ประวัติศาสตร์จีนโดยสังเขป

-

เขียนโดย Domewriter

วันที่ 14 กรกฎาคม พ.ศ. 2565 เวลา 20.29 น.

  20 ตอน
  0 วิจารณ์
  10.04K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2565 21.20 น. โดย เจ้าของเรื่องเล่า

แชร์เรื่องเล่า Share Share Share

 

9) ยุคราชวงศ์ชาง 4

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ
ขนาดตัวอักษร เล็ก กลาง ใหญ่ ใหญ่มาก
30)  ชางโจ้วหวัง
♢ 1075–1046 BC : ยุคราชวงศ์ชาง           ราชาองค์สุดท้ายองค์ที่ 30  ชางโจ้วหวัง หรือ ติวอ๋อง หรือ โช่วเต๋อ  หรือเรียกว่า อินโจว และ ตี้ซิน เป็นชื่อเชิงเหยียดหยามสำหรับใช้เรียก คำว่า โจ้วติว นี้หมายถึง เตี่ยว รั้งก้นม้า ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของอานม้าที่ม้ามักทำสกปรก            ชางโจ้วหวัง ประสูติ 1105 ปีก่อนคริสศักราช  สวรรคต 1046  ปีก่อน คริสศักราช  อายุ 59 ปี ครองราชย์ 29 ปี            ชางโจ้วหวังมีพี่เชษฐาสองพระองค์ คือ  อ๋องจื๋อฉี่ และ อ๋องจื๋อหย่าน ภายหลัง  อ๋องทั้งสองได้ปกครองรัฐซ่ง ในฐานะประเทศราชของราชวงศ์โจว            ครอบครัวประกอบด้วยฮองเฮาเจียงหรือเกียง เป็นภรรยาของชางโจ้ว หวัง ครอบครัวของพระนางประกอบด้วย พระบิดาเกียงฮวนฌ้อ ซึ่งเป็นเจ้าเมือง ตังลู้ โอรสมี องค์ชายอินเฮา, องค์ชายอินหอง เป็นต้น           พระสนมเอกต๋าจี่ หรือเรียกเพี้ยนว่า ขันกี  มีโอรสคือ องค์ชายอู่เกิง ใน เรื่องราวของเจียงฮองเฮาและพระสนมต๋าจี่มีปรากฏในวรรณกรรมจีนเรื่องห้อง สิน ซึ่งเกี่ยวกับเทวดาภูติผี                   บันทึกประวัติศาสตร์ของซือหม่าเชียนแห่งราชวงศ์ฮั่น   ระบุว่า ชางโจ้ว หวัง ขึ้นครองราชย์  แม้มีความสามารถไหวพริบปฏิภาณดีมากกว่าคนทั่วไปทั้ง ยังแข็งแรงถึงขนาดล่าสัตว์ป่าได้ด้วยมือเปล่า แต่มีอารมณ์ฉุนเฉียวง่าย             1074 ปีก่อนคริสกาล  โจวเหวิน หรือ จีชาง หรือเรียกว่า กีเซียง ผู้เป็น เจ้าเมืองแห่งรัฐโจวที่เป็นเมืองพี่เมืองน้องกับราชวงศ์ชางได้นำกองทัพช่วยชาง โจ้วหวังพิชิตดินแดนต่างๆ           ครั้งหนึ่ง เจียงฮองเฮาชักชวนสวามี ชางโจ้วหวัง ไปทำพิธีสักการะศาล- เจ้าเทพีหนึ่งออ หรือ เทพีหนี่หวา เป็นมารดาแห่งเทพผู้ให้กำเนิดสรรพสิ่ง และ ซ่อมแซมท้องฟ้าตามความเชื่อในเทพปรัมปราจีนเล่าว่า เทพีหนี่หวาเคยจุติลงมา เป็นน้องสาวหรือพี่สาวและเป็นภริยาของฝูซี ผู้นำชนเผ่าในยุคสามราชาห้าสม เด็จเจ้า              ชางโจ้วหวังเห็นรูปแกะสลักเทพีสาวมีความงดงาม   จึงเขียนโคลงลวน ลามเทพีหนี่หวา ไว้บนผนังศาลเจ้า           เทพีหนี่วาโกรธกริ้วอย่างมากจึงส่งนางปีศาจ 3 ตนลงจากสวรรค์เพื่อทำ ลายชางโจ้วหวัง ประกอบด้วยปิศาจจิ้งจอก เสือปลา, ผีไก่ฟ้าเก้าหัว และภูตพิณ หยก มาล่อลวงชางโจ้วหวังให้ถึงแก่ความวิบัติ                  ต๋าจีเป็นองค์หญิงของผู้ปกครองนัฐซู่ ซึ่งเป็นแคว้นเล็กๆที่ต้องคอยส่ง เครื่องบรรณาการมาถวายให้กับอาณาจักรชาง           เมื่อครั้ง รัฐซู่ไม่สามารถหาเครื่องบรรณาการส่งถวายแก่ชางโจ้วหวังจึง นำกองทัพแห่งอาณาจักรชางยกทัพมาล้อมและโจมตีเมืองหลวง             ราชาแห่งรัฐซู่จึงถวายบรรณาการต๋าจีที่เป็นลูกสาวให้เป็นพระสนมรับ ใช้ชางโจ้วหวัง  ด้วยความงดงามชวนให้หลงใหลของ ต๋าจี ทำใหชางโจ้วหวัง ยอมรับองค์หญิงต๋าจีเป็นสนมในวังและถอนทัพกลับไป           หนึ่งคืนก่อนที่ราชาแห่งรัฐซู่จะพาต๋าจีเข้าถวายตัวแก่ตี้ชางโจ้วหวัง  จิ้งจอกเก้าหางที่เป็นวิญญาณปีศาจจึงได้เข้าสิงครอบงำจิตใจและร่างของ องค์หญิงต๋าจี เพื่อนำความวิบัติมาสู่ชางโจ้วหวัง                  หลังจาก องค์หญิงต๋าจี่ถูกปิศาจจิ้งจอกเข้าสิงและได้ถวายตัวเป็นพระ สนมในอาณาจักรชาง พระสนมต๋าจี่กลายเป็นมเหสีคนโปรดของชางโจ้วหวัง และปีศาจจิ้งจอกเก้าหางในร่างของนาง ทำให้ตี้ชางโจ้วหวังลุ่มหลงมัวเมาราคะ    กระทำทุกอย่างตามคำบงการของจิ้งจอกเก้าหางที่อยู่ในร่างพระสนมต๋าจี           ชางโจ้วหวังลุ่มหลงพระสนมต๋าจี่บริหารงานราชการบ้านเมืองอย่างโฉด เขลา สร้างความเดือดร้อนวุ่นวายให้กับราชสำนักและประชาชน  และหากขุนนาง ผู้ใดว่ากล่าวคัดค้านก็โปรดให้ลงโทษถึงตายด้วยวิธีต่างๆ ด้วยวิธีการที่แปลกประ หลาดที่พระสนมต๋าจีได้คิดค้นขึ้นมาให้ลงโทษอย่างโหดเหี้ยม
          ชางโจ้วหวังได้สั่งประหารเหล่าขุนนาง แม่ทัพคนสนิทที่ภักดี เช่น  อัคร เสนาบดีเหมย์ปั๋ว เป็นต้น เพื่อเป็นความบันเทิงแก่พระสนมต๋าจี่ ตี้ชางโจ้วหวังยัง สั่งให้สร้างเผาเล่า หรือ เผาหลก  แปลว่า  เสานาบ เป็นเสาทรงกลมสูงใหญ่  ทำ จากสำริดข้างในกลวง เอาถ่านร้อนใส่เข้าไป เมื่อเสาร้อนจนแดงก็จับนักโทษมา ล่ามโซ่ไปนาบเสาจนตายอย่างช้าๆ และทรมาน            ผู้เคราะห์ร้ายนั้นมีตั้งแต่สามัญชนไปจนถึงขุนนางผู้ใหญ่กลิ่นศพคน ตายตลบอบอวลไปทั้งวัง  และยังให้ขุดเหวหน้าพระที่นั่งนำเอางูพิษจำนวนมาก มายมายใส่จนเต็ม แล้วโยนขุนนางและสามัญชนที่เคราะห์ร้ายลงไปให้งูกินพิษ ฉกจนเสียชีวิต                    ขุนนางราชบัณฑิตชื่อซางชื่อ หรือ เจียงจื่อหยา หรือ เกียงจูแหย  ไม่ อาจทนเห็นความโหดร้ายของชางโจ้วหวัง จึงลาออกจากกาารเป็นขุนนางราช สำนักเร้นกายพำนักที่ชนบทห่างไกลริมแม่น้ำเว่ยสุ่ย ปัจจุบันอยู่ในมณฑลส่านซี            เจียงจื่อหยาสมัครเป็นศิษย์ของนักพรตที่เรียกตนเองว่า บรรพเทว กษัตริย์ เพื่อเรียนรู้วิชาปราบปีศาจ           หลังจาก เจียงจื่อหยาร่ำเรียนวิชาปราบีศาจจบก็ลาอาจารย์มาแสวงหา ผู้มีบุญที่จะมาเป็นเจ้านายที่แท้จริง โดยนั่งรืมตลิ่งทะเลสาปสามฟุต แล้วหย่อน เบ็ดตกปลาโดยไม่ใส่เหยื่อ            ชาวบ้านชาวช่องเห็นก็แปลกใจจึงพากันมาถามไถ่ เจียงจื่อหยา กล่าวว่า เขามิได้ กำลังตกปลา แต่กำลังตกราชาและผู้กล้าทั้งหลาย จากนั้นเรื่องราวของ เจียงจื่อหยา เริ่มร่ำลือไปทั่ว                      บันทึกประวัติศาสตร์ของชางโจ้วหวังได้อ้างอิงถึงหน้งสือนิยายตำนาน เรื่องเฟิงเฉิน หรือ ห้องสิน ที่ทำขึ้นสมัยราชวงศ์หมิง แปลว่า สถาปนาเทวดาได้ ระบุว่า   เจียงจื่อหยา มีความอดทนสูง เขานั่งตกปลารอผู้มีบุญที่จะมาปรากฏตัว เป็นเวลานานถึง 50-60 ปี  ซึ่งเรื่องราวการนั่งตกปลาของเจียงจื่อหยานี้ ได้เป็น ที่มาเป็นภาษิตจีนที่ว่า เจียงไท่กงตกปลา ( ไท่กง เตี้ยวอี๋ว์) ที่หมายถึงทั้งๆ ที่รู้ แต่ก็ยินยอมติดกับดักที่ผู้อื่นวางไว้￿           ต่อมา เจียงฮองเฮาถูกสนมเอกต๋าจี๋ใส่ร้ายว่าเป็นกบฎต่อชางโจ้วหวัง ทำ ให้เจียงฮองเฮาถูกทรมานอย่างโหดเหี้ยม เพื่อให้รับสารภาพว่าเป็นกบฏ     
           เจียงฮองเฮาเมื่อไม่ยอมรับสารภาพก็ถูกนำร่างล่ามโซ่กับเผาหลกเสา ทองแดงและนาบด้วยไฟร้อน  แล้วพระนางสิ้นพระชนม์เสีย ก่อนในขณะที่จะถูก ควักดวงตา                          เจียงจื่อหยา เมื่อทราบเรื่องก็อ้างโองการสวรรค์จากเทพหยวนสื่อเทียน จุน มีคำสั่งจากสวรรค์ให้สถาปนาเจียงฮองเฮาที่เสียชีวิตเป็นไท้อิมแชกุน  หรือ ราชินีพระจันทร์ ฝ่ายเทพีแห่งพลังหยิน และกำเนิดเทศกาลไหว้พระจันทร์  โดย เทพไท้อิมแชกุน เจ้าแม่เต๋าบ้อหง่วนกุน  ร่วมถึงองค์สุริยเทพกิมซิ้น ได้ประทาน ฤทธิ์เดช แก่นาง            เจียงจื่อหยาได้ประกาศเผยแพร่เรื่องเจียงฮองเฮาเป็นราชินีพระจันทร์ และเทพอื่นๆ บนสวรรค์ให้ชาวบ้านรับรู้ ร่วมถึงเทพต่างๆ ซึ่งได้รับการนับถือใน ลัทธิ เต๋า, ศาสนาพื้นบ้านจีน, ลัทธิขงจื๊อ เป็นต้น                                        บันทึกประติศาสตร์ของซือหม่าเชียนแห่งราชวงศ์ฮั่นระบุว่า ชางโจ้วหวัง มั่วเมาสุรานารี ละเลยศีลธรรมจรรยา ละทิ้งราชกิจการเมือง    
          ชางโจ้วหวังจัดงานร่วมเพศหมู่เป็นประจำ    เพื่อให้ผู้คนมามั่วสุมกระทำ การลามกต่างๆ ร่วมกัน ทั้งยังมักประพันธ์เพลงกลอนหยาบช้าอนาจาร            ชางโจ้วหวังหลงใหลสนมเอกต๋าจี่ ซึ่งเป็นคนวิปริตผิดมนุษย์ เนื่องจาก นางถูกปิศาจจิ้งจอกสิงสู่  สนมเอกต๋าจี่ชวนชางโจ้วหวัง ประพฤติต่ำทรามต่างๆ มีการนำเรื่องนี้ไปเสริมแต่งหลายขนาน โดยเฉพาะในหนังสือนวนิยายห้องสิน
           สนมเอกต๋าจีคอยยุยงใหชางโจ้วหวังฆ่าคนเป็นผักปลา   สร้างสระเหล้า ดงเนื้อขึ้น เอาเนื้อสัตว์มาห้อยไว้ตามต้นไม้  และบ่อสุราป่าเนื้อ  โดยเอาน้ำเหล้า มาใส่ในสระเป็นบ่อขนาดใหญ่ที่เรือลงไปลอยลำได้หลายลำในเขตราชฐาน เอา หินรูปไข่จากชายหาดมาขัดเงาแล้วตั้งเรียงไว้บนพื้นบ่อ แล้วเทสุราลงไปให้เต็ม บ่อ   ทั้งสร้างเกาะขนาดเล็กไว้กลางบ่อ  ปลูกต้นไม้บนเกาะนั้น  แล้วเอาเนื้อสัตว์ แขวนไว้บนกิ่งไม้            ชางโจ้วหวังชวนญาติสนิทมิตรสหาย   พร้อมด้วยสนมชายาทั้งหลายมา ล่องเรือในสระ  ใครกระหายก็จ้วงเหล้าขึ้นมาดื่มได้   ใครหิวก็คว้าเนื้อมากินได้ เป็นสิ่งบันเทิงที่ชางโจ้วหวังนิยมชมชอบมาก     และโด่งดังที่สุดแห่งความเสื่อม ทรามและฉ้อฉลของราชาแผ่นดินจีน           สิ่งชั่วร้ายเหล่านี้เป็นเหตุให้เหล่าบัณฑิตขุนนางหมดความเชื่อถือในราช- วงศ์ชาง  ประชาชนด่าประนามทั้งแผ่นดิน อันเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้ราชวงศ์ ซางล่มสลายลง            เจียงจื่อหยามีความสามารถในการล่วงรู้อดีตชาติ กล่าวว่า ชางโจ้วหวัง ที่เป็นผู้มีความรู้ความสามารถมากคนหนึ่ง เดิมเป็นเทวดามาเกิดเช่นกัน แต่หลง ผิดคิดชั่ว เพราะมีนางปิศาจหลอกลวงให้กระทำผิดจึงต้องลงมาเกิดเป็นมนุษย์           สนมเอกต๋าจี่จึงได้สถาปนาชางโจ้วหวังให้เป็นเทวดาตั้งศาล   เรียกว่า  ดาวฟ้าปลื้ม ทำหน้าที่ส่งเสริมความรักและการครองคู่ของมนุษย์  เพื่อแข่งขัน กับเขียงฮองเฮาที่เสียชีวิต และเหล่าเทพบนสวรรค์ตั้งเป็นเทพีดูแลดวงจันทร์            การแข่งขันสร้างความเชื่อในไสยศาสตร์ให้กับพวกพ้องของฝ่ายตัวเอง ระหว่าง เจียงจื่อหยากับพระสนมต๋าจี้ ทำให้ประชาชนเกิดความเชื่อในเทพเทวดา ปีศาจ  ส่งผลให้มีศาลเจ้าบูชามากมาย และเทวดาเกิดใหม่อีกมากมาย           
         ชาวบ้านหลายกลุ่มเริ่มบูชาเทวดาและปีศาจ  บ้างนับถือพระสนมตาจี๋ และ ตั้งศาลเจ้าบูชาขึ้น ก่อเกิดเป็นลัทธิบูชาปิศาจจิ้งจอก ซึ่งเป็นลัทธิมั่วเมากามราคะ ได้แพร่กระจายไปทั่ว  
☆ ชั้นเขตแดนสวรรค์และตำแหน่งเทพเจ้า บนสวรรค์ นรกภูมิ และภูตผีปีศาจ กำหนด ดังนี้   
1. เทียนจวิน ฮ่องเต้ของเทพทั้งปวง หรือ เง็กเซียนฮ่องเต้ อยู่ชั้นที่ 9 ชั้นบนสุด ใน 9 ชั้น1.1. เทียนโฮ่ว มเหสีของเง็กเซียนฮ่องเต้1.2. เทียนเฟย พระสนมของเง็กเซียนฮ่องเต้2. ตี้จวิน ประมุขประจำชั้นสวรรค์ ต่างๆ 2.1. ตี้โฮ่ว พระสนมของประจำชั้นสวรรค์ต่างๆ3. เปิ่นจวิน เชื้อพระองค์ชาย เช่น องค์ชายของราชาเทพมังกรที่ปกครองทะเล ใต้  เป็นต้น
4. เทียนเสิน เทพสูงสุดผู้เป็ยนตำนาน5. ซ่างเสิน เทพชั้นสูง6. เปิ่นเสิน  ยกยอเทพสวรรค์ชั้นกลาง-สูง7. เซี่ยเสิน เทพชั้นกลาง8. เหล่าเสิน เซียนสูงอายุ9. เสินจวิน   เทพชาย10. เสินหนวี่   เทพหญิง11. เสี่ยวเสิน หรือ เสี่ยวเซียน เซียนผู้น้อย* เซียนแดนวิหคสวรรค์ เชาคุนหลุน ไม่เคร่งครัดการเรียกตามลำดับตำแหน่ง และอาวุโส12. กุ่ยเสิน เทพชั้นล่าง 13. พวกภูต ที่ได้รับตำแหน่งให้ช่วยงานไปมาสวรรค์ได้ถือเป็นชั้นต่ำสุดบน สวรรค์
     
          เจียงจื่อหยาและต๋าจี่ได้ทำให้ไสยศาสตร์เทพเทวดาเป็นศรัทธาเชื่อถือใน รัฐชางได้แพร่หลายไปยังรัฐอื่นๆ มีศาลเจ้าเกิดขึ้นมากมาย  ซึ่งมีระบุอ้างอิงจาก หนังสือห้องสินที่ทำขึ้นในสมัยราชวงศ์หมิงที่เกี่ยวกับเทพหรือเซียนในนิทานพื้น บ้านจีนถึง 100 องค์ ซึ่งมีการ ปรับปรุงแต่งเพิ่มเติมในภายหลังอีก ตัวอย่างเช่น           ☆ เง็กเซียนฮ้องเต้ (ภาษาแต้จิ๋ว) หรือ ออวี้ซางต้าตี้ หรือ อวี้หวงต้าตี้  (ภาษาจีนกลาง) แปลว่า จักรพรรดิหยกพำนักที่วังเทียนกง หรือ พระราชวังบน สรวงสวรรค์            เง็กเซียนฮ้องเต้ได้รับการยกย่องให้เป็นเทพสูงสุด ตั้งแต่พุทธศตวรรษ ที่ 14  เป็นผู้ปกครองแห่งสามโลก ดูแลตั้งแต่สวรรค์ โลกมนุษย์ และมหาสมุทร  ทั้งสิบทิศ สี่กำเนิด และ หกมรรคา          
          เง็กเซียนฮ่องเต้ เรียกอีกชื่อว่า ทีกง สวมใส่เสื้อผ้าเช่นเดียวกับจักรพรรดิ มีพระมาลาด้านหน้า มีเส้นร้อยไข่มุกเป็นแถวห้อยลงมาหน้าพระพักตร์ พระหัตถ์ ทรงป้ายซือฮุด  ด้านหลังมีหลังมีเทพธิดารับใช้สองคนคอยโบกพัด  ด้านหน้ามี เทพองครักษ์สององค์ฝ่ายบู๊และฝ่ายบุ๋น                        แต่เดิม  เง็กเซียนฮ้องเต้เป็นมนุษย์มีฐานะโอรสของราชาจิ้งเต๋อหวาง และจักรพรรดินีเป่าเหยียนกวง แห่งอาณาจักรกวงเอี๋ยนเมี่ยวเล่อ            คืนวันหนึ่ง เป่าฮองเฮา ฝันว่า เซียนไท่ซ่างเหล่าจวิน อุ้มเด็กทารกมา วางบนตักพระนาง และทรงตั้งครรภ์ 12 เดือน ประสูติโอรสชื่อจิ้งเง็ก วันที่ 9 เดือน 1 หรือเดือนอ้าย
           องค์ชายจิ้งเง็กทรงเฉลียวฉลาดเก่งกาจตั้งแต่เยาว์วัยก็สามาถช่วยพระ บิดาบริหารราชกิจบ้านเมือง หลังจากจิ้งเต๋อหวางสวรรคต องค์ชายจิ้งขึ้นครอง ราชบัลลังค์  ต่อมา ตี้จิ้งเง็กทรงเบื่อหน่ายทางโลก สละราขสมบัติไปอยู่ในป่าลึก บำเพ็ญเพียรเพื่อบรรลุมรรคผล เผชิญความยากลำบากถึง 800 ครั้ง    
         เมื่อจิ้งเง็กสำเร็จเป็นเทพแล้วก็ลอยขึ้นสู่สวรรค์ชั้น 9  ได้เป็นผู้ปกครอง สวรรค์  ทุกๆ วันเกิดของเง็กเซียนฮ่องเต้จะมีงานชุมนุมเทวดาสวรรค์ เพื่อร่วม อวยพรวันเกิดเง็กเซีบนฮ่องเต้                       ชาวจีนมีความเชื่อว่าเง็กเซียน คือผู้ดลบันดาลทุกอย่างที่มีบนโลก ทั้ง ธรรมชาติ ดวงชะตา และความเป็นไปของมนุษย์ ดังนั้นเง็กเซียนจึงมีผลต่อวิถี วัฒนธรรมของชาวจีน            ศาลเจ้าหรือวัดจีนทั่วโลก ก่อนที่จะทำการบูชาเทพองค์อื่น ต้องทำพิธี บูชาเง็กเซียนฮ่องเต้ เป็นอย่างแรก เพื่อเป็นการให้เกียรติ   ศาลเจ้าส่วนมากจะ ตั้งกระถางธูปของเง็กเซียนไว้ตรงหน้าของศาล   โดยตรงกระถางธูปหรือป้าย บูชาของจะสลักตัวอักษรแตกต่างออกไปตามแต่ละกลุ่มชนเผ่าภาษา            ศาลเจ้าของชาวฮกเกี้ยนและชาวกวางตุ้ง จะสลักคำว่าเทียนก๊วนซูฮก  ศาลเจ้าของ ชาวแต้จิ๋วและไหหลำจะสลักคำว่าทีตี่แป้บ้อ                        ชาวจีนมีความเชื่อว่า  เมื่อสมัยราชวงค์หมิง  ชาวจีนฮกเกี้ยนถูกรุกราน จากญี่ปุ่นจึงพากันหนีไปหลบในดงอ้อย     เมื่อญี่ปุ่นยกทัพกลับไปจึงได้พากัน ออกมา วันนั้นเป็นวันที่ 9 คำ เดือน 1 ปฏิทินจีน พอดีซึ่งตรงกับวันป่ายทีกง           ชาวจีนฮกเกี้ยนเชื่อว่าเง็กเซียนฮ่องเต้ช่วยเหลือให้รอด จึงได้จัดการพิธี ป่ายทีกง ในวันประสูติของเง็กเซียนฮ่องเต้ ซึ่งเป็นวันหลังวันตรุษจีนไปแล้ว 8 วัน           ชาวจีนฮกเกี้ยนทั่วโลกจะมีพิธีทีกง เรียกกันว่า ป่ายเทียนกง เพื่อระลึกถึง พระคุณ ของเง็กเซียนและนำต้นอ้อยมาใช้ในพิธีบูชาเง็กเซียน            อ้อย ภาษาจีนฮกเกี้ยนเรียกว่า ก้ามเจี่ย ซึ่งไปพ้องเสียงกับคำว่า กัมเสี่ย  ซึ่ง แปลว่า ขอบคุณ           วรรณกรรมไซอิ๋วที่โด่งดังที่แต่งขึ้นในสมัยราชวงศ์หมิง  ระบุถึงหลาน ของเง็กเซียน  คือ  ยี่หนึง จินกุน มีพี่น้อง 7 คน เป็นเซียนองค์เดียวที่สามารถ ปราบซุนหงอคงแล้วเอาตัวมาลงโทษบนสวรรค์  ซุนหงอคงมีฤทธิ์มาก เมื่อนำ ตัวขึ้นสวรรค์ไปประหารก็ไม่ตายทางสวรรค์จึงขออาศัยบารมีพระพุทธเจ้าหรือ พระยูไลให้จับตัวหงอคงไปขังไว้ใต้ภูเขาเป็น
           เวลานานถึง 500 ปี  รอจนผู้มีบุญมาช่วย  ซึ่งผู้มีบุญนั้น  คือ พระแม่ กวนอิมและหลวงจีนเสวียนจั้ง ผู้ที่ทำให้หงอคงกลับตัวกลับใจจนเข้าร่วมเดิน ทางไปขอไตรปิฎกที่แดนธิเบต           ชาวจีนบางกลุ่มเชื่อว่าเง็กเซียนฮ่องเต้  มีการเปลี่ยนตัวผู้สืบทอดตาม วาระ  โดยเง็ก เซียนฮ่องเต้องค์ปัจุบันเป็นองค์ที่ 18 คือ เทพเจ้ากวนอู
☆  หนังสือห้องสินระบุเรื่องของพระโพธิสัตว์กวนอิมที่เกิดในช่วง 900 ปีก่อนคริสกาลว่า  เดิมเป็นเทพธิดา   ซึ่งต้องการช่วยปลดเปลื้องทุกข์ภัยแก่มวล มนุษย์  ในชาติสุดท้ายจุติลงมายังโลกมนุษย์เป็นองค์หญิงเมี่ยวซ่าน ในวันที่ 19 เดือนยี่ เป็นธิดาองค์เล็กของราชาเมี่ยวจวง และจักรพรรดินีเซี่ยวหลิน หรือพระ นางเป๋าเต๋อ แห่งอาณาจักรซิงหลิง            องค์หญิงเมี่ยวซ่านมีพี่สาว 2 องค์ คือองค์หญิงเมี่ยวอิม และองค์หญิง เมี่ยวหยวนในเยาว์วัย องค์หญิงเมี่ยวซ่านทรงนับถือพุทธศาสนาเป็นพุทธมามกะ ที่รู้แจ้งในหลักธรรมลึกซึ้ง   ตั้งพระทัยแน่วแน่จะบำเพ็ญภาวนาเพื่อหลุดพ้นสัง สารวัฏทรงผนวชเป็นชีวันที่ 19 เดือน 9              แต่เมี่ยวจวงไม่เห็นด้วย บังคับองค์หญิงเมี่ยวซ่านให้แต่งงาน เพื่อได้ มีโอรสสืบทอดราชบัลลังก์ต่อไปแต่ องค์หญิงเมี่ยวซ่านไม่สนพระทัยเรื่องโลกีย์ และลาภยศสรรเสริญ  ดังนั้นแม้ถูกพระบิดาดุด่าอย่างไรก็มิยอมทำตาม แต่ก็ไม่ เคยนึกโกรธเคืองแต่อย่างใด           
           องค์หญิงเมี่ยวซานถูกถอดยศเป็นสามัญชนและขับไล่ให้ไปทำงานหนัก ในสวนดอกไม้ เช่น  หาบน้ำ  ปลูกดอกไม้  เป็นต้น    เพื่อทรมานให้เปลี่ยนความ ตั้งใจทีจะผนวชเป็นนางชี            เหล่ารุกขเทวดาในสวนดอกไม้จึงได้ปรากฏกายออกมาช่วยทำงานแทน นางเมี่ยวซ่าน เอเมี่ยวจวงเห็นว่าใช้วิธีนี้ไม่ได้ผล จึงรับสั่งให้หัวหน้าแม่ชี นำนาง เมี่ยวซ่านไปอยู่ที่วัดนกยูงขาว และให้แม่ชีทั้งวัดใช้งานองค์หญิงเมี่ยวซ่าน ทำคนเดียว           องค์หญิงเมี่ยวซ่านมีใจเด็ดเดี่ยวไม่เกี่ยงงานการต่างๆ  เหล่าเทวดาบน สวรรค์ จึงลงมาช่วยนางทำงานในวัดนางชี            เมี่ยวจวงเข้าพระทัยว่าพวกแม่ชีไม่กล้าเคี่ยวเข็ญใช้งานหนัก ยิ่งทรงกริ้ว หนักขึ้นสั่งให้ทหารเผาแม่ชีทั้งวัดไปพร้อมกับวัดนกยูงขาว      นางเมี่ยวซ่านคน เดียวที่รอดชีวิตมาได้            เมี่ยวจวงจึงรับสั่งให้ทหารนำตัวนางเมี่ยวซ่านไปประหารชีวิต เหล่าเทพ บนสวรรค์คุ้มครองนางเมี่ยวซ่าน    โดยเนรมิตทองทิพย์เป็นเกราะห่อหุ้มตัวนาง ทำให้คมดาบของผู้ลงทัณฑ์ไม่อาจระคายผิวกายนาง ดาบประหารหักถึง 3 ครั้ง 3 ครา            เมี่ยวจวงทรงกริ้วยิ่งนัก เข้าใจว่าคนลงทัณฑ์ไม่กล้าประหารจริง  จึงให้ ประหารคนลงทัณฑ์ แล้วให้จับนางเมี่ยวซ่านไปแขวนคอ แต่ผ้าแพร ที่แขวนคอ ก็ขาดสะบั้นลงอีก            ทันใดนั้นปรากฏ  เสือตัวหนึ่งโผล่มาคาบนางเมี่ยวซ่านเผ่นหนีไป  เมี่ยว จวงเข้าพระทัยว่านางเมี่ยวซ่านถูกเสือคาบไปกินแล้ว จึงไม่ได้สนใจอีก           เสือตัวนั้นแท้จริงเป็นเทวดาแปลงร่างมาช่วยเหลือนางเมี่ยวซ่าน     หลัง จากพานาง  เมี่ยวซ่านมาที่ภูเขาเซียงซันแล้วก็จากไป   เทพไท่ไป๋จิงซิง ซึ่งเป็น เทพอาวุโสองค์หนึ่งฝ่าย ลัทธิเต๋าอยู่บนสวรรค์เมื่อ 3000 ปีก่อนคริสตกาล   เทพ ไท่ไป๋จิงได้แปลงร่างเป็นชายชรามาโปรดนางเมี่ยวซ่าน  ชี้แนะการบำเพ็ญเพียร ดับทุกข์      หลังจากนั้น นางเมี่ยวซ่านจึงบรรลุ มรรคผลสำเร็จธรรม ในวันที่ 19 เดือน  
          ต่อมา บาปกรรมที่เมี่ยวจวงก่อไว้ส่งผลให้ป่วย ด้วยโรคร้ายแรงที่ไม่มียา รักษาให้หายได้ นางเมี่ยวซ่านได้ทราบด้วยญาณอิทธิฤทธิ์ว่าเมี่ยวจวงกำลังประ-  สบเคราะห์กรรม หนัก ด้วยนางเมี่ยวซ่านมีความกตัญญูเป็นเลิศ นางเมี่ยวซ่านมิ ได้ถือโทษโกรธการกระทำของบิดาแม้แต่น้อย           นางเมี่ยวซ่านทรงได้สละดวงตาและแขนสองข้าง    เพื่อรักษาบิดาจน หายจากโรคร้าย จากนั้นนางเมี่ยวซ่านสำเร็จเป็นเทพบนสวรรค์ได้ดวงตา และ แขนทั้งสองข้างคืน              
          นางเมี่ยวซ่านขึ้นสวรรค์เป็นพระโพธิสัตว์กวนอิม (ภาษาฮกเกี้ยน) หรือ กฺวันยิน (ภาษาจีนกลาง)  เชิ่อกันว่านางเมี่ยวซ่านนั้นจุติมาเผ็นมนุษย์อีกหลาย ชาติ และนับถือศาสนาพุทธ  แต่เทพไท่ไป๋แห่งลัทธิเต๋าเป็นผู้ได้มาโปรดชี้แนะ หนทางดับทุกข์ เหตุนี้จึงเป็นเทพทั้ง ฝ่ายพุทธและฝ่ายเต๋า            เจ้าแม่กวนอิมเป็นพระโพธิสัตว์ในคัมภีร์คติมหายาน ในตำนานเล่าว่า อดีตชาติของ นางเมี่ยวซ่านหรือเจ้าแม่กวนอิมเป็นบุรุษที่ทำความดีขึ้นสวรรค์ เป็นเทวดาผู้ชาย หรือพระอว โลกิเตศวรโพธิสัตว์ในคัมภีร์สันสกฤต ซึ่งมีต้นกำ เนิดจากคัมภีร์พระสูตรมหายานในประเทศอินเดีย ก่อนมาเกิดเป็นสตรีบนโลก มนุษย์ เมื่อเป็นพระโพธิสัตว์กวนอิมเคยแสดงปาฏิหาริย์ เป็นปางกวนอิมพันมือ ปราบมาร                     ในสัทธรรมปุณฑรีกสูตรได้อธิบายว่า  พระอวโลกิเตศวรนั้นสามารถแบ่ง ภาคเพื่อจุติมาโปรดสรรพสัตว์ได้ทั้งสัตว์หรือปางบุรุษและสตรี  และเป็นธรรมดา ของพระโพธิสัตว์มหายาน เมื่อศาสนาเข้าไปสู่ดินแดน ทิเบต จีน และญี่ปุ่น  ย่อม ผสมผสานกลมกลืนได้กับเทพท้องถิ่นนั้นๆ            นักประวัติศาสตร์ชื่อ ชาร์ล เอลเลียต ได้ตั้งข้อสังเกตว่าคงเนื่องมาจาก ความสับสน ทางความคิดของชาวจีนในยุคนั้น  ซึ่งบูชาเทพเจ้าต่างๆ ของตนอยู่ แล้ว และเมี่ยวซ่านก็เป็น เทพวีรชนของจีนดั้งเดิมอยู่ก่อน    เมื่อคติพระโพธิสัตว์ จากอินเดียแผ่เข้าไปถึงได้เกิดการผสานทางวัฒนธรรม   เปลี่ยนชื่อเพียงแต่คุณ ลักษณะต่างๆ พอให้แยกออกว่า เป็นพระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์￿
           ☆ บันทึกห้องสินใน 900 ปีก่อนคริศกาล  มีระบุเรื่องเทพนาจา หรือ หน่าจา หรือเหนอจา ซึ่งเป็นเทพอีกองค์ที่ถูกนำไปสร้างหนังละครทีวี            ในยุคราชวงศ์ซาง โลกมนุษย์เกิดมีปีศาจมากมาย  เทพเด็กชื่อ หลินจิน จื่อ เป็นหนึ่งในเทพที่ถูกส่งลงมาปราบปีศาจบนโลก   บางตำราเชื่อว่าเทพ หลิน- จินจื่อ เป็นบุตรของ เจ้าแม่ กวนอิม           วันหนึ่ง  ตี้ซาง ออกมาล่าสัตว์ แม่ทัพหลี่ (หลี่เจ๊ง) ที่มีเชื้อสายราชวงศ์ ติดตามมาอารักขาและล่าสัตว์  ขณะแม่ทัพหลี่ไล่ยิงธนูใส่กวางตัวหนึ่ง เทพเด็ก หลินจินจื่อผ่านมา   เห็นเกิดรู้สึกสงสารกวางจึงเอาร่างเข้ารับธนูของแม่ทัพหลี่  ร่างเทพเด็กหลินจินจื่อหลังถูก ลูกธนูล้มลงก็หายไป แม่ทัพหลี่พิศวงงงวยเป็น อย่างมาก           แม่ทัพหลี่มีภรรยาชื่อนางฮึ่นสีมีลูกชายสองคนแรกชื่อ จินจาและมูจา ขณะกำลังตั้งครรภ์ลูกคนที่สาม  เง็กเซียนบนสวรรค์เห็นเทพหลินจินจื่อย ถ่ง เกี่ยวเรื่องของมนุษย์ จึงลง โทษโดยส่งหลินจินจื่อให้มาเกิดเป็นลูกแม่ทัพหลี่ เพื่อปราบมารทำความดีชดใช้โทษ           เทพเด็กหลินจินจื่อจุติยังโลกมนุษย์เป็นบุตรของแม่ทัพหลี่และนางฮึ่นสี ขณะที่นาง ฮึ่นสีตั้งท้องอยู่นั้น แม่ทัพหลี่ได้ถูกส่งให้ไปออกรบประมาณ 1 ปี กับ อีก 6 เดือน แล้วนาจาก็ กำเนิด วันที่ 9 เดือน 9     เมื่อแม่ทัพหลี่กลับมาภรรยาก็ คลอดบุตรพอดี แต่กลับเป็นก้อนหินจึง เข้าใจว่าเป็นปีศาจ           แม่ทัพหลี่โกรธมากจึงใช้กระบี่ฟันไปที่ก้อนหิน   จนแตกก็เห็นเด็กทารก ชายนอนอยู่บนผ้าแพรและมีห่วงทองอยู่ที่ตัวด้วย  นอกจากนี้แล้วนาจาก็ยังมีอีก ตำนานตอนกำเนิดที่แตกต่างออกไป ได้แก่ นาจาถือกำเนิดในยุคราชวงศ์หยวน หรือมองโกล แต่คล้ายคลึงกับตำนานแรกและแม่ของนาจาที่หลับฝันไปแล้วเห็น นักบวชลัทธิเต๋ามาบอกว่า นางจะคลอดบุตรชายออกมาที่มีเขาเดียวบนกลาง ศีรษะ และเมื่อคลอดออกมานาจาก็มีความสูงถึง 2 ม.เป็นต้น           นาจาเติบโตเป็นเด็กชายที่แข็งแรงเหนือกว่าคนธรรมดาและซุกซนไม่ กลัวใคร           วันหนึ่ง นาจาไปเล่นน้ำทะเล เอาผ้าเหวี่ยงเล่นน้ำทะเล  ด้วยอิทธิฤทธิ์ เทพจุติ ทำให้ เกิดคลื่นยักษ์ทั้งบนน้ำทะเลและใต้ทะเลกระเทือนไปถึงราชวัง มังกรใต้บาดาล          เจ้าสมุทรจึงสั่งให้ทหารวังบาดาลออกมาดูที่ชายหาด ก็เห็นเด็กชายนาจา กำลังเล่นน้ำทะเล    ทหารวังบาดาลจึงเข้าไปขู่ให้เลิกเล่นาจาซุกซนใช้ผ้าเหวี่ยง น้ำทะเลไล่ทหารวังบาดาล    แต่ปรากฏว่าไปถูกตัวทหารวังบาดาลของเจ้าสมุทร ตาย                ลูกชายของเจ้าสมุทรเห็นว่านานแล้ว ทหารยังไม่มารายงานจึงนำทหาร วังบาดาล ขึ้นตามไปดูก็เห็นทหารวังบาดาลนอนตายอยู่ที่ริมหาดทะเล และเด็ก ชายนาจาเล่นน้ำทะเล อย่างไม่สนใจใยดี             ลูกชายเจ้าสมุทรจึงเข้าไปเอาเรื่องนาจา แต่ก็ถูกนาจาใช้ผ้า แพรเหวี่ยง ใส่ตายเช่นกัน ทหารวังบาดาลรีบก็ไปรายงานเจ้าสมุทร   เจ้าสมุทรโกรธมากจึง ไปหาแม่ทัพหลี่และบอกว่าลูกของท่านได้ฆ่าลูกของตน  และเจ้าสมุทรจะเอาน้ำ ทะเลมาถล่มเมือง           นาจาแอบได้ยิน รุ่งเช้าจึงดำน้ำทะเลลงไปเมืองบาดาล และถลกเส้นเอ็น มังกรของ เจ้าสมุทร ทำให้ร่างมังกรให้เป็นงูเขียว           นาจาออกจากเมืองบาดาลกลับไปบ้าน เมื่อนาจากลับถึงบ้าน  แม่ทัพหลี่ ก็ดุด่านาจาว่า เจ้าสมุทรโกรธมากและจะใช้น้ำทะเลถล่มเมือง           นาจาจึงเอาเส้นเอ็นเจ้าสมุทรออกมาให้พ่อดู แล้วบอกว่า เส้นเอ็นนี้ของ เจ้าสมุทรนั้น เอามาให้พ่อทำเสื้อเกราะ   แล้วนาจาก็ขว้างงูเขียวที่เป็นเจ้าสมุทร ลงพื้นให้บืดาดู           แม่ทัพหลี่โกรธมากจึงดุด่านาจาที่สังหารคนไม่ยอมความรับผิด   ทำให้ นาจาน้อยใจ จึงทำการลงโทษแล่เนื้อคืนแม่และแล่กระดูกคืนพ่อ    จากนั้นวิญ ญาณนาจาไปเข้าฝันบอกให้แม่ทำศาลบูชาให้แล้วนาจาจะได้ชุบชีวิตขึ้นมาใหม่
          แม่ทัพหลี่ทราบเรื่องก็ตามไปทำลายศาลวิญญาณ      นาจาจึงโกรธมาก และคิดที่จะล้างแค้นบิดา เมื่อนาจาตายไปแล้ววิญญาณของตนก็ลอยไปพบเทพ ซือจุน  เทพอาวุโสเก่าแก่ องค์หนึ่งบนสวรรค์        
          เทพซือจุนเห็นว่านาจามีความสามารถในการปราบมารปีศาจที่บนโลก มนุษย์จึงได้ชุบชีวิตให้กับนาจา โดยใช้ก้านบัวแทนกระดูก รากบัวแทนเนื้อใยบัว แทนเอ็น และใบบัวแทนเสื้อผ้าอาภรณ์ขึ้นมาใหม่           ดังนั้น รูปลักษณ์ของนาจาจะปรากฏให้ห็นเป็นรูปของเด็กผู้ชายเหยียบ วงล้อไฟ  มือถือหอกและห่วงเป็นอาวุธ มีอิทธิฤทธิ์เหาะเหินเดินอากาศได้ ออก ปราบมารปีศาจได้
           ต่อมา ภายหลังเง็กเซียนฮ่องเต้ทรงแต่งตั้งนาจาเป็นจงตั๋นหง่วนโส่ย หรือจงตั๋นเหยียนฟู่  แม่ทัพแห่งสวรรค์ทำหน้าที่ปกป้อง ประตูสวรรค์ เช่นเดียว กับเอ้อหลางเสิน (เทพสามตา)           ภายหลังจากแม่ทัพหลี่จิ้งเสียชีวิตได้รับการแต่งตั้งจากองค์เง็กเซียน ฮ่องเต้ ได้เป็น ขุนพลสวรรค์ มีอาวุธคู่กายคือ เจดีย์ 7 ชั้น           นาจาไม่ถูกกับแม่ทัพหลี่ผู้เป็นบิดาแต่เมื่อแม่ทัพหลี่ตายเป็น เซียนสวรรค์ เหล่าเซียนได้ใกล่เกลี่ยเนื่องบาดหมางแล้วรับใช้เง็กเซียนอย่างสามัคคีกัน เมื่อ หลี่จิ้งลงมาโปรดสัตว์โลกก็จะมีนาจาตามมาด้วยทุกครั้ง
☆ บันทึกห้องสินใน 900 ปีก่อนคริศกาล มีระบุเรื่องแม่ทัพหลี่จิ้ง หรือ ถักทลี ทีอ๋อง ท้าวโลกบาลผู้ถือเจดีย์  7  ชั้นนี้   สามารถกักขังได้ทั้งวิญญาณ ภูตผีปีศาจ หรือแม้แต่เทพเจ้า และเรื่องของแม่ทัพหลี่จิงมีความสอดคล้องกับ ตำนาน เทวดาของศาสนาในท้องถิ่นอื่น                       หลี่จิ้งเป็นหนึ่งในจตุโลกบาลจีนซึ่งตรงกับท้าวเวสสุวรรณในเทพปกร ณัมฮินดู ถือ เป็นท้าวมหาราช 4 องค์ สวรรค์ชั้นแรกและเป็นชั้นล่างที่สุด เรียก สั้นๆว่า ชั้นจาตุ   มีที่ตั้งอยู่บริเวณเชิงเขาพระสุเมรุที่เป็นแดนเป็นที่อยู่ของท้าว มหาราชทั้งสี่   กล่าวคือ  สวรรค์ชั้นนี้เป็นดินแดนที่จอมเทพ 4 องค์ ผู้รักษาคุ้ม ครองโลกใน  4 ทิศ ซึ่งเรียกว่า ท้าวโลกบาลหรือท้าวจตุโลกบาล หรือ ท้าวจาตุ มหาราช หรือ สี่ปวงผี ปกครองอยู่องค์ละทิศ            ท้าวเวสวัณ หรือ ท้าวเวสสุวรรณ เป็นเทพเจ้าแห่งยักษ์หนึ่งในจาตุมหา- ราชผู้คุ้มครองและดูแลโลกมนุษย์ สถิตอยู่บนสวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกา
           ในหนังสือรามเกียรติ์เป็นโอรสของท้าวลัสเตียนกับนางศรีสุมณฑามีพระ อนุชา คือ ท้าวกุเปรัน, ท้าววัสวตีวัณ เป็นเจ้าแห่งสวรรค์ชั้นที่ 6 ทรงอิทธิฤทธิ์อานุ ภาพมาก ในตำนานเล่าว่าเคยตัดเศียรของท้าวราวัณเทวดาผู้มีฤทธิองค์หนึ่งขาด ไป  1 เศียร ครองโลกบาลทิศเหนือ ท้าวเวสวัณคือท้าว กุเวร ในศาสนาฮินดู                            ดังนั้น   นาจาจึงอาจเป็นเทพนลกุเวรซึ่งเป็นบุตรชายของท้าวเวสสุวรรณ หรือท้าวกุเวรที่มาจากเทพปกรณัมของฮินดู เนื่องจากมีลักษณะเหมือนกัน ซึ่งคำ ว่า นาจากับคำว่า นลกุเวร ที่เป็นภาษาสันสกฤตปรากฏในพระสูตรมหามยุรีวิทยา ราชาสูตรของพุทธศาสนา   ในนิกายตันตระที่การแปลชื่อนี้ออกมาไม่เหมือนกัน แต่ที่สุดแล้วคำว่า นลกุเวร เรียกอย่าง สั้นๆ แบบจีนว่า นาจา อีกทั้งเนื้อเรื่อง ยังมี ความเหมือนกันในเรื่องของปมเอดิปุสด้วย
 
           ราชวังอาณาจักรชาง ชางโจ้วหวังใช้จ่ายอย่างฟุ่มเฟือย ทำให้ค่าใช้จ่าย ในราชสำนักชางสูงลิ่ว จึงได้เรียกเก็บภาษีอย่างหนัก ประชาชนได้รับความทุกข์ เข็ญ ญาติพี่น้องและขุนนางที่ตักเตือนด้วยความหวังดีก็ประสบชะตากรรมที่โหด ร้าย           เจียงจื่อหยาใช้กระดูกเสี่ยงทายว่า ขุนนางคนสำคัญของชางโจ้วกำลัง สิ้นไป คือ ปี่กั้น หรือ ปิกัน ซึ่งเป็นขุนนางใหญ่และหนึ่งในญาติของชางโจ้วหวัง           เจียงจื่อหยาได้ไปพบปี่กั้นและมอบเครื่องรางให้ปี่กั้นไว้คุ้มภัย พร้อมกับ ให้คำแนะนำในการที่จะรอดพ้นคราเคราะห์ครั้งแก่ปี่กั้น                    พระสนมต๋าจี่ได้ใหชางหวังโจ้วจัดงานเลี้ยงเรียกเทวดาหลายองค์มาร่วม โต๊ะเสวยกับตี้ชางโจ้วหวัง คืนหนึ่ง ปี่กั้นเห็นผิดปกติจึงลอบสังเกตดูทราบว่าเป็น ปิศาจจิ้งจอกแปลง เป็นเทวดามาหลอกลวง           ปี่กั้นรอให้งานเลี้ยงจบ และปิศาจเหล่านั้นกลับรังก่อนแล้วสั่งให้ทหารฆ่า ทิ้งเสียให้หมด แล้วนำขนจิ้งจอกมาทำภูษาถวาโจ้วหวัง เพื่อเป็นหลักฐาน                                            พระสนมต๋าจี่เห็นขนหนังของเพื่อนปิศาจจิ้งจอกก็แค้นใจ นางจึงหลอก ชางหวังโจ้วว่า นางมีโรคหัวใจซึ่งรักษาได้โดยต้องบริโภคหัวใจพิสุทธิ์เจ็ดห้อง และปี่กั้นเป็นผู้ที่มีหัวใจพิสุทธิ์           ชางโจ้วหวังจึงเรียกให้ปี่กั้นแสดงความจงรักภักดี โดยควักหัวใจให้พระ สนมต๋าจี๋รับทานเป็นยา     ปี่กั้นนึกถึงคำแนะนำของเจียงจื่อหยาก็กลืนเครื่องราง ลงท้อง แล้วควักหัวใจตนเองออกมาถวายโดยโลหิตไม่หยาดสักหยด   และมิได้ เป็นอันตรายใด แล้วปี่กั้นก็เดินออกจากวังกลับบ้าน
          เจียงจื่อหยาได้สั่งห้ามปี่กั้นเหลียวหลังกลับไปมอง จนกว่าจะถึงบ้าน เขาจึงจะรอดชีวิต   ขณะที่ใกล้จะถึงบ้านอยู่แล้วนั้นเอง แม่ค้าคนหนึ่งร้องว่า
“มีกะหล่ำไร้หัวใจมาขาย”           
          ปี่กั้นได้ฟังก็ฉงนจึงหันไปดูแล้วถามว่า “กะหล่ำไร้หัวใจคืออะไร?”              
          หญิงนั้นก็ตอบว่า  “ กะหล่ำไร้หัวใจก็เหมือนคนไร้หัวใจ กะหล่ำอยู่ไม่ ได้ถ้าไร้หัวใจฉันใด คนก็อยู่ไม่ได้ถ้าไร้หัวใจฉันนั้น”           หญิงแม่ค้าพูดจบ ปี่กั้นก็ล้มลงตาย หญิงคนนั้นก็คืนร่างเดิมเป็นภูตพิณ หยก 1 ใน 3 ที่เทพีหนี่วาส่งมาจัดการกับชางโจ้วหวัง
            1,100 ปีก่อนคริสกาล โจวเหวินหรือจีซาน ผู้เป็นเจ้าเมืองรัฐโจว ที่เป็น เมืองพี่เมืองน้องของราชวงศ์ชาง    ซึ่งเป็นกำลังช่วยเหลือรัฐชางมาตั้งแต่สมัย บรรพบุรุษ    เมื่อมีข่าวเรื่องความโหดเหี้ยมของชางโจ้วหวัง ทำให้เกิดมีข่าวว่า โจวเหวิน คิดล้มล้างแคว้นชาง           ดังนั้น พระสนมต๋าจี่จึงยุยงชางโจ้วหวังให้ระแวงว่า ราชวงศ์โจวไม่พอ ใจการเสวยสุขของชางโจ้วหวังจึงคิดล้มล้างราชวงศ์ชาง เพื่อยึดครองทุกอย่าง           ทำให้ชางโจ้วหวังจึงทรงพิโรธต่อโจวเหวินเจ้าเมืองรัฐโจวมีคำสั่งให้ติ้ว อ๋องวางแผนจับกุม  โจวเหวินให้ไว้ที่เมืองโหยวหลี่หรือเซียงหลี่           โจวเหวินเป็นคนชาญฉลาด ดังนั้นระหว่างที่ถูกขังในคุก จึงศึกษาตำรา กุยฉัง จนจัดทำตำราโจวอี้ ซึ่งอีกชื่อหนึ่งคืออี้จิง  ซึ่งครอบคลุมถึงความเปลี่ยน แปลงทั้งมวลในตำราเหลียงซาน กุยฉัง และอี้จิง ทั้ง 3 เล่ม ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกัน          ☆ ตำราอี้จิง คือวิชาที่ว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงจากมีเป็นไม่มี ไม่มีเป็นมี บวกกลายเป็นลบ ลบกลายเป็นบวก จึงมีการแทนสิ่งเหล่านี้ด้วยเส้นเต็ม และเส้น ขาดสองแบบ           หลักการอ่านของวิชาอี้จิงมีหลายแบบ     แต่โดยหลักใหญ่คือ วิธีผู่กว้า หรือ การขึ้นรูปแบบของกว้า ประกอบไปด้วยเส้น 6 เส้นให้ได้เสียก่อน โดยการ ขึ้นกว้านี้ ไม่มีรูปแบบที่ตายตัว   เหตุการณ์ที่พบเห็นสามารถขึ้นแบบได้ทั้งหมด ไม่ว่าจะเห็นคนเดินมา      แล้วเราก็ตีความหมายด้วยหลักของกว้าหรือการโยน เหรียญ แล้วนำมาขึ้นกว้า   หรือการใช้วันเดือนปีและเวลาปัจจุบันมาตั้งกว้าก็ถูก ต้องทั้งหมด ที่บอกว่าถูกต้องทั้งหมด เพราะการขึ้นกว้าจุดประสงค์เพื่อต้องการ อ่านเรื่องราวที่เราต้องการ      โดยผู้ถามต้องมีความสัมพันธ์กับเรื่องนั้นด้วย จึง สามารถทำให้การอ่านนั้นถูกต้องได้ หลักเบื้องต้นการอ่านความหมายตามหลัก   อี้จิง ต้องรู้ความหมายของข่วยหรือเหล็ก 6 เหลี่ยม และยันต์ 8 ทิศ เสียก่อน ซึ่ง หากมีความรู้เกี่ยวกับฮวงจุ้ยอาจมีแม่นยำมากขึ้น           เมื่อนำมารวมกัน 6 เส้นหรือฉักลักษณ์  ฉักกะ หก, ลักษณะ รูปแบบ) เมื่อ นำมาหาค่าความน่าจะเป็นก็จะได้รูปแบบการเปลี่ยนแปลงถึง  64 แบบ  จนกลาย มาเป็นแม่แบบของวิชาฮวงจุ้ยหกสิบสี่ข่วยด้วยนั่นเอง           ด้วยรูปแบบแห่งความจริงของการเปลี่ยนแปลง 64 แบบนี้    มันคือความ จริงแท้ที่เดินคู่กับชีวิตคนเรา    ศาสตร์อี้จิงจึงสามารถชี้เส้นทางเดินที่ถูกต้องให้ คนเราได้อย่างถูกต้องและแม่นยำ            ปั้วอี้เข่า หรือ เปกอิบโค้ เป็นบุตรชายคนโตของโจวเหวิน และมีน้องชาย ชื่อ โจวอู่ หรือ จีฟา หรือ กีฮวด ที่มีความโดดเด่นในราชวงศ์โจว
           ปั๋วอี้เข่ามีความสามารถในดนตรี โดยเฉพาะพิณกู่ฉิน  และยังเป็นคนที่มี ความกตัญญู เขามาเข้าเฝ้าชางโจ้วหวังขอให้ปล่อยบิดา พระสนมต๋าจี่เห็นว่าเขา ปั๋วอี้เข่ามีรูปงามก็มีใจปฏิพัทธ์  จึงขอให้ชางโจ้วหวังให้ปั๋วอี้เข่าเป็นอาจารย์สอน นางเล่นพิณกู่ฉิน           พระสนมต๋าจี่ยั่วยวนปั๋วอี้เข่า แต่ถูกปั๋วอี้เข่าบอกปฏิเสธความรักของนาง ทำให้นางเกิดความไม่พอใจ จึงทูลยุยงตี้ชางโจ้วหวังสั่งประหาร แล้วให้เอาศพ ไปทำขนมเปี๊ยะให้โจวเหวินที่ถูกคุ้มขังในคุกรับทาน           โจวเหวินทราบเหตุการณ์ทั้งหมดดี  แต่จำยอมบริโภคขนมเปี๊ยะนั้น เพื่อ รอวันจัดการกับนางจิ้งจอกในภายหน้า
          พระสนมต๋าจีเมื่อพอใจแล้ว จึงให้ชางโจ้วหวังอภัยโทษให้อ๋องโจวเหวิน และปล่อยตัวออกจากคุก ระหว่างโจเหวินทางกลับบ้าน ในหนังสือห้องสินระบุว่า โจวเหวินอาเจียนออกเป็นกระต่ายสีขาว 3 ตัว  และถูกนำไปอยู่ใต้การดูแลของ เทพธิดาดวงจันทร์            โจวเหวินกลับถึงรัฐโจวก็ลักลอบซ่องสุมกำลังพลเพื่อโค่นล้มอาณาจักร ชาง โความสัมพันธ์ระหว่างแคว้นชางและรัฐโจวตึงเครียดขึ้นเรื่อย              1098 ปีก่อนคริสศักกาล  เรื่องราวของเจียงจื่อหยาที่นั่งตกปลาในที่สุด ก็ร่ำลือถึงโจวเหวิน โดยปู่ของโจวเหวินได้แนะนำให้ไปพบเจียงจื่อหยา   
          โจวเหวินจึงพาบุตรชาย โจวอู่ ไปหาเจียงจื่อหยา โดยทำเป็นเดินทางไป ล่าสัตว์ และไปพบกับเจียงจื่อหยา ที่ขณะนั้นอายุ 80 ปีแล้ว ยังคงนั่งตกปลาโดย ที่ไม่มีเหยื่อ           โจวเหวินเข้าไปทักทายอย่างสุภาพ ถามว่า ท่านมีความสุขในการตกปลา หรือไม่￿                          เจียงจื่อหยาได้ตอบว่า บุคคลที่น่ายกย่องที่แท้จริงนั้น คือผู้ที่มีความสุข ในการที่ทำให้ความมุ่งมั่นนั้นสำเร็จ การตกปลาของข้าพเจ้าก็เช่นกัน￿          โจวเหวินหวังชักชวนสนทนาด้วยก็พบว่านี่คือคนที่เชื่อได้ว่าเป็นบุคคที่ จะสามารถช่วยค่นล้มทรราชชางโจ้วหวังได้ จึงเชิญเจียงจื่อหยาเข้ารับตำแหน่ง สำคัญในราชสำนักโจว           เจียงจื่อหยาขอให้โจวเหวินช่วยเข็นเกวียนก่อน โจวเหวินก็ช่วยเข็นไป ได้ 800 ก้าว เจียงจื่อหยาก็ทำนายว่าโจวเหวินจะได้ตั้งสถาปนา แคว้นเป็นราช วงศ์ใหม่และยืนยาวไป 800 ปี แล้วเจียงจื่อหยาตกลงมาเป็นที่ปรึกษาราชการ ให้อ๋องโจวเหวิน           เสนาบดีเจียงจื่อหยาถูกขนานนามว่าเจียงไท่กงหวั่ง ต่อมาได้ย่อให้เป็น ไท่กงวั่ง  มีความหมายว่า ความหวังแห่งราชวงศ์โจว แต่โดยทั่วไป มักจะรู้จัก กันในชื่อ เจียงไท่กง                   เจียงจื่อหยาจึงเป็นนักยุทธศาสตร์คนสำคัญของอ๋องโจวเหวินและโจวอู่ ผู้นำการ ก่อรัฐประหารเพื่อล้มล้างราชวงศ์ซาง และสถาปนาราชวงศ์โจวขึ้น           นักประวัติศาสตร์และนักวิชาการต่างลงความเห็นว่า เจียงจื่อหยาที่มีชีวิต อยู่เมื่อประมาณ 3,000 กว่าปีก่อนคริสกาล   เจียงจื่อหยาถือเป็น 1 ใน 2 นักยุทธ ศาสตร์การสงครามที่เก่งกาจที่สุดในประวัติศาสตร์จีน            โดยอีกผู้หนึ่งได้แก่ เตียวเหลียง ที่มีชีวิตอยู่ในสมัยราชวงศ์ฮั่นตะวันตก เป็นคนละคนกับเตียวเหลียงในเรื่องสามก๊ก แต่เป็นเสนาบดีแห่งราชวงศ์ฮั่นของ หลิวปังหรือปฐมจักรพรรดิฮั่นเกาจู่ ซึ่งบางตำราอ้างว่า เตียวเหลียงได้ศึกษาการ สงครามมาจากตำราพิชัยสงครามที่เจียงจื่อหยาเขียนขึ้น                     โจวเหวินปนะกาสสงครามกับชางโจ้วหวัง ทั้งสองรัฐทำสงครามกัน แต่ โจวเหวินก็สิ้นอายุขัยก่อนก่อการสำเร็จ  โจวอู่ บุตรชายจึงทำสงครามกับรัฐชาง สืบต่อไป         
            1050 ปีก่อนคริสศักกาล  โจวอู่ผู้นำรัฐโจว มีประชาชนเข้าร่วมกองทัพ จำนวนมาก โจวอู่นำกองทัพยกไปปราบชางโจ้วหวัง โดยอ้างว่าเขาได้รับอาณัติ สวรรค์ หรือ เทียนมิ่ง ให้มาปราบทรราชชางโจ้วหวัง          1046 ปีก่อนคริสตกาล ยุทธการมู่เหย่ หรือ การสู้รบระหว่างราชวงศ์ชาง กับ ราชวงศ์โจว ที่ตำบลมู่เหย่ ทางตะวันตกเฉียงใต้ของเมืองอินซวี มณฑลเหอ หนาน           กองทัพชางมีกำลังทหาร 530,000 นาย ทาส 170,000 คน ต่อมาภาย หลังแปรพักไปฝ่ายตรงข้ามทั้งหมด รวม 700,000 นาย, รถศึก 3,700 คัน ทำ การป้องกันเมืองอินซวี           กองทัพโจว มีกำลังทหารเพียง 50,000-70,000 นาย, ทาสจำนวนมาก, รถศึกโจว 300 คัน, ทหารระดับสูง 3,000 นาย, ทหารราบ 45,000 นาาย          โจวอู่ได้รับคำแนะนำจากที่ปรึกษา เจียงจื่อหยา ให้นำกำลัง 50,000 นาย เข้าตีกองทัพชางโจ้วหวังที่ทางทิศตะวันออก    ทำให้กลุ่มทาสทางทิศตะวันออก แปรพักตร์ไปอยู่ฝ่ายทัพของโจวอู่ ทำให้ขวัญกำลังใจทหารซางลดน้อยลง                      ทั้งสองฝ่ายปะทะกันที่ตำบลมู่เหย่ ทางตะวันตกเฉียงใต้ของเมืองอินซวี ทหารฝ่ายซางส่วนใหญ่  ลดอาวุธลงและแปรพักตร์ เพราะไม่อยากรบเพื่อชาง- โจ้วหวัง  แต่บางส่วนยังไม่ยอมจำนนจึงเกิดการสู้รบกันอย่างรุนแรง            สงครามระหว่างสองแคว้นมีการเรียกทำพิธีเรียกเทวดา ตลอดจนภูตผี ปิศาจ มาช่วยรบในการนี้  โดยอาจารย์ของเจียงจื่อหยาได้มอบบัญชีเทวดามา ให้เจียงจื่อหยาเรียกใช้เทวดามาสู่กับกองทัพชาง           
          แต่กองทัพโจวอู่ทำลายกองทัพของตี้ชางโจ้วหวังได้เป็นผลสำเร็จ ฝ่าย กองทัพชางสูญเสียทหารในฝ่ายแปรพักษ์และที่เหลือถูกสังหารไปทั้งหมด ฝ่าย ราชวงศ์โจวได้รับชัยชนะ
         ชางโจ้วหวังหลบหนีไปในราชวัง หลังจากกองทัพทหารชางพ่ายแพ้ แล้ว จุดไฟเผาฆ่าตัวตายไปพร้อมกับสมบัติพัสถานต่างๆ      นับเป็นการล่มสลายของ ราชวงศ์ซาง           โจวอู่สังหารพระสนมต๋าจี่ ก่อนที่นางจะชิงฆ่าตัวตายได้สำเร็จ แต่บาง ตำนานเล่าว่า พระสนมต๋าจี่ใช้ฤทธิ์เดชของปีศาจจิ้งจอก หลบหนีออกราชวังไป ยังเกาะญี่ปุ่น           ทรัพย์สินในท้องพระคลังถูกนำไปแจกจ่ายให้ประชาชนทั่วไป ยุทธการ มู่เหย่ นับเป็นจุดสิ้นสุดของราชวงศ์ซาง และการขึ้นสู่อำนาจของราชวงศ์โจว           โจวอู่สถาปนาราชวงศ์ใหม่ คือ ราชวงศ์โจว โดยมีเจียงจื่อหยาเป็นเจ้า พระยามหาอุปราช (นายกรัฐมนตรี) คนแรก และได้รับรัฐฉีไปปกครอง             เจียงจื่อหยาได้ช่วยสร้างความเจริญให้แก่บ้านเมืองมาก ทั้งด้านการ เมือง การปกครอง และศิลปวัฒนธรรม จนเป็นราชวงศ์ที่ยาวนานที่สุดในประ- วัติศาสตร์จีน  มีคำกล่าวว่า แท้จริงแล้ว บุคคลที่เป็นทั้งเป็นบิดาและเจ้าแห่งตำรา พิชัยสงครามในประวัติศาสตร์จีนคนแรกคือ เจียงจื่อหยา ซึ่งได้เขียนตำราพิชัย สงครามไว้เล่มหนึ่งชื่อว่า หกความลับแห่งยุทธศาสตร์      
           นอกจากนี้ยังมีข้อสันนิษฐานว่าตำราสามยุทธศาสตร์ของหวางสือกง แท้จริงแล้วอาจเป็นงานของ เจียงจื่อหยา           ในปัจจุบัน เจียงจื่อหยาได้รับการยกย่องให้เป็นหนึ่ง ในนักยุทธศาสตร์ที่ เก่งที่สุดทั้งในประวัติศาสตร์จีนและโลกด้วย           ลัทธิบูชาปิศาจจิ้งจอกซึ่งยังมีผู้คนมากมายหลายกลุ่มนับถือตาจี๋  ต่อมา ทางการกำหนดให้เป็นลัทธินอกกฎหมาย  แต่นางจิ้งจอกต๋าจียังได้รับการบูชา จากลัทธิมืดในจีน จนถึงสมัยราชวงศ์ถัง ความร่ำลือกันเกี่ยวกับภูตผีเทวดาว่า ต๋าจี่เป็นปิศาจจิ้งจอก ยิ่งเลืองลือโด่งดัง   เมื่อนำไปใส่ไว้ในนวนิยายหลายเรื่อง ในสมัยราชวงศ์หมิง เช่น โจวอู่หวังปราบโจ้วหวัง,  ตำนานห้องสิน   และบันทึก พงศาวดารเรื่องรัฐต่างๆ ในยุคสมัยโจวตะวันออก  
          ในนิยายนั้น   เจียงจื่อหยาปรากฏอยู่ในวรรณกรรมจีนโบราณในหนังสือ ห้องสิน  เจียงจื่อหยามีฐานะผู้สั่งประหารนางต๋าจี่ ซึ่งเป็นนางจิ้งจอกพันปีแปลง กายมาล่อลวงฮ่องเต้องค์สุดท้ายแห่งราชวงศ์ซาง ให้ลุ่มหลงในอำนาจและกาม รมณ์  จนนำไปสู่การก่อรัฐประหารโค่นล้มราชวงศ์ชางในที่สุด  ทำให้ต๋าจี่เป็นที่ จดจำในวัฒนธรรมจีนในฐานะตัวอย่างของหญิงงามล่มเมือง                 เมื่อถึงช่วงราชวงศ์ซ่ง เกิดการแพร่ของลัทธิบูชาปิศาจจิ้งจอก ซึ่งหลาย กลุ่มนับถือ ต๋าจี๋     ทางการจึงกำหนดให้เป็นลัทธินอกกฎหมาย  ในปีค.ศ.1111 ฮ่องเต้ซ่งฮุ่ยจงยังรับสั่งให้ทำลายศาลปิศาจจิ้งจอกหลายแห่งทั่วแผ่นดิน แต่ไม่ เคยปราบปรามสำเร็จ .....จบยุคสมัยราชวงศ์ชาง
 
 
 

 

คำยืนยันของเจ้าของเรื่องเล่า

✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

คุณคิดยังไงกับเรื่องเล่าเรื่องนี้

* สามารถกรอกแบบสำรวจโดยไม่ต้องเป็นสมาชิกก็ได้ครับ

 

อ่านเรื่องเล่าเรื่องอื่น

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา