กระบี่เหมันต์ใต้เงาจันทร์

3.3

เขียนโดย หนิงเซียน

วันที่ 3 เมษายน พ.ศ. 2568 เวลา 19.01 น.

  6 บท
  4 วิจารณ์
  338 อ่าน

แก้ไขเมื่อ 10 เมษายน พ.ศ. 2568 07.07 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

4) บทที่ 4

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

“ อืม ตอนนี้เจ้าไปรินน้ำชามาคารวะข้าก่อน ข้าถึงจะรับเจ้าเป็นศิษย์ได้อย่างถูกต้อง ”

“ ขอรับท่านอาจารย์ ”

หลังจากพิธีคารวะอาจารย์จบลงร่างบางของหลี่เซวียนเดินทอดน่องอยู่ในเรือนพรางครุ่นคิดไม่กี่วันมานี้มีหลายสิ่งที่เกิดขึ้นมากมายสายตากลมโตเหม่อมองดวงจันทร์บนท้องฟ้า 

‘ ดึกป่านนี้แล้วเสด็จพี่จะไปถึงหุบเขาเหมันต์หรือยังนะ ’

 

ขณะที่ทั้งสองควบม้าออกจากเมืองหลวงฉางอันระยะทางไม่ไกลนักสายตาคมเห็นกลุ่มคน คาดว่าจะเป็นหน่วยองครักษ์นั่งบนหลังม้าเหมือนคอยพวกเขาอยู่ ร่างของชายผู้หนึ่งนั่งบนหลังม้าศึกสวมชุดเกาะใบหน้าสวมหน้ากากเหล็ก ที่เอวเหน็บดาบเล่มหนึ่งชายคนนั้นควบม้ามาทางพวกเขาก่อนจะลง จากหลังม้าทำความเคารพ

“ คารวะองค์รัชทายาท “

“ ห๊ะ นี่เจ้าคือหยางเจี้ยนไม่ใช่รึเหตุใดถึงมาดักรอข้าอยู่ที่นี่ ”

เฟิงหลินควบม้าออกมาทันทีมือขวาชักกระบี่ สายตามองคนเบื้องล่าง

อย่างไม่เป็นมิตรเท่าใดนัก

“ มีราชโองการให้หน่วยคุ้มกันขององครักษ์พิทักษ์พยัคฆ์ คุ้มกันองค์รัชทายาทกลับหุบเขาเหมันต์พ่ะย่ะค่ะ ”

สายตาคมส่งสัญญาณ เฟิงหลินจึงควบม้าเดินไปเอาราชโองการกลับมาให้หลี่จวิ้น มือหนาเปิดกระดาษลายมังกรออกดูก่อนจะยิ้มที่มุมปาก

“ เสด็จพ่อทรงทราบตั้งแต่แรกแล้ว ไปกันเถอะเฟิงหลินให้พวกเขาตามมาอย่าไปสร้างความลำบากใจเลย ”

“ พ่ะย่ะค่ะ ” เฟิงหลินเอ่ยตอบรับอย่างว่าง่าย แต่สายตายังมองหยางเจี้ยนด้วยความไม่พอใจ 

‘ ฝีมืออ่อนด้อยเช่นนี้รึจะมาคุ้มกันตัวถ่วงสิไม่ว่า”

 

ย้า…ย้า…ย้า…เสียงควบม้าดังไม่หยุดจวบจนก่อนพลบค่ำเฟิงหลิน จึงพาทุกคนไปที่เรือนพักแรมที่พวกเขากับองค์รัชทายาทมาพักประจำ ทหารเฝ้าประตูออกมาต้อนรับนำทางไปโรงเก็บม้า ร่างสูงของหลี่จวิ้นเดินเข้าไปทางประตูหน้าก่อนแล้ว ส่วนเฟิงหลินอยู่รอหน่วย องครักษ์ลับที่หน้าประตูด้วยท่าทีเบื่อหน่าย

“ พวกเจ้าตามข้ามาทางเรือนข้างคืนนี้ก็พักค้างแรมกันที่นี่ ”

“ ได้ ข้าขอบคุณพี่เฟิงหลินมาก ” 

 

หยางเจี้ยนเอ่ยขอบคุณเขาย่อมรู้ถึงสายตาที่ไม่เป็นมิตรของอีกฝ่าย แต่ใคร่จะมีเรื่องในเมื่อมีคำสั่งทหารจากองค์ฮ่องเต้ เขาย่อมทำตามคำสั่งในเมื่อต้องอยู่ร่วมกันหลายวัน ไยจึงไม่อยู่ร่วมกันอย่างสันติ

“ ฝีมือเจ้าอ่อนด้อยเพียงนี้ข้าไม่รับเจ้าเป็นน้องข้าหรอกนะ”

หยางเจี้ยนมองคนตรงหน้าต่อให้เขาไม่ชอบใครแต่ในเมื่อต้องทำงานร่วมกับผู้อื่นหลายครั้งเขามักเก็บความรู้สึกไว้ในใจแต่คนตรงนี้นี้หาเป็นแบบนั้นไม่ เฟิงหลินกลับกล้าเอ่ยความรู้สึกออกมาตรงๆไม่ปิดบังด้วยข้อนี้ทำให้เขาต้องมองคนผู้นี้ใหม่

 

หยางเจี้ยนจับแขนลูกน้องคนสนิทเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายโมโหเฟิงหลิน จนอยากจะปะทะด้วยดั่งประโยคที่ว่า ’ฮ่องเต้ไม่ร้อน ผู้ร้อนเป็นขันที’ เพื่อไม่ให้เรื่องลุกลามมือหนาจึงรีบปรามส่งสายตาเป็นสัญญาณเตือนให้หยุด

“ ข้าเข้าใจท่าน ” หยางเจี้ยนเอ่ยรับ

“ เอาแบบนี้ถ้าเจ้าอยากให้ข้านับญาติเจ้าก็ไปคารวะองค์รัชทายาทเป็นอาจารย์สิ ฮ่าๆถ้าเจ้าทำได้ล่ะก็นะ ข้าจะเรียกเจ้าว่า ท่านอาจารย์อาเลย

ฮ่าๆๆๆ ”

 

เมื่อได้ยินดังนี้ใบหน้าคมเริ่มจะมีสีขึ้นมาบ้าง แม้นว่าองค์รัชทายาทคือบุตรของฮ่องเต้ แต่ใช่เป็นปรมาจารย์ในสายสู้รบไม่วิทยายุทธ์ก็คงได้ร่ำเรียนมาแบบผิวเผินท่าทางองอาจแต่อย่างไรก็ไม่ต่างจากบัณฑิตไหนเลยจะให้ทหารที่ผ่านความเป็นตายมากมายอย่างเขาไปคารวะเป็นอาจารย์ได้

 

ฟึ่บบบบ ใบไม้ใบหนึ่งพุ่งตรงมาทางพวกเขา ก่อนจะเฉียดคอของเฟินหลินไปเพียงนิดร่างสูงของเฟิงหลินสั่นเป็นลูกนก 

‘ เพียงแค่ใบไม้จะกลัวไปไย ’ หยางเจี้ยนลอบคิดไหนเลยจะกล่าวออกมาหน่วยองครักษ์ลับไม่มีใครรู้มาก่อนว่ารัชทายาทคือศิษย์ของใคร เมื่อเห็นว่าสิ่งที่พุ่งมาคือใบไม้ก็ไม่ได้เก็บนำมาใส่ใจ มีเพียงเฟิงหลินที่รู้จักวิชาลมปราณของรัชทายาทดีแม้แต่ท่านนักพรตยังเอ่ยชม 

‘’ คนผู้นี้เข้าใจกฎเกณฑ์ของธรรมชาติเป็นอย่างดี เมื่อเขาเข้าใจธรรมชาติ เขาย่อมเรียกใช้ธรรมชาติได้ ”

นั่นคือรัชทายาทไม่จำเป็นต้องพกอาวุธติดกาย ต่อให้เป็นน้ำ ไม้ทราย หิน พระองค์ก็สามาร ทำให้สิ่งเหล่านี้เป็นอาวุธที่คร่าชีวิตผู้คนได้ทั้งนั้นเวลานี้เองเฟิงหลินย่อมตระหนักได้ว่าตนนั้นพูดมากไปย่อมทำให้รัชทายาทขุ่นเคือง ร่างสูงของเฟิงหลินจึงรีบเดินนำกลุ่มองครักษ์ลับไปที่เรือนข้างเพื่อให้พวกเขาใช้พักค้างแรม

 

เมื่อหยางเจี้ยนเห็นว่าอีกฝ่ายจู่ๆกลับเคร่งขึมจริงจังไม่กวนโทสะอีกในใจอดคิดไม่ได้ 'คนผู้นี้เปลี่ยนไวยิ่งกว่าหน้ากระดาษเสียอีก'

“ อ่ะ ถึงล่ะพวกเจ้าก็เลือกนอนกันเอาเองข้าไปก่อนล่ะ ”

เฟิงหลินกล่าวจบก็เดินจ้ำอ้าวรีบร้อนออกไป ปล่อยให้หยางเจี้ยนกับพรรคพวกยืนสับสนงุนงงกับการกระทำที่เปลี่ยนแปลงง่ายดาย เช่นนี้ของเขา

 

ณ เรือนหลัก

ร่างสูงของหลี่จวิ้นกำลังดีดฉินข้างกายมีพัดที่เขาชอบพกติดตัวเป็นประจำวางอยู่ ใบหน้างามกลางบุปผายิ่งขับให้เขาดูเหมือนสตรียิ่งขึ้น

ปัง ปัง “องค์รัชทายาทพระองค์อยู่ด้านในหรือไม่”

เสียงของผู้มาเยือนทำให้คิ้วหนาขมวดเป็นปมก่อนที่นิ้วเรียวยาวจะหยุดดีดฉิน 

“ อยู่เจ้ามีเรื่องอันใดเข้ามาคุยด้านในก่อนเถอะ ” 

หลี่จวิ้นเอ่ยตอบ ร่างสูงของหยางเจี้ยนเปิดประตูเข้ามาใบหน้าของเขายังคงเรียบเฉยเช่นเดิม สายตาคมสบเข้ากับใบหน้าของคนเบื้องหน้า หลี่จวิ้นพลันรู้สึกประหลาดแต่ตัวเขาก็ไม่ทราบเช่นกันว่าความรู้สึกนี้คืออะไร เมื่อเห็นอีกฝ่ายเอาแต่จ้องหน้าของเขาใบหน้าขาวของหลี่จวิ้นเริ่มมีสีชมพูระเรื่อขึ้นมา

“ เจ้ามีเรื่องอันใดไหนเลยไม่ยอมพูด ” 

เสียงของหลี่จวิ้นทำให้สติของหยางเจี้ยนเข้าที่ 

‘อันตรายบุรุษผู้นี้อันตรายยิ่งนัก ’ 

ร่างสูงของหยางเจี้ยนพยายามส่ายศีรษะไล่ความคิดฟุ้งซ่านออกไปก่อนจะเอ่ยถาม 

“ กระหม่อมตามหาเฟิงหลินจะปรึกษาเรื่องเส้นทางการเดินทางแต่กระหม่อมหาเขาไม่พบ ”

 

หยางเจี้ยนเอ่ยตอบพรางหลบสายตาของอีกฝ่ายเขาเองก็ไม่เข้าใจตนเองเช่นกันเหตุใดเวลาเจอคนผู้นี้เขามักรู้สึกร้อนในกายอย่างประหลาด

“ ข้าพอเดาออกว่าเขาไปไหนเดินตรงไปไม่ไกลจะมีร้านสุราเฟิงหลินจะต้องไปที่นั่นทุกครั้งที่มา ”

 

ร่างสูงเอ่ยออกไปพลันนึกขึ้นได้ว่า ร้านนั้นคือที่แลกเปลี่ยนข้อมูลของพวกตน เฟิงหลินคงไปสืบข่าวกับคนของเขาที่คอยเฝ้าเหตุการณ์

 

“ เช่นนั้นกระหม่อมขอตัวไปตามหาเขาก่อน ” 

ร่างหนาของหยางเจี้ยนหันหลังกำลังเดินออกไป มือหนาของหลี่จวิ้น รีบจับแขนของเขาไว้นัยตาสีนิลสบเข้ากับสายตาคม ด้วยความรีบร้อนหลี่จวิ้นเลยเผลอยื่นมือออกไปโดยที่เขาไม่ตั้งใจเช่นกัน เพื่อไล่ความกระอักกระอ่วน เขาจึงแกล้งไอพลางเอ่ยถาม

“ เขาไม่อยู่เจ้ายิ่งต้องอยู่คุ้มกันข้ามิใช่หรือ ?”

“ เช่นนั้นกระหม่อมขอตัวออกไปสักครู่ ”

หยางเจี้ยนนำมือของหลี่จวิ้นออก จากแขนของเขาแม้เขาจะมีสีหน้าเรียบเฉยแต่ในใจกลับรู้สึกกระอักกระอ่วนไม่น้อย เมื่อหลี่จวิ้นได้ยินดังนั้นจึงแกล้งไออีกครั้ง พรางกล่าว

“ เจ้าไม่ต้องออกไปตามเฟิงหลินประเดี๋ยวเขาก็กลับมา เจ้าช่วยข้าชงชาหน่อยได้หรือไม่”

 

เดิมทีหยางเจี้ยนใช้ชีวิตคนเดียวเรื่องทำอาหาร ชงชาแม้แต่ทำขนม เขาก็ทำได้ดีทุกอย่างร่างหนาจึงเดินไปที่โต๊ะกลางห้องหยิบกาน้ำชาออกไปหลี่จวิ้นเห็นดังนั้นก็ลอบถอนหายใจ 

‘เหตุใดข้าถึงใจลอยได้เช่นนี้เกือบนำหายนะเข้าสู่ตัวแล้วไหมเล่า ’

เกิดเจ้าหยางเจี้ยนล่วงรู้ว่าเขาไม่ใช่มีเพียงวิทยายุทธ์แต่ยังมีกลุ่มองครักษ์ลับอย่างเสวียหนิงด้วยเขาไม่ถูกคิดว่าจะก่อกบฏหรือ 

 

ผ่านไปประมาณหนึ่งเค่อร่างหนาของหยางเจี้ยนเดินเข้ามาในห้องพร้อมกับชุดกาน้ำชา

“ อยู่ข้างนอกเจ้าเรียกเราว่าคุณชายหลี่เจ้าเข้าใจรึไม่”

“ แซ่หลี่มีเพียงเชื้อพระวงศ์ที่ใช้ หาได้มีอยู่ดาษดื่นไม่ ” 

หยางเจี้ยนเอ่ยออกไปโดยไม่คิดอะไร กลับเป็นหลี่จวิ้นที่รู้สึกว่าคนผู้นี้รอบคอบไม่เลว

“ อืม จริงของเจ้าเช่นนั้นข้าใช้แซ่หยางของเจ้าเล่าเป็นเช่นไร ” 

หลี่จวิ้นเอ่ยเย้าด้วยท่าทีไม่จริงจังนักแต่กลับทำให้มือหนาของหยางเจี้ยนที่กำลังเทชาถึงกลับหยุดกึก แต่เพียงครู่ก็เทชาต่อ หลี่จวิ้นเลยไม่ทันสังเกตุเห็นความผิดปกติ ไม่เช่นนั้นเขาคงดีใจที่แกล้งคนตรงหน้าได้สำเร็จ

“ แกล้งเจ้านี่ไม่สนุกเอาเสียเลย ”

สายตานิลของหยางเจี้ยนมองใบหน้าที่ขาวหมดจด ของอีกฝ่ายคิ้วหนารับกับจมูกที่เชิดขึ้นพาให้เขารู้สึกหมั่นไส้ อยากดีดจมูกคนตรงหน้านิดๆ 

‘นี่เขาเป็นอะไรไป นั่นบุรุษนะหยางเจี้ยน หาใช่บุปผาแรกแย้มไม่’

 

“ กระหม่อมเป็นเพียงองครักษ์ขั้นสี่ ไหนเลยจะให้องค์รัชทายาทมาใช้แซ่ของกระหม่อมได้ พระองค์ใช้แซ่หวังของอูอันโหวดีหรือไม่ อย่างไรเขาก็เป็นพระญาติของพระองค์ ” 

 

เสียงราบเรียบเอ่ยแนะ ตอนแรกหลี่จวิ้นคิดจะแกล้งให้หยางเจี้ยน เขินอายสักเล็กน้อยอาจเพราะสีหน้าไร้อารมณ์นั้นของเขาทำให้หลี่จวิ้นอยากเอาชนะ ใครเลยจะคิดว่าพอเป็นเรื่องงานเขาจะจริงจังถึงเพียงนี้ พอมองย้อนดูตัวเองกลับรู้สึกว่าตนเองนั้นทำตัวเหลวไหลไม่เหมาะอยู่บ้าง 

‘อยู่ๆนึกเย้าแหย่องครักษ์เสียได้’

“ เอาอย่างที่เจ้าว่าแล้วกันกันต่อไปเรียกข้าคุณชายหวัง”

“ ขอรับ ” หยางเจี้ยนเอ่ยตอบรับอย่างว่าง่ายสายตาคมมีแววพึงพอใจเพียงครู่

‘ เจ้าหยางเจี้ยนเวลาว่าง่ายก็มีหรือนี่ ’

ก่อนเวลาอาหารเย็นร่างของเฟิงหลินเดินนำกล่องอาหารจากโรงเตี๊ยม เข้ามาสองเท้าเดินไปเตรียมจานทางห้องครัวก่อนจะนำเข้าไปที่เรือนหลักชุดหนึ่ง

 

“ ท่านไปที่ใดมา ” เสียงของหยางเจี้ยนเอ่ยถามทันทีเมื่อเห็นเฟิงหลินยกอาหารเข้ามาในเรือน

“ ข้าควรถามเจ้าเหตุใดถึงมาอยู่ที่นี่คงไม่ได้คิดมาดึงหนวดเสือหลับกระมัง ”

เฟิงหลินไม่ตอบคำถาม แต่ยังย้อนกลับทำให้หยางเจี้ยนเริ่มมีโทสะขึ้นบ้าง

“ เหลวไหลข้าเพียงจะมาปรึกษาเรื่องการเดินทางกับท่านเพียงแต่… คุณชายหวังให้ข้ามาคุ้มกันชั่วคราว ”

“ ผู้ใดคือคุณชายหวัง? ”

“ ข้าเอง เฟิงหลินเจ้าตามข้ามา”

“ ขอรับคุณชาย ”

หลี่จวิ้นพาเฟิงหลินไปคุยหัองด้านใน เพื่อเลี่ยงไม่ให้หยางเจี้ยนได้ยิน สองเท้าของหยางเจี้ยนเดินออกไปก่อนจะขึ้นไปบนหลังคา เขาค่อยๆเดินเบาๆเพื่อไม่ให้ผู้ที่อยู่ในเรือนรับรู้ แต่หารู้ไม่ว่าประสาทสัมผัสทั้งห้าของหลี่จวิ้นโดยเฉพาะเรื่องการได้ยินนั้นดีมาก ต่อให้เป็นกำแพงที่ก่อหนาเพียงใด แต่หูของเขายังได้ยินเหมือนมาพูดอยู่ข้างหู ดังนั้นเขาจึงได้ยินเสียงฝีเท้าของหยางเจี้ยน ตั้งแต่ที่เท้าแตะบนหลังคาหลี่จวิ้น ทำสัญญาณมือบอกให้เฟิงหลินรับรู้ว่ามีคนอยู่ด้านบน

 

“ ด้านบน…ไหลตามน้ำไปก่อน”หลี่จวิ้นเอ่ยเตือนเฟิงหลินจึงได้แต่

ข่มอารมณ์ความขุ่นเคือง

‘เมื่อไหร่คนเหล่านี้จะกลับเมืองหลวง’

“ องค์รัชทายาท… ”

“ เจ้าไปไหนมา อาการติดเหล้าของเจ้านี่ข้าว่าควรรักษาได้แล้วกระมัง ”

เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายแสร้งตำหนิเฟิงหลินจึงเอ่ยขออภัย หลี่จวิ้นแสร้งไม่เอาเรื่องก่อนจะแอบยัดกระดาษแผ่นหนึ่ง ให้แก่เฟิงหลิน ทั้งสองเดินออกมาที่โต๊ะอาหาร เห็นว่าหยางเจี้ยนยังนั่งอยู่ที่โต๊ะใบหน้าเรียบเฉย มุมปากของหลี่จวิ้นยกขึ้น

' คนผู้นี้ไม่ไปอยู่คณะงิ้วช่างเสียเปล่าแล้ว ’

 

“ หยางเจี้ยนไหนเจ้าว่าจะคุยเรื่องการเดินทางมิใช่รึ เฟิงหลินเจ้าไปหยิบแผนที่มาทีสิ ”

“ ขอรับคุณชาย ”

“ อ้ออาหารของพวกเจ้าอยู่ในห้องครัวนะ ”

เฟิงหลินหันมาบอกก่อนจะเดินออกไปที่ห้องของตน

“ ถ้าเช่นนั้นไว้ให้พวกท่านทานอาหารเสร็จข้าค่อยมาคุยเรื่องแผนการเดินทาง ข้าน้อยขอตัวก่อน”

“ ได้ ตามใจเจ้า ”

 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
10 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

คุณคิดยังไงกับนิยายเรื่องนี้

* สามารถกรอกแบบสำรวจโดยไม่ต้องเป็นสมาชิกก็ได้ครับ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา