"memory" ความทรงจำไม่อาจลบเลือน

9.4

เขียนโดย candle

วันที่ 6 สิงหาคม พ.ศ. 2556 เวลา 16.57 น.

  9 บท
  18 วิจารณ์
  15.33K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 6 กันยายน พ.ศ. 2556 14.28 น. โดย เจ้าของเรื่องสั้น

แชร์เรื่องสั้น Share Share Share

 

9)

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

          

 

 

          "คิดอยู่นานสำหรับบทนี้ว่าจะลงดีไหม  แต่เรื่องราวทุกเรื่องย่อมมีวันจบ  เรื่องราวของชีวิตก็เฉกเช่นเดียวกัน  แม้เราไม่อยากให้จบหรืออยากให้จบในแบบที่ต่างออกไป  หากชีวิตไม่ใช่นิยายไม่สามารถเลือกตอนจบได้  และจริงๆ แล้วในเรื่องเศร้ากลับมีความรักความผูกพันแฝงอยู่มากมาย  ประทับอยู่ในความทรงจำของลูกของคนในครอบครัว"

 

          หวังว่าเรื่องราวทั้งหมดในบันทึกเรื่องนี้จะเป็นประโยชน์กับใครได้บ้าง  แม้เพียงเล็กน้อย 

 

 

          ปลายธันวาคมปี 55 กับมกราคมปี 56 ยาแก้ปวดอย่าง Ponstan เริ่มเอาไม่อยู่กับอาการปวดซึ่งถี่ขึ้นเป็นลำดับจนต้องหันมาพึ่งมอร์ฟีนชนิดน้ำ ฉันไปเอามาจากโรงพยาบาลประจำจังหวัด ตอนก่อนจะไปก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าทางโรงพยาบาลจะจ่ายยาให้ไหม เพราะพ่อไม่ได้ทำการรักษาในโรงพยาบาล ฉันเอาประวัติการรักษาพ่อไปจากโรงพยาบาลมอ. กลายเป็นว่าฉันเจอคุณหมอใจดีอีกแล้ว ฉันบอกจะเอาแค่ขวดสองขวดเพราะใช้แต่น้อย พ่อก็สั่งว่าเอาแค่ขวดเดียวพอไว้หมดแล้วค่อยไปเอาใหม่เพราะอายุของยาก็ไม่นาน หมอกลับบอกว่าเอามาได้หลายๆ ขวดจะได้ไม่ต้องไปเอาบ่อยๆ ทำให้เสียเวลา

 

          คุณหมอก็ถามว่าดูแลรักษากันยังไงในเมื่อไม่รับการรักษาจากทางโรงพยาบาล ฉันก็เล่าให้ฟัง หมอก็ว่าอยู่ได้นานขนาดนี้เป็นเรื่องเหลือเชื่อสำหรับคนที่ป่วยระยะที่สี่ ฉันเองก็ไม่คาดคิดเหมือนกันว่าพ่อจะอยู่กับเราได้เกือบปีแล้วทั้งที่ตอนนั้นหมอบอกว่าแค่ 2-3 เดือน และจากที่ฉันเห็นญาติ(ลุง)อยู่ได้แค่เดือนเดียวเอง แบบมันเร็วจนน่าใจหาย

 

          **

          **

 

          เรื่องทุกเรื่องย่อมมีวันจบนิยายชีวิตก็คงเช่นเดียวกัน เพียงแค่อาทิตย์เดียวเท่านั้นมันเริ่มตอนเช้ามืดของวันศุกร์ที่ 18 มกราคม 56 ประมาณตีสามฉันได้ยินเสียงพ่อเรียก ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาพ่อไม่เคยเรียกลักษณะแบบนั้นมันแผ่วโหยบอกไม่ถูก ทำให้ฉันรู้สึกอึดอัดไม่สบายใจ

 

          “พ่อหายใจไม่ออก”

 

          ฉันจับมือพ่อไว้เห็นน้ำตาพ่อไหลเป็นทางแล้วใจแป้ว แม่รีบเป่ากระหม่อมให้พ่อ ฉันไม่รู้หรอกว่าเขาว่ากันยังไงบ้างแต่คนที่เป่าท่าจะเหนื่อยน่าดู มันคล้ายการถ่ายทอดพลังบางอย่างฉันคิดว่าอย่างนั้น เพราะแม่เคยทำให้ฉันอยู่บ่อยๆ เมื่อยังเป็นเด็กเวลาฉันเกิดอาการแพ้ขั้นรุนแรงไม่ว่าจะด้วยเรื่องอาหาร เรื่องอากาศ ด้วยมดบางชนิดกัด หรือโดยไม่ทราบสาเหตุแน่ชัด มันคล้ายขึ้นมาจากข้างในตัว เจ็บแล้วก็หายใจไม่สะดวกถึงขนาดหมดสติไปก็บ่อย พอโตขึ้นก็ดีหน่อยเหมือนว่าฉันจะชนะมันได้บ้าง เว้นแต่ไปกินอะไรบางอย่างที่กระตุ้นอย่างรุนแรงโดยที่เราไม่รู้มาก่อน แต่อย่างพื้นๆ แค่คลอเฟย์ก็เอาอยู่ล่ะ

 

          ให้พ่อกินยาขยายหลอดเลือด สักพักอาการจึงค่อยดีขึ้นมาหน่อยแล้วก็หลับไป ฉันกับแม่นั่งเฝ้ากันอยู่อย่างนั้น เห็นอาการพ่อเป็นในคราวนี้คือรู้แล้วว่าต้องเตรียมใจ อาทิตย์ที่ผ่านมาพ่อก็ไม่ค่อยกินอะไรเลยบอกว่าไม่หิว แค่ให้ดื่มเครื่องดื่มจำพวกอาหารเสริมสำหรับคนป่วยประเภทชงดื่มก็ดื่มได้น้อย ยาแก้ปวดที่เป็นเม็ดกลืนไม่ลง มอร์ฟีนก็ดูว่าไม่ได้ช่วยอะไรแล้วตอนนี้ จากการฟังที่คนอื่นเขาเล่ามาว่าอาการเจ็บจะเป็นมากแบบทุรนทุรายปวดมาจากกระดูก จากอาการของพ่อก็เจ็บแต่ไม่ถึงกับรุนแรงขนาดนั้นคือพอให้กินยากับประคบเจลร้อนอาการก็ค่อยทุเลาลงไม่เคยปวดจนเป็นชั่วโมง ทั้งหมดนั่นคงเป็นเพราะสิ่งที่เราทำให้พ่อมาทุกอย่างประกอบกัน ช่วยลดความเจ็บปวดได้ระดับหนึ่ง

 

          พ่อดื่มได้แค่น้ำโค้กฉันไม่เข้าใจเหมือนกันว่าเพราะอะไร พ่อจะขอน้ำโค้กบ่อยมากจนต้องบอกว่าให้กินขนมด้วยสักนิดก็ยังดีฉันกลัวน้ำโค้กทำให้พ่อแสบท้อง แม่ก็ว่าไม่รู้เป็นไงคนที่เป็นแบบนี้ชอบกินโค้ก ฉันคิดเอาเองว่าความปร่าของโค้กช่วยให้ลิ้นรับรู้รส เพราะอย่างเวลาไม่สบายหลายๆ วันแล้วในปากมีอาการขมมันอยากกินสไปร์ทแทบขาดใจ คิดอยู่ตลอดเวลาว่าหากได้กินสไปร์ทเย็นๆ มันคงรู้สึกดีมากเลย ฉันว่าส่วนหนึ่งเพราะมันมีน้ำตาลแล้วก็แก๊สอันนี้เดาเอา

 

          ตอนช่วงกลางวันของวันนั้นพ่อใช้เวลานอนเกือบทั้งวันนานๆ ครั้งถึงลุกขึ้นมานั่งดื่มน้ำเสียหน่อยนึงกับจิบโอวัลตินได้บ้างนิดหน่อยกับขนม แต่ก็ยังคงเข้าห้องน้ำได้ตามปกติ ฉันให้พ่อกินรังนกไม่รู้สินะมันชวนให้คิดถึงบทเริ่มต้นขึ้นมาในคราวแรกที่พ่อมีอาการอ่อนเพลีย พ่อกินไปได้แค่ช้อนสองช้อนหรือบางทีก็น้อยกว่านั้น

 

          ฉันกระวนกระวายใจมันรู้สึกได้ เป็นแบบเหมือนเวลาเราดูละครเรื่องหนึ่ง แล้วเราเดาออกมาตอนต่อไปมันจะเป็นยังไง ไม่มีการเปิดทีวีไม่มีเสียงพูดคุย ฉันกับแม่มองตากันต่างก็ไม่พูดอะไรออกมา เปิดบทสวนมนต์ให้พ่อฟังทั้งวันแม่ก็คอยถามว่า ‘พ่อได้ยินไหม ได้ยินเสียงบทสวดมนต์รึเปล่า’ พ่อก็ว่าได้ยิน ตอนแรกคิดว่ายังไม่ต้องบอกพี่ชายก่อนเพราะเขาเพิ่งจะกลับไปแค่วันสองวันเอง ฉันเองก็ชั่งใจอยู่นานไม่รู้เป็นเพราะอะไร ความหวาดกลัวทำให้ฉันนิ่งหมกมุ่นอยู่กับมันจนไม่นึกคิดถึงสิ่งอื่น

 

          “โทรสิแม่คุยเอง”

 

          ถึงแม่ไม่บอกอย่างนั้นฉันก็ให้แม่เป็นคนคุยอยู่ดี ตอนนั้นรู้เลยฉันพูดกับพี่ชายไม่ได้หรอกมันเจ็บตรงลำคอพูดไม่ออก หากฝืนพูดน้ำตาก็จะไหลออกมาเท่านั้นเอง

 

          พี่ชายได้ตั๋วกลับมาในวันรุ่งขึ้น กลับมาก็นวดเท้าให้พ่อเขามักทำแบบนี้ประจำเมื่อกลับมา นวดเบาๆ ตรงข้อเท้า

 

          เมื่อมาอยู่กันพร้อมหน้าทั้งครอบครัวก็เฝ้ากันหน้าเตียงโดยไม่หลับไม่นอน เพราะพ่อจะลุกขึ้นมานั่งเราต้องช่วยประคองให้ดื่มน้ำ ให้ฉี่ ลุกขึ้นมาก็จะถาม

 

          “กินข้าวกันแล้วเหรอ”

 

          เราก็พยักหน้ากันไป เมื่อพี่ชายมาอยู่ด้วยได้เวลากินก็ต้องกินกันแม้ฉันจะไม่หิวก็ตามเขาบอกว่าให้ถือเป็นหน้าที่

 

          จากที่พ่อเป็นคนทนความเย็นไม่ได้ ไม่ชอบให้เปิดพัดลมเลยเว้นแต่อากาศจะร้อนจนเหลือทนจริงๆ ก็กลายเป็นให้เปิดพัดลมทั้งวันทั้งคืนถามว่าหนาวรึเปล่าก็ส่ายหน้าเอาผ้าห่มให้ก็เอาออก นัยน์ตาเหม่อลอยเวลารู้สึกตัวขึ้นมาแต่ก็ยังจำทุกคนได้ ฉันป้อนน้ำกับรังนกให้บ่อยๆ กินไปได้ครั้งละนิดหน่อยแล้วก็หลับต่อ บางครั้งตื่นขึ้นมาขอน้ำแข็งเป็นก้อนอมไว้ในปากให้มันค่อยละลายลงไปในคอ

 

          พ่อจะลุกขึ้นนั่งบ่อยๆ ในช่วงเวลากลางคืน พอถามว่าพ่อจะเอาอะไรไหมพ่อก็ส่ายหน้าบอกว่าเหนื่อย บางครั้งแค่ลุกมาแล้วก็ลมตัวลงไปนอนอีกแล้วก็ลุกขึ้นมาใหม่บอกว่าจะฉี่ บางครั้งก็ฉี่บางครั้งก็ไม่ ฉันบอกว่าพ่อไม่ต้องลุกขึ้นมานั่งหรอกนอนฉี่ก็ได้ คล้ายบางทีเหมือนจะจำได้บ้างจำไม่ได้บ้าง

 

          เช้าวันพฤหัสบดีพี่ชายต้องกลับไปกรุงเทพฯอีกครั้ง เพราะมีงานที่ต้องเคลียร์ต้องส่ง แต่ในคืนนั้นตลอดทั้งคืนจนสว่างไม่ได้นอนสักงีบวันนั้นตอนกลางวันพ่อมีอาการดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัดบอกว่าอยากกินข้าว ขอเป็นข้าวต้ม ฉันรีบจัดการต้มข้าวให้พ่อ กินไปได้นิดหน่อยแต่ก็ดีกว่าที่ผ่านมาอย่างเห็นได้ชัด พ่อดูสดชื่นฉันไปหาซื้อซีรีแล๊คอาหารสำหรับให้เด็กอ่อน ฉันคิดเองว่าพ่อน่าจะกลืนได้ง่ายกว่า ลองเอาให้พ่อกินดูพ่อก็กินได้ทั้งที่มันมีนมผสมอยู่ กินได้คราวละนิดหน่อยแต่ก็กินได้บ่อยให้คนเฝ้าใจชื้น

 

          หากเป็นคนที่เข้าใจชีวิตคงคาดคะเนได้ถ้าอาการทรุดหนักแล้วกลับมาฟื้นขึ้นก็เดาได้ไม่ยาก แต่ยังไงก็แล้วแต่สำหรับฉันย่อมเป็นสิ่งดีแน่นอนแม้เพียงชั่วระยะเวลาอันแสนสั้น พ่อถามถึงพี่ชายเป็นพักๆ ว่าจะกลับมาเมื่อไหร่

 

          ช่วงเวลาตอนกลางคืนพ่อนอนไม่กลับเขาดูเป็นกังวลกระสับกระส่าย

          “พ่อนอนไม่หลับเหรอ” ฉันถามพ่อก็พยักหน้า

          “พ่อเจ็บหรือเปล่า” พ่อส่ายหน้า

          “งั้นพ่อนอนหลับนะ” พ่อก็พยักหน้า แต่สักพักก็จะลุกขึ้นนั่งอีก ฉันต้องช่วยประคองเพราะพ่อลุกขึ้นนั่งเองไม่ไหว นั่งกันอยู่ใกล้ๆ จับมือกันไว้

          “พ่อนอนหลับนะ ไม่เป็นไรหรอกไม่ต้องห่วงอะไรทั้งนั้น คิดถึงคำพระ ท่องพุทโธไว้” แม่จะคอยพูดแบบนี้อยู่ข้างหูพ่อ

          “พ่อจำได้ไหมพุทโธ” พ่อพยักหน้าหลับตา

          “พ่อท่องเอาไว้พุทโธอย่าลืม”

 

          พี่ชายโทรมาก็สั่งแล้วสั่งอีกว่าให้แม่บอกพ่อว่าไม่ต้องเป็นห่วง แม่ย้ำกับพ่อตลอด

 

          “พ่อไม่ต้องเป็นห่วงเราอยู่กันได้ ให้พ่อสบายใจได้”

 

          น้ำตาฉันไหลจนไม่รู้ว่าจะมีวันจบสิ้นหรือเปล่ามาตั้งแต่วันที่ 18 มกราคม 2556 แต่ละคืนที่ผ่านไปเหมือนจะบอกว่าผ่านไปได้อีกคืนหนึ่งแล้วนะนั่นคือความรู้สึกของฉัน

 

          คืนวันศุกร์ที่ 25 มกราคม 2556 เป็นคืนที่ฉันนิ่งมาก ไม่คิดเหมือนกันว่าจะเป็นแบบนั้นได้คล้ายหลุดออกไปแล้วมองกลับมาเห็นชายคนหนึ่งนอนอยู่ อีกสองคนนั่งเฝ้าอยู่ใกล้ๆ แบบไม่หลับไม่นอนทั้งกลางวันกลางคืน แม่บอกว่าหลับไม่ได้หรอกเดี๋ยวพ่อแอบหนีไป

 

          ฉันสังเกตเห็นเล็บมือเล็บเท้าของพ่อกลายเป็นสีม่วงมาได้ 2-3 วันแล้ว คืนนั้นไม่มีน้ำตาไม่มีความรู้สึกชนิดไหนมากระทบจิตใจ เตรียมเอาเสื้อผ้าพ่อมารีด กางเกงกับเสื้อที่พี่ชายซื้อมาให้ เตรียมรองเท้าไว้ ในใจภาวนาซ้ำแล้วซ้ำเล่า ‘พ่อย่างเพิ่งไปนะรอพี่ชายก่อน พรุ่งนี้เขาก็กลับมาแล้ว รอพี่ก่อนอย่างเพิ่งไป’

 

          เช้าวันเสาร์ที่ 26 มกราคม 2556 พี่ชายมาถึงสนามบินแต่เช้ามีเหตุที่น้องคนที่จะไปรับชักช้าจนกลายเป็นมาถึงบ้านช้าไปนิด ฉันกลัวที่สุดคือพ่อจะไปก่อนพี่ชายมาถึง สิ่งที่น่ากลัวที่สุดในความคิดของฉันคือ ‘การจากไปอย่างโดดเดี่ยว’ หมายถึงว่าขณะกำลังจากไปไม่เห็นหน้าคน ในครอบครัว ฉันว่ามันน่าเศร้าอย่างร้ายและฉันหวาดกลัวที่สุดในชีวิต ฉันไม่อยากให้มันเกิดขึ้นกับคนที่ฉันรัก แน่นอนเขาไม่จากไปอย่างโดดเดี่ยวหรอกแต่ก็อยากให้อยู่กันพร้อมหน้า เพราะเราจะไม่ได้เจอกันอีกเลยนับจากนี้

 

          วันนี้ญาติทางฝ่ายแม่นัดหมายพร้อมใจกันมาทั้งที่ฉันไม่ได้ส่งข่าวอะไร ไม่บอกอะไรทั้งนั้น เตรียมข้าวปลาอาหารมารับประทานกันพร้อม เพราะไม่อยากให้ฉันต้องวุ่นวายจัดหา

 

          พ่อยังยกมือไหว้ลุงๆ ป้าๆ และรับไหว้น้ากับหลานๆ แม่ได้อยู่ ฉันเช็ดตัวให้พ่ออยู่ตลอดเวลา กับเอาน้ำแข็งให้อมไว้ ใช้ถุงเจลแช่ห้องแข็งไว้ใช้สลับกันไว้เอามาวางไว้ตรงหน้าอก พี่ชายมาถึงรับหน้าที่ต่อจากฉัน น้ำตามันพาลไหลก็ตรงนี้แหละ มันอุ่นใจขึ้นในความหวาดกลัว ฉันนอนหลับไปพักหนึ่งตื่นมาอีกทีตอนช่วงบ่ายสามโมง พวกญาติๆ จะลากลับกันส่วนหนึ่ง ทุกคนเข้ามาลาพ่อยังรับไหว้ได้อยู่

 

          ฉันรับหน้าที่ต่อจากพี่ชายปล่อยให้เขาได้พักผ่อนสักหน่อย แต่มันแค่แป๊บเดียวเท่านั้น ฉันนั่งร้องไห้ไปเช็ดตัวให้พ่อไป อาการพ่อเหมือนคนเลื่อนลอยไม่ได้สติ ไม่เจ็บไม่ปวดไม่มีเสียงร้องแต่กระสับกระส่าย ฉันคิดในใจว่า ‘พ่อไปเถอะนะไม่ต้องห่วง’ เพราะหากพ่อยังอยู่ในสภาพแบบนี้ฉันคิดว่าต้องทนไม่ไหวแน่นอน ความรู้สึกมันแย่ยิ่งกว่าตอนที่พ่อเจ็บปวดเพราะอาการของโรคอีก

 

          ฉันเรียกแม่ที่คุยอยู่กับญาติ สงสัยว่าก่อนหน้านี้พ่อมีอาการขนาดนี้หรือเปล่า แม่ก็ว่าเปล่ารีบเป่ากระหม่อมให้พ่อ แต่อาการไม่สงลงเหมือนที่ผ่านมา ฉันเรียกพี่ชาย แม่กับลุงก็ว่างั้นคงต้องกรวดน้ำให้พ่อแล้วล่ะ เรากรวดน้ำให้พ่อ แม่ พี่ชาย ฉัน อาการพ่อสงบลงอย่างเห็นได้ชัด ค่อยๆ ผ่อนลมหายใจแล้วก็สงบลงที่สุด เวลา 17.00 น. วันเสาร์ที่ 26 มกราคม 2556 ฉันเช็ดตัวให้พ่อเสร็จเรียบร้อยเป็นครั้งสุดท้าย พี่ชายกับพี่อีกคนที่เป็นหลานของแม่จัดการเปลี่ยนเสื้อผ้าให้พ่อ

 

          จะพูดว่าไงดี มันคล้ายว่าความเจ็บปวดในใจหายไปพร้อมกับการจากไปของพ่อ ทั้งที่ก่อนหน้านี้ที่กลัวที่สุด คิดอยู่ตลอดเวลาว่าเมื่อถึง ณ.ช่วงเวลานี้ คิดว่าตัวเองจะทนรับความสูญเสียนี้ได้หรือเปล่า ครั้นมันเกิดขึ้นจริงกลับเหมือนไม่ใช่เรื่องยาก ง่ายดายกว่าที่คาดคิด หรือเป็นเพราะมนุษย์มีกลไกชนิดหนึ่งก็ไม่รู้ ทั้งที่เรารักและห่วงใยเขาขนาดนั้นมันก็น่าแปลก มันผ่อนคลายสงบนิ่งไม่มีน้ำตา ความรู้สึกมันลอยหายไป.

 

 

คำยืนยันของเจ้าของเรื่องสั้น

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9.3 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9.3 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9.7 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา