"memory" ความทรงจำไม่อาจลบเลือน
9.4
เขียนโดย candle
วันที่ 6 สิงหาคม พ.ศ. 2556 เวลา 16.57 น.
9 บท
18 วิจารณ์
15.17K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 6 กันยายน พ.ศ. 2556 14.28 น. โดย เจ้าของเรื่องสั้น
4)
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความทุกคนในครอบครัวของฉันซึ่งประกอบไปด้วย พ่อ แม่ พี่ชายและฉัน ทุกคนต้องทำใจยอมรับเรื่องที่เกิดขึ้น แม่เป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งที่สุด ด้วยความเป็นแม่เพื่อเป็นหลักคอยยึดเหนี่ยวจิตใจของลูก ฉันไม่เคยเห็นน้ำตาของแม่เลย คงมีเพียงแค่ฉันคนเดียวเท่านั้นที่แอบร้องไห้อยู่บ่อยๆ พาลให้คิดไปว่าทำไมเรื่องแบบนี้ถึงเกิดขึ้นกับเรา ทั้งที่รู้ทั้งรู้ว่าเราไม่ได้เป็นคนพิเศษทำไมเรื่องแบบนี้จะเกิดขึ้นกับเราไม่ได้ แต่ก็ยังอดคิดไม่ได้อยู่นั่นเอง มันไม่ยุติธรรมเอาเลยที่ฉันจะต้องเสียพ่อไป
นี่เป็นอีกวันที่ตลอดทั้งคืนฉันข่มตาหลับได้แสนลำบาก ความง่วงมันปลิวหายไป พรุ่งนี้หมอจะยืนยันกับทุกคนรวมถึงพ่อด้วย ฉันเป็นห่วงความรู้สึกพ่อมาก พ่อจะรู้สึกยังไงบ้างจะทำใจยอมรับได้แค่ไหน
ฝนตกตั้งแต่เมื่อคืนตลอดมาจนเช้าของอีกวัน น้ำตาฟ้าน้ำตาคนเริ่มแยกกันแทบไม่ออก ตลอดการเดินทางจากบ้านไปโรงพยาบาลฉันไม่สามารถสบตาใครได้เลย ยิ่งกับพี่ชายด้วยแล้ว เขากอดฉันไม่มีคำปลอบโยนแต่ฉันรู้ได้ในการสัมผัสนั้น
การรอคอยหมอช่างยาวนานด้วยใจเราจดจ่ออยู่กับสิ่งที่จะได้ยินจากปากหมอ
“หมอศิวศักดิ์เขาคุยกับคนไข้นานนะ” ใครบางคนข้างฉันพูดขึ้น
“หนูรอพบหมอศิวศักดิ์หรือเปล่า” ชายคนนั้นหันมาถามฉัน
“ค่ะ”
“คงอีกนานเลย หมอคนนี้คุยกับคนไข้ 20 นาทีขึ้น”
“ก็ดีนะคะ หมอที่ใส่ใจคนไข้ขนาดนี้หายากออก”
จะว่าไปพ่อถือเป็นคนโชคดีในเรื่องการพบหมอ อย่างคราวที่รักษาโรคตับอ่อนอักเสบก็เหมือนกัน คุณหมอธีระพงษ์ ศุขไพศาล (อาจารย์หมอโรงพยาบาลมอ.ในขณะนั้น ท่านเป็นหมอรักษาเกี่ยวกับโรคช่องท้อง) หมอคนนี้เป็นคนค้นพบว่าพ่อเป็นโรคอะไร และเท่าที่ผ่านมาฉันไม่เคยเจอคุณหมอท่านไหนที่เป็นแบบนี้มาก่อนเลย
ฉันไปเจอท่านตอนที่พ่อไปรับการรักษาตัวในโรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่ง คุณหมอถามว่าทำไมไม่รักษาที่โรงพยาบาลประจำจังหวัด ฉันบอกคุณหมอถึงสิ่งที่เคยเจอมาท่านก็เข้าใจ ถามถึงการใช้สิทธิ์ในการรักษา ฉันตอบว่าจ่ายเอง ตอนหลังท่านก็นัดเราให้ไปพบที่โรงพยาบาลมอ.แทน บอกให้ฉันไปทำใบส่งตัวมาจากโรงพยาบาลประจำอำเภอให้ใบนัดมาเสร็จสรรพ
ครั้งหนึ่งซึ่งกำลังตรวจพ่ออยู่มีโทรศัพท์มาจากเอกชน บอกว่ามีมีคนไข้ของหมอคนหนึ่งไปรอรับการผ่าตัดอยู่ที่นั่น คุณหมอก็บอกว่า
“ผมไม่ไปนะ ผมนัดเขามาที่นี่ก็ต้องผ่าตัดที่นี่” แล้วก็วางสายไป หันมาพูดกับฉัน
“ดูสิ ผมอุตส่าห์นัดเขามาผ่าตัดที่โรงพยาบาลมอ.เขายังกลับไปโรงพยาบาลเอกชนอีก พูดไม่เข้าใจรึไงผมเป็นหมอของมอ.ทำงานที่นี่ไม่มาก็ช่างเขา สิทธิ์ที่เรามีเราก็ควรใช่รู้มั๊ย” คุณหมอหมายถึงสิทธิ์การรักษาฟรี เมื่อทำใบส่งตัวมาจากโรงพยาบาลประจำจังหวัด
“ค่ะ” ฉันพยักหน้ายิ้มๆ คิดในใจว่าช่างโชคดีแท้ที่มาเจอหมอแบบนี้ได้
คุณหมอธีระพงษ์ ศุขไพศาล ได้ใจพ่อไปเต็มๆ
ตามเวลาในใบนัดเวลา 10.30 น. แต่กว่าจะได้เข้าพบคุณหมอก็ติดไปช่วงบ่าย เราสามคน พ่อ พี่ชายและฉันเข้าไปด้วยกัน
“ผลออกมาแล้วนะ คุณพ่อเป็นมะเร็งระยะที่สี่ซึ่งเป็นระยะลุกลามแล้วด้วย คุณพ่อทำใจได้รึเปล่าครับ”
พ่อพยักหน้า
“ที่นี้มาพูดเรื่องการรักษาคือการรับยา แต่จริงๆ แล้ว%มันแค่ 30 เท่านั้นเอง แล้วการรักษาในผู้หญิงจะมีโอกาสสูงกว่าผู้ชาย”
“มีวิธีอื่นอีกไหมครับ” พี่ชายถาม
“มันก็มียาอีกตัวนะแต่%มันไม่ได้แตกต่างกันแล้วราคายาก็สูงมาก อีกวิธีหนึ่งคือการรักษาแบบประคับประคองรักษาไปตามอาการ หรือคุณพ่อจะลองรับยาดูก่อน”
ฉันกับพี่ชายมองหน้ากัน ทั้งหมดนั่นให้เป็นการตัดสินใจของพ่อ แม้เราสองคนจะคุยกันแล้วว่าไม่อยากให้พ่อรับยา (คีโม) แต่ก็แล้วแต่พ่อว่ายังไงก็ว่าอย่างงั้น เพราะร่างกายพ่อทรุดหนักจะยืนเดินแทบไม่ไหวร่างกายซูบผอม และการรับยาสำหรับคนที่ร่างกายไม่พร้อมจะยิ่งทำให้ร่างกายทรุดหนักลงไปอีก บางทีระยะเวลาที่พ่อจะอยู่กับเราอาจสั้นลงไปอีก
หมออธิบายว่ามันเป็นยาพิษชนิดหนึ่งเพื่อใช้ฆ่าพิษอีกที แต่เมื่อเข้าไปอยู่ในร่างกายเราแล้วมันกลับเลือกฆ่าเฉพาะตัวไม่ดีไม่ได้ซะด้วย
“หรือจะลองกลับไปตัดสินใจก่อนก็ได้นะครับ”
“พ่อจะลองรับยาดูไหม” ฉันถามพ่อส่ายหน้า
“ยังไงมันก็รักษาไม่หายหรอก พ่อไม่ทำอะไรหรอก” พ่อว่า
ฉันมองหน้าพี่ชาย
“ขอกลับไปตัดสินใจก่อนครับ” พี่ชายพูดกับหมอ
“ครับ หมอนัดเป็นอาทิตย์หน้าโอเคมั๊ย”
“ครับ-ค่ะ” เราสองคนพี่น้องพูดพร้อมกัน
ฉันแอบสังเกตพ่อตอนที่เรานั่งรถกลับบ้าน ท่าทางของพ่อไม่ได้ผิดแผกไปจากตอนขาไปแต่อย่างใด เราต่างใจชื้นขึ้นมาหน่อย
**
**
“ผมดูมาแล้วคิดว่าอันนี้ดีที่สุด” พี่ชายส่งเอกสารปึกหนึ่งให้แม่ มันเป็นการรักษาโดยวิถีทางเลือกของหมอเขียว (ใจเพชร กล้าจน) นักวิชาการสาธารณสุข แพทย์ทางเลือกแนวบุญนิยม
“ทำยังไงก็ได้ให้อยู่กับมันได้อย่างเจ็บปวดน้อยที่สุด”
พี่ชายว่าอย่างนั้น เพราะเราต่างก็รู้ว่าไม่มีทางในการรักษาให้หาย ยิ่งอาการเป็นถึงขั้นนี้แล้วป่วยการที่จะโกหกตัวเอง
วันรุ่งขึ้นเราหาตัวยาที่พอจะหาได้ใกล้ๆ บ้าน แม้มันจะไม่ครบทั้งหมด ตัวยาที่สำคัญและขาดไม่ได้คือใบย่านาง สรรพคุณของยาชนิดนี้คือเป็นยาเย็น ว่ากันว่าโรคมะเร็งทำให้ร่างกายร้อน เพราะฉะนั้นการแก้ด้วยยาเย็นจึงเป็นการดีที่สุด
วิธีทำใช้สมุนไพรเย็น
ใบย่านาง 5-20 ใบ
ใบเตย 1-3 ใบ
บัวบก ครึ่ง-1 กำมือ
หญ้าปักกิ่ง 3-5 ต้น
ใบอ่อมแซบ(เบญจรงค์) ครึ่ง-1 กำมือ
หยวกกล้วย ครึ่ง-1 คืบ
ว่านกาบหอย 3-5 ใบ
ผักบุ้ง 3-5 ยอด
จะใช้อย่างใดอย่างหนึ่งหรือหลายอย่างรวมกันก็ได้ โขลกให้ละเอียดหรือจะใช้วิธีการปั่นผสมน้ำเปล่า 1-3 แก้ว (แต่ต้องระวังอย่าให้ร้อนเกินไป คือปั่นไปสักแป๊บก็หยุดเสียทีหนึ่งเป็นระยะ จนตัวยาทั้งหมดละเอียด) จึงกรองเอาแต่น้ำ ควรทำแต่พอประมาณทานได้ 1-2 วัน เก็บไว้ในตู้เย็น ส่วนกากยาที่เหลือยังคงใช้ประโยชน์ได้อยู่ โดยการเอามาพอกบริเวณที่ปวดหรืออักเสบหรือผสมน้ำอุ่นแช่มือแช่เท้าได้ด้วย
ฉันทำให้พ่อดื่ม เช้า-กลางวัน-เย็น ก่อนอาหารหรือตอนท้องว่าง ปรากฏว่าจากร่างกายซึ่งเคยเหนื่อยอ่อนเพลียลุกเดินไม่ไหว ด้วยระยะเวลา 1 เดือน ท่านกลับมาลุกเดินได้และตรงบริเวณผิวหน้าซึ่งลอกเป็นขุยขาวๆ เต็มไปหมด (เกิดจากภูมิคุ้มกันของร่างกายบกพร่อง) กลับเป็นผิวปกติเหมือนเดิมได้อย่างไม่น่าเชื่อ ทำเอาใจฉันกลับมาเป็นกอง
อีกอย่างหนึ่งที่ให้พ่อทานในตอนนั้นคือวุ้นซึ่งเกิดจากการหมักมังคุด (มังคุดเป็นผลไม้เย็นและสามารถฆ่าเชื้อได้ด้วย) วิธีการคือเอาวุ้นมังคุดมาปั่นกับน้ำผึ้งรวงธรรมชาติ (น้ำผึ้งมีสรรพคุณเป็นกลาง) รสชาติที่ออกมาจะเปรี้ยวอมหวานนิดๆ คล้ายบ๊วยหวาน อันนี้ก็ให้พ่อกิน เช้า-กลางวัน-เย็น เหมือนกันหลังอาหาร
นอกจากสองสิ่งที่ว่านี้พ่อก็ไม่ได้ทานยาอะไร เพราะหลังจากปฏิเสธการรับยา ทางโรงพยาบาลก็ให้แค่ยาแก้ปวดพาราเซตามอลกับมอร์ฟีนน้ำขวดเล็กๆ มาหนึ่งขวดเผื่อเวลาพ่อมีอาการปวดและการปวดจากอาการของโรคมะเร็งมันปวดมาจากกระดูกฟังจากที่คนอื่นเล่ามามันปวดทรมานมาก และฉันก็เตรียมพร้อมรับมือกับเรื่องที่เกิดขึ้น.
คำยืนยันของเจ้าของเรื่องสั้น
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9.3 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9.3 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9.7 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ