แว่นตา
7.0
1) แว่นตา
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความแว่นตา
นายโบ๊ตเป็นเด็กหนุ่มที่อาภัพในชีวิตทั้งในด้านการเรียนและชีวิตในวัยแรกรุ่นสุดหรรษา ปัจจุบันมีอายุ 21 ปี กำลังศึกษาอยู่ยังสถาบันแห่งหนึ่ง โบ๊ตเป็นคนไม่ค่อยมั่นใจในตัวเอง ไม่กล้าคิดกล้าแสดงออก ทำสิ่งต่างๆอย่างเก้ๆกังๆ ความอ่อนแอที่มีในตัวทำให้เขากลายเป็นคนไม่กล้าสู้หน้าไม่กล้าพบปะผู้คน จนกลายเป็นความเคยชินไม่กล้าสู้หน้าผู้คนอยู่เป็นนิจ
....วันหนึ่ง ณ ห้องเรียนอันแสนเงียบสงัดหลังเลิกเรียน เป็นวิชาคาบเรียนสุดท้าย มีเพียงตัวเขาเพียงคนเดียวนั่งอยู่ที่โต๊ะทำการบ้านอย่างเอาจริงเอาจังพร้อมกับนั่งอ่านหนังสือท่ามกลางแสงดวงอาทิตย์ที่กำลังลับขอบฟ้ามีเพียงแสงไฟจากหลอดไฟเข้ามาแทนที่ เด็กหนุ่มเป็นคนเรียนไม่ค่อยเก่ง หน้าตาก็ไม่ดี (เกี่ยวอะไรกับการเรียนด้วยเนี่ย -*- ) เขาต้องขยันมากกว่าผู้อื่นเป็นสิบเท่า คงเป็นเพียงสิ่งเดียวที่ตัวเขาดูมีคุณค่าพอทัดเทียบกับเพื่อนๆในชั้นเรียน
....ณ เวลานั้น มีเพียงกลุ่มเพื่อนๆที่กำลังเล่นฟุตบอลกันอย่างสนุกสนานอยู่ที่สนามของโรงเรียนซึ่งอยู่ข้างหน้าห้องเรียนกับตัวเขาที่นั่งทำการบ้านอ่านหนังสืออยู่เพียงลำพังในห้อง เสียงโห่ร้องอย่างสนุกสนานเท่านั้นที่เล็ดรอดเข้ามายังห้องเรียนที่เขานั่งอยู่ แ ต่ทว่าเสียงห้วงแห่งความโศกเทร้าก็เข้ามากระทบยังหูของโบ๊ตทำให้เขาคล้อยตามเสียงนั้นไปโดยไม่ทันรู้ตัวว่าเขาได้เดินตามมันมายังจุดหนึ่ง บริเวณหลังโรงเรียน พลันตรงหน้าเขาได้เห็นเด็กหนุ่มอายุอานามห่างจากตัวผมประมาณ5 ปีได้ เขากำลังควานหาแว่นตาที่ทำหล่นมองดูช่างน่าสงสารเสียยิ่งกระไร ทำให้โบ๊ตอดไม่ได้ที่จะต้องลงไปช่วยหยิบมันส่งคืนให้กับผู้เป็นเจ้าของ เสมือนหนุ่มผู้มองไม่เห็นโลกแห่งความจริงกำลังคลำหาหนทางให้กับตนเอง กับหนุ่มผู้มอบโอกาสให้กับผู้ต้องการหลุดพ้นห้วงพันธนาการของความมืดมิด
...สิ้นสุดเสียงคำขอบคุณ ก็ได้พบรอยยิ้มริมปากจากเด็กน้อย เห็นแล้วก็อดปลื้มใจกับสิ่งเล็กๆนี้ไม่ได้เสียเหลือเกิน สิ้นสุดรอยยิ้มก็วิ่งหายจากไป ยังไม่ทันได้ถามชื่อเสียงเรียงนามทำให้ผมอดนึกเป็นห่วงไมได้อีก ที่เหมือนเขาจะทำของตกไว้อีกหนึ่งชิ้น เป็นกล่องดำเล็กๆดูจากรูปลักษณ์ทั่วไปน่าจะเป็นของมีค่า ไม่ทันได้สิ้นสุดความคิดพลันนั้นสมองก็สั่งให้เขาเปิดมันออกมาพบว่าในกล่องนั้นเป็นแว่นตาอีก 1 อันที่คนๆหนึ่งจะพกแว่นตามาทีเดียวถึง 2 อัน ในใจก็นึกตลกกับความพิลึกพิลั่นของตัวเด็กน้อย บนหน้ากล่องมีข้อความที่ทำให้เขาอดคิดตามไม่ได้ กับคำที่ว่า “แว่นหยั่งรู้”
...โบ๊ตเก็บมันกลับไปรอที่จะนำมันส่งคืนให้กับผู้เป็นเจ้าของ เขานั่งลงเขียนหนังสือจนดึกสายตาเริ่มพล่ามัว จึงนึกสนุกหยิบแว่นมาใส่เล่น พร้อมชื่นชมความหล่อเหลาเอาการของตนเองที่หน้ากระจก จนลืมตัวและใส่มันไว้ประดุจหนึ่งความเป็นเจ้าของ
....นับจากวันนั้นมาเขากลายเป็นเด็กเรียนที่มีแว่นคู่ใจเคียงประทับอยู่บนใบหน้าของเขา เริ่มมีสาวๆมารุมล้อมจับตามองเขาตลอด เขากลายเป็นตัวแทนเดินขบวนพาเหลดให้กับโรงเรียน ความสนใจในตัวเขาเริ่มมีมากขึ้น กลับกลายเป็นคนกล้าพูดกล้าแสดงออกมากขึ้น เริ่มสนทนากับเพื่อนใหม่มากขึ้น นานวันเกิดเป็นความเคยชิน เป็นนักเรียนดีเด่นประจำโรงเรียน เป็นขวัญใจประจำกลุ่มสาวๆในโรงเรียน
...บุคลิกที่ดูดี นานวันเข้ากลับกลายเป็นความหลงตัวเอง ความเห็นแก่ตัว ความหยิ่งยโสโอหังทำให้เขาเลือกที่จะคบสหายที่เพียบพร้อม เกลียดพวกด้อยคุณค่า หน้าตาไม่ดี หลงระเริงไปวันๆตามประสาคนหน้าตาดี
...ความชื่นชมยินดี นับวันเริ่มกลายเป็นความห่างเหิน จากเพื่อนเก่าที่เคยคบกันมาเริ่มตีตัวออกห่างจากความสนิทเปลี่ยนเป็นเพียงคนรู้จักกัน ความมเหงาเริ่มคลอบงำ เข้าไปในห้วงจิตใจประดุจหนึ่งน้ำแข็งประโลมเข้าถาโถมสู่ร่างกายที่ไร้จิตใจ เขาเริ่มอยากกลับมาเป็นโบ๊ตคนเก่าที่ขี้เหร่ ไม่มีอะไรดี แต่เป็นคนจิตใจงาม แต่ทว่ากลับไปส่องกระจกอีกทีเขากลับจำตัวเองไม่ได้ว่าหน้าตาเขาแต่ก่อนเป็นอย่างไร หลังจากถอดแว่น ก็เริ่มพบกับความจริงที่เขาเริ่มจะมองไม่เห็นสิ่งต่างๆที่เป็นแบบเดิม ภาพมันเริ่มพล่ามัว นัยน์ตา แดงกล่ำมีน้ำใสๆไหลออกมา บวกกับความรู้สึกสูญเสียสิ่งที่ดีๆที่มีมาแต่ก่อน มันไม่กลับมาแล้ว....
...ณ หลังโรงเรียนมีเสียงร่ำไห้คร่ำครวญ พบกับเด็กหนุ่มคนหนึ่งกำลังคลำหาแว่นตาที่ทำตกอยู่ เด็กหนุ่มผู้ใจดีได้หยิบมันขึ้นมอบให้กับ.......โบ๊ต ซึ่งกำลังนั่งร่ำไห้ สิ้นสุดคำขอบคุณ รอยยิ้มเกิดขึ้นที่ริมปาก หน้าตากลับมาเป็นปกติ ทิ้งไว้เพียงกล่องดำที่มีข้อความฝากไว้ข้างหน้าว่า “ ความเป็นตัวของตัวเอง”
นายโบ๊ตเป็นเด็กหนุ่มที่อาภัพในชีวิตทั้งในด้านการเรียนและชีวิตในวัยแรกรุ่นสุดหรรษา ปัจจุบันมีอายุ 21 ปี กำลังศึกษาอยู่ยังสถาบันแห่งหนึ่ง โบ๊ตเป็นคนไม่ค่อยมั่นใจในตัวเอง ไม่กล้าคิดกล้าแสดงออก ทำสิ่งต่างๆอย่างเก้ๆกังๆ ความอ่อนแอที่มีในตัวทำให้เขากลายเป็นคนไม่กล้าสู้หน้าไม่กล้าพบปะผู้คน จนกลายเป็นความเคยชินไม่กล้าสู้หน้าผู้คนอยู่เป็นนิจ
....วันหนึ่ง ณ ห้องเรียนอันแสนเงียบสงัดหลังเลิกเรียน เป็นวิชาคาบเรียนสุดท้าย มีเพียงตัวเขาเพียงคนเดียวนั่งอยู่ที่โต๊ะทำการบ้านอย่างเอาจริงเอาจังพร้อมกับนั่งอ่านหนังสือท่ามกลางแสงดวงอาทิตย์ที่กำลังลับขอบฟ้ามีเพียงแสงไฟจากหลอดไฟเข้ามาแทนที่ เด็กหนุ่มเป็นคนเรียนไม่ค่อยเก่ง หน้าตาก็ไม่ดี (เกี่ยวอะไรกับการเรียนด้วยเนี่ย -*- ) เขาต้องขยันมากกว่าผู้อื่นเป็นสิบเท่า คงเป็นเพียงสิ่งเดียวที่ตัวเขาดูมีคุณค่าพอทัดเทียบกับเพื่อนๆในชั้นเรียน
....ณ เวลานั้น มีเพียงกลุ่มเพื่อนๆที่กำลังเล่นฟุตบอลกันอย่างสนุกสนานอยู่ที่สนามของโรงเรียนซึ่งอยู่ข้างหน้าห้องเรียนกับตัวเขาที่นั่งทำการบ้านอ่านหนังสืออยู่เพียงลำพังในห้อง เสียงโห่ร้องอย่างสนุกสนานเท่านั้นที่เล็ดรอดเข้ามายังห้องเรียนที่เขานั่งอยู่ แ ต่ทว่าเสียงห้วงแห่งความโศกเทร้าก็เข้ามากระทบยังหูของโบ๊ตทำให้เขาคล้อยตามเสียงนั้นไปโดยไม่ทันรู้ตัวว่าเขาได้เดินตามมันมายังจุดหนึ่ง บริเวณหลังโรงเรียน พลันตรงหน้าเขาได้เห็นเด็กหนุ่มอายุอานามห่างจากตัวผมประมาณ5 ปีได้ เขากำลังควานหาแว่นตาที่ทำหล่นมองดูช่างน่าสงสารเสียยิ่งกระไร ทำให้โบ๊ตอดไม่ได้ที่จะต้องลงไปช่วยหยิบมันส่งคืนให้กับผู้เป็นเจ้าของ เสมือนหนุ่มผู้มองไม่เห็นโลกแห่งความจริงกำลังคลำหาหนทางให้กับตนเอง กับหนุ่มผู้มอบโอกาสให้กับผู้ต้องการหลุดพ้นห้วงพันธนาการของความมืดมิด
...สิ้นสุดเสียงคำขอบคุณ ก็ได้พบรอยยิ้มริมปากจากเด็กน้อย เห็นแล้วก็อดปลื้มใจกับสิ่งเล็กๆนี้ไม่ได้เสียเหลือเกิน สิ้นสุดรอยยิ้มก็วิ่งหายจากไป ยังไม่ทันได้ถามชื่อเสียงเรียงนามทำให้ผมอดนึกเป็นห่วงไมได้อีก ที่เหมือนเขาจะทำของตกไว้อีกหนึ่งชิ้น เป็นกล่องดำเล็กๆดูจากรูปลักษณ์ทั่วไปน่าจะเป็นของมีค่า ไม่ทันได้สิ้นสุดความคิดพลันนั้นสมองก็สั่งให้เขาเปิดมันออกมาพบว่าในกล่องนั้นเป็นแว่นตาอีก 1 อันที่คนๆหนึ่งจะพกแว่นตามาทีเดียวถึง 2 อัน ในใจก็นึกตลกกับความพิลึกพิลั่นของตัวเด็กน้อย บนหน้ากล่องมีข้อความที่ทำให้เขาอดคิดตามไม่ได้ กับคำที่ว่า “แว่นหยั่งรู้”
...โบ๊ตเก็บมันกลับไปรอที่จะนำมันส่งคืนให้กับผู้เป็นเจ้าของ เขานั่งลงเขียนหนังสือจนดึกสายตาเริ่มพล่ามัว จึงนึกสนุกหยิบแว่นมาใส่เล่น พร้อมชื่นชมความหล่อเหลาเอาการของตนเองที่หน้ากระจก จนลืมตัวและใส่มันไว้ประดุจหนึ่งความเป็นเจ้าของ
....นับจากวันนั้นมาเขากลายเป็นเด็กเรียนที่มีแว่นคู่ใจเคียงประทับอยู่บนใบหน้าของเขา เริ่มมีสาวๆมารุมล้อมจับตามองเขาตลอด เขากลายเป็นตัวแทนเดินขบวนพาเหลดให้กับโรงเรียน ความสนใจในตัวเขาเริ่มมีมากขึ้น กลับกลายเป็นคนกล้าพูดกล้าแสดงออกมากขึ้น เริ่มสนทนากับเพื่อนใหม่มากขึ้น นานวันเกิดเป็นความเคยชิน เป็นนักเรียนดีเด่นประจำโรงเรียน เป็นขวัญใจประจำกลุ่มสาวๆในโรงเรียน
...บุคลิกที่ดูดี นานวันเข้ากลับกลายเป็นความหลงตัวเอง ความเห็นแก่ตัว ความหยิ่งยโสโอหังทำให้เขาเลือกที่จะคบสหายที่เพียบพร้อม เกลียดพวกด้อยคุณค่า หน้าตาไม่ดี หลงระเริงไปวันๆตามประสาคนหน้าตาดี
...ความชื่นชมยินดี นับวันเริ่มกลายเป็นความห่างเหิน จากเพื่อนเก่าที่เคยคบกันมาเริ่มตีตัวออกห่างจากความสนิทเปลี่ยนเป็นเพียงคนรู้จักกัน ความมเหงาเริ่มคลอบงำ เข้าไปในห้วงจิตใจประดุจหนึ่งน้ำแข็งประโลมเข้าถาโถมสู่ร่างกายที่ไร้จิตใจ เขาเริ่มอยากกลับมาเป็นโบ๊ตคนเก่าที่ขี้เหร่ ไม่มีอะไรดี แต่เป็นคนจิตใจงาม แต่ทว่ากลับไปส่องกระจกอีกทีเขากลับจำตัวเองไม่ได้ว่าหน้าตาเขาแต่ก่อนเป็นอย่างไร หลังจากถอดแว่น ก็เริ่มพบกับความจริงที่เขาเริ่มจะมองไม่เห็นสิ่งต่างๆที่เป็นแบบเดิม ภาพมันเริ่มพล่ามัว นัยน์ตา แดงกล่ำมีน้ำใสๆไหลออกมา บวกกับความรู้สึกสูญเสียสิ่งที่ดีๆที่มีมาแต่ก่อน มันไม่กลับมาแล้ว....
...ณ หลังโรงเรียนมีเสียงร่ำไห้คร่ำครวญ พบกับเด็กหนุ่มคนหนึ่งกำลังคลำหาแว่นตาที่ทำตกอยู่ เด็กหนุ่มผู้ใจดีได้หยิบมันขึ้นมอบให้กับ.......โบ๊ต ซึ่งกำลังนั่งร่ำไห้ สิ้นสุดคำขอบคุณ รอยยิ้มเกิดขึ้นที่ริมปาก หน้าตากลับมาเป็นปกติ ทิ้งไว้เพียงกล่องดำที่มีข้อความฝากไว้ข้างหน้าว่า “ ความเป็นตัวของตัวเอง”
คำยืนยันของเจ้าของเรื่องสั้น
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
8.5 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
8.5 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
4 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ