กระบี่เหมันต์ใต้เงาจันทร์
เขียนโดย หนิงเซียน
วันที่ 3 เมษายน พ.ศ. 2568 เวลา 19.01 น.
แก้ไขเมื่อ 10 เมษายน พ.ศ. 2568 07.07 น. โดย เจ้าของนิยาย
3) บทที่3
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ“ ท่านปรมาจารย์ลมปราณของท่าน.....”
นัยตาคมสบเข้ากับใบหน้าขององครักษ์ ข้างกายเขาเหตุที่เฟิงหลิน
เรียกเขาเช่นนี้เป็นเพราะหากนับตามลำดับ เขาคือศิษย์น้องของ
อี้เทียนหรือคือปรมาจารย์ของเฟิงหลินนั่นเอง
“ หึ เจ้าห่วงข้ารึไม่ต้องคิดมากข้ายังควบคุม ได้อีกสองวันข้าจะกลับไปหุบเขาแช่สระเหมันต์ ”
“ ได้ กระหม่อมจะไปเตรียมตัวไว้ ”
กึก เสียงฝีเท้าบนหลังคา
หากไม่ตั้งใจฟังคงไม่ได้ยินเฟิงหลิน ยิ้มที่มุมปากนานแล้ว
ที่เขาไม่เจอคนรนหาที่ตายเช่นนี้ เท้าทั้งสองกระโดดไปบนหลังคาคนมี
กำลังภายในเช่นเขาการปีนไปบนหลังคาย่อมไม่ใช่เรื่องยาก
“ อ๊ะ !!ท่าน... ท่าน.... ”
สายตาสบเข้ากับร่างบางสวมชุดแพรไหมสีแดงใบหน้าถูกปิดบังด้วยผ้าบางๆ บนหลังคนผู้นั้นมีกระบี่ที่เขาคุ้นเคยสะพายไว้กระบี่ชื่อ “ ไม่ลืม ”
“ ท่านอาจารย์ ”
เฟิงหลินเอ่ยเรียกใบหน้าเปื้อนยิ้มรีบวิ่งเข้าไปหาสตรีตรงหน้า
“ สบายดีใช่รึไม่ ศิษย์เอกของข้า ”
หลิวเมิ่งหลินเจ้าของเพลงกระบี่วายุพิรุณ เอ่ยถาม
ตั้งแต่ศิษย์เธอลงจากเขามาเป็นองครักษ์ให้กับหลี่จวิ้น
ทั้งสองคนก็ไม่ได้พบกันเลย นี่ก็ผ่านมา 9 ปีแล้ว
“ ท่านมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร ”
เฟิงหลินพยักหน้า บอกว่าเขาสบายดี
พรางถามผู้เป็นอาจารย์ที่ฝึกสอนเพลงกระบี่ให้เขาถึง 5 ปี
“ ข้ามาพาคนผู้หนึ่งไปพบท่านอาจารย์ ”
เมิ่งหลินเอ่ยตอบไม่ว่าผ่านไปนานแค่ไหนสำหรับนาง
เฟิงหลินยังคงเป็นเด็กน้อยวันยังค่ำ นางดึงแก้มของเขาอย่างหมั่นเขี้ยว
“โอ้ย...ท่านอาจารย์คนผู้หนึ่งท่านหมายถึง ใครกันขอรับ…”
ร่างบางยิ้มรับก่อนจะเดินหันหลังให้ผู้เป็นศิษย์พรางตอบ
“ องค์ชายรองของพวกเจ้า หลี่เฉิงจวิ้น”
“ เกรงว่าคงจะไม่ได้กระมัง ”
การสนทนาของทั้งคู่เป็นอันยุติเมื่อมีบุคคลที่สามขึ้นมา
หลี่จวิ้นเอ่ยขัดเสียง ฝีเท้าของเมิ่งหลินเขาเองก็ได้ยินเช่นกัน
เพียงแค่เขาไม่เคยนึกถึงสตรีผู้นี้เลยจริงๆ ว่าจะมีความกล้าถึงเพียงนี้
“.......”
“.......”
“ หลิวเมิ่งหลิน ?”
“ คารวะท่านอาจารย์อาหลี่ ”
ร่างบางรีบประสานมือคารวะ
“ เจ้ามาที่นี่ไหนเลยไม่คิดจะเข้าไปพบข้าในตำหนัก
กลับต้องให้ข้ามาพบเจ้าแล้วยังต้องมาพูดคุยกันบนหลังคาเช่นนี้ ”
น้ำเสียงราบเรียบแต่นางรู้ว่ากำลังถูกชายผู้นี้ตำหนิ
ใบหน้างามรู้สึกเสียหน้ารีบแก้ตัวพัลวัน
“ อาจารย์อา ท่านล้อข้าเล่นแล้ว ต้องโทษท่านรีบมาหาข้าบนนี้
จริงๆข้าตั้งใจจะลงไปหลังจากคุยกับศิษย์รักคนนี้เสร็จ ”
หลี่จวิ้นส่ายศรีษะด้วยความเบื่อหน่าย แม้ตามลำดับ
เขาคืออาจารย์ของนาง แต่ความอาวุโสนางมากกว่าเขา
ถึงสิบสองปี ร่างสูงหันหลังก่อนจะกระโดดลงจากหลังคา
ลอดเข้าทางหน้าต่างเดินเข้าไปยังตำหนัก ศิษย์อาจารย์ทั้งสอง
กระโดดตามหลังมาติดๆ
“ ศิษย์พี่ต้องการรับศิษย์ ไยต้องเป็นน้องรอง ”
“ เรื่องนี้เป็นความคิดของท่านปรมาจารย์
ขออาจารย์อาอย่าได้ขุ่นเคือง”
เมิ่งหลินเอ่ยตอบน้ำเสียงหาได้จริงจังไม่อย่างไรเสีย
นี่ก็ไม่ใช่เรื่องของเธอเสือสองตัวกัดกัน เหตุใดเธอไม่นั่งเป็น
ผู้ชมเล่าในเมื่อมีเรื่องสนุกให้ดูจะลงแรงไปไย!!
มือบางหยิบขนมว่างในจานเข้าปาก พรางเคี้ยวตุ้ยๆ
“ ตาเฒ่าจิ้งจอก ”
“ ท่านปรมาจารย์ให้ข้ามาเรียนท่านอาจารย์อาหลี่ด้วยว่า
ถึงเวลากลับขึ้นเขาแล้ว ”
หลี่จวิ้น หลับตาข่มอารมณ์โกรธเคืองก่อนจะเอ่ยตอบ
“ ข้ารู้แล้ว ตอนแรกข้าคิดไว้ว่าหลังจากนี้อีกสองวัน
ค่อยออกเดินทาง ร่างบางรีบตอบรับก่อนจะขอตัวแยกออกไป
“ ถ้าเช่นนั้น ศิษย์ขอตัวไปเข้าเฝ้าฝ่าบาทก่อน ”
มือบางประสานคารวะอีกครั้ง สายตาคมเหลือบมองก่อนจะพยักหน้ารับ
“ อืม เฟิงหลินเจ้าพานางไปเข้าเฝ้าเสด็จพ่อหน่อย ”เฟิงหลินตอบรับคำสั่ง
“ ขอรับ เชิญท่านอาจารย์ตามข้ามา ”
เขาพาร่างบางของเมิ่งหลินเดินออกจากหน้าตำหนัก
ท่ามกลางสายตาขององครักษ์คงสงสัยว่าเหตุใดจึงมีร่าง
ของสาวงามผู้หนึ่งออกมาจากตำหนักขององค์รัชทายาทได้
โดยที่พวกตนไม่เห็นตอนที่นางเดินเข้าไป
“ เจ้าไม่ได้สร้างความลำบากให้กับท่านอาจารย์อาใช่หรือไม่”
“ ท่านอาจารย์ศิษย์น่ะหรือจะกล้าเห็นแบบนี้ท่านปรมาจารย์น่า
กลัวจะตาย ” เฟิงหลินบ่นอุบ
” เขาเป็นศิษย์ของเฒ่านักพรตมีหรือจะน่าคบหา ”
“ ฮ่าๆ ประโยคเมื่อครู่ท่านอย่าเอ่ยให้เขาได้ยินเชียว ”
สองศิษย์อาจารย์เดินทอดน่องไปยังตำหนักทรงอักษร ระหว่างทาง
พูดคุยถามสารทุกข์สุกดิบจนพากันหัวเราะไปตลอดทาง
ณ ตำหนักห้องทรงอักษร
“ ฝ่าบาทองครักษ์ประจำตัวองค์รัชทายาทเฟิงหลิน
กับแม่นางหลิวเมิ่งหลิน ขอเข้าเฝ้าพ่ะย่ะค่ะ ”
โหงวกงกง รีบรายงานเมื่อฮ่องเต้ได้ยินทรงกริ้วถึงกับบ่นออกมา
“ จดหมายฉบับนี้เพิ่งมาถึงข้าเมื่อครึ่งชั่วยามที่แล้ว
หลิวเมิ่งหลินผู้นี้ก็มาเลยดีจริงๆ ”
มือหนาโยนจดหมายลับทิ้งอย่างไม่ไยดี
“ อุ๋ย เอ่อ ฝ่าบาทจะให้พวกเขาเข้าเฝ้าหรือไม่พะย่ะค่ะ ”
“ เชิญพวกเขาทั้งสองเข้ามาเถอะ ”
เมื่อฮ่องเต้อนุญาตโหงวกงกงจึงรีบเดินออกไปเชิญทั้งสองทันที
“ เฟิงหลิน ถวายพระพรฝ่าบาท ”
“ หลิวเมิ่งหลิน ถวายพระพรฝ่าบาท ”
ทั้งสองก้มศรีษะประสานมือคารวะ ฮ่องเต้เทียนซุนเห็นดังนั้น
จึงเอ่ยถามด้วยความไม่พอใจ
“ เหอะ ปีนั้นตาเฒ่าก็พารัชทายาทไปฝึกวิชาบนเขาถึง 2 ปี
วันนี้จะมาพาเจ้ารองไปอีกปรมาจารย์ของพวกเจ้า
เห็นข้าเป็นตัวอะไรกัน ”
สองศิษย์อาจารย์สบตากันก่อนจะส่งสัญญาณ
ให้อีกฝ่ายเป็นคนพูดก่อนเมิ่งหลืนจึงต้องรีบอธิบาย
“ ฝ่าบาทขอทรงวางพระทัย ครั้งนี้ท่านปรมาจารย์กล่าวว่า
ดวงชะตาขององค์ชายรองไม่สุกสกาวเกรงว่า
หากอยู่ในเมืองหลวง ไม่พ้นดวงชะตา อาจ….. ”
“ เมืองหลวงคือบ้านของเจ้ารองหาใช่ที่อื่นไม่
เจ้ากลับบอกว่า ถ้าข้าไม่ให้พวกเจ้าพาเขาไปลูกข้า
จะต้องตายภายใต้เท้าข้าหรือ เหลวใหลสิ้นดี ”
ฮ่องเต้ทรงกริ้วสองเท้าเดินวน ไปมาพาให้ทั้งสองเวียนหัวนัก
เฟิงหลินจึงต้องใช้วิธีจี้จุด พูดเรื่องที่ไม่น่าฟังออกไป
“ ฝ่าบาท เจ็ดวันก่อนองค์ชายรองตกน้ำในพระราชวังนะพะย่ะค่ะ
เวลานี้องค์ชายกลับไม่เป็นอันตราย ผู้ที่ทำคงไม่ยอมปล่อยองค์ชายไปเมื่องานไม่สำเร็จเขาย่อมต้องลงมืออีกและอาจรุนแรงขึ้นกว่าเดิม กระหม่อมคิดว่า ”
ยังไม่ทันที่เฟิงหลินจะเอ่ยจบถ้วยชาหยกอย่างดีถูกมือหนา
เขวี้ยงผ่านศรีษะของเขาไปเพียงนิดเมิ่งหลินเห็นว่า
การเจรจาเริ่มบานปลายจึงเปลี่ยนไปใช้เสียงอ่อนแทน
“ ฝ่าบาท ท่านอาจารย์อี้เทียนฝากคำพูดมาบอกแก่ฝ่าบาทแต่
หม่อมฉันขอประทานอภัยก่อนได้หรือไม่เพคะ ”
“ ว่ามา ตาแก่นั่นฝากคำพูดอะไรมาบอกแก่เรา เราจะไม่
โทษเจ้า ”
เมื่อเห็นว่า ฮ่องเต้เทียนซุน มีท่าทีอ่อนลงเมิ่งหลินจึงลุกขึ้นพูดพรางกระแอมไอ เพื่อดัดโทนเสียง ให้คล้ายกับอาจารย์ของตนมากที่สุด
“ อะแฮ่ม แฮ่ม เจ้าบ้าหลี่หลง …ตอนข้ารบเคียงบ่าเคียงไหล่เจ้า
เจ้ากับข้าสาบานเป็นพี่น้อง วันนี้ข้าแค่จะพาหลานข้าไปฝึกยุทธ์
หนอยๆๆ ทำมาเป็นห่วงนู้นห่วงนี่ข้าจะรอหลานข้าที่เรือนวสันต์
หลังจากนั้น 7 วันข้าจะคืนลูกชายให้เจ้า เจ้าอย่ามาทัดทาน
ข้าเกือบลืมไปท่านอาจารย์ฝากข้า บอกเจ้าด้วยว่าเจ้าหลี่จวิ้น
นั่นต้องกลับเขาก่อนที่ท่านอาจารย์จะละทางโลก
อะแฮ่มม เอ่อเท่านี้เพคะ ”
อึ้งเลย โหคงมีเพียงท่านปรมาจารย์ที่กล้าเรียกฝ่าบาทว่าเจ้าบ้า
หัวข้าจะกุดไหมนี่ ’
เฟิงหลินก้มหน้าลงใบหน้ามีเหงื่อผุดเต็มหน้า ทั้งที่อากาศหาได้ร้อนไม่
‘เกิดมาจนป่านนี้ยังไม่เคยได้ยินใครกล้าพูดกับฮ่องเต้เช่นนี้ข้าจะเป็นลม ‘’
เฟิงหลิน ค่อยๆหายใจเข้าลึกๆสายตาเหลือบมองร่างของฮ่องเต้
หากเพราะกริ้วจนรับสั่งกุดหัวเขาขึ้นมา ชีวิตน้อยๆนี้คงไม่พ้นวันนี้แน่
“ เหอะ เรียกข้าเจ้าบ้าหนอย 7 วัน ต้องส่งคืนเจ้ารองให้ข้า
แบบแข็งแรงดีด้วย ”
หือ !!! สองศิษย์อาจารย์ตกใจจนตาโตทำไมถึงยอมง่ายๆเช่นนี้
ไหนตอนแรกฝ่าบาททรงกริ้วจนพวกเขาเหงื่อตก
“เอ่อ…แน่นอนเพคะฝ่าบาทจะออกไปพบท่านอาจารย์
เป็นครั้งสุดท้ายหรือไม่เพคะ ”
“ ข้าค่อยไปตอนรับเจ้ารองแล้วกันพวกเจ้าออกไปเถอะ ”
“ เพค่ะ / พะย่ะค่ะ ”
เมื่อสองศิษย์อาจารย์พากันออกจากตำหนัก เฟิงหลินจึงเอ่ยถาม
เรื่องที่ตนเองสงสัย
“ ท่านปรมาจารย์จะสอนวิชาอะไรให้กับองค์ชายรองหรือขอรับ
ท่านอาจารย์ ”
ร่างบางหันมองก่อนจะยิ้มอย่างยียวน
“ ตรงนี้ข้าไม่สะดวกพูดเดี๋ยวเจ้าก็รู้เอง พวกเราต้องรีบไปเตรียมตัวได้แล้ว ”
“ ขอรับท่านอาจารย์ ”
เฟิงหลินรีบรับคำ เขารีบเดินกลับไปที่ห้องเก็บข้าวของที่จำเป็น
เพื่อเอาไว้ใช้สำหรับเดินทางไกล
วันออกเดินทาง
“ หลี่เซวียน ดูแลตัวเองด้วยเอ้าเอานี่ไป มันคือมีดพก
เผื่อมีอันตรายเจ้าพกไว้กับตัวนะ ”
หลี่จวิ้นยื่นมีดพกให้กับน้องชาย
“ ได้ ข้ารู้แล้วเสด็จพี่ท่านเองก็ดูแลตัวเองด้วยนะ ”
หลี่เซียนเอ่ยใบหน้าเศร้าสร้อย หลี่จวิ้นตอบรับให้อีกฝ่ายได้คลายกังวล
“ เจ้าไม่ต้องห่วงข้าไปแค่ครึ่งเดือนข้าก็กลับแล้ว แล้วเจอกัน ”
“ อื้อ แล้วเจอกันนะเสด็จพี่ ”
เห็นหลี่เซวียนโบกมือใบหน้างามยิ้มรับพร้อมเอ่ยลา
“ ข้าไปก่อนนะ ”
ย้า ย้าเสียงควบอาชาศึกขององค์รัชทายาท กับ เฟิงหลิน
ไกลออกไปเรื่อยๆความรู้สึกเปลี่ยวเหงาเริ่มกัดกินในใจของหลี่เซวียน
ตั้งแต่ที่เขาย้อนมาอยู่ในอดีตคนที่เขารู้สึกไว้ใจได้มีเพียงพี่ชายที่เป็น
องค์รัชทายาทเวลานี้ คนผู้นั้นไม่อยู่ทำให้เขาเกิดความรู้สึกกลัวขึ้นมาตงิดๆ
“ เจ้าอายุเท่าไหร่แล้ว ไยติดพี่ชายเจ้าเยี่ยงนี้ ”เมิ่งหลินเอ่ยถามถึง
อย่างไรในสายตานาง องค์ชายที่แสนบอบบางเช่นนี้ก็ไม่ต่างอะไร
กับเด็กน้อยผู้หนึ่ง
“ แม่นางหลิว ท่านไม่มีพี่น้องบ้างหรือ ”
หลี่เซวียนเอ่ยถามเขาพยายามทำความรู้จักกับหญิงสาวผู้นี้
ให้มากอย่างไรเสียหลายวันนี้พวกเขาต้องอยู่ร่วมกัน
“ มาแม่นง แม่นางอะไรกัน เจ้าต้องเรียกข้าศิษย์พี่ถึงจะถูก
ไปเถอะพวกเราเองก็ต้องออกเดินทางได้แล้วเจ้านั่งในรถม้าเช่นนี้
เป็นปกติหรือขี่ม้าเป็นรึไม่ ”
เมิ่งหลินร้องถามิเพราะม้าเดินไวทำให้นางต้องใช้น้ำเสียงที่ดังขึ้น
“ องค์ชายเพิ่งฟื้น ร่างกายยังไม่ควรถูกไอเย็นมากนัก ”
หยางเตาตอบแทน เมิ่งหลินเพียงหันหน้ามองพรางถอนหายใจ
“ เจ้ารู้หรือไม่ว่าเขาจะไปฝึกวิชาอะไร ”
“ ข้าจะไปรู้กับพวกท่านได้อย่างไร ”
หยางเตาตอบอย่างไม่ยี่หระพรางควบม้าขึ้นนำหน้าไป
อย่างไรเสียเขาก็มีหน้าที่องครักษ์องค์ชาย เรื่องใดควรรู้
เรื่องไม่ควรรู้เขาก็ควรเลี่ยง
“ เอาเถอะ ข้าเบื่อแล้วออกเดินทางดีกว่า ”
เมิ่งหลินพูดปัดก่อนจะควบม้าขนาบข้างกับรถม้า
คอยคุ้มกันร่างบางในรถอีกชั้น
ณ จวนท่านอ๋องแปด
“ เรียนท่านอ๋องขณะนี้องค์รัชทายาทกับองค์ชายรองได้ออก
จากเมืองหลวงแล้วขอรับ ”
ทหารองครักษ์รีบมารายงานหลังจากที่ได้รับคำสั่งให้ไปจับตาดู
เหล่าองค์ชายใบหน้าคมถูกแต่งด้วยหนวดเคราดูน่าเกรงขาม
ของท่านอ๋องแปดน้องชายของฮ่องเต้หลี่เทียนซุน ‘หลี่ตงอวิ๋น’
อ๋องแปดยิ้มรับมุมปากยกขึ้น
“ ฝั่งรัชทายาทมีใครบ้าง ”
“ ข้าน้อยเห็นไปกันเพียง 2 คนรัชทายาทกับองครักษ์คนสนิทขอรับ ”
ถ้วยชาถูกเขวี้ยงหล่นใส่หัวองครักษ์
“ เจ้าโง่ รัชทายาทออกจากเมืองหลวง จะพาไปแค่นี้รึ
ไม่ใช่ชาวบ้านลูกตาสีตาสาพวกเจ้านี่มัน ไม่ได้เรื่องจริงๆ
แล้วฝั่งองค์ชายรองล่ะ ”
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้

รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ