"memory" ความทรงจำไม่อาจลบเลือน
เขียนโดย candle
วันที่ 6 สิงหาคม พ.ศ. 2556 เวลา 16.57 น.
แก้ไขเมื่อ 6 กันยายน พ.ศ. 2556 14.28 น. โดย เจ้าของเรื่องสั้น
8)
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ
ในตอนเช้าของทุกวันก่อนจะเริ่มทำอย่างอื่น คือให้พ่ออมน้ำมันมะพร้าวสกัดเย็นที่เขาเรียกกันว่า “Oil Pulling” เป็นวิธีการบำบัดของชาวอินเดีย โดยการอมน้ำมันไว้และเคลื่อนไปให้ทั่วปาก ใช้เวลา 15-20 นาที จากนั้นจึงบ้วนทิ้ง ถือเป็นการรักษาด้านชีววิทยาด้วยวิธีการง่ายๆ ที่มีประสิทธิภาพ น้ำมันจะเป็นตัวไปจับเชื้อแบคทีเรียในช่องปาก
น้ำมันมะพร้าวสกัดเย็นยังมีคุณสมบัติเป็นยาฆ่าเชื้อที่มีประสิทธิภาพสูงสามารถดูดซึมเข้าไปในร่างกายได้ดี ใช้ดื่มในขณะท้องว่างหรือก่อนรับประทานอาหาร สำหรับที่ใช้กับพ่อคือตอนเช้าให้ทำ Oil Pulling ส่วนตอนเย็นก็ให้ทาน 1 ช้อนโต๊ะ มันจะให้ผลมากแค่ไหนก็ไม่รู้แต่เราก็ใช้ในการรักษาพ่อด้วย พี่ชายเป็นคนจัดการซื้อส่งมาจากกรุงเทพฯ เพื่อว่าน้องจะได้ไม่ต้องไปหาซื้อเองให้ลำบาก
วิตามินซีก็ด้วยเหมือนกัน ที่พี่ชายซื้อมาเป็นขนาด 500 มก. ก็จะให้กินตอนเช้า 1 เม็ด ตอนเย็น 1 เม็ด วิตามินซีเป็นสารต้านอนุมูลอิสระในร่างกาย ช่วยเพิ่มภูมิชีวิตสามารถป้องกันและรักษาการอักเสบอันเนื่องมาจากแบคทีเรียและไวรัสได้
อาการของพ่อถือว่าทรงตัวอยู่ได้ดีมากทีเดียวในระยะเวลาประมาณ 6 เดือน โดยไม่ได้พึ่งพาหมอเลยเราดูแลกันเองที่บ้าน และเวลาทั้งหมดของฉันก็ทุ่มเทเพื่อดูแลพ่อ รักษาพ่อ จะเรียกว่าเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดก็คงไม่ถูกนัก มันปะปนกันไปในเรื่องร้ายที่มีเรื่องที่เป็นความสุข ความอบอุ่นของครอบครัว
พ่อเองก็คงเบาใจได้ในระดับหนึ่งว่าฉันสามารถใช้ชีวิตต่อไปได้เมื่อท่านจากไป และแม่ก็จะพูดอยู่เสมอว่า ‘พ่อแค่ทำใจให้สบายไม่ต้องเป็นห่วงอะไรทั้งนั้นเราอยู่กันได้ ทำได้ทุกอย่างที่พ่อทำ’ พ่อก็เห็นว่าลูกรักกันและพี่ก็ไม่เคยทอดทิ้งน้องเลยตั้งแต่ยังเป็นเด็ก เราสองคนพี่น้องไม่เคยทะเลาะกันสักครั้ง ไม่เคยแย่งชิงขนมหรือสิ่งของ เราจะรับรู้กันมากลายๆ ว่าพี่ต้องดูแลน้องนะ ส่วนน้องก็ต้องให้ความเคารถนับถือพี่ชาย โดยที่พ่อแม่เองก็ไม่เคยพูดออกมา
จนถึงทุกวันนี้ฉันคิดว่าตัวเองเป็นคนโชคดีมากที่เกิดมาในครอบครัวของเรา แม้บ้านเราจะไม่ร่ำรวยและขาดในหลายสิ่งหลายอย่างที่คนอื่นมี แต่มีสิ่งหนึ่งที่ฉันเชื่อเสมอว่าเรามีมากกว่าครอบครัวอื่น คือความรักและการเอาใจใส่ซึ่งกันและกัน ไม่ว่าจะเป็นพ่อแม่มีให้ลูก ลูกมีให้พ่อแม่ และพี่น้องมีให้แก่กัน
พี่ชายสั่งซื้อ “Baoding balls” (ลูกเหล็กสำหรับบริหารนิ้วและข้อมือ) มาคู่หนึ่ง ด้านในจะมีเสียงดังกุ๊งกิ๊งด้วย ไว้สำหรับให้พ่อบริหารมือ แต่ก่อนหน้านี้ก็เคยส่งมาให้แล้วสองคู่แต่อันนั้นเป็นสแตนเลสเป็นส่วนประกอบชิ้นงานที่ผลิตในบริษัท เอามาให้ทดลองแก้ขัดไปก่อน มันจะดีมากหากทำอย่างสม่ำเสมอ ช่วยบริหารข้อมือและนิ้วมือได้เป็นอย่างดี
พ่อทำได้ไม่ถนัดนักแต่ก็ทำบ้างแล้วก็เก็บไว้ใกล้ตัว พอช่วงเวลาสไกป์มาถึงพวกทางฝั่งกรุงเทพฯก็จะเห็นว่ามันวางอยู่ใกล้ตัวพ่อ ลูกน้องพี่ชายก็จะบอกว่า
“พ่อไม่เห็นทำเลย นั่นไงวางอยู่ตรงนั้น”
พ่อก็จะยิ้มๆ ลุกขึ้นมานั่งรับไหว้คนจากฝั่งโน้นที่แวะเวียนกันมาทักทาย
“พ่อดูสดชื่นดีออกแบบนี้สบาย”
พี่ชายก็จะแนะนำว่าคนนี้ชื่อนั้น คนนั้นชื่อนี้ว่าไปรับไหว้กันไปมา ฉันต้องพูด ‘สวัดดีค่ะ’ พร้อมกับไหว้ไปด้วย สักพักพ่อก็จะขอตัวนอนแต่ก็ยังมองเห็นกันอยู่ ส่วนฉันก็มีหน้าที่รายงานไปวันนี้ทำอะไรกันบ้างพ่อมีอาการเป็นไง
**
**
หลังจากช่วงระยะเวลา 6 เดือนผ่านไป อาการปวดแขนขาเริ่มแสดงถี่ขึ้น คือจากก่อนหน้านี้จะให้ทานยาแก้ปวดเฉพาะเวลามีอาการแค่เดือนละครั้งสองครั้งก็กลายเป็นอาทิตย์ละครั้ง แล้วก็เป็น 2-3 วันครั้ง เมื่อเริ่มมีอาการ 2-3 วันต่อครั้ง พี่ชายก็บอกว่าน้องให้พ่อกินยาวันละ 1 เม็ดก่อนนอนไปเลยทุกวันโดยมีจำเป็นต้องให้แสดงอาการก่อน ฉันก็ทำตามนั้น
พ่อมีอาการทรงตัวอยู่ได้แต่จะมีอาการเบื่ออาหารแทรกเป็นระยะนั่นทำให้ฉันเครียด จนต้องไปขอยาจากโรงพยาบาลประจำอำเภอเป็นยาช่วยกระตุ้นให้อยากรับประทานอาหาร หมอให้ยา “Cyproheptadine” มา จริงแล้วยานี้อยู่ในประเภทยาแก้แพ้ชนิดหนึ่ง ซึ่งไม่รู้ทำไมถึงเป็นยาช่วยให้อยากอาหารด้วย หมอให้กินก่อนอาหาร ½ ชม. วันละ 3 ครั้ง ปรากฏว่าครั้งแรกที่กินยาเข้าไปพ่อมีอาการแสบท้องมาก จนพ่อบอกว่าไม่กินมันอีกแล้ว ฉันโทรไปคุยกับน้องที่เป็นพยาบาลน้องก็บอกว่ากินยาแล้วกินข้าวตามไปเลยไม่ต้องรอให้ถึง ½ ชม.
เมื่อทำตามนั้นก็ไม่มีอาการแสบท้องแล้วพ่อก็กินข้าวได้เพิ่มขึ้น ฉันให้พ่อกินยาแค่เช้ากับเย็นเท่านั้น ยานี้จะไม่ให้กินทุกวันเอาแค่เวลาเบื่ออาหารมากๆ กินประมาณแค่ 2-3 วัน
คนดูแลก็แทบจะปลิวลมพอเครียดไมเกรนก็เริ่มแวะเวียนกลับมาทักทายอีก แต่ไม่ว่าจะเครียดหรือน้ำหนักหายไปแค่ไหนในช่วงระยะเวลา 1 ปีที่ผ่านมาฉันไม่มีอาการป่วยใดๆ เลย ‘ ฉันต้องแข็งแรงป่วยไม่ได้นะ’ ฉันย้ำเตือนประโยคนี้กับตัวเองสม่ำเสมอ
จากเคยกินยาแก้ปวดวันละ 1 เม็ด ก่อนนอนอีกเดือน หลังจากนั้นก็เป็นเช้า-เย็น หลังจากนั้นอีกเดือนก็เป็น เช้า-กลางวัน-เย็น คราวนี้เริ่มซื้อยาเป็นกล่อง ทางร้านสงสัยว่าซื้อไปขายเขาไม่รู้ที่มาที่ไปเพราะทางร้านวัตสันไม่ขายให้เป็นกล่องต้องไปซื้ออีกร้านหนึ่ง บอกว่าเอาไปให้คนป่วยทางร้านจึงขายให้
ช่วงนั้นพ่อเริ่มจะเดินได้น้อยลงคือเดินออกจากบ้านไปไกลๆ ไม่ได้บอกว่าเหนื่อย แต่ก็ถือว่าไม่ทรุดลงมากนัก อาการแค่ค่อยๆ เป็นไปเราต่างก็รับรู้ พ่อยังฟังข่าวอ่านหนังสือได้อยู่เช่นปกติ แค่เป็นรอยต่อของจุดเปลี่ยนอีกขั้นหนึ่งที่ปรากฏออกมา ครั้นเราทำใจยอมรับการเปลี่ยนแปลงในระยะนั้นได้ว่าทุกอย่างก็เป็นไปอย่างที่ควรจะเป็น ประคับประคองกันไปก็ไม่มีปัญหาอะไร มีแอบร้องไห้บ้างเป็นครั้งคราวไม่ให้พ่อเห็น แม่เขาก็จะกอดไว้บอกว่า
‘ทุกคนต้องเจอไม่มีใครหนีพ้นอย่าร้องไห้’ เข้าใจอยู่หรอก แต่การทำใจมันเป็นอีกเรื่องหนึ่ง
พี่ชายจะกลับมาบ้านถี่ขึ้นเป็นเดือนละ 2-3 ครั้ง อย่างเวลาเห็นพ่อเจ็บช่วงเย็นๆ ตอนที่คุยกันอยู่แล้วน้องน้ำตาไหลพรากเอาแล้ว
‘เดี๋ยวผมกลับไปต้องดูตั๋วก่อนไม่รู้ได้เที่ยวไหน’
พอกลับมาก็แอบคุยกันไม่ให้พ่อได้ยิน กอดฉันไว้
‘อย่าร้องไห้อีกล่ะ อย่าร้องให้พ่อเห็น’
ก็รับคำนะ แต่ตอนที่พี่เขากอดไว้นี่ร้องไห้ใหญ่เลย
‘พ่อจะเสียกำลังใจ’ พี่ชายเขาว่างี้
พูดได้สิตัวเองไม่ได้อยู่ด้วยในทุกๆ วันนี่ถึงจะได้รับรู้ในทุกอย่างแต่มันก็ไม่เหมือนกันอยู่ดี ไม่เหมือนกันฉันซึ่งอยู่กับพ่อทุกวันเห็นอาการที่เปลี่ยนแปลงไปแล้วใจฉันก็เหลือนิดเดียวเอง
อะไรที่ใครเขาบอกว่าให้พ่อกินสิดีนะฉันก็จะหาให้ทำให้โดยส่วนใหญ่ที่เห็นสมควร อย่างโซดากับน้ำมะนาวก็ให้กินด้วยเหมือนกัน (โซดาหนึ่งขวดกับน้ำมะนาวที่ผิวยังเขียวอยู่ 2 ลูก) ลองชิมดูมันก็ปร่าๆ ลิ้นหน่อยนึงแต่ก็กินได้ไม่เสียหายอะไร
มีอยู่คืนหนึ่งแม่ฝันถึงผู้หญิงคนหนึ่งว่าเขาเอาอะไรแม่ไปก็ไม่รู้ แล้วในฝันก็ว่าจะเอามาคืน แม่ไปตลาดเจอผู้หญิงคนนั้นพอดีแล้วก็ให้บังเอิญเธอถามถึงพ่อบอกว่าไม่เคยเห็นตั้งนานแล้ว แม่เล่าให้ฟังเธอก็บอกว่าให้ลองไปหาพระรูปหนึ่งดู ให้ท่านลองต้มยาให้ พระรูปนั้นก็อยู่ไม่ไกลจากบ้านมากนัก แม่เล่าเรื่องฝันให้ฟังเธอก็ว่า ‘ของที่เอาไปเอามาคืนแล้วนะ’
ทั้งที่เราก็รู้กันอยู่นั่นแหละว่าถึงขั้นนี้แล้วจะหายเป็นปกติดูจะเกินจริงไปไม่น้อย สำหรับคนเริ่มเป็นนั้นไม่แน่ว่าอาจจะหายได้จริง แม่กลับมาถามพ่อว่ายาต้มพ่อจะลองกินดูไหมพ่อก็ว่าลองดู พ่อเป็นประเภทกินยายากยิ่งเป็นยาต้มแล้วด้วยหากเลี่ยงได้ก็จะเลี่ยง แต่คราวนี้พ่อบอกว่าจะลองกินดู
ตัวยาที่ใช้
- ข้าวเย็นเหนือ
- ข้าวเย็นใต้
- แก่นมะเกลือ
- ทิ้งถอน
กระดูกงูเห่า (ไม่ทราบใช้เท่าไหร่เหมือนกัน พระท่านเป็นคนใส่ให้)ส่วนตัวยาอย่างอื่นใช้ในปริมาณเท่ากันในขนาดหนึ่ง ในการต้มแต่ละครั้ง พระท่านจะเสกยาให้ก่อนเอามาต้ม หม้อนึงใช้ต้มกินประมาณ 20 วัน ก็ต้มหม้อใหม่อีก
พระท่านก็บอกมาล่ะว่าแล้วแต่เวรแต่กรรมของแต่ละคนที่สร้างมา จะหายไม่หายก็ขึ้นอยู่กับสิ่งนั้นด้วย ฉันเข้าใจแต่ยังไงก็ต้องทำให้ดีที่สุดจะได้ไม่มาเสียใจทีหลังว่า อันนั้นเรายังไม่ได้ให้พ่อลองกินเลยบางทีอาจหายก็ได้นะอะไรทำนองนี่
คราวก่อนหน้านี้ก็เคยคิดกันว่าจะพาพ่อไปหา นพ.สมหมาย ทองประเสริฐ ที่สิงห์บุรี แต่ระยะทางมันไกลกลัวว่าพ่อจะทรุดหนัก ลูกน้องพี่ชายเขาซื้อยาของ นพ.สมหมายมาให้ลองกินดูในแบบที่ทำเป็นแคปซูลแล้ว แต่พ่อก็บอกว่าไม่ได้รู้สึกดีขึ้นหรือแย่ลงพ่อเชื่อมันในน้ำคลอโรฟิลล์มากกว่า ฉันเองก็เชื่ออย่างนั้นและมั่นใจว่าหากคนเป็นมะเร็งในระยะเริ่มแรกได้ดื่มมันช่วยชะลอได้แน่นอน อย่างที่หมอเขาพูดกันว่ายังไงมันก็ไม่หายขาดหรอกเพียงแต่เมื่อเราเอาชนะมันได้ครั้งหนึ่ง มันก็แอบซ่อนตัวอยู่ 4-5 ปี ก็โผล่มาอีก หากเราไม่ระวังรักษาตัวเองดีพอในเรื่องอาหารการกิน และระวังรักษาอารมณ์ทำจิตใจให้สบายมันก็พร้อมจะกลับมาโจมตีเราได้เสมอ เป็นสงครามแห่งชีวิต.
คำยืนยันของเจ้าของเรื่องสั้น
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ