขึ้นได้ ซึ่งเหตุการณ์ทั้งหมดนั้นเริ่มมาจากการที่ชายกลางคนที่มีเรื่องกับพวกนักเรียนช่างตามน้ำมาถึงบ้านโดยที่เธอไม่รู้ตัวนั่นเอง…
“ก็มันช่วยไม่ได้ไม่ใช่เหรอ… ฉันก็พยายามบอกตั้งหลายรอบก่อนจะออกไปแล้วว่าฉันต้องไปทำงานสำรวจพื้นที่ต่างจังหวัดลากลับได้แค่ครั้งเดียวในรอบปี แล้วช่วงที่น้ำปิดเทอมมันก็ตรงกับช่วงหน้านาที่ผู้คนต้องลำบากกันก็เลยไม่ได้กลับมาเจอหน้าลูกสาวเท่านั้นเอง เรื่องแค่นี้อย่าโกรธไปเลยนะที่รักจ๋า…เห็นแก่ช่วงเวลาตลอดสามปีที่อยู่ในมหาลัยเดียวกันเถอะนะ”
“จะไม่ให้โกรธได้ยังไง..! ยัยน้ำมันโตแล้วนะ ถ้าจู่ๆมันกลับมาเจอชายแปลกหน้ากำลังคุยกับแม่มันอยู่จะว่ายังไง!!”“ก็ไม่เห็นเป็นไรเลยนี่… ก็น้ำโตขึ้นมากกว่าที่เห็นในรูปถ่ายชุดนักเรียนที่เธอส่งให้ฉันดูทุกๆปีแล้วไม่ใช่เหรอ ว่าแต่ปีนี้น้ำเรียนอยู่ม.ไหนแล้วนะถึงได้มีสัดส่วนองค์เอวดีขนาดนั้น!?”
ชายวัยกลางคนที่กำลังใช้น้ำเสียงเรียบคุยกับแม่ฉันอยู่นั้นเอามือทั้งสองข้างขึ้นมาทำท่าเด้งขึ้นเด้งลงตรงหน้าแกจนน้ำพอจะรู้ว่าเขาต้องการจะสื่อถึงอะไร ซึ่งตอนนั้นเองที่ศีรษะของเขาถูกรองเท้าที่เปื้อนฝุ่นเปื้อนดินแบบเต็มกำลังฟาดเข้ามาอย่างแรงจนมุดลงด้านล่างอย่างรวดเร็ว
“ก็เพราะแกเป็นแบบนี้ไงที่ทำให้ฉันยอมให้ยัยน้ำเจอแกไม่ได้ ตอนนี้น้ำเรียนอยู่มหาวิทยาลัยแล้ว!! แล้วที่แกว่ายัยน้ำโตขึ้นกว่าที่เคยเห็นในรูปนั่นหมายความว่ายังไง!!”
“มันก็ไม่แปลกไม่ใช่เหรอคะ…คุณแม่!?”
เสียงเปิดประตูดังขึ้นมาจากด้านข้างของคู่สามีภรรยาที่กำลังทะเลาะกันถึงขั้นคว้าคอเสื้อฝ่ายชายขึ้นมาเชยชมกลิ่นอันแสนอบอวลของเจ้าหน้าที่สำรวจคุณภาพพืชสวนที่กลับมาจากงานทันทีโดยไม่ได้อาบน้ำหรือเปลี่ยนชุดมาก่อนจนทั้งสองต้องหันตามมา ในขณะนั้นเองที่ฉันรวบรวมความกล้าทั้งหมดในการเปล่งถ้อยคำที่กลั่นออกมาจากความภาคภูมิใจของตัวเองให้ชายวัยกลางคนที่แม่ของฉันไม่อยากให้พบที่สุดได้รับรู้ว่า 'เด็กสาวคนหนึ่งได้ยอมรับเขาเป็นคนสำคัญที่สุดเรียบร้อยแล้ว'…
“ก็หนูน่ะ…ได้พบกับคุณพ่อแล้วยังไงล่ะคะ!!”
ตัวอักษรสามตัวที่นำมาเรียบเรียงต่อเชื่อมเข้าด้วยกันจนกลายมาเป็นคำพยางค์เดียวที่มีความหมายอันยิ่งใหญ่ทางวรรณศาสตร์และทางจิตใจอย่างมหาศาลยิ่งกว่าจำนวนตัวอักษรหรือความยากในการขับวรรณยุกต์ออกมา ซึ่งความหมายที่แฝงอยู่ในข้อความที่เขียนง่ายๆนั้นก็ไม่ได้ง่ายเลยเช่นกัน
“หนึ่งในสองบุคคลที่ยิ่งใหญ่ที่ร่วมกันมอบชีวิตและฟูมฟักชีวิตน้อยๆนั้นขึ้นมาด้วยความรักและความห่วงใยจากหัวใจที่ปราศจากการปรุงแต่งใดๆจนเติบโตแข็งกล้าพอที่จะออกเดินด้วยกำลังขาทั้งสองข้างของตัวเอง”
ตลอดเวลา12ปีของชีวิตภายในรั้วโรงเรียนที่ผ่านมา ฉันเคยถูกครูที่โรงเรียนสั่งให้เขียนเรียงความเกี่ยวกับพระคุณพ่อและความรู้สึกเวลาที่ได้อยู่ร่วมกันกับเขาทุกๆช่วงปลายปีหลังจากเปิดภาคการศึกษาที่สองมาได้หมาดๆไม่ถึงหนึ่งเดือน ซึ่งนั่นได้ทำให้ฉันต้องลำบากใจอยู่ตลอดเวลาว่าควรจะเขียนบรรยายอะไรลงไปในแผ่นกระดาษสีขาวที่ถูกดินสอขีดแบ่งเป็นเส้นบรรทัดอย่างบรรจงที่สุดเท่าที่ทำได้ทุกๆครั้งที่ถูกตั้งประเด็นนี้ขึ้นมา จนในที่สุดฉันก็ลงมือเขียนคำๆแรกของหัวกระดาษขึ้นมาอย่างใจเย็นและด้วยสีหน้าที่เรียบเฉยราวกับไม่มีความจำเป็นที่จะต้องย้อนคิดอะไรมากมาย
“ พ่อของฉันเป็นคนดีที่สุดในโลก… ไม่ว่าเมื่อก่อนนี้ฉันจะร้องไห้งอแงหรือส่งเสียงโวยวายสักแค่ไหน ท่านก็ไม่เคยต่อว่าฉันเลย แต่ในขณะเดียวกัน… ไม่ว่าฉันจะถูกเพื่อนที่โรงเรียนรังแกมาสักแค่ไหน ท่านก็ไม่เคยมีสีหน้าเป็นทุกข์ร้อนใดๆเลย ท่านไม่เคยเอ่ยถามถึงชีวิตประจำวันที่แสนน่ารำคาญหรือความสนุกสนานที่ฉันได้พบเจอตลอดทั้งวันนั้นเลย ท่านได้แต่ก้มลงมองฉันด้วยแววตาที่เหมือนเดิมตลอดเวลาแม้จะผ่านมาเป็นเวลาหลายปีแล้วหลังจากที่แม่ของฉันแนะนำพ่อให้รู้จัก ท่านไม่เคยเดินออกจากห้องพระที่ฉันมักจะไปสวดมนต์ทุกๆคืนแม้แต่ครั้งเดียว และท่านก็คงไม่เคยกระพริบตาเสียด้วยซ้ำ นั่นจึงทำให้ฉันสงสัยว่าคนเป็นพ่อตามปกติที่คนอื่นๆเขามีกันจะเป็นเช่นนั้นหรือเปล่า!?”นั่นคือเนื้อความโดยย่อในเรียงความหรือกลอนวันพ่อที่ฉันมักจะเขียนซ้ำแนวเดิมทุกๆครั้งที่คุณครูสั่งให้ทำ และก็เช่นกันที่คุณครูและเพื่อนๆที่สงสัยในเนื้อความเหล่านี้มักจะถามถึงพ่อของฉันว่าเป็นคนเช่นไรกันแน่จึงไม่เคยลุกออกจากที่เดิมเลยแม้แต่ครั้งเดียว… ท่านไม่ต้องกินต้องนอนแบบคนอื่นๆหรืออย่างไร
และคำตอบที่ฉันใช้เพื่อตอบคำถามของบุคคลที่แสนสำคัญเหล่านั้นเพื่อให้คำถามที่แสนน่าเบื่อนั้นจบลงโดยเร็วที่สุดก็คือ…
“ก็ไม่รู้สินะ… ก็ฉันไม่เคยเห็นรูปถ่ายของพ่อขยับไปไหนเลยนี่นา!!”
ทุกวันนี้ก็ดังเช่นทุกๆวันที่ผ่านมา ไม่ว่าเสียงของคนอื่นที่เอาแต่ย้ำนักย้ำหนาว่าอ้อมกอดของพ่อนั้นอบอุ่นยิ่งกว่าเปลวไฟที่ลุกโชติช่วงกลางค่ำคืนที่หนาวเหน็บหรือเสื้อกันหนาวใดๆที่มีในโลกนี้จะดังเข้ามาในหูของฉันตลอดทุกช่วงต้นเดือนธันวาคมจะหนาหูสักเท่าไหร่ก็ตาม ฉันก็ไม่คิดว่าจะมีอะไรที่จะอุ่นไปกว่าเปลวเพลิงที่กำลังจะพรากบิดาผู้ที่ขึ้นชื่อว่ามีพระคุณและสำคัญที่สุดในชีวิตรองลงมาจากมารดาไปจากอ้อมอกของเหล่าลูกๆทั้งหลายที่สามัคคีกันกอดราวกับจะเย้ยหยันฉันเป็นแน่แท้ และด้วยความที่ฉันต้องมีชีวิตอยู่โดยที่ไม่เคยมองเห็นความสำคัญของผู้เป็นพ่อที่ทิ้งให้แม่ต้องดูแลฉันอยู่ตามลำพังนับตั้งแต่ฉันเกิดขึ้นมา ทำให้ฉันกลายเป็นจุดสนใจของผู้คนรอบข้างไปโดยปริยาย…
“เมื่อไหร่เธอถึงจะเลิกพูดแบบนั้นสักที! เธอจะบอกว่าพ่อที่ให้กำเนิดเธอไม่มีพระคุณอะไรเลยอย่างนั้นเหรอ อย่างน้อยเขาก็ทำให้เธอได้มีชีวิตอยู่มาเถียงกับฉันนี่ไม่ใช่เหรอ!!”
“พระคุณ..!? ฉันไม่อยากนับเจ้าผู้ชายเศษโคลนที่ทิ้งแม่ของฉันไปเสพสุขกับผู้หญิงคนอื่นว่ามีพระคุณกับฉันหรอกนะ! ถ้าพ่อของนายทิ้งนายกับแม่ของนายให้ใช้ชีวิตกันตามลำพังแบบฉันบ้าง…นายจะไม่มีวันพูดแบบนั้นออกมาแน่!!”
“เธอว่าพ่อฉันเหรอ!! ยัยเด็กไม่มีพ่อ!!!”
ผัวะ..!!!!!
ในระหว่างที่ฉันกำลังนึกถึงผลงานที่แสนสะใจที่ฉันฝากเอาไว้บนใบหน้าของเพื่อนชายที่เถียงกับฉันเรื่องพระเดชพระคุณของผู้ชายไร้ค่าคนนั้นอย่างเพลินๆอย่างมีความสุข… เสียงของแข็งสากๆบางอย่างกระทบกันที่ดังขึ้นมาจากด้านหลังก็ได้ทำให้ความคิดที่แสนสะใจของฉันหยุดลงทันที ทันใดนั้นเองลำคอของฉันก็หันกลับไปมองโดยอัตโนมัติ ซึ่งสิ่งที่ฉันเห็นก็ไม่ใช่สิ่งอื่นใดเลยนอกจากภาพที่ฉันเห็นเป็นประจำทุกวันในห้องเรียนที่รั้งนักเรียนอันดับท้ายๆเอาไว้ที่ฉันก็เป็นหนึ่งในนั้นด้วยที่กำลังเปิดฉากขึ้นนอกห้องเรียน
ชายวัยกลางคนที่ดูมีอายุราวๆสามสิบกว่าๆที่มีท่ายืนคล้ายๆกับนักเลงผ่านศึกคนหนึ่งกำลังยืนอยู่ท่ามกลางวงล้อมของเหล่านักเรียนที่สวมชุดเหมือนพวกสายอาชีวะประมาณ5-6คนที่ในมือมีอาวุธครบมือยิ่งกว่าพวกทหารในสงครามเวียดนามซึ่งกำลังกระตุกช่วงบนเป็นการข่มขวัญคู่ต่อสู้ของพวกเขาราวกับเป็นการฝึกซ้อมสำหรับเอาไปใช้กับคู่อริของโรงเรียนตนในภายภาคหน้า
และบนพื้นข้างหน้าชายวัยกลางคนที่กำลังยืนไม่สนโลกคนนั้นก็มีนักเรียนคนหนึ่งล้มลงไปนอนหมดสติพร้อมกับบาดแผลแตกบนริมฝีปากข้างขวาที่มีเลือดไหลเป็นทาง
“ทำเพื่อนเราเหรอไอ้แก่!! ไม่รู้จักความน่ากลัวของนักเลงประจำโรงเรียนเทคนิกXXXซะแล้ว… พวกเราเล่นแม่งให้หนัก!!!”
“ดูเหมือนว่าที่บ้านจะสอนพวกเธอมาไม่ดีพอนะ… ถึได้ปล่อยปละละเลยพฤติกรรมของลูกจนกลายมาเป็นพวกขยะสังคมแบบนี้ แล้วอีกอย่าง… คำว่า’นักเลง’ กับ ‘อันธพาล’ไม่ใช่คำๆเดียวกันนะ!”
สิ้นเสียงอันกวนอารมณ์ของชายหนุ่มคนนั้น พวกช่างกลอาวุธครบมือก็กรูเข้าไปทำร้ายเขาในทันทีพร้อมกับเสียงของแข็งกระทบร่างกายอย่างต่อเนื่องที่ดังออกมาจากกลางวงล้อมอยู่ตลอดเวลาจนแทบไม่มีวินาทีไหนเลยที่จะการันตีได้ว่าจะไม่มีใครได้รับบาดเจ็บ แต่เป็นที่น่าแปลกใจว่าคนที่ถูกประเคนหมัดมวยใส่จนหมดสภาพกลับเป็นพวกช่างกลที่มีพวกมากกว่าเสียแทน พวกนักเรียนอันธพาลเหล่านั้นต่างล้วงเงินในกระเป๋าของตัวเองว่งให้กับชายคนนั้นก่อนจะเผ่นหนีไปคนละทางอย่างรวดเร็ว
“ชายคนนั้นนี่ดูท่าจะไม่ใช่คนดีนะ… มีฝีมือมวยดีแต่กลับเอาไปใช้เพื่อรีดเงินจากพวกนักเรียนแทนที่จะเอาไว้ช่วยเหลือคนอื่น นี่ถ้าคนที่อยู่ตรงนั้นเป็นเรานะ…เจ้านั่นได้หมอบอยู่แทบเท้าเราแล้ว!”
ในห้วงความคิดของเด็กสาวที่ยืนดูการต่อสู้อย่างมีชั้นเชิงของชายวัยกลางคนที่สามารถเอาชนะคนจำนวนมากที่มีอาวุธครบทุกคนได้อย่างง่ายดายราวกับผู้ใหญ่เตะเด็กนั้นเริ่มมีถ้อยคำวิจารณ์พฤติกรรมของเขาไปในทางลบเสียส่วนมาก แม้ว่าชายคนนั้นจะเก่งมากก็ตาม…เธอก็อดคิดไม่ได้ว่าถ้าเจ้าผู้ชายคนนั้นมาเป็นพ่อของเธอเสียเองจะเป็นเช่นไร
และในระหว่างนั้นเอง สายตาของเด็กสาวก็มองเห็นภาพชายวัยกลางคนที่สามารถเล่นกลุ่มเด็กช่างไปยกกลุ่มกำลังเดินไปยังนักเรียนชายรุ่นประมาณเด็กมัธยมต้นด้วยท่าทีที่เปลี่ยนไปจากเมื่อครู่ ด้วยความรู้สึกใหม่ที่ต่างออกไปโดยสิ้นเชิง..!!
“เอ้า! พ่อหนู เงินนี้ฉันคืนให้ คราวหลังจำเอาไว้ให้ดีว่าเวลาคนเรามีเงินเยอะๆน่ะอย่าแสดงออกให้คนอื่นรู้เด็ดขาด ครั้งนี้เธอแค่โชคดีที่ลุงผ่านมาเห็นพอดี ไม่งั้นป่านนี้เจ้าเด็กรุ่นๆพวกนั้นคงได้เอาเงินของเธอไปเปิบกันสบายอารมณ์แล้วล่ะมั้ง”
กำมือที่กุมธนบัตรสีเทาที่มีประมาณ3-4ใบของชายคนนั้นถูกยื่นออกมาคืนให้กับเด็กหนุ่มชุดนักเรียนกางเกงฟ้าอย่างทะนุถนอมราวกับเป็นเงินของตัวเองด้วยใบหน้าและคำพูดที่เรียบๆแต่แฝงไปด้วยความอ่อนโยนอย่างไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นคนๆเดียวกับที่เก่งศิลปะการป้องกันตัวอย่างเกินคนธรรมดาไปไกลคนนั้น แต่ไม่ทันไรสาวน้อยที่กำลังดูพฤติกรรมที่น่ายกย่องของพลเมืองดีที่เธอเผลอไปมองในแง่ร้ายก็สะดุ้งขึ้นมาเมื่อชายคนนั้นหันมามองทางเธอ
แต่สาวน้อยคงไม่ทันสังเกตว่าภายในแววตาของชายที่แต่งตัวปอนๆราวกับไม่สนใจสมัยนิยมของโลกภายนอกคนนั้นก็มีความรู้สึกตกใจเช่นเดียวกับเธอ… ราวกับการสบตากันของสองคนที่ไม่ได้เจอหน้ากันมานานแสนนาน
“แกจะกลับมาทำไมอีก..!! ในเมื่อแกเองไม่ใช่เหรอที่ทิ้งให้ฉันกับยัยน้ำต้องอยู่ด้วยกันอย่างลำบากลำบน… คนเก่ามันทิ้งแกไปสนุกสนานสำราญเพลินกับตะกวดตัวอื่นแล้วเพิ่งจะมาเห็นค่าของฉันหรือไง!! รีบๆกลับไปซะก่อนที่ยัยน้ำจะกลับมาเจอแกในสภาพทุเรศๆแบบนี้!!!”
“น้ำ”ได้ยินเสียงแม่ตัวเองกำลังตะโกนโวยวายอยู่ภายในบ้านราวกับกำลังต่อล้อต่อเถียงกับใครสักคนหนึ่งที่แกไม่อยากพบหน้าอีกแล้วในชั่วชีวิตนี้ด้วยระดับเสียงที่ดังที่สุดเท่าที่พนักงานต้อนรับสายการบินระดับแม่ค้าปากตลาดจะเร่งเสียงขึ้นได้ ซึ่งเหตุการณ์ทั้งหมดนั้นเริ่มมาจากการที่ชายกลางคนที่มีเรื่องกับพวกนักเรียนช่างตามน้ำมาถึงบ้านโดยที่เธอไม่รู้ตัวนั่นเอง…
“ก็มันช่วยไม่ได้ไม่ใช่เหรอ… ฉันก็พยายามบอกตั้งหลายรอบก่อนจะออกไปแล้วว่าฉันต้องไปทำงานสำรวจพื้นที่ต่างจังหวัดลากลับได้แค่ครั้งเดียวในรอบปี แล้วช่วงที่น้ำปิดเทอมมันก็ตรงกับช่วงหน้านาที่ผู้คนต้องลำบากกันก็เลยไม่ได้กลับมาเจอหน้าลูกสาวเท่านั้นเอง เรื่องแค่นี้อย่าโกรธไปเลยนะที่รักจ๋า…เห็นแก่ช่วงเวลาตลอดสามปีที่อยู่ในมหาลัยเดียวกันเถอะนะ”
“จะไม่ให้โกรธได้ยังไง..! ยัยน้ำมันโตแล้วนะ ถ้าจู่ๆมันกลับมาเจอชายแปลกหน้ากำลังคุยกับแม่มันอยู่จะว่ายังไง!!”“ก็ไม่เห็นเป็นไรเลยนี่… ก็น้ำโตขึ้นมากกว่าที่เห็นในรูปถ่ายชุดนักเรียนที่เธอส่งให้ฉันดูทุกๆปีแล้วไม่ใช่เหรอ ว่าแต่ปีนี้น้ำเรียนอยู่ม.ไหนแล้วนะถึงได้มีสัดส่วนองค์เอวดีขนาดนั้น!?”
ชายวัยกลางคนที่กำลังใช้น้ำเสียงเรียบคุยกับแม่ฉันอยู่นั้นเอามือทั้งสองข้างขึ้นมาทำท่าเด้งขึ้นเด้งลงตรงหน้าแกจนน้ำพอจะรู้ว่าเขาต้องการจะสื่อถึงอะไร ซึ่งตอนนั้นเองที่ศีรษะของเขาถูกรองเท้าที่เปื้อนฝุ่นเปื้อนดินแบบเต็มกำลังฟาดเข้ามาอย่างแรงจนมุดลงด้านล่างอย่างรวดเร็ว
“ก็เพราะแกเป็นแบบนี้ไงที่ทำให้ฉันยอมให้ยัยน้ำเจอแกไม่ได้ ตอนนี้น้ำเรียนอยู่มหาวิทยาลัยแล้ว!! แล้วที่แกว่ายัยน้ำโตขึ้นกว่าที่เคยเห็นในรูปนั่นหมายความว่ายังไง!!”
“มันก็ไม่แปลกไม่ใช่เหรอคะ…คุณแม่!?”
เสียงเปิดประตูดังขึ้นมาจากด้านข้างของคู่สามีภรรยาที่กำลังทะเลาะกันถึงขั้นคว้าคอเสื้อฝ่ายชายขึ้นมาเชยชมกลิ่นอันแสนอบอวลของเจ้าหน้าที่สำรวจคุณภาพพืชสวนที่กลับมาจากงานทันทีโดยไม่ได้อาบน้ำหรือเปลี่ยนชุดมาก่อนจนทั้งสองต้องหันตามมา ในขณะนั้นเองที่ฉันรวบรวมความกล้าทั้งหมดในการเปล่งถ้อยคำที่กลั่นออกมาจากความภาคภูมิใจของตัวเองให้ชายวัยกลางคนที่แม่ของฉันไม่อยากให้พบที่สุดได้รับรู้ว่า 'เด็กสาวคนหนึ่งได้ยอมรับเขาเป็นคนสำคัญที่สุดเรียบร้อยแล้ว'…
“ก็หนูน่ะ…ได้พบกับคุณพ่อแล้วยังไงล่ะคะ!!”
คำยืนยันของเจ้าของเรื่องสั้น
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
7.7 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
7.6 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
7.4 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ