กระบี่เหมันต์ใต้เงาจันทร์

3.3

เขียนโดย หนิงเซียน

วันที่ 3 เมษายน พ.ศ. 2568 เวลา 19.01 น.

  6 บท
  4 วิจารณ์
  338 อ่าน

แก้ไขเมื่อ 10 เมษายน พ.ศ. 2568 07.07 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

2) บทที่2

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

“ เจ้ากำลังทำสิ่งใด ” หลี่จวิ้นร้องถาม

“ องค์รัชทายาท ถวายพระพร องค์รัชทายาท ”

ต่อให้ใจของหลี่เซวียนจะวิตก แต่เมื่อเห็นว่าคนที่เข้ามาเป็นพี่ชาย

ของตนความวิตกกังวล ในคราแรกก็หายไปหมดสิ้น

เมื่อได้สติจึงเห็นว่าคนที่กำลังสู้กันอยู่คือองครักษ์ของเขา

กับคนของเสด็จพี่นั่นเองร่างบางขององค์ชายหลี่เซวียน

รีบลุกทำความเคารพแต่ถูกมือของหลี่จวิ้นรองมือไว้

“ พี่น้องกันเอง ไยจึงต้องมากพิธี ข้าแค่อยากทดสอบคนของ

เสด็จพ่อสักหน่อยเจ้าไม่ต้องตกใจขนาดนั้น” หลี่จวิ้นเอ่ยเย้า

พรางใช้พัด แตะที่ไหล่มน ชั่วขณะนั้นเอง…..

ชิ้ง กระบี่เงาวับพุ่งตรงมาทางหลี่จวิ้นร่างสูงใช้ด้ามพัดในมือรับ

กระบี่สายตาคมดุจเหยี่ยวเหลือบมองรอยยิ้มยังคงประดับอยู่บน

ใบหน้า ( หมอนี่ช่างกล้านัก ) หลี่จวิ้นขบถในใจแต่สีหน้า

หาได้แสดงท่าทีทุกข์ร้อนไม่ เพียงเหลือบมองถ้วยชาตรงหน้า

ใช้มือซ้ายปล่อยลมปราณไปที่ถ้วยชาผลักถ้วยชาไปที่อีกฝ่าย

 

เพล้งงง……. เสียงถ้วยชาตกแตกร่างหนาขององครักษ์เงา

กระแทกชนเข้ากับเสาในตำหนัก มุมปากมีหยดเลือดไหลซึม

ออกมาสายตาคมของหลี่จวิ้นหาได้กระพริบ รอยยิ้มยังประดับ

บนใบหน้า

 

‘ จึ๋ย นี่มันเรื่องอะไรกันนนนน ชั้นเพิ่งฟื้นสติเองนะเว้ยยยยพอ

ฟื้นขึ้นมา วิญญาณมาอยู่ในร่างขององค์ชายรองสมัยราชวง

ศ์ถัง แล้วนี่ยังจะมาฆ่ากันต่อหน้าชั้นอีก ทำไมมันเฮงซวยแบบ

นี้เนี่ย ’

    ตากบมโตของหลี่เซวียนหันมองร่างขององครักษ์ที่ฮ่องเต้

ส่งมาคุ้มกันเขาก่อนจะถอนหายใจยาวๆ แม้นวิญญาณของเขา

จะมาสิงร่างคนอื่นแต่ความทรงจำของเขา กับร่างนี้ยังคงอยู่

ทำให้เขา นึกเรื่องราวต่างๆ ได้ออก

‘บ้าชะมัดเขาควรทำยังไงห้ามไหมหรือปล่อยไปดี โอ้ยโถ่เว้ย’

 

“ กระหม่อมหยางเจี้ยน หน่วยองครักษ์คารวะองค์รัชทายาท ”

     เมื่อเห็นว่าร่างบางของหลี่เซวียน ทำหน้าเหมือนกลืนไม่เข้า

คายไม่ออก หยางเจี้ยนจึงรีบประครองร่างของตนคุกเข่าเอ่ย

คารวะ ถ้าไม่ใช่เพราะฮ่องเต้เทียนซุนมีคำสั่งทหารให้เขาสู้กับ

หลี่จวิ้น มีหรือที่เขาจะกล้าหันกระบี่ใส่ องค์รัชทายาทผู้ที่จะ

เป็นฮ่องเต้คนต่อไป หากหลี่จวิ้นคิดแค้น เขาคงได้จบชีวิตลง

วันนี้เอง

 

“ หึ ฮ่าๆๆ เอาน่าคนกันเองพวกเจ้าสองคนก็หยุดสู้ได้แล้ว

เฟิงหลินอย่าเล่นถึงตายสิ เบามือหน่อย ”

“ องค์รัชทายาท ”

หลี่เซวียนเอ่ยเสียงเบาคนผู้นี้น่ากลัวจริงขนาดเพิ่งจะถูกคน

หันกระบี่เข้าใส่ ยังสามารถหัวเราะได้หน้าตาเฉยสิ้นเสียงของ

หลี่จวิ้นองครักษ์เงา กับ เฟิงหลิงก็หยุดมือต่างฝ่าย

ต่างเก็บกระบี่ของตนพรางหันมาคารวะองค์ชายรอง

      ที่แขนของฝ่ายองครักษ์เงาถูกกระบี่ของเฟิงหลินแทงไป

หนึ่งแผล บาดแผลไม่ลึกมากแต่ดูสยองน่ากลัวใช่เล่น

“ นี่เฟิงหลินข้าบอกให้เจ้าทดสอบเขาเจ้าจะเล่นเอาถึงชีวิตไปไย 

รีบเอายาให้เขาไปเลย จริงๆ เลยนะเจ้าเนี่ยยาเนี่ยยิ่งทำยากๆอยู่ ”

 

หลี่จวิ้นบ่นกระปอดกระแปดทีเล่นทีจริงใครเห็นเข้าคงไม่คิดว่า 

องค์รัชทายาทจะมีท่าทีเช่นนี้แน่

“ รัชทายาท เสด็จพี่ท่านคิดจะทำอะไร ”

หลี่เซวียนเอ่ยถามร่างสูงของหลี่จวิ้น สาวเท้าเดินไปมา

สายตาเหลือบมองภาพวาดพู่กันจีนบนผนัง ตำราบนโต๊ะ

พรางเอ่ยตอบอย่างไม่ยี่หระว่า

“ ข้าได้ยินมาว่าเสด็จพ่อส่งคนมาคุ้มกันเจ้า เลยอยากทดสอบ

ฝีมือสักหน่อย นึกไม่ถึงฝีมือจะแย่ถึงเพียงนี้ข้าว่าให้ท่านตา

ส่งคนมายังจะดีกว่า ”

“ เฟิงหลิน เป็นศิษย์หลานของท่านตาเล็กอี้เทียนองครักษ์ของ

เสด็จพ่อฝืมือจะไปเทียบได้อย่างไรกัน ”

“ ข้าถึงบอก ต้องให้ท่านตาส่งศิษย์มาคุ้มกันเจ้าข้าจะได้เบาใจ”

“ อูอันโหว เป็นแม่ทัพพยัคฆ์จะให้ติดต่อกับองค์ชายใครได้ยิน

เข้าจะไม่เป็นผลดีต่อองค์ชายรองแน่นอนว่าย่อมไม่เป็นผลต่อ

ชื่อเสียงขององค์รัชทายาท ”

 

ร่างสูงของหยางเจี้ยน ประสานมือทำความเคารพเอ่ยขึ้นขัด

แม้นท่าทีของเขาจะแสดงว่าเคารพ ภายในใจกลับรู้สึกยากที่

จะยอมรับตนเป็นองครักษ์ฝึกฝนการต่อสู้หลายอย่าง ในหน่วย

เป็นถึงหัวหน้าหน่วยคุ้มกันหนึ่งในห้าสายขององครักษ์พิทักษ์

แต่กลับพ่ายแพ้ให้แก่องค์รัชทายาท 

 

“ เจ้ามีนามว่าอะไรอยู่ต่อหน้าข้ายังกล้าสวมหน้ากาก เจ้ามีกี่หัวกัน”

หลี่จวิ้นเอ่ยถามพรางหุบพัดในมือ มือเรียวเคลื่อนพลังปราณดึง

หยดน้ำจากถ้วยชาหนึ่งหยด ดีดไปที่หน้ากากเหล็ก

ติ๋งงงง ….โพ๊ะ หน้ากากเหล็ก แยกออกจากกันเป็นสองส่วน 

หยางเจี้ยนตื่นตนก แต่เพียงครู่เดียวก็หายไป

‘พลังปราณนี่หรือว่าองค์รัชทายาทจะเป็นศิษย์ของอี้เทียน'

เช่นนั้นที่เขาแพ้ ย่อมเป็นเรื่องที่รับได้หยางเจี้ยนนึกชมชาย

เบื้องหน้าในใจ

    นัยตาคมสบเข้ากับนัยตาสีนิล ใบหน้าคมคร้ามชวนให้สาวหลง

ใหลแต่เมื่ออยู่ต่อหน้าเขาหลี่จวิ้นกลับรู้สึกว่าก็แค่หน้าตาดีไปหน่อย

เท่านั้นฝีมือยังต้องฝึกฝนอีกเยอะ

“ มีความอดกลั้นดี ข้าขอถามพวกเจ้าหน่อยพวกเจ้าสองคน

มีครอบครัวหรือไม่ ”

หลี่จวิ้นเอ่ยถามน้ำเสียงนุ่มแต่แฝงไปด้วยความเด็ดขาด

ในมือถือถ้วยชาขึ้นจิบ สายตาเหลือบมองท่าทีของอีกฝ่าย

เมื่อเห็นว่าทั้งสองรู้จักอดกลั้นข่มอารมณ์ เขาย่อมพอใจ

แน่ล่ะว่าเขาตั้งใจยั่วยุโทสะอีกฝ่าย เพื่อจะดูว่าพวกเขา

จะขาดสติหรือไม่ หากขาดสติย่อมเก็บไว้ใช้งานไม่ได้

ฐานะรัชทายาทฆ่าองครักษ์สักคน สองคนไม่ใช่เรื่องยาก

 

“ พวกข้าน้อยเป็นพี่น้องกันพ่ะย่ะค่ะ”

ปลายกระบี่ 'เหรินอี้' ของเฟิงหลินจ่อเข้าที่คอของหยางเตา

ทันทีเมื่อหยางเจี้ยนเอ่ยจบ ความเย็นจากปลายกระบี่พา

ให้เหงื่อผุดขึ้นที่ใบหน้าของหยางเตาร่างบางของ

หลี่เซวียนเหลือบมองพี่ชายของตนพรางยกถ้วยชาขึ้นจิบ

ข่มความวิตกในใจ

“ ถ้าข้าบอกว่าให้เจ้าฆ่าน้องชายข้าแลกกับชีวิตของน้องเจ้าล่ะ

เจ้าจะทำเยี่ยงไร ”

สายตาของหลี่เซวียยเบิกตาโพรง แม้แต่หยางเจี้ยนยังคาดไม่ถึงองค์รัชทายาทจะกล้าเอ่ยคำพูดเหล่านี้ออกมาได้อย่างหน้าตาไร้อารมณ์

“ พรูดดดดดดเสด็จพี่!! ไยกล่าวฆ่าแกงน้องเยี่ยงนี้ ”

หลี่เซวียน เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงตกใจทั้งยังทำชาหกเลอะเสื้อผ้า

“ ฮ่าๆๆ ดูเจ้าสิ ทำชาหกเลอะตัวหมดแล้ว ข้าว่าความสุขุมของเจ้า

คงไหลไปกับน้ำหมดแล้วกระมัง ”

หลี่จวิ้นรีบใช้ผ้าเช็ดหน้าเช็ดหน้าและเสื้อผ้าของหลี่เซวียนที่

ถูกชาหกเลอะไปหมด

 

( อา …สองคนนี้คงเป็นพี่น้องที่สนิท และรักกันมากแน่ๆ ทำไงดี 

เขาไม่รู้จักหลี่เซวียนมาก่อน นิสัยใจคอเป็นยังไงก็ไม่รู้ถ้าถูกจับ

ได้ว่าคนที่อยู่ในร่างของน้องเขา ไม่ใช่น้องเขาล่ะจะทำยังไง ) 

 

“ ทูลองค์รัชทายาท หากเกิดเรื่องเช่ยนี้กระหม่อมพร้อมสละชีวิต

ตนเอง ไม่ให้อีกฝ่ายใช้ชีวิตของกระหม่อมเป็นเครื่องต่อรองได้” 

หลี่จวิ้นพยักหน้ารับอย่างพอใจ

“ ดี งั้นข้าก็ไม่มีอะไรกับพวกเจ้าแต่จำไว้ว่าเจ้ามีครอบครัว

ข้าเองก็มีน้องรองเป็นครอบครัวเพียงคนเดียวของข้าหากเจ้า

ทำให้เขาบาดเจ็บแม้แต่น้อยหยดน้ำเมื่อครู่จะหยดลงบนหัวเจ้า “

หลี่จวิ้นโบกมือส่งสัญญาณให้เฟิงหลินไปเรียกนางกำนัล มาช่วยเปลี่ยนเสื้อผ้า ให้แก่หลี่เซวียน

“ กระหม่อมจะจำใส่ใจไว้ ”

สองคนประสานเสียงตอบรับสายตาเหลือบมอง อย่างไรคนผู้นี้

คือองค์รัชทายาท ไม่ใช่คนที่เขาต่อกรด้วยได้อยู่แล้ว

“ เจ้าพักเถอะ ข้ายังมีงานต้องทำ จริงสิขันทีที่ผลักเจ้าตกน้ำ 

จนป่านนี้ มันยังไม่ยอมเอ่ยปากแต่ข้ารับรองข้าจะเอาหัวของ

คนที่คิดร้ายกับเจ้ามาฝากเจ้าให้ได้ ”

ใบหน้างามดั่งสตรีของหลี่จวิ้น ยามที่มองช่างน่าดึงดูดนัก

แม้แต่ตอนที่เอ่ยถึงการกุดหัวศัตรูใบหน้ายังเปื้อนรอยยิ้ม

( พี่ชายของหลี่เซวียนน่ากลัวเป็นบ้า )

ชาตินี้ให้ตายเขาจะไม่ยอมทะเลาะกับผู้ชายตรงหน้านี้เด็ดขาด

“ เจ้านามว่าหยางเจี้ยน แล้วเจ้าเล่า ”

หลี่จวิ้นหันไปถามองครักษ์อีกคน

“ ข้าน้อย หยางเตา ” หลี่จวิ้นพยักหน้ารับ

“ ดี ข้าหวังว่าวันนี้พวกเจ้าจะไม่รู้ไม่เห็นอะไรทั้งนั้นนะ ”

หลี่จวิ้นเอ่ยสั่ง แต่ช่างเป็นคำสั่งที่บีบใจคนฟังนัก

“ พวกกระหม่อมไม่รู้ ไม่เห็นอะไรทั้งนั้นองค์รัชทายาท

โปรดวางพระทัย ”

“ ดีมาก ข้าไปล่ะ อ้อข้านึกถึงกวีบทหนึ่งได้

  * เส้นด้ายในมือแม่เย็บปักอย่างใส่ใจ

กลายเป็นอาภรณ์ที่ลูกสวมใส่เดินทาง

เจ้าว่าทุกคนล้วนคิดถึงบ้านใช่หรือไม่ล่ะ ”

" บทกวีของ ตูฝูนัดกวีสมัยราชวงศ์ถัง

 

     เสียงทุ้มเอื้อนเอ่ยบทกวีในมือโบกพัด ดูไม่ต่างกับบัณฑิต

ร่างสูงของทั้งสองเดินหันหลังจากไป เหงื่อเม็ดเล็กผุดขึ้น

ที่ใบหน้าของหยางเจี้ยน คนผู้นี้น่ากลัวเกินกว่าจะเป็นศัตรูด้วยได้

ทั้งสองพี่น้องสบตากันไม่ต้องเอ่ยคำใด เรื่องวันนี้ไม่สามารถกราบทูล

ให้ฝ่าบาททราบได้

เพียงแต่…..บนหลังคาตำหนักปรากฏเงาของคนผู้หนึ่ง 

เรื่องในวันนี้ พวกเขาไม่พูดแต่มีคนพูดแทนแล้ว

 

ร่างสูงของชายชุดดำ ลอบเข้าไปในตำหนักเจิ้นกวางภายในตำหนัก

ฮ่องเต้เทียนซุนกำลังนั่งเอกเขนกบนตั่งในมือถือฏีกา

ของเหล่าขุนนางฝ่ายบุ่นที่ยื่นร้องเรียนมากมาย

“ ฝ่าบาท เรื่องที่พระองค์ให้กระหม่อมไปจับตาดูองค์รัชทายาท

มีความเคลื่อนไหวแล้ว องค์รัชทายาทวิทยายุทธ์ลมปราณ

แข็งแกร่งมากสามารถแปลงน้ำเป็นอาวุธได้ ”

“ อืมม์ สมเป็นศิษย์ของท่านนักพรต เอาเถอะให้เขามีวิทยายุทธ์

ย่อมดีกว่าไม่มีในวังมีแต่อสรพิษตราบใดที่เขาไม่คิดร้ายต่อเรา

กับเจ้ารองก็ปล่อยเขาไปเถอะ ”

ฮ่องเต้เอ่ยอย่างไม่ยี่หระเรื่องที่ลูกชายคนโตแอบฝึกวิทยายุทธ

นี้เขาย่อมรู้เพียงแต่ไม่เคยเอ่ยทัดทานเท่านั้น

“ ข้าน้อยได้ยินองค์รัชทายาททรงบอกแก่องค์ชายรองว่า

จับตัวผู้กระทำผิดได้หนึ่งคน…เป็นคนที่ผลักองค์ชายรอง

ตกน้ำในวันนั้นพะย่ะค่ะ ”

“ ลูกคนนี้ เห็นทีจะซ่อนเขี้ยวเล็บไว้มากดีต้องแบบนี้บัลลังก์นี้

ของเขาถึงจะมั่นคงจำไว้ถ้าไม่ยามคับขันจริงๆ หน่วยพิทักษ์

ไม่ต้องช่วยพวกเขา ”

“ พะย่ะค่ะฝ่าบาท ” หวังจื่อเอ่ยรับคำ 

“ ฝั่งไทเฮา เป็นอย่างไรบ้าง ” ฮ่องเต้เอ่ยถามน้ำเสียงแสดงถึง

ความเบื่อหน่ายกับผู้เป็นพระมารดาของตนเอง

“ ไทเฮา กำลังเตรียมการให้รัชทายาทได้พบกับบุตรีจวนกั๋วกง

ท่านหญิงเซียวหยุนเซียง พะย่ะค่ะ ”

หวังจื่อรายงาน ฎีกาถูกมือหนาโยนลงพื้นอย่างไม่ไยดี

“ ทำลายแผนการนัดพบนี้ซะ สกุลเซียวจะต้องไม่สืบทอด

อำนาจในวังหลังได้อีกต่อไป” ฮ่องเต้เทียนซุนออกคำสั่ง

“ กระหม่อมจะรีบไปจัดการ ”

“ ดี เจ้าไปเถอะ ระวังตัวด้วย ”

หวังจื่อกล่าวรับคำก่อนจะลอบออกไปจากตำหนัก

( เสด็จแม่ ผมขาวบนหัวไม่ได้ทำให้ท่านจิตใจสงบขึ้นเลย

หรืออย่างไรหลายปีมานี้ ลูกยังฝันถึงคืนนัันแต่ท่านกลับ….)

 

ณ. ตำหนักบูรพา

“ องค์รัชทายาท ….. ”

เฟิงหลินเอ่ย เสียงเป็นกังวลเมื่อพวกเขาออกจากตำหนัก

ถึงเพิ่งสังเกตุเห็นว่าบนหลังคาของตำหนักเฉิงหยางฝู่

มีอีกคนยืนอยู่บนนั้น 

“ ข้ารู้ เจ้าจะพูดเรื่องอะไร เรื่องที่ข้าทำปิดเสด็จพ่อไม่มิดหรอก

ช้าเร็วเสด็จพ่อย่อมต้องรู้ ”

หลี่จวิ้นเอ่ยน้ำเสียงเรียบนิ่งดั่งเช่นทุกที

“ องค์รัชทายาททรงจะทำอย่างไรต่อไป ”

“ ทำตามแผนเดิม ถ้าข้าคิดไม่ผิดเสด็จพ่อจะยืนข้างเรา”

“ เหตุใดองค์รัชทายาทจึงคิดเช่นนี้ ”

เฟิงหลินเอ่ยถามนับแต่โบราณราชวงศ์ ไม่เคยมีใครฝึกวิทยายุทธ์

ต่อให้ไม่มีกฎควบคุมแต่ทุกคนต่างทราบว่าเป็นสิ่ง ที่ไม่ควรทำ

หากฮ่องเต้รู้เข้าอาจระแวงสงสัยต่อองค์รัชทายาทได้

นี่คือสิ่งที่เขากังวล

 

“ เพราะข้าทำเพื่อปกป้องน้องข้าและเพื่อเสด็จแม่ ”

หลี่จวิ้นเอ่ยด้วยความมั่นใจเพียงครึ่ง อย่างไรเสียสิ่งที่เขาทำ

หาใช่เพื่อผลประโยชน์ของตนเองไม่ เขาคิดว่าเลือดย่อมข้น

กว่าน้ำเสด็จพ่อจะต้องเข้าใจเขาแน่

“ งั้น คืนนี้กระหม่อมจะไปสืบข่าวเรื่องขันทีผู้นั้น ”

หลี่จวิ้นพยักหน้ารับก่อนจะเอ่ยให้ เฟิงหลินออกไป

“ ข้าเหนื่อยแล้วเจ้าไปพักเถอะ ” 

 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
10 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

คุณคิดยังไงกับนิยายเรื่องนี้

* สามารถกรอกแบบสำรวจโดยไม่ต้องเป็นสมาชิกก็ได้ครับ

 

อ่านนิยายเรื่องอื่น

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา