เก็บไว้.
เขียนโดย Anthika_write
วันที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2567 เวลา 20.18 น.
แก้ไขเมื่อ 26 กันยายน พ.ศ. 2567 16.22 น. โดย เจ้าของนิยาย
8) รสมือแม่
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความชมพู่ กานต์ คอปเตอร์ เนย และแม่ของกานต์นั่งกินอาหารเย็นด้วยกัน ดอกแก้วมีฝีมือด้านงานครัว ลูกค้าชมเปาะว่าฝีมือแม่ครัวของที่นี่ทำให้นึกถึงรสมือแม่ อาจเป็นเพราะเธอศึกษาด้านนี้มาโดยตรงและเคยทำงานในร้านอาหารมาก่อน
อาหารและขนมทั้งหมดในรีสอร์ตจึงเป็นฝีมือของเธอ โดยมีหลานชายลูกพี่ลูกน้องของกานต์เป็นผู้ช่วย งานส่วนใหญ่ในรีสอร์ต กานต์และแม่จะช่วยกันทำ เพราะเปิดบริการได้ไม่นานจึงยังไม่มีพนักงานมากนัก
“เป็นยังไงบ้างจ๊ะ รสชาติพอกินกันได้ไหม” แม่ของกานต์ถาม
“ไม่ใช่แค่พอกินได้นะครับคุณแม่ อร่อยมากเลยครับ” คอปเตอร์ตอบ ยิ้มเอาใจแม่ของกานต์จนตาปิด
“ขอฝากตัวเป็นลูกชายอีกคนเลยมั้ยคอปเตอร์ แล้วก็อยู่ที่นี่เลยฉันกับชมพู่กลับกันสองคนได้นะ” เนยหยอก
“แต่อาหารอร่อยทุกอย่างจริง ๆ นะคะ” ชมพู่เอ่ยชมอีกเสียง
“สนใจมั้ยล่ะคอปเตอร์ อยู่บ้านพี่เลยก็ได้นะ ถ้าชมพู่สนใจอยากอยู่ที่นี่พี่ก็ยินดีนะครับ” ประโยคหลัง กานต์พูดด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล เขายิ้มกว้างจนเห็นลักยิ้มบุ๋มที่แก้มด้านซ้าย
“ขอบคุณจ้ะ แม่ขอตัวไปดูแลในครัวก่อนนะจ๊ะ ตามสบายนะ”
ดอกแก้วเดินออกจากโต๊ะอาหารเข้าไปในครัว ลอบหันกลับมามองลูกชายที่กำลังมองไปทางชมพู่ ใบหน้าของเขาร่าเริงและมีความสุขมากกว่าปกติ แววตาเขาเปล่งประกาย ไม่มีแววตาเย็นชาอย่างที่ผ่านมาให้เห็น
วัฒนธรรมในโรงเรียนที่ตกทอดกันมากี่รุ่นต่อกี่รุ่นก็ยังไม่เคยจางหายไป แม้ว่าจะไม่มีการทำพิธีสืบทอดส่งต่อกันอย่างเป็นจริงเป็นจัง ไม่มีการบันทึกไว้ในหลักสูตรการเรียนไหนทั้งนั้น แต่มันก็จะเกิดขึ้นเสมอ
ไม่ว่ากาลเวลานั้นจะผันผ่านไปนานสักแค่ไหน การที่เพื่อนนักเรียนล้อชื่อพ่อแม่กัน, เรียกชื่อพ่อแม่แทนชื่อตัวของเพื่อน, ล้อว่าเพื่อนคนนี้เป็นแฟนกับเพื่อนคนนั้น, แกล้งเพื่อนที่เป็นเพศทางเลือก, ห้ามไม่ให้เพื่อนคนอื่นเล่นกับคนที่ตัวเองไม่ชอบ, รวมกลุ่มกันแกล้งเพื่อนที่คิดว่าอ่อนแอกว่า, ไถเงินค่าขนมของเพื่อน, ล้อปมด้อยของเพื่อน
หนึ่งในนั้นคือคำเรียกอย่างหนึ่ง ที่บาดลึกเข้าไปในใจของผู้ถูกเรียก ‘ลูกไม่มีพ่อ’ นั่นนับเป็นเหตุผลข้อหนึ่งที่หล่อหลอมให้กานต์กลายเป็นคนที่มีสายตา ‘เย็นชา’
วัยมัธยมต้นของเขาจึงยาวนานกว่าเพื่อนในรุ่นราวคราวเดียวกัน ราวกับไม่รู้ว่าอะไรที่จะสิ้นสุดก่อนกัน ระหว่างความอดทนของเขากับช่วงเวลาเรียนมัธยมต้นสามปี
เขาเติบโตมาเพียงลำพังไม่มี ‘พี่น้อง’ เพื่อนตั้งแต่สมัยมัธยมต้นก็มีแค่คนเดียว สมัยเรียนมหาวิทยาลัยเขาก็ต้องทำงานเสริมหาเงินมาสร้างรีสอร์ต
พอลูกชายพาเพื่อนมาเที่ยวที่บ้าน ดอกแก้วจึงยินดีต้อนรับและเลี้ยงดูปูเสื่ออย่างดี จนอดสงสัยไม่ได้ว่า ‘ไม่เคยพาเพื่อนมาบ้านเหรอ แม่กานต์ดูดีใจมากเลยที่เพื่อนมา’ เธอคงจะดีใจที่ลูกชายได้มีเพื่อนที่จริงใจ รัก และหวังดีกับเขาสักที
แม้แต่ตัวชมพู่เองก็มีความทรงจำสมัยมัธยมต้นที่ซ่อนลึกอยู่ในใจไม่ต่างจากเขา เมื่อเวลาผ่านไปความทรงจำนั้นเริ่มเลือนรางไป จนเธอไม่แน่ใจว่าเรื่องนั้นเป็นความจริงหรือเป็นเพียงแค่ความฝัน
บนโต๊ะรับประทานอาหารถูกจัดวางจนเต็มด้วยจานอาหารหลากหลายเมนู ปลาทับทิมนึ่งมะนาว ผัดถั่วลันเตาใส่กุ้ง ยำผักบุ้งกรอบ แกงเผ็ดไก่ใส่มะเขือเปราะ ต้มจืดเต้าหู้หมูสับ ต้มยำกุ้งน้ำข้น ไข่ตุ๋นทรงเครื่อง ปลาช่อนลุยสวน แกงส้มคูน กับผักสลัดสดอีกตะกร้าใหญ่
กานต์ตักผัดถั่วลันเตาใส่กุ้งตัวโตมาใส่จานของชมพู่ เธอนิ่งไปครู่หนึ่ง ถือช้อนนิ่ง เม้มปาก สายตาจ้องมองไปที่ถั่วลันเตา
“ไม่ชอบกินถั่วลันเตาหรือครับ”
“ค่ะ”
กานต์ตักถั่วลันเตากลับไปใส่จานของเขา “แล้ว…ชอบกินอะไรครับ” เขาหันมามองเธอ เลิกคิ้วเล็กน้อย ฟังอย่างตั้งใจ
“ชอบกินผัดกะเพราหมูสับค่ะ”
“อ๋อ…ครับ”
เธอช่างเลี้ยงง่ายซะเหลือเกิน อาหารที่ชอบก็เป็นเพียงแค่อาหารที่คนมักจะเรียกว่า ‘อาหารสิ้นคิด’
แต่สำหรับชมพู่ ผัดกะเพราหมูสับคือเมนูที่เธอชอบที่สุด ถึงแม้จะเป็นอาหารที่ใครก็มักนึกถึงเป็นอันดับแรกที่ไม่รู้จะสั่งอะไรเวลาไปร้านอาหารตามสั่ง แต่ก็ไม่ใช่ว่าทุกร้านจะทำอร่อยแม้จะทำอยู่ทุกวัน
เธอเคยคุยกับแม่ตอนนั่งกินข้าวด้วยกัน ว่าเธอชอบกินผัดกะเพราหมูสับมาก กินได้ทั้งวันก็ไม่เบื่อ ตอนไปซื้อข้าวกลางวันที่โรงเรียน ถ้าเห็นเมนูผัดกะเพราหมูสับที่ร้านข้าวราดแกงเป็นต้องสั่งทุกครั้ง แม่เลยเล่าให้ฟังว่า ‘แปลกจัง ตอนแม่ท้องหนู แม่ไปกินข้าวกลางวันกับเพื่อน เห็นผัดกะเพราหมูสับของเขาก็อยากกิน’
“ตักให้ผมบ้างสิครับ ผมกินได้ทุกอย่างเลย” คอปเตอร์ยิ้มแป้นจนตาปิด
เนยเอาข้อศอกทิ่มไปที่สีข้างคอปเตอร์ หันไปตักหัวปลาทับทิมใส่จานให้เขา
“กิน ๆ ไป”
“เธอ ฉันจะกินยังไง”
“แทะไปเถอะ ปากจะได้ไม่ว่าง”
“พรุ่งนี้…อยากไปเที่ยวที่ไหนเป็นพิเศษไหมครับ” กานต์เอ่ยถาม
“พี่กานต์มีที่ไหนแนะนำบ้างมั้ยคะ เนยไม่ค่อยได้มาแถวนี้ เลยไม่รู้จะไปไหนค่ะ”
นั่นเท่ากับกานต์จะต้องไปทำการบ้านค้นหาสถานที่เที่ยว ก่อนที่เขาจะเข้านอน “ชอบเที่ยวแบบไหนกันครับ วัด ห้าง น้ำตก หรือแบบไหนบ้าง”
“ตามใจเจ้าถิ่นดีมั้ยคะ ชมพู่ก็ไม่ค่อยได้ไปไหน เลยไม่รู้จักเหมือนกันค่ะ”
“ผมได้หมดครับ”
ยามค่ำคืนท้องฟ้ามืดมิดมองเห็นดวงดาวระยิบระยับ ภายในรีสอร์ตเงียบสงบ ลูกค้าแยกย้ายกันเข้าห้องพักหมดแล้ว ยินเสียงน้ำที่ลำธารไหลผ่านโขดหินและเสียงจักจั่นร้องระงมกระจายอยู่ทั่วพื้นที่โดยรอบ อากาศเย็นสบาย ลมพัดต้นไม้ไหวเอน
ชมพู่เอนตัวลงบนเตียงนอนตามองเพดาน เอื้อมมือไปที่โต๊ะข้างเตียงหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดู ที่หน้าจอมีแถบเตือนข้อความเข้าใหม่
กานต์ กวินกานต์ : ‘พี่ขออนุญาตเพิ่มชมพู่เป็นเพื่อนได้ไหมครับ’
ชมพู่ ปรียานุช : ‘ยินดีค่ะ พี่กานต์ยังไม่นอนเหรอคะ’
กานต์ กวินกานต์ : ‘ยังครับ พี่กำลังวางแผนเส้นทางที่จะพาน้อง ๆ ไปเที่ยวกันพรุ่งนี้ ชมพู่อยากไปไหนเป็นพิเศษไหมครับ’
ชมพู่ ปรียานุช : ‘ต้องพึ่งเจ้าถิ่นแล้วล่ะค่ะ ชมพู่จะเอากล้องไปด้วยนะคะ’
กานต์ กวินกานต์ : ‘ครับ ถ้าต้องการให้พี่ช่วยถืออะไรก็บอกได้นะ พี่ยินดีครับ”
ชมพู่ ปรียานุช : ‘ขอบคุณมากค่ะ’
กานต์ กวินกานต์ : ‘พรุ่งนี้พี่จะพาไปเที่ยวหลายที่ เราคงต้องออกเดินทางกันตั้งแต่เช้า รีบนอนพักผ่อนนะครับ’
ชมพู่ ปรียานุช : ‘ค่ะ พี่กานต์ก็เหมือนกันนะคะ’
กานต์ กวินกานต์ : ‘ครับ หลับฝันดีนะครับชมพู่’
ชมพู่ ปรียานุช : ‘ค่ะ เช่นกันค่ะ’
กานต์ยังคงนั่งยิ้มอยู่ที่โซฟาในห้องรับแขกอีกพักใหญ่ เขาฉีกยิ้มอย่างมีความสุขราวกับว่ากำลังมีสิ่งที่เคยขาดหายไป เข้ามาเติมเต็มให้กับชีวิตของเขา
“กานต์…ชอบเขาเหรอลูก สาวน้อยหน้าคมคนนั้น แม่เห็นสายตาที่หนูมองเขา”
เธอเห็นลูกชายนั่งยิ้มน้อยยิ้มใหญ่กับหน้าจอโทรศัพท์แบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ