เก็บไว้.
10.0
เขียนโดย Anthika_write
วันที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2567 เวลา 20.18 น.
16 ตอน
0 วิจารณ์
1,002 อ่าน
แก้ไขเมื่อ 26 กันยายน พ.ศ. 2567 16.22 น. โดย เจ้าของนิยาย
16) หน่อไม้
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ‘สวัสดีครับ’ เสียงชายหนุ่มเปล่งดังออกมาจากปลายสาย ‘ผมต้องการผักและผลไม้ทุกชนิดจากสวนของคุณชมพู่ครับ’
“ค่ะ…ต้องการจำนวนเยอะมั้ยคะ”
‘ครับ…คุณชมพู่สามารถส่งให้ผมทุกวันช่วงเช้าได้ไหมครับ’
“ได้ค่ะ คุณสะดวกเข้ามาคุยรายละเอียดเพิ่มเติมที่สวนมั้ยคะ”
‘สะดวกครับ ผมต้องการเข้าไปดูพื้นที่และวิธีการปลูกด้วยครับ ร้านผมเป็นร้านเล็ก ๆ ที่พึ่งเปิดใหม่มีจุดเด่นคือสลัด จะใช้เฉพาะผักออร์แกนิกครับ คุณชมพู่สะดวกวันไหนแจ้งผมได้เลยนะครับ’
“ยินดีค่ะ ขอบคุณนะคะ แล้วพบกันค่ะ”
รถเก๋งสีดำเงาวับขับเข้ามาจอดที่ลานจอดรถของสวนปรียานุช ชายหนุ่มรูปร่างสูง ไหล่กว้าง หน้าตาคมเข้มก้าวลงจากรถ เขาแต่งตัวภูมิฐานใส่สูทเข้าทรงพอดีตัว ผูกเนกไทสีเข้ากันกับสูท
“สวัสดีครับคุณชมพู่ ผมปัณณ์นะครับ ที่โทรเข้ามาติดต่อสอบถามรายละเอียดคร่าว ๆ ก่อนหน้านี้” เขากล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบ หน้าตาท่าทางการวางตัวสุภาพแบบนักธุรกิจ
เขาถอดเสื้อสูทกับเนกไทออกเก็บไว้ในรถ เหลือไว้เพียงเสื้อเชิ้ตสีขาวแขนยาวเข้ารูป ขับให้สีผิวของเขายิ่งดูขาวกระจ่างใส กล้ามอกกับหน้าท้องแบนราบบ่งบอกว่าเขาออกกำลังกายสม่ำเสมอ เขาหยิบร่มคันใหญ่สีดำออกมาจากประตูรถเตรียมพร้อมไปเดินชมสวน
“สวัสดีค่ะคุณปัณณ์ เดินทางมาสะดวกมั้ยคะ”
“สะดวกครับ ขอบคุณครับ ผมมาติดต่อธุระแถวนี้บ่อยครับ”
“ค่ะ คุณปัณณ์ต้องการไปชมในสวนด้วยมั้ยคะ”
“ดีมากเลยครับ ถ้าไม่รบกวนขอดูรายละเอียดเพิ่มเติมด้วยครับ” ใบหน้าคมเข้มฉายแววลึกลับเข้าใจยาก
“ยินดีมากค่ะ” ชมพู่ตอบ ค้อมศีรษะให้เขาเล็กน้อย
ปัณณ์เดินกางร่มยื่นมาให้เธอเข้าร่มด้วย เธอปฏิเสธด้วยความที่เกรงใจลูกค้าและระยะห่างที่ควรรักษา บอกเขาว่าเธอใส่หมวกกับเสื้อคลุมแล้ว
เขาก็ยังยืนกรานว่าอย่างไรเขาก็กางร่มแล้ว แค่ยื่นแขนออกไปอีกนิดเดียว ไม่ได้ทำให้เขาเมื่อยแขนมากกว่าเดิม ‘ร่มของผมก็คันใหญ่มาก เราสามารถยืนในระยะใกล้ชิดโดยไม่ถูกเนื้อต้องตัวกันได้ครับ’
ทั้งสองเดินเคียงกันไปภายใต้ร่มของปัณณ์ “สวนของเราจะมีผักสลัด ผักตามฤดูกาลและผลไม้ค่ะ ผักสลัดจะปลูกในโรงเรือนค่ะ ทุกอย่างจะเป็นออร์แกนิกไม่ใช้สารเคมีค่ะ”
“ครับ ดีมากครับ ผมสังเกตเห็นคนงานของคุณชมพู่มีหลากหลายวัยเลยนะครับ”
“ใช่ค่ะ…ส่วนมากจะเป็นคนงานที่อาศัยอยู่ในละแวกนี้ค่ะ”
คนงานของชมพู่ ในนั้นมีคนที่เคยถามเธอว่า ‘จบมาแล้วจะไปทำอะไรกิน’ รวมอยู่ด้วย ตอนนี้คงได้คำตอบแล้วโดยที่เธอไม่ต้องเอ่ยปาก
“ครับ ผมขอไปดูโรงเรือนด้วย สะดวกไหมครับ”
“ยินดีค่ะ ที่นี่ปลูกไผ่เป็นแนวรั้วค่ะ เป็นเกษตรอินทรีย์ หน่อไม้ที่ขึ้น บางส่วนจะส่งขายตามตลาด แล้วก็แบ่งให้คนงานกลับไปกินค่ะ ไม่ได้นำมาขายรวมกับผักออร์แกนิกนะคะ”
“แบบนี้ดีมากครับ สร้างรายได้ และมีวัตถุดิบให้คนงานได้นำกลับไปทำอาหาร เป็นการช่วยลดต้นทุนค่าครองชีพได้ส่วนหนึ่งด้วย”
“ค่ะ…เอกสารใบรับรองมาตรฐานเกษตรอินทรีย์อยู่ในสำนักงานนะคะ หลังจากชมสวนเสร็จแล้ว คุณปัณณ์เข้าไปตรวจสอบได้เลยค่ะ”
“ครับ” ปัณณ์หยิบผ้าเช็ดหน้าออกจากกระเป๋ากางเกงซับเหงื่อบนใบหน้าและลำคอ “โรงเรือนทางด้านนั้น คืออะไรครับ ที่มีเชือกห้อยลงมา”
“เป็นโรงเรือนมะเขือเทศ คุณปัณณ์สนใจไปชมมั้ยคะ”
“ถ้าได้จะดีมากเลยครับ ขอบคุณครับ”
ชมพู่พาปัณณ์เดินดูจนครบทุกโรงเรือน แปลงผักทุกแปลง รั้วต้นไผ่ที่หน่อไม้กำลังขึ้น การเพาะเมล็ด จนถึงการแพ็กใส่ถุงเตรียมจัดส่ง แล้วทั้งสองก็เข้าไปในสำนักงาน มาวินยกน้ำมาให้ ปัณณ์กล่าวขอบคุณและรินน้ำดื่ม ทำการตรวจสอบเอกสารและทำสัญญากัน
“ภาพที่แขวนอยู่นี้ คุณชมพู่ถ่ายเองทั้งหมดเลยหรือครับ”
“ใช่ค่ะ ชมพู่รับถ่ายภาพเป็นอาชีพเสริมด้วยค่ะ”
“ครับ ขยันจังเลยนะครับ ทำสวนด้วยตัวเอง แล้วยังมีอาชีพเสริมทำควบคู่กันด้วย”
“ขอบคุณค่ะ…มีเพื่อนช่วยดูแลประสานงานในสำนักงานให้ค่ะ ชมพู่เลยไม่ยุ่งมาก”
“รายละเอียดอื่น ๆ เลขาของผมจะจัดการส่งมาให้คุณชมพู่นะครับ เรื่องของปริมาณและชนิดของผักผลไม้ที่ต้องการในแต่ละวัน จะส่งมาล่วงหน้าหนึ่งวัน ทางคุณชมพู่จะได้มีเวลาเก็บเกี่ยว แพ็กและส่งให้ผมในเช้าวันถัดไป ส่วนเรื่องค่าใช้จ่ายทั้งหมดจะเป็นไปตามที่เราตกลงกันในสัญญานะครับ วันนี้ผมขอตัวกลับก่อน”
“ขอบคุณมากค่ะ เดินทางปลอดภัยนะคะ”
ชมพู่เดินออกมาส่งปัณณ์ที่รถ เขาขับรถออกไปลับตา แล้วชมพู่ก็หันหลังเดินกลับไปที่สำนักงาน
“ลูกสาวใครมายืนร้องไห้สะพายกระเป๋า” เสียงเฌอพัฒน์ร้องเพลงดังมาจากทางด้านหลังของเธอ
“ใครเหรอ…ขับรถออกไปเมื่อครู่”
“ลูกค้าจ้ะพ่อ เขาบอกว่ารู้จักเราจากในโซเชียล ร้านอาหารของเขาต้องการผักออร์แกนิกและเป็นเกษตรอินทรีย์ เขาขอเข้ามาดูโรงเรือน พื้นที่ปลูกกับเอกสารรับรองด้วยตัวเองจ้ะ”
“อ๋อ…ร้านอาหารของเขาคงจะลูกค้าแน่นทุกวัน เจ้าของลงทุนออกหาวัตถุดิบด้วยตัวเองเลย”
ปัณณ์เล่าให้ชมพู่ฟังขณะพาเขาเดินชมสวน ว่าเขาเข้าไปดูสวนมาหลายที่ก็ยังไม่ถูกใจ เจ้าของสวนไหนที่พูดจาไม่ดีกับเขา เขาก็จะตอบ ‘ขอบคุณครับ’ แล้วไม่กลับไปเหยียบที่นั่นอีกเลย
“แม่ฝากอาหารมาให้นะ พ่อผ่านมาแถวนี้พอดีแม่เลยทำอาหารฝากมาให้ ถ้ากินไม่หมดก็แบ่งให้คนงานไปนะ แม่ทำมาเหมือนเลี้ยงคนยี่สิบคนน่ะ”
แม่ทำอาหารเองทุกมื้อ ตำราอาหารของแม่จะเป็นการจดเมนูตามรายการอาหารในโทรทัศน์ที่แม่ดูทุกวันหลังย้ายกลับมาเย็บผ้าโหลที่สุพรรณฯ
“ขอบคุณจ้ะพ่อ” ชมพู่กอดพ่อเอาแก้มแนบไปที่อกของพ่อ “สุดสัปดาห์หนูมีงานไปถ่ายภาพพรีเวดดิ้งสองวันนะจ๊ะ เผื่อพ่อแวะเข้ามาแล้วไม่เจอหนู”
พ่อโอบแขนกอดชมพู่ “หนูขับรถดี ๆ นะ ระมัดระวังด้วย เดินทางคนเดียวอย่าประมาทนะลูก แล้วสถานที่ที่ไปปลอดภัยดีใช่มั้ย”
ลูกสาวตัวน้อยที่เฌอพัฒน์เคยพาคลานเป็นลูกวัวอยู่ใต้ท้องของพ่อวัว ออกมาจากห้องนอนของเขา ตอนนี้เธอเติบโตขึ้น สามารถทำงานหาเงินเลี้ยงตัวเองได้แล้ว แต่ในสายตาของเขา เธอก็ยังคงเป็นลูกสาวตัวน้อยหรือลูกวัวตัวเล็ก ๆ ที่เคยคลานอยู่ใต้ท้องเขา
“ปลอดภัยจ้ะ…เขาเป็นลูกค้าเรา เจ้าของรีสอร์ตก็รู้จักกันมานานจ้ะ”
“รู้จักกันมานาน” เฌอพัฒน์ขมวดคิ้วเล็กน้อย “แล้ว…คนนี้ใช่แฟนลูกหรือเปล่า ไม่เห็นมาพาแนะนำพ่อให้รู้จักบ้างเลย”
“ไม่ใช่จ้ะพ่อ หนูยังไม่มีแฟน”
หลังจากเรียนจบชมพู่ล้มลุกคลุกคลานอยู่สองปี เริ่มจากกลับมาอยู่ที่บ้านทำงานประจำเก็บเงินมาลงทุนหาซื้อที่ดินกว่าจะได้มาก็แทบ ‘สิ้นล้มประดาตาย’ อย่าว่าแต่เรื่องที่จะมีแฟนเลย เธอก้มหน้าก้มตาทำงานหาเงินซะเป็นส่วนใหญ่จนแทบไม่มีเวลาพักผ่อน
งานประจำงานแรกและงานเดียวในชีวิต เธอเข้าไปทำงานในบริษัทแห่งหนึ่งที่กำลังปรับเปลี่ยนวิธีการทำงานจากกระดาษเป็นการทำงานในระบบ ช่องว่างระหว่างนั้นทำให้มีเอกสารกองโตที่ต้องจัดการเข้าระบบและงานที่เธอต้องติดตามจากบริษัทคู่ค้าทุกวัน แรงกดดันที่เกิดขึ้นจากการทำงานนั้นถือเป็นเรื่องปกติ เธอทำงานไปได้ประมาณห้าเดือนเพื่อนในทีมก็ลาออกกะทันหัน ส่วนเธอได้ภูมิแพ้กับไมเกรนเป็นของขวัญจากงานประจำงานแรกนี้
หลังจากได้ที่ดินผืนแรกมาแล้ว เธอก็ยังทำงานประจำต่อไปควบคู่ไปกับการเริ่มทำสวน ‘ถ้าจะล้มก็ขอล้มบนฟูกแล้วกัน’ คือสิ่งที่เธอเตือนใจตัวเองอยู่เสมอ
อย่างที่ทุกคนรู้กันดี ว่าการออกมาทำอาชีพเกษตรกรอาจจะไม่ได้สวยหรูอย่างที่วาดฝัน ‘ถ้าไม่มีที่ดินก็ทำไม่ได้ จะไปเช่าที่ดินทำเหรอ’ ‘ถ้าไม่มีพ่อแม่ซัพพอร์ตก็ทำไม่ได้หรอก’ ‘มีหนี้มีสิน ไม่มีเงินก้อนที่ได้รับสม่ำเสมอจะเอาที่ไหนจ่าย’
เธอพยายามทำให้ดีที่สุดเท่าที่เธอจะทำได้ทั้งงานประจำและงานที่สวน อดเปรี้ยวไว้กินหวานไม่สร้างหนี้สินอะไรเพิ่ม
จนที่บ้านเริ่มไม่แน่ใจว่าไม่มีใครมาจีบจริง ๆ หรือเธอเอาแต่ทำงานหาเงินจนไม่มีเวลาไปใส่ใจมองคนรอบตัว เพื่อนคนหนึ่งตั้งแต่สมัยเรียนมหาวิทยาลัยที่เอาใจใส่ดูแลเธอจนออกนอกหน้า เพื่อนคนหนึ่งที่มองแต่เธอมาตลอดสี่ปี แม้ในวันรับปริญญาเขาก็ส่งสายตาหวานเยิ้ม ยิ้มมุมปากให้เธออยู่ตลอด
‘ชมพู่มีแฟนหรือยัง’ เพื่อนผู้หญิงเอ่ยถามขณะนั่งรอเข้าเรียนช่วงบ่ายอยู่ใต้ตึกเรียน เธอตอบไปว่า ‘มีแล้ว’ ทั้งที่เธอยังไม่เคยมีแฟนเลยสักคน จะด้วยเหตุผลอะไรนั้นมีเพียงเธอเท่านั้นที่รู้ดี เพื่อนเธอหันไปอีกทางแล้วพึมพำอะไรบางอย่างออกมา
‘บาดแผลที่อยู่ลึกในใจ อาจจะเป็นเหตุผลที่ทำให้หัวใจถูกปิดกั้นเอาไว้’
“ค่ะ…ต้องการจำนวนเยอะมั้ยคะ”
‘ครับ…คุณชมพู่สามารถส่งให้ผมทุกวันช่วงเช้าได้ไหมครับ’
“ได้ค่ะ คุณสะดวกเข้ามาคุยรายละเอียดเพิ่มเติมที่สวนมั้ยคะ”
‘สะดวกครับ ผมต้องการเข้าไปดูพื้นที่และวิธีการปลูกด้วยครับ ร้านผมเป็นร้านเล็ก ๆ ที่พึ่งเปิดใหม่มีจุดเด่นคือสลัด จะใช้เฉพาะผักออร์แกนิกครับ คุณชมพู่สะดวกวันไหนแจ้งผมได้เลยนะครับ’
“ยินดีค่ะ ขอบคุณนะคะ แล้วพบกันค่ะ”
รถเก๋งสีดำเงาวับขับเข้ามาจอดที่ลานจอดรถของสวนปรียานุช ชายหนุ่มรูปร่างสูง ไหล่กว้าง หน้าตาคมเข้มก้าวลงจากรถ เขาแต่งตัวภูมิฐานใส่สูทเข้าทรงพอดีตัว ผูกเนกไทสีเข้ากันกับสูท
“สวัสดีครับคุณชมพู่ ผมปัณณ์นะครับ ที่โทรเข้ามาติดต่อสอบถามรายละเอียดคร่าว ๆ ก่อนหน้านี้” เขากล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบ หน้าตาท่าทางการวางตัวสุภาพแบบนักธุรกิจ
เขาถอดเสื้อสูทกับเนกไทออกเก็บไว้ในรถ เหลือไว้เพียงเสื้อเชิ้ตสีขาวแขนยาวเข้ารูป ขับให้สีผิวของเขายิ่งดูขาวกระจ่างใส กล้ามอกกับหน้าท้องแบนราบบ่งบอกว่าเขาออกกำลังกายสม่ำเสมอ เขาหยิบร่มคันใหญ่สีดำออกมาจากประตูรถเตรียมพร้อมไปเดินชมสวน
“สวัสดีค่ะคุณปัณณ์ เดินทางมาสะดวกมั้ยคะ”
“สะดวกครับ ขอบคุณครับ ผมมาติดต่อธุระแถวนี้บ่อยครับ”
“ค่ะ คุณปัณณ์ต้องการไปชมในสวนด้วยมั้ยคะ”
“ดีมากเลยครับ ถ้าไม่รบกวนขอดูรายละเอียดเพิ่มเติมด้วยครับ” ใบหน้าคมเข้มฉายแววลึกลับเข้าใจยาก
“ยินดีมากค่ะ” ชมพู่ตอบ ค้อมศีรษะให้เขาเล็กน้อย
ปัณณ์เดินกางร่มยื่นมาให้เธอเข้าร่มด้วย เธอปฏิเสธด้วยความที่เกรงใจลูกค้าและระยะห่างที่ควรรักษา บอกเขาว่าเธอใส่หมวกกับเสื้อคลุมแล้ว
เขาก็ยังยืนกรานว่าอย่างไรเขาก็กางร่มแล้ว แค่ยื่นแขนออกไปอีกนิดเดียว ไม่ได้ทำให้เขาเมื่อยแขนมากกว่าเดิม ‘ร่มของผมก็คันใหญ่มาก เราสามารถยืนในระยะใกล้ชิดโดยไม่ถูกเนื้อต้องตัวกันได้ครับ’
ทั้งสองเดินเคียงกันไปภายใต้ร่มของปัณณ์ “สวนของเราจะมีผักสลัด ผักตามฤดูกาลและผลไม้ค่ะ ผักสลัดจะปลูกในโรงเรือนค่ะ ทุกอย่างจะเป็นออร์แกนิกไม่ใช้สารเคมีค่ะ”
“ครับ ดีมากครับ ผมสังเกตเห็นคนงานของคุณชมพู่มีหลากหลายวัยเลยนะครับ”
“ใช่ค่ะ…ส่วนมากจะเป็นคนงานที่อาศัยอยู่ในละแวกนี้ค่ะ”
คนงานของชมพู่ ในนั้นมีคนที่เคยถามเธอว่า ‘จบมาแล้วจะไปทำอะไรกิน’ รวมอยู่ด้วย ตอนนี้คงได้คำตอบแล้วโดยที่เธอไม่ต้องเอ่ยปาก
“ครับ ผมขอไปดูโรงเรือนด้วย สะดวกไหมครับ”
“ยินดีค่ะ ที่นี่ปลูกไผ่เป็นแนวรั้วค่ะ เป็นเกษตรอินทรีย์ หน่อไม้ที่ขึ้น บางส่วนจะส่งขายตามตลาด แล้วก็แบ่งให้คนงานกลับไปกินค่ะ ไม่ได้นำมาขายรวมกับผักออร์แกนิกนะคะ”
“แบบนี้ดีมากครับ สร้างรายได้ และมีวัตถุดิบให้คนงานได้นำกลับไปทำอาหาร เป็นการช่วยลดต้นทุนค่าครองชีพได้ส่วนหนึ่งด้วย”
“ค่ะ…เอกสารใบรับรองมาตรฐานเกษตรอินทรีย์อยู่ในสำนักงานนะคะ หลังจากชมสวนเสร็จแล้ว คุณปัณณ์เข้าไปตรวจสอบได้เลยค่ะ”
“ครับ” ปัณณ์หยิบผ้าเช็ดหน้าออกจากกระเป๋ากางเกงซับเหงื่อบนใบหน้าและลำคอ “โรงเรือนทางด้านนั้น คืออะไรครับ ที่มีเชือกห้อยลงมา”
“เป็นโรงเรือนมะเขือเทศ คุณปัณณ์สนใจไปชมมั้ยคะ”
“ถ้าได้จะดีมากเลยครับ ขอบคุณครับ”
ชมพู่พาปัณณ์เดินดูจนครบทุกโรงเรือน แปลงผักทุกแปลง รั้วต้นไผ่ที่หน่อไม้กำลังขึ้น การเพาะเมล็ด จนถึงการแพ็กใส่ถุงเตรียมจัดส่ง แล้วทั้งสองก็เข้าไปในสำนักงาน มาวินยกน้ำมาให้ ปัณณ์กล่าวขอบคุณและรินน้ำดื่ม ทำการตรวจสอบเอกสารและทำสัญญากัน
“ภาพที่แขวนอยู่นี้ คุณชมพู่ถ่ายเองทั้งหมดเลยหรือครับ”
“ใช่ค่ะ ชมพู่รับถ่ายภาพเป็นอาชีพเสริมด้วยค่ะ”
“ครับ ขยันจังเลยนะครับ ทำสวนด้วยตัวเอง แล้วยังมีอาชีพเสริมทำควบคู่กันด้วย”
“ขอบคุณค่ะ…มีเพื่อนช่วยดูแลประสานงานในสำนักงานให้ค่ะ ชมพู่เลยไม่ยุ่งมาก”
“รายละเอียดอื่น ๆ เลขาของผมจะจัดการส่งมาให้คุณชมพู่นะครับ เรื่องของปริมาณและชนิดของผักผลไม้ที่ต้องการในแต่ละวัน จะส่งมาล่วงหน้าหนึ่งวัน ทางคุณชมพู่จะได้มีเวลาเก็บเกี่ยว แพ็กและส่งให้ผมในเช้าวันถัดไป ส่วนเรื่องค่าใช้จ่ายทั้งหมดจะเป็นไปตามที่เราตกลงกันในสัญญานะครับ วันนี้ผมขอตัวกลับก่อน”
“ขอบคุณมากค่ะ เดินทางปลอดภัยนะคะ”
ชมพู่เดินออกมาส่งปัณณ์ที่รถ เขาขับรถออกไปลับตา แล้วชมพู่ก็หันหลังเดินกลับไปที่สำนักงาน
“ลูกสาวใครมายืนร้องไห้สะพายกระเป๋า” เสียงเฌอพัฒน์ร้องเพลงดังมาจากทางด้านหลังของเธอ
“ใครเหรอ…ขับรถออกไปเมื่อครู่”
“ลูกค้าจ้ะพ่อ เขาบอกว่ารู้จักเราจากในโซเชียล ร้านอาหารของเขาต้องการผักออร์แกนิกและเป็นเกษตรอินทรีย์ เขาขอเข้ามาดูโรงเรือน พื้นที่ปลูกกับเอกสารรับรองด้วยตัวเองจ้ะ”
“อ๋อ…ร้านอาหารของเขาคงจะลูกค้าแน่นทุกวัน เจ้าของลงทุนออกหาวัตถุดิบด้วยตัวเองเลย”
ปัณณ์เล่าให้ชมพู่ฟังขณะพาเขาเดินชมสวน ว่าเขาเข้าไปดูสวนมาหลายที่ก็ยังไม่ถูกใจ เจ้าของสวนไหนที่พูดจาไม่ดีกับเขา เขาก็จะตอบ ‘ขอบคุณครับ’ แล้วไม่กลับไปเหยียบที่นั่นอีกเลย
“แม่ฝากอาหารมาให้นะ พ่อผ่านมาแถวนี้พอดีแม่เลยทำอาหารฝากมาให้ ถ้ากินไม่หมดก็แบ่งให้คนงานไปนะ แม่ทำมาเหมือนเลี้ยงคนยี่สิบคนน่ะ”
แม่ทำอาหารเองทุกมื้อ ตำราอาหารของแม่จะเป็นการจดเมนูตามรายการอาหารในโทรทัศน์ที่แม่ดูทุกวันหลังย้ายกลับมาเย็บผ้าโหลที่สุพรรณฯ
“ขอบคุณจ้ะพ่อ” ชมพู่กอดพ่อเอาแก้มแนบไปที่อกของพ่อ “สุดสัปดาห์หนูมีงานไปถ่ายภาพพรีเวดดิ้งสองวันนะจ๊ะ เผื่อพ่อแวะเข้ามาแล้วไม่เจอหนู”
พ่อโอบแขนกอดชมพู่ “หนูขับรถดี ๆ นะ ระมัดระวังด้วย เดินทางคนเดียวอย่าประมาทนะลูก แล้วสถานที่ที่ไปปลอดภัยดีใช่มั้ย”
ลูกสาวตัวน้อยที่เฌอพัฒน์เคยพาคลานเป็นลูกวัวอยู่ใต้ท้องของพ่อวัว ออกมาจากห้องนอนของเขา ตอนนี้เธอเติบโตขึ้น สามารถทำงานหาเงินเลี้ยงตัวเองได้แล้ว แต่ในสายตาของเขา เธอก็ยังคงเป็นลูกสาวตัวน้อยหรือลูกวัวตัวเล็ก ๆ ที่เคยคลานอยู่ใต้ท้องเขา
“ปลอดภัยจ้ะ…เขาเป็นลูกค้าเรา เจ้าของรีสอร์ตก็รู้จักกันมานานจ้ะ”
“รู้จักกันมานาน” เฌอพัฒน์ขมวดคิ้วเล็กน้อย “แล้ว…คนนี้ใช่แฟนลูกหรือเปล่า ไม่เห็นมาพาแนะนำพ่อให้รู้จักบ้างเลย”
“ไม่ใช่จ้ะพ่อ หนูยังไม่มีแฟน”
หลังจากเรียนจบชมพู่ล้มลุกคลุกคลานอยู่สองปี เริ่มจากกลับมาอยู่ที่บ้านทำงานประจำเก็บเงินมาลงทุนหาซื้อที่ดินกว่าจะได้มาก็แทบ ‘สิ้นล้มประดาตาย’ อย่าว่าแต่เรื่องที่จะมีแฟนเลย เธอก้มหน้าก้มตาทำงานหาเงินซะเป็นส่วนใหญ่จนแทบไม่มีเวลาพักผ่อน
งานประจำงานแรกและงานเดียวในชีวิต เธอเข้าไปทำงานในบริษัทแห่งหนึ่งที่กำลังปรับเปลี่ยนวิธีการทำงานจากกระดาษเป็นการทำงานในระบบ ช่องว่างระหว่างนั้นทำให้มีเอกสารกองโตที่ต้องจัดการเข้าระบบและงานที่เธอต้องติดตามจากบริษัทคู่ค้าทุกวัน แรงกดดันที่เกิดขึ้นจากการทำงานนั้นถือเป็นเรื่องปกติ เธอทำงานไปได้ประมาณห้าเดือนเพื่อนในทีมก็ลาออกกะทันหัน ส่วนเธอได้ภูมิแพ้กับไมเกรนเป็นของขวัญจากงานประจำงานแรกนี้
หลังจากได้ที่ดินผืนแรกมาแล้ว เธอก็ยังทำงานประจำต่อไปควบคู่ไปกับการเริ่มทำสวน ‘ถ้าจะล้มก็ขอล้มบนฟูกแล้วกัน’ คือสิ่งที่เธอเตือนใจตัวเองอยู่เสมอ
อย่างที่ทุกคนรู้กันดี ว่าการออกมาทำอาชีพเกษตรกรอาจจะไม่ได้สวยหรูอย่างที่วาดฝัน ‘ถ้าไม่มีที่ดินก็ทำไม่ได้ จะไปเช่าที่ดินทำเหรอ’ ‘ถ้าไม่มีพ่อแม่ซัพพอร์ตก็ทำไม่ได้หรอก’ ‘มีหนี้มีสิน ไม่มีเงินก้อนที่ได้รับสม่ำเสมอจะเอาที่ไหนจ่าย’
เธอพยายามทำให้ดีที่สุดเท่าที่เธอจะทำได้ทั้งงานประจำและงานที่สวน อดเปรี้ยวไว้กินหวานไม่สร้างหนี้สินอะไรเพิ่ม
จนที่บ้านเริ่มไม่แน่ใจว่าไม่มีใครมาจีบจริง ๆ หรือเธอเอาแต่ทำงานหาเงินจนไม่มีเวลาไปใส่ใจมองคนรอบตัว เพื่อนคนหนึ่งตั้งแต่สมัยเรียนมหาวิทยาลัยที่เอาใจใส่ดูแลเธอจนออกนอกหน้า เพื่อนคนหนึ่งที่มองแต่เธอมาตลอดสี่ปี แม้ในวันรับปริญญาเขาก็ส่งสายตาหวานเยิ้ม ยิ้มมุมปากให้เธออยู่ตลอด
‘ชมพู่มีแฟนหรือยัง’ เพื่อนผู้หญิงเอ่ยถามขณะนั่งรอเข้าเรียนช่วงบ่ายอยู่ใต้ตึกเรียน เธอตอบไปว่า ‘มีแล้ว’ ทั้งที่เธอยังไม่เคยมีแฟนเลยสักคน จะด้วยเหตุผลอะไรนั้นมีเพียงเธอเท่านั้นที่รู้ดี เพื่อนเธอหันไปอีกทางแล้วพึมพำอะไรบางอย่างออกมา
‘บาดแผลที่อยู่ลึกในใจ อาจจะเป็นเหตุผลที่ทำให้หัวใจถูกปิดกั้นเอาไว้’
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
10 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
10 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
10 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ