กระบี่เหมันต์ใต้เงาจันทร์
เขียนโดย หนิงเซียน
วันที่ 3 เมษายน พ.ศ. 2568 เวลา 19.01 น.
แก้ไขเมื่อ 10 เมษายน พ.ศ. 2568 07.07 น. โดย เจ้าของนิยาย
2) บทที่2
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ“ เจ้ากำลังทำสิ่งใด ” หลี่จวิ้นร้องถาม
“ องค์รัชทายาท ถวายพระพร องค์รัชทายาท ”
ต่อให้ใจของหลี่เซวียนจะวิตก แต่เมื่อเห็นว่าคนที่เข้ามาเป็นพี่ชาย
ของตนความวิตกกังวล ในคราแรกก็หายไปหมดสิ้น
เมื่อได้สติจึงเห็นว่าคนที่กำลังสู้กันอยู่คือองครักษ์ของเขา
กับคนของเสด็จพี่นั่นเองร่างบางขององค์ชายหลี่เซวียน
รีบลุกทำความเคารพแต่ถูกมือของหลี่จวิ้นรองมือไว้
“ พี่น้องกันเอง ไยจึงต้องมากพิธี ข้าแค่อยากทดสอบคนของ
เสด็จพ่อสักหน่อยเจ้าไม่ต้องตกใจขนาดนั้น” หลี่จวิ้นเอ่ยเย้า
พรางใช้พัด แตะที่ไหล่มน ชั่วขณะนั้นเอง…..
ชิ้ง กระบี่เงาวับพุ่งตรงมาทางหลี่จวิ้นร่างสูงใช้ด้ามพัดในมือรับ
กระบี่สายตาคมดุจเหยี่ยวเหลือบมองรอยยิ้มยังคงประดับอยู่บน
ใบหน้า ( หมอนี่ช่างกล้านัก ) หลี่จวิ้นขบถในใจแต่สีหน้า
หาได้แสดงท่าทีทุกข์ร้อนไม่ เพียงเหลือบมองถ้วยชาตรงหน้า
ใช้มือซ้ายปล่อยลมปราณไปที่ถ้วยชาผลักถ้วยชาไปที่อีกฝ่าย
เพล้งงง……. เสียงถ้วยชาตกแตกร่างหนาขององครักษ์เงา
กระแทกชนเข้ากับเสาในตำหนัก มุมปากมีหยดเลือดไหลซึม
ออกมาสายตาคมของหลี่จวิ้นหาได้กระพริบ รอยยิ้มยังประดับ
บนใบหน้า
‘ จึ๋ย นี่มันเรื่องอะไรกันนนนน ชั้นเพิ่งฟื้นสติเองนะเว้ยยยยพอ
ฟื้นขึ้นมา วิญญาณมาอยู่ในร่างขององค์ชายรองสมัยราชวง
ศ์ถัง แล้วนี่ยังจะมาฆ่ากันต่อหน้าชั้นอีก ทำไมมันเฮงซวยแบบ
นี้เนี่ย ’
ตากบมโตของหลี่เซวียนหันมองร่างขององครักษ์ที่ฮ่องเต้
ส่งมาคุ้มกันเขาก่อนจะถอนหายใจยาวๆ แม้นวิญญาณของเขา
จะมาสิงร่างคนอื่นแต่ความทรงจำของเขา กับร่างนี้ยังคงอยู่
ทำให้เขา นึกเรื่องราวต่างๆ ได้ออก
‘บ้าชะมัดเขาควรทำยังไงห้ามไหมหรือปล่อยไปดี โอ้ยโถ่เว้ย’
“ กระหม่อมหยางเจี้ยน หน่วยองครักษ์คารวะองค์รัชทายาท ”
เมื่อเห็นว่าร่างบางของหลี่เซวียน ทำหน้าเหมือนกลืนไม่เข้า
คายไม่ออก หยางเจี้ยนจึงรีบประครองร่างของตนคุกเข่าเอ่ย
คารวะ ถ้าไม่ใช่เพราะฮ่องเต้เทียนซุนมีคำสั่งทหารให้เขาสู้กับ
หลี่จวิ้น มีหรือที่เขาจะกล้าหันกระบี่ใส่ องค์รัชทายาทผู้ที่จะ
เป็นฮ่องเต้คนต่อไป หากหลี่จวิ้นคิดแค้น เขาคงได้จบชีวิตลง
วันนี้เอง
“ หึ ฮ่าๆๆ เอาน่าคนกันเองพวกเจ้าสองคนก็หยุดสู้ได้แล้ว
เฟิงหลินอย่าเล่นถึงตายสิ เบามือหน่อย ”
“ องค์รัชทายาท ”
หลี่เซวียนเอ่ยเสียงเบาคนผู้นี้น่ากลัวจริงขนาดเพิ่งจะถูกคน
หันกระบี่เข้าใส่ ยังสามารถหัวเราะได้หน้าตาเฉยสิ้นเสียงของ
หลี่จวิ้นองครักษ์เงา กับ เฟิงหลิงก็หยุดมือต่างฝ่าย
ต่างเก็บกระบี่ของตนพรางหันมาคารวะองค์ชายรอง
ที่แขนของฝ่ายองครักษ์เงาถูกกระบี่ของเฟิงหลินแทงไป
หนึ่งแผล บาดแผลไม่ลึกมากแต่ดูสยองน่ากลัวใช่เล่น
“ นี่เฟิงหลินข้าบอกให้เจ้าทดสอบเขาเจ้าจะเล่นเอาถึงชีวิตไปไย
รีบเอายาให้เขาไปเลย จริงๆ เลยนะเจ้าเนี่ยยาเนี่ยยิ่งทำยากๆอยู่ ”
หลี่จวิ้นบ่นกระปอดกระแปดทีเล่นทีจริงใครเห็นเข้าคงไม่คิดว่า
องค์รัชทายาทจะมีท่าทีเช่นนี้แน่
“ รัชทายาท เสด็จพี่ท่านคิดจะทำอะไร ”
หลี่เซวียนเอ่ยถามร่างสูงของหลี่จวิ้น สาวเท้าเดินไปมา
สายตาเหลือบมองภาพวาดพู่กันจีนบนผนัง ตำราบนโต๊ะ
พรางเอ่ยตอบอย่างไม่ยี่หระว่า
“ ข้าได้ยินมาว่าเสด็จพ่อส่งคนมาคุ้มกันเจ้า เลยอยากทดสอบ
ฝีมือสักหน่อย นึกไม่ถึงฝีมือจะแย่ถึงเพียงนี้ข้าว่าให้ท่านตา
ส่งคนมายังจะดีกว่า ”
“ เฟิงหลิน เป็นศิษย์หลานของท่านตาเล็กอี้เทียนองครักษ์ของ
เสด็จพ่อฝืมือจะไปเทียบได้อย่างไรกัน ”
“ ข้าถึงบอก ต้องให้ท่านตาส่งศิษย์มาคุ้มกันเจ้าข้าจะได้เบาใจ”
“ อูอันโหว เป็นแม่ทัพพยัคฆ์จะให้ติดต่อกับองค์ชายใครได้ยิน
เข้าจะไม่เป็นผลดีต่อองค์ชายรองแน่นอนว่าย่อมไม่เป็นผลต่อ
ชื่อเสียงขององค์รัชทายาท ”
ร่างสูงของหยางเจี้ยน ประสานมือทำความเคารพเอ่ยขึ้นขัด
แม้นท่าทีของเขาจะแสดงว่าเคารพ ภายในใจกลับรู้สึกยากที่
จะยอมรับตนเป็นองครักษ์ฝึกฝนการต่อสู้หลายอย่าง ในหน่วย
เป็นถึงหัวหน้าหน่วยคุ้มกันหนึ่งในห้าสายขององครักษ์พิทักษ์
แต่กลับพ่ายแพ้ให้แก่องค์รัชทายาท
“ เจ้ามีนามว่าอะไรอยู่ต่อหน้าข้ายังกล้าสวมหน้ากาก เจ้ามีกี่หัวกัน”
หลี่จวิ้นเอ่ยถามพรางหุบพัดในมือ มือเรียวเคลื่อนพลังปราณดึง
หยดน้ำจากถ้วยชาหนึ่งหยด ดีดไปที่หน้ากากเหล็ก
ติ๋งงงง ….โพ๊ะ หน้ากากเหล็ก แยกออกจากกันเป็นสองส่วน
หยางเจี้ยนตื่นตนก แต่เพียงครู่เดียวก็หายไป
‘พลังปราณนี่หรือว่าองค์รัชทายาทจะเป็นศิษย์ของอี้เทียน'
เช่นนั้นที่เขาแพ้ ย่อมเป็นเรื่องที่รับได้หยางเจี้ยนนึกชมชาย
เบื้องหน้าในใจ
นัยตาคมสบเข้ากับนัยตาสีนิล ใบหน้าคมคร้ามชวนให้สาวหลง
ใหลแต่เมื่ออยู่ต่อหน้าเขาหลี่จวิ้นกลับรู้สึกว่าก็แค่หน้าตาดีไปหน่อย
เท่านั้นฝีมือยังต้องฝึกฝนอีกเยอะ
“ มีความอดกลั้นดี ข้าขอถามพวกเจ้าหน่อยพวกเจ้าสองคน
มีครอบครัวหรือไม่ ”
หลี่จวิ้นเอ่ยถามน้ำเสียงนุ่มแต่แฝงไปด้วยความเด็ดขาด
ในมือถือถ้วยชาขึ้นจิบ สายตาเหลือบมองท่าทีของอีกฝ่าย
เมื่อเห็นว่าทั้งสองรู้จักอดกลั้นข่มอารมณ์ เขาย่อมพอใจ
แน่ล่ะว่าเขาตั้งใจยั่วยุโทสะอีกฝ่าย เพื่อจะดูว่าพวกเขา
จะขาดสติหรือไม่ หากขาดสติย่อมเก็บไว้ใช้งานไม่ได้
ฐานะรัชทายาทฆ่าองครักษ์สักคน สองคนไม่ใช่เรื่องยาก
“ พวกข้าน้อยเป็นพี่น้องกันพ่ะย่ะค่ะ”
ปลายกระบี่ 'เหรินอี้' ของเฟิงหลินจ่อเข้าที่คอของหยางเตา
ทันทีเมื่อหยางเจี้ยนเอ่ยจบ ความเย็นจากปลายกระบี่พา
ให้เหงื่อผุดขึ้นที่ใบหน้าของหยางเตาร่างบางของ
หลี่เซวียนเหลือบมองพี่ชายของตนพรางยกถ้วยชาขึ้นจิบ
ข่มความวิตกในใจ
“ ถ้าข้าบอกว่าให้เจ้าฆ่าน้องชายข้าแลกกับชีวิตของน้องเจ้าล่ะ
เจ้าจะทำเยี่ยงไร ”
สายตาของหลี่เซวียยเบิกตาโพรง แม้แต่หยางเจี้ยนยังคาดไม่ถึงองค์รัชทายาทจะกล้าเอ่ยคำพูดเหล่านี้ออกมาได้อย่างหน้าตาไร้อารมณ์
“ พรูดดดดดดเสด็จพี่!! ไยกล่าวฆ่าแกงน้องเยี่ยงนี้ ”
หลี่เซวียน เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงตกใจทั้งยังทำชาหกเลอะเสื้อผ้า
“ ฮ่าๆๆ ดูเจ้าสิ ทำชาหกเลอะตัวหมดแล้ว ข้าว่าความสุขุมของเจ้า
คงไหลไปกับน้ำหมดแล้วกระมัง ”
หลี่จวิ้นรีบใช้ผ้าเช็ดหน้าเช็ดหน้าและเสื้อผ้าของหลี่เซวียนที่
ถูกชาหกเลอะไปหมด
( อา …สองคนนี้คงเป็นพี่น้องที่สนิท และรักกันมากแน่ๆ ทำไงดี
เขาไม่รู้จักหลี่เซวียนมาก่อน นิสัยใจคอเป็นยังไงก็ไม่รู้ถ้าถูกจับ
ได้ว่าคนที่อยู่ในร่างของน้องเขา ไม่ใช่น้องเขาล่ะจะทำยังไง )
“ ทูลองค์รัชทายาท หากเกิดเรื่องเช่ยนี้กระหม่อมพร้อมสละชีวิต
ตนเอง ไม่ให้อีกฝ่ายใช้ชีวิตของกระหม่อมเป็นเครื่องต่อรองได้”
หลี่จวิ้นพยักหน้ารับอย่างพอใจ
“ ดี งั้นข้าก็ไม่มีอะไรกับพวกเจ้าแต่จำไว้ว่าเจ้ามีครอบครัว
ข้าเองก็มีน้องรองเป็นครอบครัวเพียงคนเดียวของข้าหากเจ้า
ทำให้เขาบาดเจ็บแม้แต่น้อยหยดน้ำเมื่อครู่จะหยดลงบนหัวเจ้า “
หลี่จวิ้นโบกมือส่งสัญญาณให้เฟิงหลินไปเรียกนางกำนัล มาช่วยเปลี่ยนเสื้อผ้า ให้แก่หลี่เซวียน
“ กระหม่อมจะจำใส่ใจไว้ ”
สองคนประสานเสียงตอบรับสายตาเหลือบมอง อย่างไรคนผู้นี้
คือองค์รัชทายาท ไม่ใช่คนที่เขาต่อกรด้วยได้อยู่แล้ว
“ เจ้าพักเถอะ ข้ายังมีงานต้องทำ จริงสิขันทีที่ผลักเจ้าตกน้ำ
จนป่านนี้ มันยังไม่ยอมเอ่ยปากแต่ข้ารับรองข้าจะเอาหัวของ
คนที่คิดร้ายกับเจ้ามาฝากเจ้าให้ได้ ”
ใบหน้างามดั่งสตรีของหลี่จวิ้น ยามที่มองช่างน่าดึงดูดนัก
แม้แต่ตอนที่เอ่ยถึงการกุดหัวศัตรูใบหน้ายังเปื้อนรอยยิ้ม
( พี่ชายของหลี่เซวียนน่ากลัวเป็นบ้า )
ชาตินี้ให้ตายเขาจะไม่ยอมทะเลาะกับผู้ชายตรงหน้านี้เด็ดขาด
“ เจ้านามว่าหยางเจี้ยน แล้วเจ้าเล่า ”
หลี่จวิ้นหันไปถามองครักษ์อีกคน
“ ข้าน้อย หยางเตา ” หลี่จวิ้นพยักหน้ารับ
“ ดี ข้าหวังว่าวันนี้พวกเจ้าจะไม่รู้ไม่เห็นอะไรทั้งนั้นนะ ”
หลี่จวิ้นเอ่ยสั่ง แต่ช่างเป็นคำสั่งที่บีบใจคนฟังนัก
“ พวกกระหม่อมไม่รู้ ไม่เห็นอะไรทั้งนั้นองค์รัชทายาท
โปรดวางพระทัย ”
“ ดีมาก ข้าไปล่ะ อ้อข้านึกถึงกวีบทหนึ่งได้
* เส้นด้ายในมือแม่เย็บปักอย่างใส่ใจ
กลายเป็นอาภรณ์ที่ลูกสวมใส่เดินทาง
เจ้าว่าทุกคนล้วนคิดถึงบ้านใช่หรือไม่ล่ะ ”
" บทกวีของ ตูฝูนัดกวีสมัยราชวงศ์ถัง
เสียงทุ้มเอื้อนเอ่ยบทกวีในมือโบกพัด ดูไม่ต่างกับบัณฑิต
ร่างสูงของทั้งสองเดินหันหลังจากไป เหงื่อเม็ดเล็กผุดขึ้น
ที่ใบหน้าของหยางเจี้ยน คนผู้นี้น่ากลัวเกินกว่าจะเป็นศัตรูด้วยได้
ทั้งสองพี่น้องสบตากันไม่ต้องเอ่ยคำใด เรื่องวันนี้ไม่สามารถกราบทูล
ให้ฝ่าบาททราบได้
เพียงแต่…..บนหลังคาตำหนักปรากฏเงาของคนผู้หนึ่ง
เรื่องในวันนี้ พวกเขาไม่พูดแต่มีคนพูดแทนแล้ว
ร่างสูงของชายชุดดำ ลอบเข้าไปในตำหนักเจิ้นกวางภายในตำหนัก
ฮ่องเต้เทียนซุนกำลังนั่งเอกเขนกบนตั่งในมือถือฏีกา
ของเหล่าขุนนางฝ่ายบุ่นที่ยื่นร้องเรียนมากมาย
“ ฝ่าบาท เรื่องที่พระองค์ให้กระหม่อมไปจับตาดูองค์รัชทายาท
มีความเคลื่อนไหวแล้ว องค์รัชทายาทวิทยายุทธ์ลมปราณ
แข็งแกร่งมากสามารถแปลงน้ำเป็นอาวุธได้ ”
“ อืมม์ สมเป็นศิษย์ของท่านนักพรต เอาเถอะให้เขามีวิทยายุทธ์
ย่อมดีกว่าไม่มีในวังมีแต่อสรพิษตราบใดที่เขาไม่คิดร้ายต่อเรา
กับเจ้ารองก็ปล่อยเขาไปเถอะ ”
ฮ่องเต้เอ่ยอย่างไม่ยี่หระเรื่องที่ลูกชายคนโตแอบฝึกวิทยายุทธ
นี้เขาย่อมรู้เพียงแต่ไม่เคยเอ่ยทัดทานเท่านั้น
“ ข้าน้อยได้ยินองค์รัชทายาททรงบอกแก่องค์ชายรองว่า
จับตัวผู้กระทำผิดได้หนึ่งคน…เป็นคนที่ผลักองค์ชายรอง
ตกน้ำในวันนั้นพะย่ะค่ะ ”
“ ลูกคนนี้ เห็นทีจะซ่อนเขี้ยวเล็บไว้มากดีต้องแบบนี้บัลลังก์นี้
ของเขาถึงจะมั่นคงจำไว้ถ้าไม่ยามคับขันจริงๆ หน่วยพิทักษ์
ไม่ต้องช่วยพวกเขา ”
“ พะย่ะค่ะฝ่าบาท ” หวังจื่อเอ่ยรับคำ
“ ฝั่งไทเฮา เป็นอย่างไรบ้าง ” ฮ่องเต้เอ่ยถามน้ำเสียงแสดงถึง
ความเบื่อหน่ายกับผู้เป็นพระมารดาของตนเอง
“ ไทเฮา กำลังเตรียมการให้รัชทายาทได้พบกับบุตรีจวนกั๋วกง
ท่านหญิงเซียวหยุนเซียง พะย่ะค่ะ ”
หวังจื่อรายงาน ฎีกาถูกมือหนาโยนลงพื้นอย่างไม่ไยดี
“ ทำลายแผนการนัดพบนี้ซะ สกุลเซียวจะต้องไม่สืบทอด
อำนาจในวังหลังได้อีกต่อไป” ฮ่องเต้เทียนซุนออกคำสั่ง
“ กระหม่อมจะรีบไปจัดการ ”
“ ดี เจ้าไปเถอะ ระวังตัวด้วย ”
หวังจื่อกล่าวรับคำก่อนจะลอบออกไปจากตำหนัก
( เสด็จแม่ ผมขาวบนหัวไม่ได้ทำให้ท่านจิตใจสงบขึ้นเลย
หรืออย่างไรหลายปีมานี้ ลูกยังฝันถึงคืนนัันแต่ท่านกลับ….)
ณ. ตำหนักบูรพา
“ องค์รัชทายาท ….. ”
เฟิงหลินเอ่ย เสียงเป็นกังวลเมื่อพวกเขาออกจากตำหนัก
ถึงเพิ่งสังเกตุเห็นว่าบนหลังคาของตำหนักเฉิงหยางฝู่
มีอีกคนยืนอยู่บนนั้น
“ ข้ารู้ เจ้าจะพูดเรื่องอะไร เรื่องที่ข้าทำปิดเสด็จพ่อไม่มิดหรอก
ช้าเร็วเสด็จพ่อย่อมต้องรู้ ”
หลี่จวิ้นเอ่ยน้ำเสียงเรียบนิ่งดั่งเช่นทุกที
“ องค์รัชทายาททรงจะทำอย่างไรต่อไป ”
“ ทำตามแผนเดิม ถ้าข้าคิดไม่ผิดเสด็จพ่อจะยืนข้างเรา”
“ เหตุใดองค์รัชทายาทจึงคิดเช่นนี้ ”
เฟิงหลินเอ่ยถามนับแต่โบราณราชวงศ์ ไม่เคยมีใครฝึกวิทยายุทธ์
ต่อให้ไม่มีกฎควบคุมแต่ทุกคนต่างทราบว่าเป็นสิ่ง ที่ไม่ควรทำ
หากฮ่องเต้รู้เข้าอาจระแวงสงสัยต่อองค์รัชทายาทได้
นี่คือสิ่งที่เขากังวล
“ เพราะข้าทำเพื่อปกป้องน้องข้าและเพื่อเสด็จแม่ ”
หลี่จวิ้นเอ่ยด้วยความมั่นใจเพียงครึ่ง อย่างไรเสียสิ่งที่เขาทำ
หาใช่เพื่อผลประโยชน์ของตนเองไม่ เขาคิดว่าเลือดย่อมข้น
กว่าน้ำเสด็จพ่อจะต้องเข้าใจเขาแน่
“ งั้น คืนนี้กระหม่อมจะไปสืบข่าวเรื่องขันทีผู้นั้น ”
หลี่จวิ้นพยักหน้ารับก่อนจะเอ่ยให้ เฟิงหลินออกไป
“ ข้าเหนื่อยแล้วเจ้าไปพักเถอะ ”
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้

รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ