กาเบรียล ไนต์ ภาค แหวนแห่งมิติ
-
เขียนโดย GUEST1759244270
วันที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2568 เวลา 22.02 น.
3 ตอน
0 วิจารณ์
129 อ่าน
แก้ไขเมื่อ 30 กันยายน พ.ศ. 2568 22.14 น. โดย เจ้าของนิยาย
1) ความทรงจำ
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ“รับไปสิ” มือหนึ่งยื่นแหวนวงหนึ่งมาตรงหน้า
“พ่อแม่สอนไม่ให้รับของจากคนแปลกหน้า” เด็กชายวัยสิบขวบที่ดูแก่แดดเกินวัยตอบชายชราท่าท่างใจดีที่อยู่ตรงหน้า
“ผมไม่รู้จักคุณตา” ดวงตามองขึ้นสบชายชรา แม้จะรู้สึกสนใจสิ่งที่ผู้สูงวัยยื่นให้ แต่เขายังยืนยันคำเดิม
“ความจริงเราเป็นญาติกัน แต่พ่อของเจ้าดันทำเรื่องให้มันยุ่งยาก เราเลยไม่ได้เจอกัน” ชายชรากล่าว
“ทำไมผมต้องเชื่อคุณตา” เด็กชายกอดอกถาม
“พ่อเจ้าไม่เล่าอะไรให้ฟังบ้างเลยรึ”
“ตาพูดอะไร ความจริงตาเป็นสายลับ มาลักพาตัวผมใช่ไหม”
“หา !”
ชายชราอุทาน ตามด้วยเสียงหัวเราะก่อนที่จะยอมเก็บแหวนใส่ลงในกระเป๋าเสื้อคลุมสีดำ
“ทำไมถึงคิดแบบนั้น”
“เพราะตาสามารถมายืนคุยกับผมได้โดยที่บอดี้การ์ดของผมไม่โผล่มาเลยสักคนเดียว ฝีมือน่าจะไม่ธรรมดา” เด็กชายที่ฉลาดเกินวัยตอบผู้อาวุโสตรงหน้า
ใบหน้าที่มีริ้วรอยตามวัยมองเพ่งพินิจไปที่ใบหน้าของเด็กน้อยตรงหน้ามากขึ้นก่อนจะเอ่ย
“สรุปจะเอาไหม แหวนวงนี้”
“ไม่อ่ะ ผมไม่รับของจากคนไม่รู้จัก” เด็กน้อยยังยืนยัน
“รู้ไหมว่ามันมีค่ามากแค่ไหน”
“พ่อแม่ของผมรวยมาก ถ้าอยากได้ให้พวกท่านซื้อให้ก็ได้ อีกอย่างผมแค่เด็กสิบขวบ จะใส่แหวนหน้าตาโบราณแบบนี้ไปทำไมล่ะตา เชยจะตาย”
“ตามใจ แต่ไม่มีใครหลีกหนีโชคชะตาพ้นหรอกนะเจ้าหนู”
“ตายังจะลักพาตัวผมอีกเหรอ”
“คงไม่ล่ะ เพราะสักวัน เจ้าจะเป็นฝ่ายมาหาฉันเอง” กล่าวจบชายชราในชุดคลุม สีดำก็หายวับไปกับตา เด็กน้อยตรงหน้าผู้มีไอคิวเข้าขั้นอัจฉริยะได้แต่ยืนตะลึง และกำลังเค้นสมองหาคำตอบที่วิทยาศาสตร์จะสามารถอธิบายได้ ก่อนที่ดวงตาจะพร่าเลือนและสติสัมปชัญญะของเขาจะดับวูบไป
บนเตียงนอนขนาดคิงไซส์ ร่างของเด็กหนุ่มคนหนึ่งลืมตาตื่นขึ้นมาบนเตียง ผมสีน้ำตาลเข้มของเขาแลดูยุ่งเหยิง และนัยน์ตาสีเทาก็ยังทอประกายแห่งความสับสน ฝันอีกแล้ว เขาฝันแบบนี้มาหลายครั้งแล้ว และทุกครั้งเหตุการณ์ในความฝันก็จบแบบเดิม มันคือความฝัน? ใช่สิ มันต้องเป็นความฝัน เพราะเขาจำไม่ได้ว่าในชีวิตเคยมีเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นจริง ย่อมแปลว่ามันคือความฝัน เพราะเขาคือ กาเบรียล วิคเตอร์ ไนต์ อัจฉริยะที่มี ไอคิวสูงถึง 160 ความจำย่อมไม่ต้องพูดถึง ไม่ว่าจะเป็นหนังสือ ข้อความ หรืออะไรก็ตามที่ผ่านตาเขาแค่รอบเดียว เขาสามารถจดจำเนื้อหาได้ทั้งหมด และไม่ลืม
เสียงเคาะประตูดังสามครั้ง ก่อนที่ประตูจะเปิดออกแล้วมีร่างกำยำที่เข้าสู่วัยกลางคนของชายคนหนึ่งก้าวเข้ามา
“อรุณสวัสดิ์ครับคุณหนู”
“เมื่อไหร่จะเลิกเรียกคุณหนูสักทีนะลุงเจค ผมโตจนจะเข้ามหาวิทยาลัยอยู่แล้ว” เสียงบ่นอย่างเหม็นเบื่อที่มีให้กับพ่อบ้าน ควบตำแหน่งหัวหน้าบอดี้การ์ด และตำแหน่งพี่เลี้ยงกิตติมศักดิ์ตั้งแต่เกิดของเขา
“ผมเรียกแบบนี้มาตั้งแต่คุณหนูเกิด”
“แล้วเปลี่ยนใหม่ได้ไหมเล่า” กาเบรียลพูดพร้อมย่นคิ้ว
“ไม่ครับ” เจคอบตอบหน้าตาย
“ฮึ่ม ! ไปเรียนมหาวิทยาลัย ผมจะไปอยู่หอพัก เบื่อขี้หน้าทั้งลุงทั้งตาแก่คลั่งรักภรรยาตลอดเวลาคนนั้น”
“คุณท่านกับคุณผู้หญิงไปล่องเรือเที่ยวรอบโลกแล้วครับ”
“อะไรนะ! พวกเขากล้าทิ้งลูกชายคนเดียวไว้แบบนี้เรอะ” กาเบรียลร้องอย่างหัวเสีย แต่ไหนแต่ไรมาเขาก็เป็นเหมือนหมาหัวเน่าสำหรับคนที่ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นพ่อ ที่พยายามยึดเอาเวลาของผู้เป็นแม่ไปจากเขา ตั้งแต่เขาอายุสามขวบที่มีแววจะเห็นถึงความเป็นอัจฉริยะ ตาแก่นั่นก็เริ่มส่งเขาไปเรียนรู้สิ่งต่าง ๆ ทั้ง ภาษาที่ สี่ ห้า หก เรียนศิลปะการสู้แทบจะทุกรูปแบบ ค่ายเสริมทักษะความสามารถที่เขาต้องไปในทุกปิดเทอม ตั้งแต่อยู่เกรด 1 ด้วยข้ออ้างว่า เห็นถึงความสามารถ ไหนจะส่งเลขาส่วนตัวมาสอนงานและสอนให้เขาเรียนรู้ธุรกิจครอบครัวที่เป็นธุรกิจสายการบินทั่วโลก ตั้งแต่เขาอายุ 10 ขวบ ด้วยเหตุผลว่าเขาเป็นลูกชายคนเดียว ต่อไปทุกอย่างต้องเป็นของเขา เขาต้องรีบเรียนรู้ไว้แต่เนิ่น ๆ เพียงเพื่อจะได้รีบโยนงานมาให้เขาไว ๆ และไปใช้เวลาอยู่กับภรรยาสุดที่รักของตัวเองสองต่อสองน่ะสิ
“คุณท่านว่าเดี๋ยวคุณหนูเองก็จะมีเรื่องให้ทำ ยุ่งจนไม่มีเวลาว่างมานั่งเหงาหรือบ่นให้คุณท่านครับ” อดีตนาวิกโยธินที่ผันตัวมาเป็นพ่อบ้านกล่าว
“ฮึ! ก็คงอย่างนั้น อีกเดือนเดียวผมก็ต้องเข้าเรียนแล้ว ไหนจะต้องศึกษางานที่ตาแก่นั่นทิ้งไว้ให้อีก คงจะมีเวลาว่างหรอก”
กาเบรียลกำลังจะเข้าศึกษาต่อในมหาวิทยาลัยชั้นนำของโลก โดยเรียนในสาขาการบริหารธุรกิจควบคู่กับวิศวกรรมเครื่องกล ซึ่งโดยทั่วไป ไม่มีเด็กคนไหนที่สามารถเข้าเรียนพร้อมกันสองสาขาวิชาแบบนี้ได้ แต่เนื่องจากความสามารถในการสอบเข้าที่เป็นอันดับหนึ่ง สามารถทำคะแนนได้เต็มทั้งสองสาขาวิชา แบบที่ไม่เคยมีนักเรียนคนใดทำได้มาก่อน บวกกับอิทธิพลของตาแก่นั่น จึงทำให้มหาวิทยาลัยร่างโครงการพิเศษขึ้นมาเพื่อส่งเสริมความสามารถเด็กที่มีพรสวรรค์เป็นเลิศ ซึ่งก็คือเขานั่นแหละ ส่วนเหตุผลที่ทำไมเขาต้องเลือกเรียนพร้อมกันแบบนี้ เพราะตาแก่บ้าอำนาจนั่นบังคับให้เขาเรียนการบริหารเพื่อมาสานต่อธุรกิจครอบครัว แต่ตัวเขากลับชอบเครื่องยนต์กลไกมาตั้งแต่จำความได้ จึงเกิดความขัดแย้งกันขึ้นระหว่างพ่อลูก จนคุณแม่สุดสวยผู้เป็นอดีตนักแสดงชื่อดังท่านหนึ่งต้องมาสงบศึกและเสนอทางออกให้ คฤหาส์นตระกูลไนท์จึงเข้าสู่ความสงบ
“วันนี้คุณหนูจะให้เลขาเอาเอกสารมาให้ศึกษาไหมครับ”
“เอาไว้ก่อนฮะลุง วันนี้ผมมีนัดกับเพื่อนช่วงสาย ๆ อีกอย่างผมควรจะทำตัวขยันให้น้อยลงหน่อย เสเพลให้มากขึ้น ในเมื่อคุณพ่อคุณแม่ผู้แสนดีของผมก็กำลังทำตัวเป็นขบถ ทิ้งงานแล้วหนีเที่ยวเหมือนกัน” กาเบรียลพูดเสียงรอดไรฟัน
รถสปอร์ตสุดหรูราคาแพงระยับแล่นเข้ามาจอดด้านหน้าตรงจุดบริการสำหรับสมาชิกระดับวีไอพี ในสนามยิงปืน ก่อนที่ร่างสูงเกือบร้อยเก้าสิบเซนติเมตรของเด็กหนุ่มคนหนึ่งจะก้าวลงมา แล้วส่งกุญแจรถให้กับพนักงานที่ยืนรออยู่ เควิน พอล เดม่อน ก้าวเดินไปยังสถานที่ประจำของตนกับเพื่อนสนิทที่เขาคิดว่ามันคงมารอเขาอยู่ก่อนแล้ว ขณะเดินผ่านเด็กสาวกลุ่มหนึ่งเขาก็ไม่ลืมที่จะส่งยิ้มพิมพ์ใจไปให้ ส่งผลให้สาวน้อยกลุ่มนั้นแทบจะสลบจากอาการตื่นตะลึงในความหล่อของคนตรงหน้า เฮ้อ ! เกิดมาหล่อนี่ก็ลำบากใจเหมือนกันนะ เควินได้แต่รำพึง
“นายมาสาย” เสียงหนึ่งร้องทัก
“ฉันไม่ได้สาย นายมาก่อนเวลาเอง” เควินตอบ
“นายสายไปสองนาที มัวแต่ไปยิ้มโปรยเสน่ห์ที่ไหนมาล่ะสิ” กาเบรียลเอ่ย
“บ๊ะ ! ฉันมันคนหล่อเว้ย รอยยิ้มของฉันสร้างความสุขให้สาว ๆ ทุกคน ใครจะเป็นเหมือนแก ทำหน้าบูดหน้าบึ้งทั้งวัน เหมือนหงุดหงิดให้ใครอยู่ตลอดเวลา กะแค่จะฉีกยิ้มบ้างนี่กล้ามเนื้อหน้ามันจะพิการรึยังนะฮึ ความนิยมที่โรงเรียนของแกเลยลดฮวบ ๆ ลงทุกปี แล้วนี่แกหงุดหงิดอะไรวะ” เควินเลิกคิ้วสงสัย สรรพนามที่ใช้เรียกเพื่อนสนิทเริ่มเปลี่ยนไปเมื่ออีกฝ่ายยังคงหาเรื่องเขาไม่เลิก
“พ่อแม่นายเคยปล่อยนายทิ้งไว้บ้านคนเดียวนาน ๆ บ้างไหน” กาเบรียลตั้งคำถาม
“บ่อยไป เดี๋ยวก็โผล่ไปตรวจงานที่โรงแรมประเทศนั้นบ้าง ประเทศนี้บ้างอยู่ตลอด ฉันกับน้องชายอยู่กันสองคนจนชินแล้ว และอีกอย่างต่อให้ชวนไปด้วยฉันก็ไม่ไปหรอก น่าเบื่อจะตาย นี่นายอย่าบอกนะ ว่าอยากจะตามพ่อแม่ไปไหนมาไหนด้วยน่ะ” เควินถามอย่างตกใจ
“ใช่ซะที่ไหนกันล่ะ ฉันแค่เบื่อที่ต้องถูกโยนงานมาให้ทำแทน ช่วงที่คู่นั้นแอบหนีไปเที่ยวกันเฉย ๆ ” กาเบรียลเริ่มโวยวาย
“ช่วยไม่ได้ ใครใช้ให้นายตกหลุมพรางท่านประธานวิคเตอร์ ถูกหลอกสอนงานสืบทอดทายาทอสูร มาตั้งแต่สิบขวบล่ะ แล้วดันเป็นอัจฉริยะ สานต่อแล้วพัฒนาธุรกิจจนสายการบินของนายเติบโตเพิ่มเป็นหลายหมื่นล้าน คราวนี้นายน่าจะซวยยาวแล้วล่ะเพื่อนเอ๋ย สงสัยคุณลุงคงจะโยนตำแหน่งประธานกรรมการบริหารมาให้นายเร็ว ๆ นี้แน่ ” เควินเริ่มคาดเดา
“ฉันยังเป็นแค่เด็กหนุ่มอายุสิบแปดปี ที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะ พวกเขากะให้ฉันเปลี่ยนสภาพจากวัยเด็กเข้าสู่วัยกลางคนเลยรึยังไง ฉันยังไม่ได้ใช้ชีวิตวันรุ่น ที่โลดโผนตื่นเต้นเหมือนเพื่อนวัยเดียวกันเลยนะเฮ้ย” กาเบรียลโอด
“ใครใช้ให้เอ็งเก่ง ฉลาด แสนรู้เกินไปล่ะเพื่อน ต้องอย่างฉันเว้ย ทำตัวลอยไป ลอยมา ไปวัน ๆ พ่อกับแม่เลยไม่คาดหวังอะไร ไปลุ้นเอากับเจ้าคริสน้องชายฉันแทน” เควินอวดสรรพคุณตัวเอง ซึ่งส่งผลให้เพื่อนสนิทมองมาอย่างสังเวช
“ระวังคุณลุงคุณป้าจะยกสมบัติให้น้องชายแกหมดละกัน” กาเบรียลกล่าวอย่างหมั่นไส้
“ไม่มีทางเว้ย ฉันมันหลานรักคุณย่า หลานชายสุดหล่อ อ่อนโยนที่เข้าไปออดอ้อนอยู่บ่อย ๆ เมื่อวานยังพึ่งซื้อรถสปอร์ตรุ่นล่าสุดให้ฉันเลยเพื่อนรัก ขอโทษที่ต้องทำให้ไสเจียนะ ฮ่า ฮ่า ฮ่า” เสียงหัวเราะที่จงใจดังขึ้นเพื่อกวนประสานคนที่ทำหน้านิ่วคิ้วขมวดตรงหน้า
“บางทีฉันก็สงสัยนะ ว่าฉันทนคบกับนายมาได้ยังไง”
“เฮอะ! ฉันต่างหากไหม ที่ต้องทนคบกับแก เพราะสงสารที่เห็นเด็กใหม่หน้าขาวต้องนั่งกินข้าวอยู่คนเดียวตอนเที่ยงแทบทุกวัน เพื่อนในห้องไม่มีใครกล้าเข้าใกล้นาย ก็พ่อเล่นแผ่รังสีความไม่เป็นมิตรจากใบหน้าออกมาขนาดนั้น ถามจริงแกจะเก๊กทำไมตั้งแต่เด็กวะ ตอนนั้นเราอายุเท่าไหร่กันเชียว มิน่าคุณลุงวิคเตอร์ถึงรีบจะให้นายเรียนรู้งานมาสืบทอดตำแหน่งท่านไว ๆ เพราะนายมันชอบทำตัวแก่เกินวัย”
เควินเริ่มบ่นยืดยาวถึงเรื่องสมัยประถมที่เขาได้เจอกับกาเบรียลเป็นครั้งแรก ตอนที่อีกฝ่ายย้ายโรงเรียนมาตอนที่พวกเขาเรียนอยู่เกรดสี่ เขารู้สึกทึ่งเมื่อรู้ว่าเพื่อนร่วมห้องที่ย้ายมาใหม่สามารถพูดได้ถึงหกภาษา ทั้งที่อีกฝ่ายอายุสิบขวบเท่ากันกับเขา ไหนจะความสามารถด้านอื่น ๆ ที่เขาค่อย ๆ ได้รู้เพิ่มอีก จะเสียก็อย่างเดียว หมอนี้ชอบชักสีหน้าหงุดหงิดใส่คนรอบข้างบ่อย ๆ กับทำหน้าบึ้งตึงเฉยชาเป็นเอกลักษณ์ คนเลยคิดว่าเจ้านี่เป็นคนเงียบ มีโลกส่วนตัวสูง คงมีแต่เพื่อนสนิทอย่างเขากับคนในครอบครัวมันเท่านั้นล่ะที่รู้ว่า หมอนี่ขี้บ่นมากแค่ไหน เพราะแบบนี้แม้จะหน้าตาดีเท่า ๆ กับเขา แต่กับได้รับความนิยมจากสาว ๆ ในโรงเรียนน้อยกว่าเขามาก
“ฉันเปล่า แค่บางครั้งขี้เกียจยิ้ม เพราะมันดูเสแสร้งและมารยายังไงไม่รู้”
“นี่แกหลอกด่าฉันเหรอ” เควินโวย
“เปล่านี่ คำไหนที่ฉันด่านาย” กาเบรียลตอบหน้าตาเฉย
คนที่มีเอกลักษณ์คือรอยยิ้มประดับบนใบหน้าอยู่เสมอเริ่มแยกเขี้ยวใส่เพื่อน
“หนอยแหนะ! วันนี้มาดวลกันเลย”
“นายจะแข่งยิงปืนกับฉัน?” กาเบรียลเลิกคิ้ว
“เออ !”
“หลังจากที่แพ้มาแล้วเก้าสิบหกครั้ง ตลอดหกปีนี่นะ” กาเบรียลเอ่ยถาม
“มันจะไม่มีครั้งที่เก้าสิบเจ็ด ” เควินก้าวเดินนำไปยังสนามยิงปืน ขณะที่คนข้างหลังเดินตามมาก่อนที่ใบหน้าจะยกมุมปากขึ้นจนเห็นลักยิ้มที่แก้มข้างซ้าย ซึ่งน้อยคนนักที่จะได้เห็น แล้วกล่าว
“นายพูดแบบนี้ตั้งแต่ที่แพ้ให้ฉันครั้งที่ห้าแล้วเพื่อนรัก”
“พ่อแม่สอนไม่ให้รับของจากคนแปลกหน้า” เด็กชายวัยสิบขวบที่ดูแก่แดดเกินวัยตอบชายชราท่าท่างใจดีที่อยู่ตรงหน้า
“ผมไม่รู้จักคุณตา” ดวงตามองขึ้นสบชายชรา แม้จะรู้สึกสนใจสิ่งที่ผู้สูงวัยยื่นให้ แต่เขายังยืนยันคำเดิม
“ความจริงเราเป็นญาติกัน แต่พ่อของเจ้าดันทำเรื่องให้มันยุ่งยาก เราเลยไม่ได้เจอกัน” ชายชรากล่าว
“ทำไมผมต้องเชื่อคุณตา” เด็กชายกอดอกถาม
“พ่อเจ้าไม่เล่าอะไรให้ฟังบ้างเลยรึ”
“ตาพูดอะไร ความจริงตาเป็นสายลับ มาลักพาตัวผมใช่ไหม”
“หา !”
ชายชราอุทาน ตามด้วยเสียงหัวเราะก่อนที่จะยอมเก็บแหวนใส่ลงในกระเป๋าเสื้อคลุมสีดำ
“ทำไมถึงคิดแบบนั้น”
“เพราะตาสามารถมายืนคุยกับผมได้โดยที่บอดี้การ์ดของผมไม่โผล่มาเลยสักคนเดียว ฝีมือน่าจะไม่ธรรมดา” เด็กชายที่ฉลาดเกินวัยตอบผู้อาวุโสตรงหน้า
ใบหน้าที่มีริ้วรอยตามวัยมองเพ่งพินิจไปที่ใบหน้าของเด็กน้อยตรงหน้ามากขึ้นก่อนจะเอ่ย
“สรุปจะเอาไหม แหวนวงนี้”
“ไม่อ่ะ ผมไม่รับของจากคนไม่รู้จัก” เด็กน้อยยังยืนยัน
“รู้ไหมว่ามันมีค่ามากแค่ไหน”
“พ่อแม่ของผมรวยมาก ถ้าอยากได้ให้พวกท่านซื้อให้ก็ได้ อีกอย่างผมแค่เด็กสิบขวบ จะใส่แหวนหน้าตาโบราณแบบนี้ไปทำไมล่ะตา เชยจะตาย”
“ตามใจ แต่ไม่มีใครหลีกหนีโชคชะตาพ้นหรอกนะเจ้าหนู”
“ตายังจะลักพาตัวผมอีกเหรอ”
“คงไม่ล่ะ เพราะสักวัน เจ้าจะเป็นฝ่ายมาหาฉันเอง” กล่าวจบชายชราในชุดคลุม สีดำก็หายวับไปกับตา เด็กน้อยตรงหน้าผู้มีไอคิวเข้าขั้นอัจฉริยะได้แต่ยืนตะลึง และกำลังเค้นสมองหาคำตอบที่วิทยาศาสตร์จะสามารถอธิบายได้ ก่อนที่ดวงตาจะพร่าเลือนและสติสัมปชัญญะของเขาจะดับวูบไป
บนเตียงนอนขนาดคิงไซส์ ร่างของเด็กหนุ่มคนหนึ่งลืมตาตื่นขึ้นมาบนเตียง ผมสีน้ำตาลเข้มของเขาแลดูยุ่งเหยิง และนัยน์ตาสีเทาก็ยังทอประกายแห่งความสับสน ฝันอีกแล้ว เขาฝันแบบนี้มาหลายครั้งแล้ว และทุกครั้งเหตุการณ์ในความฝันก็จบแบบเดิม มันคือความฝัน? ใช่สิ มันต้องเป็นความฝัน เพราะเขาจำไม่ได้ว่าในชีวิตเคยมีเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นจริง ย่อมแปลว่ามันคือความฝัน เพราะเขาคือ กาเบรียล วิคเตอร์ ไนต์ อัจฉริยะที่มี ไอคิวสูงถึง 160 ความจำย่อมไม่ต้องพูดถึง ไม่ว่าจะเป็นหนังสือ ข้อความ หรืออะไรก็ตามที่ผ่านตาเขาแค่รอบเดียว เขาสามารถจดจำเนื้อหาได้ทั้งหมด และไม่ลืม
เสียงเคาะประตูดังสามครั้ง ก่อนที่ประตูจะเปิดออกแล้วมีร่างกำยำที่เข้าสู่วัยกลางคนของชายคนหนึ่งก้าวเข้ามา
“อรุณสวัสดิ์ครับคุณหนู”
“เมื่อไหร่จะเลิกเรียกคุณหนูสักทีนะลุงเจค ผมโตจนจะเข้ามหาวิทยาลัยอยู่แล้ว” เสียงบ่นอย่างเหม็นเบื่อที่มีให้กับพ่อบ้าน ควบตำแหน่งหัวหน้าบอดี้การ์ด และตำแหน่งพี่เลี้ยงกิตติมศักดิ์ตั้งแต่เกิดของเขา
“ผมเรียกแบบนี้มาตั้งแต่คุณหนูเกิด”
“แล้วเปลี่ยนใหม่ได้ไหมเล่า” กาเบรียลพูดพร้อมย่นคิ้ว
“ไม่ครับ” เจคอบตอบหน้าตาย
“ฮึ่ม ! ไปเรียนมหาวิทยาลัย ผมจะไปอยู่หอพัก เบื่อขี้หน้าทั้งลุงทั้งตาแก่คลั่งรักภรรยาตลอดเวลาคนนั้น”
“คุณท่านกับคุณผู้หญิงไปล่องเรือเที่ยวรอบโลกแล้วครับ”
“อะไรนะ! พวกเขากล้าทิ้งลูกชายคนเดียวไว้แบบนี้เรอะ” กาเบรียลร้องอย่างหัวเสีย แต่ไหนแต่ไรมาเขาก็เป็นเหมือนหมาหัวเน่าสำหรับคนที่ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นพ่อ ที่พยายามยึดเอาเวลาของผู้เป็นแม่ไปจากเขา ตั้งแต่เขาอายุสามขวบที่มีแววจะเห็นถึงความเป็นอัจฉริยะ ตาแก่นั่นก็เริ่มส่งเขาไปเรียนรู้สิ่งต่าง ๆ ทั้ง ภาษาที่ สี่ ห้า หก เรียนศิลปะการสู้แทบจะทุกรูปแบบ ค่ายเสริมทักษะความสามารถที่เขาต้องไปในทุกปิดเทอม ตั้งแต่อยู่เกรด 1 ด้วยข้ออ้างว่า เห็นถึงความสามารถ ไหนจะส่งเลขาส่วนตัวมาสอนงานและสอนให้เขาเรียนรู้ธุรกิจครอบครัวที่เป็นธุรกิจสายการบินทั่วโลก ตั้งแต่เขาอายุ 10 ขวบ ด้วยเหตุผลว่าเขาเป็นลูกชายคนเดียว ต่อไปทุกอย่างต้องเป็นของเขา เขาต้องรีบเรียนรู้ไว้แต่เนิ่น ๆ เพียงเพื่อจะได้รีบโยนงานมาให้เขาไว ๆ และไปใช้เวลาอยู่กับภรรยาสุดที่รักของตัวเองสองต่อสองน่ะสิ
“คุณท่านว่าเดี๋ยวคุณหนูเองก็จะมีเรื่องให้ทำ ยุ่งจนไม่มีเวลาว่างมานั่งเหงาหรือบ่นให้คุณท่านครับ” อดีตนาวิกโยธินที่ผันตัวมาเป็นพ่อบ้านกล่าว
“ฮึ! ก็คงอย่างนั้น อีกเดือนเดียวผมก็ต้องเข้าเรียนแล้ว ไหนจะต้องศึกษางานที่ตาแก่นั่นทิ้งไว้ให้อีก คงจะมีเวลาว่างหรอก”
กาเบรียลกำลังจะเข้าศึกษาต่อในมหาวิทยาลัยชั้นนำของโลก โดยเรียนในสาขาการบริหารธุรกิจควบคู่กับวิศวกรรมเครื่องกล ซึ่งโดยทั่วไป ไม่มีเด็กคนไหนที่สามารถเข้าเรียนพร้อมกันสองสาขาวิชาแบบนี้ได้ แต่เนื่องจากความสามารถในการสอบเข้าที่เป็นอันดับหนึ่ง สามารถทำคะแนนได้เต็มทั้งสองสาขาวิชา แบบที่ไม่เคยมีนักเรียนคนใดทำได้มาก่อน บวกกับอิทธิพลของตาแก่นั่น จึงทำให้มหาวิทยาลัยร่างโครงการพิเศษขึ้นมาเพื่อส่งเสริมความสามารถเด็กที่มีพรสวรรค์เป็นเลิศ ซึ่งก็คือเขานั่นแหละ ส่วนเหตุผลที่ทำไมเขาต้องเลือกเรียนพร้อมกันแบบนี้ เพราะตาแก่บ้าอำนาจนั่นบังคับให้เขาเรียนการบริหารเพื่อมาสานต่อธุรกิจครอบครัว แต่ตัวเขากลับชอบเครื่องยนต์กลไกมาตั้งแต่จำความได้ จึงเกิดความขัดแย้งกันขึ้นระหว่างพ่อลูก จนคุณแม่สุดสวยผู้เป็นอดีตนักแสดงชื่อดังท่านหนึ่งต้องมาสงบศึกและเสนอทางออกให้ คฤหาส์นตระกูลไนท์จึงเข้าสู่ความสงบ
“วันนี้คุณหนูจะให้เลขาเอาเอกสารมาให้ศึกษาไหมครับ”
“เอาไว้ก่อนฮะลุง วันนี้ผมมีนัดกับเพื่อนช่วงสาย ๆ อีกอย่างผมควรจะทำตัวขยันให้น้อยลงหน่อย เสเพลให้มากขึ้น ในเมื่อคุณพ่อคุณแม่ผู้แสนดีของผมก็กำลังทำตัวเป็นขบถ ทิ้งงานแล้วหนีเที่ยวเหมือนกัน” กาเบรียลพูดเสียงรอดไรฟัน
รถสปอร์ตสุดหรูราคาแพงระยับแล่นเข้ามาจอดด้านหน้าตรงจุดบริการสำหรับสมาชิกระดับวีไอพี ในสนามยิงปืน ก่อนที่ร่างสูงเกือบร้อยเก้าสิบเซนติเมตรของเด็กหนุ่มคนหนึ่งจะก้าวลงมา แล้วส่งกุญแจรถให้กับพนักงานที่ยืนรออยู่ เควิน พอล เดม่อน ก้าวเดินไปยังสถานที่ประจำของตนกับเพื่อนสนิทที่เขาคิดว่ามันคงมารอเขาอยู่ก่อนแล้ว ขณะเดินผ่านเด็กสาวกลุ่มหนึ่งเขาก็ไม่ลืมที่จะส่งยิ้มพิมพ์ใจไปให้ ส่งผลให้สาวน้อยกลุ่มนั้นแทบจะสลบจากอาการตื่นตะลึงในความหล่อของคนตรงหน้า เฮ้อ ! เกิดมาหล่อนี่ก็ลำบากใจเหมือนกันนะ เควินได้แต่รำพึง
“นายมาสาย” เสียงหนึ่งร้องทัก
“ฉันไม่ได้สาย นายมาก่อนเวลาเอง” เควินตอบ
“นายสายไปสองนาที มัวแต่ไปยิ้มโปรยเสน่ห์ที่ไหนมาล่ะสิ” กาเบรียลเอ่ย
“บ๊ะ ! ฉันมันคนหล่อเว้ย รอยยิ้มของฉันสร้างความสุขให้สาว ๆ ทุกคน ใครจะเป็นเหมือนแก ทำหน้าบูดหน้าบึ้งทั้งวัน เหมือนหงุดหงิดให้ใครอยู่ตลอดเวลา กะแค่จะฉีกยิ้มบ้างนี่กล้ามเนื้อหน้ามันจะพิการรึยังนะฮึ ความนิยมที่โรงเรียนของแกเลยลดฮวบ ๆ ลงทุกปี แล้วนี่แกหงุดหงิดอะไรวะ” เควินเลิกคิ้วสงสัย สรรพนามที่ใช้เรียกเพื่อนสนิทเริ่มเปลี่ยนไปเมื่ออีกฝ่ายยังคงหาเรื่องเขาไม่เลิก
“พ่อแม่นายเคยปล่อยนายทิ้งไว้บ้านคนเดียวนาน ๆ บ้างไหน” กาเบรียลตั้งคำถาม
“บ่อยไป เดี๋ยวก็โผล่ไปตรวจงานที่โรงแรมประเทศนั้นบ้าง ประเทศนี้บ้างอยู่ตลอด ฉันกับน้องชายอยู่กันสองคนจนชินแล้ว และอีกอย่างต่อให้ชวนไปด้วยฉันก็ไม่ไปหรอก น่าเบื่อจะตาย นี่นายอย่าบอกนะ ว่าอยากจะตามพ่อแม่ไปไหนมาไหนด้วยน่ะ” เควินถามอย่างตกใจ
“ใช่ซะที่ไหนกันล่ะ ฉันแค่เบื่อที่ต้องถูกโยนงานมาให้ทำแทน ช่วงที่คู่นั้นแอบหนีไปเที่ยวกันเฉย ๆ ” กาเบรียลเริ่มโวยวาย
“ช่วยไม่ได้ ใครใช้ให้นายตกหลุมพรางท่านประธานวิคเตอร์ ถูกหลอกสอนงานสืบทอดทายาทอสูร มาตั้งแต่สิบขวบล่ะ แล้วดันเป็นอัจฉริยะ สานต่อแล้วพัฒนาธุรกิจจนสายการบินของนายเติบโตเพิ่มเป็นหลายหมื่นล้าน คราวนี้นายน่าจะซวยยาวแล้วล่ะเพื่อนเอ๋ย สงสัยคุณลุงคงจะโยนตำแหน่งประธานกรรมการบริหารมาให้นายเร็ว ๆ นี้แน่ ” เควินเริ่มคาดเดา
“ฉันยังเป็นแค่เด็กหนุ่มอายุสิบแปดปี ที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะ พวกเขากะให้ฉันเปลี่ยนสภาพจากวัยเด็กเข้าสู่วัยกลางคนเลยรึยังไง ฉันยังไม่ได้ใช้ชีวิตวันรุ่น ที่โลดโผนตื่นเต้นเหมือนเพื่อนวัยเดียวกันเลยนะเฮ้ย” กาเบรียลโอด
“ใครใช้ให้เอ็งเก่ง ฉลาด แสนรู้เกินไปล่ะเพื่อน ต้องอย่างฉันเว้ย ทำตัวลอยไป ลอยมา ไปวัน ๆ พ่อกับแม่เลยไม่คาดหวังอะไร ไปลุ้นเอากับเจ้าคริสน้องชายฉันแทน” เควินอวดสรรพคุณตัวเอง ซึ่งส่งผลให้เพื่อนสนิทมองมาอย่างสังเวช
“ระวังคุณลุงคุณป้าจะยกสมบัติให้น้องชายแกหมดละกัน” กาเบรียลกล่าวอย่างหมั่นไส้
“ไม่มีทางเว้ย ฉันมันหลานรักคุณย่า หลานชายสุดหล่อ อ่อนโยนที่เข้าไปออดอ้อนอยู่บ่อย ๆ เมื่อวานยังพึ่งซื้อรถสปอร์ตรุ่นล่าสุดให้ฉันเลยเพื่อนรัก ขอโทษที่ต้องทำให้ไสเจียนะ ฮ่า ฮ่า ฮ่า” เสียงหัวเราะที่จงใจดังขึ้นเพื่อกวนประสานคนที่ทำหน้านิ่วคิ้วขมวดตรงหน้า
“บางทีฉันก็สงสัยนะ ว่าฉันทนคบกับนายมาได้ยังไง”
“เฮอะ! ฉันต่างหากไหม ที่ต้องทนคบกับแก เพราะสงสารที่เห็นเด็กใหม่หน้าขาวต้องนั่งกินข้าวอยู่คนเดียวตอนเที่ยงแทบทุกวัน เพื่อนในห้องไม่มีใครกล้าเข้าใกล้นาย ก็พ่อเล่นแผ่รังสีความไม่เป็นมิตรจากใบหน้าออกมาขนาดนั้น ถามจริงแกจะเก๊กทำไมตั้งแต่เด็กวะ ตอนนั้นเราอายุเท่าไหร่กันเชียว มิน่าคุณลุงวิคเตอร์ถึงรีบจะให้นายเรียนรู้งานมาสืบทอดตำแหน่งท่านไว ๆ เพราะนายมันชอบทำตัวแก่เกินวัย”
เควินเริ่มบ่นยืดยาวถึงเรื่องสมัยประถมที่เขาได้เจอกับกาเบรียลเป็นครั้งแรก ตอนที่อีกฝ่ายย้ายโรงเรียนมาตอนที่พวกเขาเรียนอยู่เกรดสี่ เขารู้สึกทึ่งเมื่อรู้ว่าเพื่อนร่วมห้องที่ย้ายมาใหม่สามารถพูดได้ถึงหกภาษา ทั้งที่อีกฝ่ายอายุสิบขวบเท่ากันกับเขา ไหนจะความสามารถด้านอื่น ๆ ที่เขาค่อย ๆ ได้รู้เพิ่มอีก จะเสียก็อย่างเดียว หมอนี้ชอบชักสีหน้าหงุดหงิดใส่คนรอบข้างบ่อย ๆ กับทำหน้าบึ้งตึงเฉยชาเป็นเอกลักษณ์ คนเลยคิดว่าเจ้านี่เป็นคนเงียบ มีโลกส่วนตัวสูง คงมีแต่เพื่อนสนิทอย่างเขากับคนในครอบครัวมันเท่านั้นล่ะที่รู้ว่า หมอนี่ขี้บ่นมากแค่ไหน เพราะแบบนี้แม้จะหน้าตาดีเท่า ๆ กับเขา แต่กับได้รับความนิยมจากสาว ๆ ในโรงเรียนน้อยกว่าเขามาก
“ฉันเปล่า แค่บางครั้งขี้เกียจยิ้ม เพราะมันดูเสแสร้งและมารยายังไงไม่รู้”
“นี่แกหลอกด่าฉันเหรอ” เควินโวย
“เปล่านี่ คำไหนที่ฉันด่านาย” กาเบรียลตอบหน้าตาเฉย
คนที่มีเอกลักษณ์คือรอยยิ้มประดับบนใบหน้าอยู่เสมอเริ่มแยกเขี้ยวใส่เพื่อน
“หนอยแหนะ! วันนี้มาดวลกันเลย”
“นายจะแข่งยิงปืนกับฉัน?” กาเบรียลเลิกคิ้ว
“เออ !”
“หลังจากที่แพ้มาแล้วเก้าสิบหกครั้ง ตลอดหกปีนี่นะ” กาเบรียลเอ่ยถาม
“มันจะไม่มีครั้งที่เก้าสิบเจ็ด ” เควินก้าวเดินนำไปยังสนามยิงปืน ขณะที่คนข้างหลังเดินตามมาก่อนที่ใบหน้าจะยกมุมปากขึ้นจนเห็นลักยิ้มที่แก้มข้างซ้าย ซึ่งน้อยคนนักที่จะได้เห็น แล้วกล่าว
“นายพูดแบบนี้ตั้งแต่ที่แพ้ให้ฉันครั้งที่ห้าแล้วเพื่อนรัก”
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้

รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ