กระบี่เหมันต์ใต้เงาจันทร์

3.3

เขียนโดย หนิงเซียน

วันที่ 3 เมษายน พ.ศ. 2568 เวลา 19.01 น.

  6 บท
  4 วิจารณ์
  337 อ่าน

แก้ไขเมื่อ 10 เมษายน พ.ศ. 2568 07.07 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

3) บทที่3

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

“ ท่านปรมาจารย์ลมปราณของท่าน.....”

นัยตาคมสบเข้ากับใบหน้าขององครักษ์ ข้างกายเขาเหตุที่เฟิงหลิน

เรียกเขาเช่นนี้เป็นเพราะหากนับตามลำดับ เขาคือศิษย์น้องของ

อี้เทียนหรือคือปรมาจารย์ของเฟิงหลินนั่นเอง

“ หึ เจ้าห่วงข้ารึไม่ต้องคิดมากข้ายังควบคุม ได้อีกสองวันข้าจะกลับไปหุบเขาแช่สระเหมันต์ ”

“ ได้ กระหม่อมจะไปเตรียมตัวไว้ ”

กึก เสียงฝีเท้าบนหลังคา 

หากไม่ตั้งใจฟังคงไม่ได้ยินเฟิงหลิน ยิ้มที่มุมปากนานแล้ว

ที่เขาไม่เจอคนรนหาที่ตายเช่นนี้ เท้าทั้งสองกระโดดไปบนหลังคาคนมี

กำลังภายในเช่นเขาการปีนไปบนหลังคาย่อมไม่ใช่เรื่องยาก

 

“ อ๊ะ !!ท่าน... ท่าน.... ”

สายตาสบเข้ากับร่างบางสวมชุดแพรไหมสีแดงใบหน้าถูกปิดบังด้วยผ้าบางๆ บนหลังคนผู้นั้นมีกระบี่ที่เขาคุ้นเคยสะพายไว้กระบี่ชื่อ “ ไม่ลืม ”

“ ท่านอาจารย์ ”

เฟิงหลินเอ่ยเรียกใบหน้าเปื้อนยิ้มรีบวิ่งเข้าไปหาสตรีตรงหน้า

“ สบายดีใช่รึไม่ ศิษย์เอกของข้า ”

หลิวเมิ่งหลินเจ้าของเพลงกระบี่วายุพิรุณ เอ่ยถาม

ตั้งแต่ศิษย์เธอลงจากเขามาเป็นองครักษ์ให้กับหลี่จวิ้น

ทั้งสองคนก็ไม่ได้พบกันเลย นี่ก็ผ่านมา 9 ปีแล้ว

“ ท่านมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร ”

เฟิงหลินพยักหน้า บอกว่าเขาสบายดี

พรางถามผู้เป็นอาจารย์ที่ฝึกสอนเพลงกระบี่ให้เขาถึง 5 ปี

“ ข้ามาพาคนผู้หนึ่งไปพบท่านอาจารย์ ”

เมิ่งหลินเอ่ยตอบไม่ว่าผ่านไปนานแค่ไหนสำหรับนาง

เฟิงหลินยังคงเป็นเด็กน้อยวันยังค่ำ นางดึงแก้มของเขาอย่างหมั่นเขี้ยว

“โอ้ย...ท่านอาจารย์คนผู้หนึ่งท่านหมายถึง ใครกันขอรับ…” 

ร่างบางยิ้มรับก่อนจะเดินหันหลังให้ผู้เป็นศิษย์พรางตอบ

“ องค์ชายรองของพวกเจ้า หลี่เฉิงจวิ้น”

“ เกรงว่าคงจะไม่ได้กระมัง ” 

การสนทนาของทั้งคู่เป็นอันยุติเมื่อมีบุคคลที่สามขึ้นมา

หลี่จวิ้นเอ่ยขัดเสียง ฝีเท้าของเมิ่งหลินเขาเองก็ได้ยินเช่นกัน

เพียงแค่เขาไม่เคยนึกถึงสตรีผู้นี้เลยจริงๆ ว่าจะมีความกล้าถึงเพียงนี้

“.......”

“.......”

 

“ หลิวเมิ่งหลิน ?”

“ คารวะท่านอาจารย์อาหลี่ ” 

ร่างบางรีบประสานมือคารวะ

“ เจ้ามาที่นี่ไหนเลยไม่คิดจะเข้าไปพบข้าในตำหนัก

กลับต้องให้ข้ามาพบเจ้าแล้วยังต้องมาพูดคุยกันบนหลังคาเช่นนี้ ”

น้ำเสียงราบเรียบแต่นางรู้ว่ากำลังถูกชายผู้นี้ตำหนิ

ใบหน้างามรู้สึกเสียหน้ารีบแก้ตัวพัลวัน

“ อาจารย์อา ท่านล้อข้าเล่นแล้ว ต้องโทษท่านรีบมาหาข้าบนนี้

จริงๆข้าตั้งใจจะลงไปหลังจากคุยกับศิษย์รักคนนี้เสร็จ ”

หลี่จวิ้นส่ายศรีษะด้วยความเบื่อหน่าย แม้ตามลำดับ

เขาคืออาจารย์ของนาง แต่ความอาวุโสนางมากกว่าเขา

ถึงสิบสองปี ร่างสูงหันหลังก่อนจะกระโดดลงจากหลังคา

ลอดเข้าทางหน้าต่างเดินเข้าไปยังตำหนัก ศิษย์อาจารย์ทั้งสอง

กระโดดตามหลังมาติดๆ 

 

“ ศิษย์พี่ต้องการรับศิษย์ ไยต้องเป็นน้องรอง ” 

“ เรื่องนี้เป็นความคิดของท่านปรมาจารย์

ขออาจารย์อาอย่าได้ขุ่นเคือง”

เมิ่งหลินเอ่ยตอบน้ำเสียงหาได้จริงจังไม่อย่างไรเสีย

นี่ก็ไม่ใช่เรื่องของเธอเสือสองตัวกัดกัน เหตุใดเธอไม่นั่งเป็น

ผู้ชมเล่าในเมื่อมีเรื่องสนุกให้ดูจะลงแรงไปไย!!

มือบางหยิบขนมว่างในจานเข้าปาก พรางเคี้ยวตุ้ยๆ

“ ตาเฒ่าจิ้งจอก ” 

“ ท่านปรมาจารย์ให้ข้ามาเรียนท่านอาจารย์อาหลี่ด้วยว่า

ถึงเวลากลับขึ้นเขาแล้ว ” 

หลี่จวิ้น หลับตาข่มอารมณ์โกรธเคืองก่อนจะเอ่ยตอบ

“ ข้ารู้แล้ว ตอนแรกข้าคิดไว้ว่าหลังจากนี้อีกสองวัน

ค่อยออกเดินทาง ร่างบางรีบตอบรับก่อนจะขอตัวแยกออกไป

“ ถ้าเช่นนั้น ศิษย์ขอตัวไปเข้าเฝ้าฝ่าบาทก่อน ”

มือบางประสานคารวะอีกครั้ง สายตาคมเหลือบมองก่อนจะพยักหน้ารับ

“ อืม เฟิงหลินเจ้าพานางไปเข้าเฝ้าเสด็จพ่อหน่อย ”เฟิงหลินตอบรับคำสั่ง

“ ขอรับ เชิญท่านอาจารย์ตามข้ามา ”

เขาพาร่างบางของเมิ่งหลินเดินออกจากหน้าตำหนัก

ท่ามกลางสายตาขององครักษ์คงสงสัยว่าเหตุใดจึงมีร่าง

ของสาวงามผู้หนึ่งออกมาจากตำหนักขององค์รัชทายาทได้

โดยที่พวกตนไม่เห็นตอนที่นางเดินเข้าไป

“ เจ้าไม่ได้สร้างความลำบากให้กับท่านอาจารย์อาใช่หรือไม่”

“ ท่านอาจารย์ศิษย์น่ะหรือจะกล้าเห็นแบบนี้ท่านปรมาจารย์น่า

กลัวจะตาย ” เฟิงหลินบ่นอุบ

” เขาเป็นศิษย์ของเฒ่านักพรตมีหรือจะน่าคบหา ”

“ ฮ่าๆ ประโยคเมื่อครู่ท่านอย่าเอ่ยให้เขาได้ยินเชียว ”

สองศิษย์อาจารย์เดินทอดน่องไปยังตำหนักทรงอักษร ระหว่างทาง

พูดคุยถามสารทุกข์สุกดิบจนพากันหัวเราะไปตลอดทาง

 

ณ ตำหนักห้องทรงอักษร 

“ ฝ่าบาทองครักษ์ประจำตัวองค์รัชทายาทเฟิงหลิน

กับแม่นางหลิวเมิ่งหลิน ขอเข้าเฝ้าพ่ะย่ะค่ะ ”

โหงวกงกง รีบรายงานเมื่อฮ่องเต้ได้ยินทรงกริ้วถึงกับบ่นออกมา

“ จดหมายฉบับนี้เพิ่งมาถึงข้าเมื่อครึ่งชั่วยามที่แล้ว

หลิวเมิ่งหลินผู้นี้ก็มาเลยดีจริงๆ ” 

มือหนาโยนจดหมายลับทิ้งอย่างไม่ไยดี

“ อุ๋ย เอ่อ ฝ่าบาทจะให้พวกเขาเข้าเฝ้าหรือไม่พะย่ะค่ะ ”

“ เชิญพวกเขาทั้งสองเข้ามาเถอะ ” 

เมื่อฮ่องเต้อนุญาตโหงวกงกงจึงรีบเดินออกไปเชิญทั้งสองทันที 

“ เฟิงหลิน ถวายพระพรฝ่าบาท ”

“ หลิวเมิ่งหลิน ถวายพระพรฝ่าบาท ”

ทั้งสองก้มศรีษะประสานมือคารวะ ฮ่องเต้เทียนซุนเห็นดังนั้น

จึงเอ่ยถามด้วยความไม่พอใจ

“ เหอะ ปีนั้นตาเฒ่าก็พารัชทายาทไปฝึกวิชาบนเขาถึง 2 ปี

วันนี้จะมาพาเจ้ารองไปอีกปรมาจารย์ของพวกเจ้า

เห็นข้าเป็นตัวอะไรกัน ”

สองศิษย์อาจารย์สบตากันก่อนจะส่งสัญญาณ

ให้อีกฝ่ายเป็นคนพูดก่อนเมิ่งหลืนจึงต้องรีบอธิบาย

“ ฝ่าบาทขอทรงวางพระทัย ครั้งนี้ท่านปรมาจารย์กล่าวว่า

ดวงชะตาขององค์ชายรองไม่สุกสกาวเกรงว่า

หากอยู่ในเมืองหลวง ไม่พ้นดวงชะตา อาจ….. ”

“ เมืองหลวงคือบ้านของเจ้ารองหาใช่ที่อื่นไม่

เจ้ากลับบอกว่า ถ้าข้าไม่ให้พวกเจ้าพาเขาไปลูกข้า

จะต้องตายภายใต้เท้าข้าหรือ เหลวใหลสิ้นดี ”

ฮ่องเต้ทรงกริ้วสองเท้าเดินวน ไปมาพาให้ทั้งสองเวียนหัวนัก

เฟิงหลินจึงต้องใช้วิธีจี้จุด พูดเรื่องที่ไม่น่าฟังออกไป

“ ฝ่าบาท เจ็ดวันก่อนองค์ชายรองตกน้ำในพระราชวังนะพะย่ะค่ะ

เวลานี้องค์ชายกลับไม่เป็นอันตราย ผู้ที่ทำคงไม่ยอมปล่อยองค์ชายไปเมื่องานไม่สำเร็จเขาย่อมต้องลงมืออีกและอาจรุนแรงขึ้นกว่าเดิม กระหม่อมคิดว่า ” 

ยังไม่ทันที่เฟิงหลินจะเอ่ยจบถ้วยชาหยกอย่างดีถูกมือหนา

เขวี้ยงผ่านศรีษะของเขาไปเพียงนิดเมิ่งหลินเห็นว่า

การเจรจาเริ่มบานปลายจึงเปลี่ยนไปใช้เสียงอ่อนแทน

“ ฝ่าบาท ท่านอาจารย์อี้เทียนฝากคำพูดมาบอกแก่ฝ่าบาทแต่

หม่อมฉันขอประทานอภัยก่อนได้หรือไม่เพคะ ”

“ ว่ามา ตาแก่นั่นฝากคำพูดอะไรมาบอกแก่เรา เราจะไม่

โทษเจ้า ”

เมื่อเห็นว่า ฮ่องเต้เทียนซุน มีท่าทีอ่อนลงเมิ่งหลินจึงลุกขึ้นพูดพรางกระแอมไอ เพื่อดัดโทนเสียง ให้คล้ายกับอาจารย์ของตนมากที่สุด

 

“ อะแฮ่ม แฮ่ม เจ้าบ้าหลี่หลง …ตอนข้ารบเคียงบ่าเคียงไหล่เจ้า

เจ้ากับข้าสาบานเป็นพี่น้อง วันนี้ข้าแค่จะพาหลานข้าไปฝึกยุทธ์

หนอยๆๆ ทำมาเป็นห่วงนู้นห่วงนี่ข้าจะรอหลานข้าที่เรือนวสันต์

หลังจากนั้น 7 วันข้าจะคืนลูกชายให้เจ้า เจ้าอย่ามาทัดทาน

ข้าเกือบลืมไปท่านอาจารย์ฝากข้า บอกเจ้าด้วยว่าเจ้าหลี่จวิ้น

นั่นต้องกลับเขาก่อนที่ท่านอาจารย์จะละทางโลก

อะแฮ่มม เอ่อเท่านี้เพคะ ”

 อึ้งเลย โหคงมีเพียงท่านปรมาจารย์ที่กล้าเรียกฝ่าบาทว่าเจ้าบ้า

หัวข้าจะกุดไหมนี่ ’ 

เฟิงหลินก้มหน้าลงใบหน้ามีเหงื่อผุดเต็มหน้า ทั้งที่อากาศหาได้ร้อนไม่

‘เกิดมาจนป่านนี้ยังไม่เคยได้ยินใครกล้าพูดกับฮ่องเต้เช่นนี้ข้าจะเป็นลม ‘’

เฟิงหลิน ค่อยๆหายใจเข้าลึกๆสายตาเหลือบมองร่างของฮ่องเต้

หากเพราะกริ้วจนรับสั่งกุดหัวเขาขึ้นมา ชีวิตน้อยๆนี้คงไม่พ้นวันนี้แน่

“ เหอะ เรียกข้าเจ้าบ้าหนอย 7 วัน ต้องส่งคืนเจ้ารองให้ข้า

แบบแข็งแรงดีด้วย ”

หือ !!! สองศิษย์อาจารย์ตกใจจนตาโตทำไมถึงยอมง่ายๆเช่นนี้

ไหนตอนแรกฝ่าบาททรงกริ้วจนพวกเขาเหงื่อตก

“เอ่อ…แน่นอนเพคะฝ่าบาทจะออกไปพบท่านอาจารย์

เป็นครั้งสุดท้ายหรือไม่เพคะ ”

“ ข้าค่อยไปตอนรับเจ้ารองแล้วกันพวกเจ้าออกไปเถอะ ”

“ เพค่ะ / พะย่ะค่ะ ”

เมื่อสองศิษย์อาจารย์พากันออกจากตำหนัก เฟิงหลินจึงเอ่ยถาม

เรื่องที่ตนเองสงสัย

“ ท่านปรมาจารย์จะสอนวิชาอะไรให้กับองค์ชายรองหรือขอรับ

ท่านอาจารย์ ”

ร่างบางหันมองก่อนจะยิ้มอย่างยียวน

“ ตรงนี้ข้าไม่สะดวกพูดเดี๋ยวเจ้าก็รู้เอง พวกเราต้องรีบไปเตรียมตัวได้แล้ว ”

“ ขอรับท่านอาจารย์ ”

เฟิงหลินรีบรับคำ เขารีบเดินกลับไปที่ห้องเก็บข้าวของที่จำเป็น

เพื่อเอาไว้ใช้สำหรับเดินทางไกล

 

วันออกเดินทาง 

“ หลี่เซวียน ดูแลตัวเองด้วยเอ้าเอานี่ไป มันคือมีดพก

เผื่อมีอันตรายเจ้าพกไว้กับตัวนะ ” 

หลี่จวิ้นยื่นมีดพกให้กับน้องชาย

“ ได้ ข้ารู้แล้วเสด็จพี่ท่านเองก็ดูแลตัวเองด้วยนะ ”

หลี่เซียนเอ่ยใบหน้าเศร้าสร้อย หลี่จวิ้นตอบรับให้อีกฝ่ายได้คลายกังวล

“ เจ้าไม่ต้องห่วงข้าไปแค่ครึ่งเดือนข้าก็กลับแล้ว แล้วเจอกัน ”

“ อื้อ แล้วเจอกันนะเสด็จพี่ ” 

เห็นหลี่เซวียนโบกมือใบหน้างามยิ้มรับพร้อมเอ่ยลา

“ ข้าไปก่อนนะ ”

 

ย้า ย้าเสียงควบอาชาศึกขององค์รัชทายาท กับ เฟิงหลิน

ไกลออกไปเรื่อยๆความรู้สึกเปลี่ยวเหงาเริ่มกัดกินในใจของหลี่เซวียน

ตั้งแต่ที่เขาย้อนมาอยู่ในอดีตคนที่เขารู้สึกไว้ใจได้มีเพียงพี่ชายที่เป็น

องค์รัชทายาทเวลานี้ คนผู้นั้นไม่อยู่ทำให้เขาเกิดความรู้สึกกลัวขึ้นมาตงิดๆ

“ เจ้าอายุเท่าไหร่แล้ว ไยติดพี่ชายเจ้าเยี่ยงนี้ ”เมิ่งหลินเอ่ยถามถึง

อย่างไรในสายตานาง องค์ชายที่แสนบอบบางเช่นนี้ก็ไม่ต่างอะไร

กับเด็กน้อยผู้หนึ่ง

 

“ แม่นางหลิว ท่านไม่มีพี่น้องบ้างหรือ ” 

หลี่เซวียนเอ่ยถามเขาพยายามทำความรู้จักกับหญิงสาวผู้นี้

ให้มากอย่างไรเสียหลายวันนี้พวกเขาต้องอยู่ร่วมกัน

“ มาแม่นง แม่นางอะไรกัน เจ้าต้องเรียกข้าศิษย์พี่ถึงจะถูก

ไปเถอะพวกเราเองก็ต้องออกเดินทางได้แล้วเจ้านั่งในรถม้าเช่นนี้

เป็นปกติหรือขี่ม้าเป็นรึไม่ ” 

เมิ่งหลินร้องถามิเพราะม้าเดินไวทำให้นางต้องใช้น้ำเสียงที่ดังขึ้น

“ องค์ชายเพิ่งฟื้น ร่างกายยังไม่ควรถูกไอเย็นมากนัก ”

หยางเตาตอบแทน เมิ่งหลินเพียงหันหน้ามองพรางถอนหายใจ

“ เจ้ารู้หรือไม่ว่าเขาจะไปฝึกวิชาอะไร ”

“ ข้าจะไปรู้กับพวกท่านได้อย่างไร ”

หยางเตาตอบอย่างไม่ยี่หระพรางควบม้าขึ้นนำหน้าไป

อย่างไรเสียเขาก็มีหน้าที่องครักษ์องค์ชาย เรื่องใดควรรู้

เรื่องไม่ควรรู้เขาก็ควรเลี่ยง

“ เอาเถอะ ข้าเบื่อแล้วออกเดินทางดีกว่า ”

เมิ่งหลินพูดปัดก่อนจะควบม้าขนาบข้างกับรถม้า

คอยคุ้มกันร่างบางในรถอีกชั้น

 

ณ จวนท่านอ๋องแปด

“ เรียนท่านอ๋องขณะนี้องค์รัชทายาทกับองค์ชายรองได้ออก

จากเมืองหลวงแล้วขอรับ ” 

ทหารองครักษ์รีบมารายงานหลังจากที่ได้รับคำสั่งให้ไปจับตาดู

เหล่าองค์ชายใบหน้าคมถูกแต่งด้วยหนวดเคราดูน่าเกรงขาม

ของท่านอ๋องแปดน้องชายของฮ่องเต้หลี่เทียนซุน ‘หลี่ตงอวิ๋น’

อ๋องแปดยิ้มรับมุมปากยกขึ้น

“ ฝั่งรัชทายาทมีใครบ้าง ”

“ ข้าน้อยเห็นไปกันเพียง 2 คนรัชทายาทกับองครักษ์คนสนิทขอรับ ”

ถ้วยชาถูกเขวี้ยงหล่นใส่หัวองครักษ์

“ เจ้าโง่ รัชทายาทออกจากเมืองหลวง จะพาไปแค่นี้รึ

ไม่ใช่ชาวบ้านลูกตาสีตาสาพวกเจ้านี่มัน ไม่ได้เรื่องจริงๆ

แล้วฝั่งองค์ชายรองล่ะ ”

 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
10 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

คุณคิดยังไงกับนิยายเรื่องนี้

* สามารถกรอกแบบสำรวจโดยไม่ต้องเป็นสมาชิกก็ได้ครับ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา