กระบี่เหมันต์ใต้เงาจันทร์
เขียนโดย หนิงเซียน
วันที่ 3 เมษายน พ.ศ. 2568 เวลา 19.01 น.
แก้ไขเมื่อ 10 เมษายน พ.ศ. 2568 07.07 น. โดย เจ้าของนิยาย
1) บทที่1
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความเสียงฝีเท้าจากรองเท้าหนังหุ้มข้อสีดำร่างสูงในชุดคลุมยาวสีดำทำมาจากขนจิ้งจอกอย่างดี ใบหน้าของบุรุษผู้นี้งดงามราวสตรีผิวพรรณหมดจด ดวงตาคมดุจตาเหยี่ยว บนศรีษะปักปิ่นทองล้อมด้วยอัญมณี เดินมาพร้อมกับชายร่างสูงสวมชุดที่ทำจากผ้าแพรไหมสีดำปักลายดอกบัวหิมะที่เอวมีกระบี่สีขาวขลับกำลังเดินเข้าไปในหมู่บ้านเล็กๆแห่งหนึ่งไม่ห่างจากเมืองหลวงมากนัก เวลานี้ฟ้าใกล้จะมืดแล้ว
“ คารวะองค์ไท่จื่อ”
ร่างสูงขององครักษ์ลับผู้หนึ่งทำความเคารพชายผู้มาเยือนในยามวิกาลนี้ สายตาคมดุจเหยี่ยวแฝงความไม่พอใจที่องครักษ์สะเพร่าเปิดเผยเรียกฐานะของเขาแทนที่จะเรียกเขาว่าคุณชายแน่นอนตอนนี้
พวกเขาออกมานอกวังย่อมไม่ต้องการให้ใครล่วงรู้ถึงฐานะที่แท้จริง
“ มันยอมบอกรึยังว่าคนที่อยู่เบื้องหลังเป็นใคร ”
ร่างสูงของหลี่จวิ้นเอ่ยถามสายตายังคงจับจ้องไปที่ร่างของขันทีผู้หนึ่งที่ถูกจับตัวมาโทษฐานคือปองร้ายองค์ชายรองหลี่เซวียน
“ ตอนนี้มันยังไม่ยอมพูดอะไรข้าน้อยคิดว่าคงเป็นพวกกล้าตายพ่ะย่ะค่ะขนาดเราใช้พิษ เหล็กร้อน เครื่องทรมานทุกอย่างมันยังไม่ยอมพูดถึงคนที่อยู่เบื้องหลัง ”
องครักษ์ผู้ชำนาญการทรมานเอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด
' แน่ล่ะหมอนี่กล้าหาญไม่ก็สมองคงมีปัญหา
ถึงได้กล้าผลักองค์ชายรองตกสระบัว'
" อดอาหารมัน ไม่ต้องให้มันกินอะไรทั้งนั้นแม้แต่น้ำ “
หลี่จวิ้นเอ่ยคำสั่งก่อนจะหันมองไปทางที่องครักษ์ข้างกายเขาวิ่งมาด้วยท่าทีร้อนใจนัยตาคมมองร่างชายตรงหน้าที่ทำหน้าที่เป็นองครักษ์ข้างกายเขามาถึง 9 ปีศิษย์เอกของนักกระบี่หลิวเมิ่งหลินเจ้าของกระบี่ ไม่ลืม ผู้คิดค้นเพลงกระบี่วายุพิรุณนาม ‘ เฟิงหลิน ’
“ คุณชายขอรับคนของเราที่แฝงตัวในตำหนักเฉิงหยางฝู่แจ้งข่าวมาว่าพบคนน่าสงสัยสองคนสวมชุดดำบนศรีษะคลุมผ้าและสวมหน้า กากคาดว่าจะเป็นองครักษ์เงาของฝ่าบาท ”
“ บอกให้คนของเราถอยออกมาครึ่งนึงอีกครึ่งคอยเฝ้าระวังถ้าไม่ใช่เรื่องด่วนไม่ต้องส่งข่าวมา ”
“ ขอรับคุณชาย”
“ เรากลับกันก่อนเถอะ ”
“ ขอรับ ”
ร่างสูงทั้งสอง หายไปในเงาของความมืดเสียงฝีเท้าของอาชาศึกสองตัว
ดังขึ้นในยามราตรีมุ่งหน้าสู่ วังหลวง
สามวันต่อมา ณ.ตำหนักบูรพา
นิ้วเรียวยาวกดลงที่ขมับคล้ายอยากให้อาการปวดศรีษะบรรเทาลง
บนโต๊ะหนังสือเต็มไปด้วยตำราหลากหลายเวลานี้เพิ่ง*ยามเหม่าเท่านั้นสายตาคมหันมองออกทางหน้าต่าง นึกถึงเรื่องราวเมื่อสมัยเป็นเด็ก
ในตอนนั้น…เขาเพิ่งจะอายุเพียง 7 ขวบ
14 ปีก่อน…..
“ เร็วๆ สิเจ้าอยากตายรึไง ชักช้าเยี่ยงนี้ ”
นางกำนัลผู้หนึ่งกำลังตวาดนางกำนัลหญิงอีกคนด้วยท่าทีร้อนใจ
“ แต่นั่นคือองค์ชายรองเลยนะวางยาองค์ชายโทษกุดหัวทั้งตระกูลเลยนะ ”
“ ถ้าเจ้าไม่บอกข้าไม่บอกใครจะมากุดหัวเจ้า ”
เสียงนางกำนัล สองคนทะเลาะกันที่ทางเดินห่างจากห้องเครื่องไม่มากนักร่างเล็กขององค์ชายองค์โตหลี่จวิ้นแอบอยู่หลังต้นไม้ต้นหนึ่ง
( พวกนาง นางกำนัลของตำหนักน้องรองนี่ทำอย่างไรดี )
ไวเท่าความคิดร่างของหลี่จวิ้นสาวเท้าเข้าไปในตำหนักเฉิงหยางฝู่
ชวนน้องชายของเขาเขียนหนังสือเมื่อเห็นนางกำนัลทั้งสอง
นำขนมมามือเล็กรีบแย่งจานขนมมาไว้ที่ตนหลี่จวิ้น นำเข็มเหล็ก
ขึ้นมาทดสอบพิษ มือบางของนางกำนัลอ่อนแรงทำถ้วยขนมตกแตกดัง
เพล้งงงงง...... เรียกความสนใจขององครักษ์หน้าตำหนัก
“ ขนมของน้องข้ามีพิษ ทหารจับนางชั่วสองคนนี้ตามข้าไป
เข้าเฝ้าเสด็จพ่อ ”
หลี่จวิ้นออกคำสั่งทหารมากมายต่างตกใจก่อนจะรีบจับตัวนางกำนัลทั้งสองไว้
“ ไม่นะ!!องค์ชายเพคะบ่าวไม่ได้ตั้งใจนะเพคะองค์ชายได้โปรดไว้ชีวิตบ่าวด้วย ”
นางกำนัลคนหนึ่งร้องไห้ก้มลงกราบนางคิดเพียงว่าองค์ชาย
เป็นเพียงเด็กไม่ประสา 7-8 ขวบไหนเลยจะฉลาดรู้เรื่องพิษเยี่ยงนี้
“ บ่าวถูกบังคับองค์ชายไว้ชีวิตบ่าวด้วย”
เสียงอ้อนวอนของนางกำนัลอีกคนเตือนสติของหลี่จวิ้น
(จริงสิ ตอนที่พวกนางคุยกันเหมือนว่านางกำนัลคนนี้จะถูกข่มขู่จริงๆ )
หลี่จวิ้นคิดทบทวน
*ยามเหม่า เท่ากับ 05.00-07.00
ฉึกลูกธนูพุ่งออกมาจากที่ลับปักเข้าที่กลางอกของนางกำนัลทั้งสอง
“คุ้มกันองค์ชาย ”
เสียงเหล่าองครักษ์รักษาพระองค์ร้องตระโกนผู้คนในตำหนักต่างวิ่งหนีเหล่านางกำนัลบางคนวิ่งบางคนหมอบกับพื้น
นับแต่นั้นเขาก็เข้าใจแล้วว่าชีวิตในวังหลวงแทบทุกที่ไร้ซึ่งที่ปลอดภัย
ถ้าอยากมีชีวิตรอดเขาต้องตั้งใจให้มากกว่านี้ เพื่อน้องชายของเขา
และตัวเขาเองเขาจึงตั้งใจศึกษาเล่าเรียน โดยเฉพาะเรื่องการแพทย์
ตำรับยารักษา ยาพิษ การเดินหมาก รวมถึงตำราสงคราม
เมื่ออายุสิบสองปีเขาได้ส่งจดหมายลับฉบับหนึ่งไปให้กับอูอันโหว
ท่านตาของเขาเพื่อเชิญท่านอาจารย์ จากเหล่าศิษย์ของอี้เทียน
นักกระบี่อันดับหนึ่งในใต้หล้า ให้มาสอนเพลงกระบี่ให้
เขาแต่ใครเล่าจะคิดว่าคนที่มาหาใช่เพียงศิษย์ของอี้เทียนไม่
กลับเป็นท่านอาจารย์ของอี้เทียน หรือก็คือท่านปรมาจารย์นักพรต
ผู้เร้นกายในหุบเขาเหมันต์ หุบเขาที่มีหิมะปกคลุมตลอดปี
เป็นที่ๆสิ่งมีชีวิตยากที่จะดำรงอยู่
“ ถ้าเจ้าต้องการสิ่งใดสิ่งหนึ่งเจ้า ต้องแลกมาด้วยสิ่งหนึ่งที่คุ้มค่ากว่ากันเสมอ จำเอาไว้หลี่จวิ้น...หากเจ้าอยากแข็งแกร่งกว่านี้ เจ้าต้องอดทนให้มากขึ้นไปอีก ”
ท่านนักพรตเอ่ยขึ้นสายตาคมมองดูลูกศิษย์ตัวน้อยที่กำลังฝึกควบคุมพลังปราณในตัว
“ ข้าอยากแข็งแกร่งเพื่อปกป้องน้องชายข้าข้าจะไม่ยอมให้ใคร มาทำร้ายน้องชายข้าได้อีก ” หลี่จวิ้นตอบรับ
“ ดีมากศิษย์ข้า ”
ปัจจุบัน
“ องค์รัชทายาทพะย่ะค่ะกระหม่อมไปสืบมาแล้ว ทั้งสองคนเป็นคนที่
ฝ่าบาทส่งมาคุ้มกันองค์ชายรอง ”
เฟิงหลินเข้ามารายงานด้วยความที่เขาเป็นศิษย์หลานของอี้เทียน
ดังนั้นวิชาสะกดรอยจึงชำนาญต่อให้อีกฝ่ายเป็นองครักษ์เงา
ผู้ซึ่งถนัดวิชาหลบซ่อนแต่การหาร่อยรอยสำหรับเขาไม่ใช่เรื่องยาก
“ เจ้าไปกับข้าเอากระบี่ของเจ้าไปด้วยคอยฟังสัญญาณจากข้า ”
“ พ่ะย่ะค่ะ ”
ร่างสูงในชุดคลุมยาวสีเหลืองอ่อนปักลายมังกรใบหน้างดงาม
ผิวขาวดั่งหยวกกล้วย แต่ร่างกายกลับไม่บอบบางเช่นหน้าตา ด้วยความเขาที่ฝึกวิทยายุทธ์ทำให้เขาดูสมเป็นบุรุษ มากกว่าองค์ชายคนอื่นที่วันๆเอาแต่อยู่ในวังหลวงหลี่จวิ้นเดินไปพรางมือขวาโบกพัดไป รอยยิ้มที่ผู้คนเห็นต่างหลงใหล ไม่เคยหายไปจากใบหน้านี้มองจากที่ไกล คล้ายกับบัณฑิตจากสำนักศึกษาหลวงมากกว่า
ข้างกายของหลี่จวิ้น มีร่างขององครักษ์ในชุดผ้าไหมสีดำดูทะมัดทะแมงบนศรีษะปักปิ่นเงิน บนปิ่นมีลักษณะคล้ายคลึงกับดอกบัว
ชนิดหนึ่งที่เอวมีกระบี่นาม ‘’ เหรินอี้ ‘’เหน็บไว้มือขวากุมด้ามกระบี่
เตรียมชักทุกเมื่อรอบตัวผุดรังสีเย็นยะเยือกแม้นคนผู้นี้จะหน้าตาไม่เลว
ในสายตาของเหล่านางกำนัล แต่จะมีสตรีคนใดกล้าที่จะแหย่เสือหลับหากแหย่ไปแล้วเสือแค่ขู่คำรามคงไม่เท่าไหร่แต่ถ้าหากตะปรบเล่าชีวิตน้อยๆ คงได้ไปพบยมบาลในเร็ววัน
“ องค์รัชทายาท ”
นางกำนัลหน้าตำหนักย่อตัวแสดงความเคารพ แต่เดิมนางผู้นี้อยู่ที่ตำหนักบูรพา คอยรับใช้รัชทายาท ต่อมาเพราะเรื่องเมื่อหลายวันก่อนทำให้หลี่จวิ้นตัดสินใจย้ายนางมาที่ตำหนักเฉิงหยางฝู่
แม้นจะเป็นบุตรของฮ่องเต้แต่.. ฐานะขององค์ชายจะเทียบกับผู้นั่งบัลลังก์มังกรคนต่อไปอย่างรัชทายาทได้อย่างไร ? ดังนั้นเมื่อฐานะที่ต่างกันความสะดวกสบายในตำหนักย่อมต่างกัน
( นกน้อยมักเลือกต้นไม้ทำรัง )
หากนางเลือกได้คงกราบทูลกับคนเบื้องหน้าว่า นางขออยู่ที่ตำหนักบูรพาได้หรือไม่ แต่นางเป็นเพียงสาวใช้ไหนเลยจะปฎิเสธได้ ยังดีที่หลี่จวิ้นไม่ใช่คนโหดเหี้ยมเหมือนองค์ชายสมัยก่อนที่ชอบฆ่าฟันแย่งบัลลังก์กับพี่น้องหากแต่เป็นคนใจกว้างรักพี่น้องยิ่งที่นางย้ายมาที่นี่
หนึ่งคอยรับใช้องค์ชายรอง
สองคอยเป็นหูเป็นตาให้องค์รัชทายาท
ทำให้นางไม่ลำบากนัก คนขององค์ชายยังคอยส่งเงินหลายตำลึง ผ้าแพรหลายพับมาให้นางทำให้นางมีหน้ามีตาในตำหนักแห่งนี้
“ เวลานี้องค์ชายรองกำลังทำสิ่งใด ”
หลี่จวิ้นเอ่ยถามเสียงเบาเพียงเพื่อไม่ต้องการให้คนด้านในตำหนักได้ยิน
นางกำนัลคนนี้เป็นคนฉลาดเมื่อเห็นว่าเขาไม่ต้องการให้คนอื่น
รู้จึงตอบกลับเสียงเบาลง
“ กำลังอ่านตำราเพคะ ”
ร่างสูงพยักหน้ารับก่อนจะเอ่ยถามด้วยความสงสัยว่า
“ น้องข้าหายดีแล้วรึ? ”
“ เพคะ หมอหลวงบอกว่าทรงอาการดีขึ้นแล้ว เพียงแต่ร่างกายยังอ่อนแอเพราะอยู่ในน้ำเป็นเวลานาน ทำให้ยังถูกฤทธิ์เย็นอยู่ต้องคอยเสวยยา ที่ท่านหมอจัดไว้ให้เพคะ ”
หลี่จวิ้นเหลือบมองไปที่เฟิงหลินเพียงแวบหนึ่ง เฟิงหลินพยักหน้ารับพร้อมล้วงหยิบถุงเงินให้แก่นางกำนัล หลี่จวิ้นโบกมือส่งสัญญาณให้นางกำนัลหลบออกไป พร้อมกับพยักหน้าส่งสัญญาณให้ร่างสูงของเฟิงหลินลงมือ
7 วันก่อนร่างขององค์ชายรองน้องชายของเขาถูกพบอยู่ในสระบัว
ที่สวนอุทยานเขาโกรธจัดเร่งสืบสาวตัวคนทำ จนจับขันทีปลอมได้หนึ่งคนแต่จนป่านนี้ มันก็ยังไม่ยอมบอกว่าใครเป็นคนสั่ง หลังจากนั้นเขาจึงส่งนางกำนัลที่ไว้ใจได้สองคนทมาคอยดูแลน้องรองและคอยรายงานคนน่าสงสัยให้เขารู้เป็นระยะ
ร่างสูงของเฟิงหลินแอบลอบเข้าไปในตำหนักทางหน้าต่างสองเท้าย่ำบนพื้นสายตาเหลือบมองร่างขององค์ชายรอง ที่กำนัลง่วงกับการอ่านตำราในมือพรางเสาะหาร่างขององครักษ์เงาที่ฝ่าบาทส่งมา
ชิ้งงงงง...... เคร้ง.....
เสียงกระบี่ปะทะกันหนึ่งกระบี่ของเฟิงหลินปะทะกับกระบี่
ของคนที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อนร่างสูงสองคนชักดาบสู้กันพัลวัน
“ เห้ย นี่มันเกิดอะไรขึ้น ”
หลี่เซวียนที่บัดนี้เพิ่งอายุได้ 18 ปีร้องตกใจพรางไปหลบ
หลังโต๊ะหนังสือร่างของรัชทายาทสาวเท้าเข้ามาในตำหนัก
ด้วยท่าทียิ้มแย้มในมือโบกพัดเยี่ยงสตรีก็ไม่ปานหลี่จวิ้นเห็น
น้องชายหลบหลังโต๊ะก็ยิ้มสรวล
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้

รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ