กระบี่เหมันต์ใต้เงาจันทร์
เขียนโดย หนิงเซียน
วันที่ 3 เมษายน พ.ศ. 2568 เวลา 19.01 น.
แก้ไขเมื่อ 10 เมษายน พ.ศ. 2568 07.07 น. โดย เจ้าของนิยาย
4) บทที่ 4
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ“ อืม ตอนนี้เจ้าไปรินน้ำชามาคารวะข้าก่อน ข้าถึงจะรับเจ้าเป็นศิษย์ได้อย่างถูกต้อง ”
“ ขอรับท่านอาจารย์ ”
หลังจากพิธีคารวะอาจารย์จบลงร่างบางของหลี่เซวียนเดินทอดน่องอยู่ในเรือนพรางครุ่นคิดไม่กี่วันมานี้มีหลายสิ่งที่เกิดขึ้นมากมายสายตากลมโตเหม่อมองดวงจันทร์บนท้องฟ้า
‘ ดึกป่านนี้แล้วเสด็จพี่จะไปถึงหุบเขาเหมันต์หรือยังนะ ’
ขณะที่ทั้งสองควบม้าออกจากเมืองหลวงฉางอันระยะทางไม่ไกลนักสายตาคมเห็นกลุ่มคน คาดว่าจะเป็นหน่วยองครักษ์นั่งบนหลังม้าเหมือนคอยพวกเขาอยู่ ร่างของชายผู้หนึ่งนั่งบนหลังม้าศึกสวมชุดเกาะใบหน้าสวมหน้ากากเหล็ก ที่เอวเหน็บดาบเล่มหนึ่งชายคนนั้นควบม้ามาทางพวกเขาก่อนจะลง จากหลังม้าทำความเคารพ
“ คารวะองค์รัชทายาท “
“ ห๊ะ นี่เจ้าคือหยางเจี้ยนไม่ใช่รึเหตุใดถึงมาดักรอข้าอยู่ที่นี่ ”
เฟิงหลินควบม้าออกมาทันทีมือขวาชักกระบี่ สายตามองคนเบื้องล่าง
อย่างไม่เป็นมิตรเท่าใดนัก
“ มีราชโองการให้หน่วยคุ้มกันขององครักษ์พิทักษ์พยัคฆ์ คุ้มกันองค์รัชทายาทกลับหุบเขาเหมันต์พ่ะย่ะค่ะ ”
สายตาคมส่งสัญญาณ เฟิงหลินจึงควบม้าเดินไปเอาราชโองการกลับมาให้หลี่จวิ้น มือหนาเปิดกระดาษลายมังกรออกดูก่อนจะยิ้มที่มุมปาก
“ เสด็จพ่อทรงทราบตั้งแต่แรกแล้ว ไปกันเถอะเฟิงหลินให้พวกเขาตามมาอย่าไปสร้างความลำบากใจเลย ”
“ พ่ะย่ะค่ะ ” เฟิงหลินเอ่ยตอบรับอย่างว่าง่าย แต่สายตายังมองหยางเจี้ยนด้วยความไม่พอใจ
‘ ฝีมืออ่อนด้อยเช่นนี้รึจะมาคุ้มกันตัวถ่วงสิไม่ว่า”
ย้า…ย้า…ย้า…เสียงควบม้าดังไม่หยุดจวบจนก่อนพลบค่ำเฟิงหลิน จึงพาทุกคนไปที่เรือนพักแรมที่พวกเขากับองค์รัชทายาทมาพักประจำ ทหารเฝ้าประตูออกมาต้อนรับนำทางไปโรงเก็บม้า ร่างสูงของหลี่จวิ้นเดินเข้าไปทางประตูหน้าก่อนแล้ว ส่วนเฟิงหลินอยู่รอหน่วย องครักษ์ลับที่หน้าประตูด้วยท่าทีเบื่อหน่าย
“ พวกเจ้าตามข้ามาทางเรือนข้างคืนนี้ก็พักค้างแรมกันที่นี่ ”
“ ได้ ข้าขอบคุณพี่เฟิงหลินมาก ”
หยางเจี้ยนเอ่ยขอบคุณเขาย่อมรู้ถึงสายตาที่ไม่เป็นมิตรของอีกฝ่าย แต่ใคร่จะมีเรื่องในเมื่อมีคำสั่งทหารจากองค์ฮ่องเต้ เขาย่อมทำตามคำสั่งในเมื่อต้องอยู่ร่วมกันหลายวัน ไยจึงไม่อยู่ร่วมกันอย่างสันติ
“ ฝีมือเจ้าอ่อนด้อยเพียงนี้ข้าไม่รับเจ้าเป็นน้องข้าหรอกนะ”
หยางเจี้ยนมองคนตรงหน้าต่อให้เขาไม่ชอบใครแต่ในเมื่อต้องทำงานร่วมกับผู้อื่นหลายครั้งเขามักเก็บความรู้สึกไว้ในใจแต่คนตรงนี้นี้หาเป็นแบบนั้นไม่ เฟิงหลินกลับกล้าเอ่ยความรู้สึกออกมาตรงๆไม่ปิดบังด้วยข้อนี้ทำให้เขาต้องมองคนผู้นี้ใหม่
หยางเจี้ยนจับแขนลูกน้องคนสนิทเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายโมโหเฟิงหลิน จนอยากจะปะทะด้วยดั่งประโยคที่ว่า ’ฮ่องเต้ไม่ร้อน ผู้ร้อนเป็นขันที’ เพื่อไม่ให้เรื่องลุกลามมือหนาจึงรีบปรามส่งสายตาเป็นสัญญาณเตือนให้หยุด
“ ข้าเข้าใจท่าน ” หยางเจี้ยนเอ่ยรับ
“ เอาแบบนี้ถ้าเจ้าอยากให้ข้านับญาติเจ้าก็ไปคารวะองค์รัชทายาทเป็นอาจารย์สิ ฮ่าๆถ้าเจ้าทำได้ล่ะก็นะ ข้าจะเรียกเจ้าว่า ท่านอาจารย์อาเลย
ฮ่าๆๆๆ ”
เมื่อได้ยินดังนี้ใบหน้าคมเริ่มจะมีสีขึ้นมาบ้าง แม้นว่าองค์รัชทายาทคือบุตรของฮ่องเต้ แต่ใช่เป็นปรมาจารย์ในสายสู้รบไม่วิทยายุทธ์ก็คงได้ร่ำเรียนมาแบบผิวเผินท่าทางองอาจแต่อย่างไรก็ไม่ต่างจากบัณฑิตไหนเลยจะให้ทหารที่ผ่านความเป็นตายมากมายอย่างเขาไปคารวะเป็นอาจารย์ได้
ฟึ่บบบบ ใบไม้ใบหนึ่งพุ่งตรงมาทางพวกเขา ก่อนจะเฉียดคอของเฟินหลินไปเพียงนิดร่างสูงของเฟิงหลินสั่นเป็นลูกนก
‘ เพียงแค่ใบไม้จะกลัวไปไย ’ หยางเจี้ยนลอบคิดไหนเลยจะกล่าวออกมาหน่วยองครักษ์ลับไม่มีใครรู้มาก่อนว่ารัชทายาทคือศิษย์ของใคร เมื่อเห็นว่าสิ่งที่พุ่งมาคือใบไม้ก็ไม่ได้เก็บนำมาใส่ใจ มีเพียงเฟิงหลินที่รู้จักวิชาลมปราณของรัชทายาทดีแม้แต่ท่านนักพรตยังเอ่ยชม
‘’ คนผู้นี้เข้าใจกฎเกณฑ์ของธรรมชาติเป็นอย่างดี เมื่อเขาเข้าใจธรรมชาติ เขาย่อมเรียกใช้ธรรมชาติได้ ”
นั่นคือรัชทายาทไม่จำเป็นต้องพกอาวุธติดกาย ต่อให้เป็นน้ำ ไม้ทราย หิน พระองค์ก็สามาร ทำให้สิ่งเหล่านี้เป็นอาวุธที่คร่าชีวิตผู้คนได้ทั้งนั้นเวลานี้เองเฟิงหลินย่อมตระหนักได้ว่าตนนั้นพูดมากไปย่อมทำให้รัชทายาทขุ่นเคือง ร่างสูงของเฟิงหลินจึงรีบเดินนำกลุ่มองครักษ์ลับไปที่เรือนข้างเพื่อให้พวกเขาใช้พักค้างแรม
เมื่อหยางเจี้ยนเห็นว่าอีกฝ่ายจู่ๆกลับเคร่งขึมจริงจังไม่กวนโทสะอีกในใจอดคิดไม่ได้ 'คนผู้นี้เปลี่ยนไวยิ่งกว่าหน้ากระดาษเสียอีก'
“ อ่ะ ถึงล่ะพวกเจ้าก็เลือกนอนกันเอาเองข้าไปก่อนล่ะ ”
เฟิงหลินกล่าวจบก็เดินจ้ำอ้าวรีบร้อนออกไป ปล่อยให้หยางเจี้ยนกับพรรคพวกยืนสับสนงุนงงกับการกระทำที่เปลี่ยนแปลงง่ายดาย เช่นนี้ของเขา
ณ เรือนหลัก
ร่างสูงของหลี่จวิ้นกำลังดีดฉินข้างกายมีพัดที่เขาชอบพกติดตัวเป็นประจำวางอยู่ ใบหน้างามกลางบุปผายิ่งขับให้เขาดูเหมือนสตรียิ่งขึ้น
ปัง ปัง “องค์รัชทายาทพระองค์อยู่ด้านในหรือไม่”
เสียงของผู้มาเยือนทำให้คิ้วหนาขมวดเป็นปมก่อนที่นิ้วเรียวยาวจะหยุดดีดฉิน
“ อยู่เจ้ามีเรื่องอันใดเข้ามาคุยด้านในก่อนเถอะ ”
หลี่จวิ้นเอ่ยตอบ ร่างสูงของหยางเจี้ยนเปิดประตูเข้ามาใบหน้าของเขายังคงเรียบเฉยเช่นเดิม สายตาคมสบเข้ากับใบหน้าของคนเบื้องหน้า หลี่จวิ้นพลันรู้สึกประหลาดแต่ตัวเขาก็ไม่ทราบเช่นกันว่าความรู้สึกนี้คืออะไร เมื่อเห็นอีกฝ่ายเอาแต่จ้องหน้าของเขาใบหน้าขาวของหลี่จวิ้นเริ่มมีสีชมพูระเรื่อขึ้นมา
“ เจ้ามีเรื่องอันใดไหนเลยไม่ยอมพูด ”
เสียงของหลี่จวิ้นทำให้สติของหยางเจี้ยนเข้าที่
‘อันตรายบุรุษผู้นี้อันตรายยิ่งนัก ’
ร่างสูงของหยางเจี้ยนพยายามส่ายศีรษะไล่ความคิดฟุ้งซ่านออกไปก่อนจะเอ่ยถาม
“ กระหม่อมตามหาเฟิงหลินจะปรึกษาเรื่องเส้นทางการเดินทางแต่กระหม่อมหาเขาไม่พบ ”
หยางเจี้ยนเอ่ยตอบพรางหลบสายตาของอีกฝ่ายเขาเองก็ไม่เข้าใจตนเองเช่นกันเหตุใดเวลาเจอคนผู้นี้เขามักรู้สึกร้อนในกายอย่างประหลาด
“ ข้าพอเดาออกว่าเขาไปไหนเดินตรงไปไม่ไกลจะมีร้านสุราเฟิงหลินจะต้องไปที่นั่นทุกครั้งที่มา ”
ร่างสูงเอ่ยออกไปพลันนึกขึ้นได้ว่า ร้านนั้นคือที่แลกเปลี่ยนข้อมูลของพวกตน เฟิงหลินคงไปสืบข่าวกับคนของเขาที่คอยเฝ้าเหตุการณ์
“ เช่นนั้นกระหม่อมขอตัวไปตามหาเขาก่อน ”
ร่างหนาของหยางเจี้ยนหันหลังกำลังเดินออกไป มือหนาของหลี่จวิ้น รีบจับแขนของเขาไว้นัยตาสีนิลสบเข้ากับสายตาคม ด้วยความรีบร้อนหลี่จวิ้นเลยเผลอยื่นมือออกไปโดยที่เขาไม่ตั้งใจเช่นกัน เพื่อไล่ความกระอักกระอ่วน เขาจึงแกล้งไอพลางเอ่ยถาม
“ เขาไม่อยู่เจ้ายิ่งต้องอยู่คุ้มกันข้ามิใช่หรือ ?”
“ เช่นนั้นกระหม่อมขอตัวออกไปสักครู่ ”
หยางเจี้ยนนำมือของหลี่จวิ้นออก จากแขนของเขาแม้เขาจะมีสีหน้าเรียบเฉยแต่ในใจกลับรู้สึกกระอักกระอ่วนไม่น้อย เมื่อหลี่จวิ้นได้ยินดังนั้นจึงแกล้งไออีกครั้ง พรางกล่าว
“ เจ้าไม่ต้องออกไปตามเฟิงหลินประเดี๋ยวเขาก็กลับมา เจ้าช่วยข้าชงชาหน่อยได้หรือไม่”
เดิมทีหยางเจี้ยนใช้ชีวิตคนเดียวเรื่องทำอาหาร ชงชาแม้แต่ทำขนม เขาก็ทำได้ดีทุกอย่างร่างหนาจึงเดินไปที่โต๊ะกลางห้องหยิบกาน้ำชาออกไปหลี่จวิ้นเห็นดังนั้นก็ลอบถอนหายใจ
‘เหตุใดข้าถึงใจลอยได้เช่นนี้เกือบนำหายนะเข้าสู่ตัวแล้วไหมเล่า ’
เกิดเจ้าหยางเจี้ยนล่วงรู้ว่าเขาไม่ใช่มีเพียงวิทยายุทธ์แต่ยังมีกลุ่มองครักษ์ลับอย่างเสวียหนิงด้วยเขาไม่ถูกคิดว่าจะก่อกบฏหรือ
ผ่านไปประมาณหนึ่งเค่อร่างหนาของหยางเจี้ยนเดินเข้ามาในห้องพร้อมกับชุดกาน้ำชา
“ อยู่ข้างนอกเจ้าเรียกเราว่าคุณชายหลี่เจ้าเข้าใจรึไม่”
“ แซ่หลี่มีเพียงเชื้อพระวงศ์ที่ใช้ หาได้มีอยู่ดาษดื่นไม่ ”
หยางเจี้ยนเอ่ยออกไปโดยไม่คิดอะไร กลับเป็นหลี่จวิ้นที่รู้สึกว่าคนผู้นี้รอบคอบไม่เลว
“ อืม จริงของเจ้าเช่นนั้นข้าใช้แซ่หยางของเจ้าเล่าเป็นเช่นไร ”
หลี่จวิ้นเอ่ยเย้าด้วยท่าทีไม่จริงจังนักแต่กลับทำให้มือหนาของหยางเจี้ยนที่กำลังเทชาถึงกลับหยุดกึก แต่เพียงครู่ก็เทชาต่อ หลี่จวิ้นเลยไม่ทันสังเกตุเห็นความผิดปกติ ไม่เช่นนั้นเขาคงดีใจที่แกล้งคนตรงหน้าได้สำเร็จ
“ แกล้งเจ้านี่ไม่สนุกเอาเสียเลย ”
สายตานิลของหยางเจี้ยนมองใบหน้าที่ขาวหมดจด ของอีกฝ่ายคิ้วหนารับกับจมูกที่เชิดขึ้นพาให้เขารู้สึกหมั่นไส้ อยากดีดจมูกคนตรงหน้านิดๆ
‘นี่เขาเป็นอะไรไป นั่นบุรุษนะหยางเจี้ยน หาใช่บุปผาแรกแย้มไม่’
“ กระหม่อมเป็นเพียงองครักษ์ขั้นสี่ ไหนเลยจะให้องค์รัชทายาทมาใช้แซ่ของกระหม่อมได้ พระองค์ใช้แซ่หวังของอูอันโหวดีหรือไม่ อย่างไรเขาก็เป็นพระญาติของพระองค์ ”
เสียงราบเรียบเอ่ยแนะ ตอนแรกหลี่จวิ้นคิดจะแกล้งให้หยางเจี้ยน เขินอายสักเล็กน้อยอาจเพราะสีหน้าไร้อารมณ์นั้นของเขาทำให้หลี่จวิ้นอยากเอาชนะ ใครเลยจะคิดว่าพอเป็นเรื่องงานเขาจะจริงจังถึงเพียงนี้ พอมองย้อนดูตัวเองกลับรู้สึกว่าตนเองนั้นทำตัวเหลวไหลไม่เหมาะอยู่บ้าง
‘อยู่ๆนึกเย้าแหย่องครักษ์เสียได้’
“ เอาอย่างที่เจ้าว่าแล้วกันกันต่อไปเรียกข้าคุณชายหวัง”
“ ขอรับ ” หยางเจี้ยนเอ่ยตอบรับอย่างว่าง่ายสายตาคมมีแววพึงพอใจเพียงครู่
‘ เจ้าหยางเจี้ยนเวลาว่าง่ายก็มีหรือนี่ ’
ก่อนเวลาอาหารเย็นร่างของเฟิงหลินเดินนำกล่องอาหารจากโรงเตี๊ยม เข้ามาสองเท้าเดินไปเตรียมจานทางห้องครัวก่อนจะนำเข้าไปที่เรือนหลักชุดหนึ่ง
“ ท่านไปที่ใดมา ” เสียงของหยางเจี้ยนเอ่ยถามทันทีเมื่อเห็นเฟิงหลินยกอาหารเข้ามาในเรือน
“ ข้าควรถามเจ้าเหตุใดถึงมาอยู่ที่นี่คงไม่ได้คิดมาดึงหนวดเสือหลับกระมัง ”
เฟิงหลินไม่ตอบคำถาม แต่ยังย้อนกลับทำให้หยางเจี้ยนเริ่มมีโทสะขึ้นบ้าง
“ เหลวไหลข้าเพียงจะมาปรึกษาเรื่องการเดินทางกับท่านเพียงแต่… คุณชายหวังให้ข้ามาคุ้มกันชั่วคราว ”
“ ผู้ใดคือคุณชายหวัง? ”
“ ข้าเอง เฟิงหลินเจ้าตามข้ามา”
“ ขอรับคุณชาย ”
หลี่จวิ้นพาเฟิงหลินไปคุยหัองด้านใน เพื่อเลี่ยงไม่ให้หยางเจี้ยนได้ยิน สองเท้าของหยางเจี้ยนเดินออกไปก่อนจะขึ้นไปบนหลังคา เขาค่อยๆเดินเบาๆเพื่อไม่ให้ผู้ที่อยู่ในเรือนรับรู้ แต่หารู้ไม่ว่าประสาทสัมผัสทั้งห้าของหลี่จวิ้นโดยเฉพาะเรื่องการได้ยินนั้นดีมาก ต่อให้เป็นกำแพงที่ก่อหนาเพียงใด แต่หูของเขายังได้ยินเหมือนมาพูดอยู่ข้างหู ดังนั้นเขาจึงได้ยินเสียงฝีเท้าของหยางเจี้ยน ตั้งแต่ที่เท้าแตะบนหลังคาหลี่จวิ้น ทำสัญญาณมือบอกให้เฟิงหลินรับรู้ว่ามีคนอยู่ด้านบน
“ ด้านบน…ไหลตามน้ำไปก่อน”หลี่จวิ้นเอ่ยเตือนเฟิงหลินจึงได้แต่
ข่มอารมณ์ความขุ่นเคือง
‘เมื่อไหร่คนเหล่านี้จะกลับเมืองหลวง’
“ องค์รัชทายาท… ”
“ เจ้าไปไหนมา อาการติดเหล้าของเจ้านี่ข้าว่าควรรักษาได้แล้วกระมัง ”
เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายแสร้งตำหนิเฟิงหลินจึงเอ่ยขออภัย หลี่จวิ้นแสร้งไม่เอาเรื่องก่อนจะแอบยัดกระดาษแผ่นหนึ่ง ให้แก่เฟิงหลิน ทั้งสองเดินออกมาที่โต๊ะอาหาร เห็นว่าหยางเจี้ยนยังนั่งอยู่ที่โต๊ะใบหน้าเรียบเฉย มุมปากของหลี่จวิ้นยกขึ้น
' คนผู้นี้ไม่ไปอยู่คณะงิ้วช่างเสียเปล่าแล้ว ’
“ หยางเจี้ยนไหนเจ้าว่าจะคุยเรื่องการเดินทางมิใช่รึ เฟิงหลินเจ้าไปหยิบแผนที่มาทีสิ ”
“ ขอรับคุณชาย ”
“ อ้ออาหารของพวกเจ้าอยู่ในห้องครัวนะ ”
เฟิงหลินหันมาบอกก่อนจะเดินออกไปที่ห้องของตน
“ ถ้าเช่นนั้นไว้ให้พวกท่านทานอาหารเสร็จข้าค่อยมาคุยเรื่องแผนการเดินทาง ข้าน้อยขอตัวก่อน”
“ ได้ ตามใจเจ้า ”
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้

รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ