CHESS:พลิกกระดานเทพ

10.0

เขียนโดย TKFD

วันที่ 3 สิงหาคม พ.ศ. 2567 เวลา 01.14 น.

  55 ตอน
  4 วิจารณ์
  21.84K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 3 สิงหาคม พ.ศ. 2567 01.16 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

55) ตอนที่ 17.2 แลกเปลี่ยนเรื่องราวจากสหาย

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ
ขนาดตัวอักษร เล็ก กลาง ใหญ่ ใหญ่มาก
    โจเซฟเดินเข้ามาหาฟลังโก้ก่อนจะยกมือขึ้นตบไหล่เขาเบาๆ ราวกับยืนยันว่า ตอนนี้ทุกอย่างปลอดภัยแล้ว
 
 
 
    บรรยากาศอุ่นใจแผ่วๆแทรกเข้ามาท่ามกลางความเหน็ดเหนื่อยที่ยังค้างอยู่ในสีหน้าของทุกคน
 
 
 
    "โจเซฟ:อย่างน้อยก็รอดมาได้ใช่ไหมล่ะ"
 
 
 
    ฟลังโก้พยักหน้ารับคำ เขาสูดหายใจลึกก่อนจะเอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงที่ยังสั่นนิดๆ
 
 
 
    "ฟลังโก้:ใช่...ใช่ เรายังรอดมาได้ใช่..."
 
 
 
    คำพูดนั้นทำให้ทุกคนเงียบลงเล็กน้อยเหมือนได้ยินเสียงของเรื่องราวหนักหนาทั้งหมดสะท้อนกลับขึ้นจากความทรงจำของตัวเอง ทั้งความกลัว ความลำบาก และความสูญเสียที่แต่ละคนผ่านมา
 
 
 
    บรรยากาศเริ่มขมุกขมัวลงทีละนิด จนกระทั่งมีคนเปิดประเด็นใหม่เพื่อหนีความอึดอัดที่กำลังจะกดทับวงสนทนา
 
 
 
    "คริส:แล้วทุกคนทำไมถึงมาที่นี้ได้เหรอครับ"
 
 
 
    จาบารีเกาหัวเล็กน้อยเหมือนกำลังเลือกว่าจะเล่าแบบไหนดี
 
 
 
    "จาบารี:เออ เรื่องนั้นจะว่าไงดีล่ะ มันคือเรื่อง..."
 
 
 
    ยังไม่ทันที่เขาจะพูดจบ อาซิมก็สอดขึ้นมาด้วยสีหน้าจริงจังจนน่าประหลาดใจ
 
 
 
    "อาซิม:เรื่องมันเกิดเพราะปลานะ"
 
 
 
    คำตอบนั้นทำให้ฝั่งโจเซฟชะงัก ก่อนจะขมวดคิ้วถามกลับไปด้วยความงุนงง
 
 
 
    "โจเซฟ:ปลา?"
 
 
 
    "อาซิม:ใช่ มันคือเรื่องของปลา"
 
 
 
    คริสที่ฟังอยู่ก็รีบถามอย่างไม่แน่ใจ
 
 
 
    "คริส:หมายถึงปลาที่พวกคุณเอามาโชว์เหรอครับ"
 
 
 
    "จาบารี:ใช่"
 
 
 
    เมิ่งซินเลิกคิ้วขึ้น เหมือนไม่ค่อยเข้าใจตามเท่าไหร่
 
 
 
    "เมิ่งซิน:พวกนายหมายความว่ายังไง พวกนายหนีปลามาเหรอ?"
 
 
 
    ฟลังโก้ถอนหายใจยาวหนึ่งทีก่อนจะเริ่มเล่าอย่างจำใจ
 
 
 
    "ฟลังโก้:เรื่องนี้ฉันเล่าเอง เรื่องมันมีอยู่ว่าหลังจากที่เรารู้ว่าปลานี้มันกินได้และก็รสชาติไม่แย่ พวกเราก็ได้ออกล่าปลาพวกนี้เป็นจำนวนเยอะมากๆ จนพวกลิซาร์ดแมนรวมกันตามไล่ล่าพวกเรา"
 
 
 
    คำอธิบายนั้นทำให้โจเซฟตาโตทันที
 
 
 
    "โจเซฟ:เดี๋ยวๆอย่าบอกนะว่าหลังจากที่พวกนายรู้ว่าปลากินได้พวกนายก็เลยล่าแต่ปลาพวกนั้น จนลิซาร์ดแมนรวมตัวกันมาล่าพวกนายอ่ะนะ"
 
 
 
    ทั้งสี่คนพยักหน้าพร้อมกันอย่างหน้าตาย คริสที่เห็นก็มีสีหน้าฉงนมากขึ้น ก่อนจะถามอย่างอดไม่ได้
 
 
 
    "คริส:พวกคุณล่ากันมาเยอะแค่ไหนครับ"
 
 
 
    อาซิมตอบเป็นคนแรกทันที เหมือนเรื่องนี้เขาภูมิใจอยู่ลึกๆ
 
 
 
    "อาซิม:ฉันมี 459 ตัว"
 
 
 
    จาบารีต่อทันทีไม่แพ้กัน
 
 
 
    "จาบารี:ผม 413 ตัว"
 
 
 
    "โยเซฟ:ฉันมี 601 ตัว"
 
 
 
     ปิดท้ายด้วยฟลังโก้ที่พูดอย่างจริงจังที่สุดในกลุ่ม
 
 
 
    "ฟลังโก้:ฉันมี 767 ตัว"
 
 
 
    หลังจากได้ยินจำนวนรวมทั้งหมด คริสก็อ้าปากค้างทันที ราวกับสมองกำลังประมวลผลตัวเลขเหล่านั้นอย่างเชื่องช้า เพราะมันเกินกว่าที่เขาคาดไว้หลายเท่าตัว
 
 
 
    "โจเซฟ:ฉัน...ไม่รู้จะพูดไงต่อเลย"
 
 
 
    เสียงของโจเซฟฟังดูมึนงงพอๆ กับสีหน้าเมิ่งซินที่ยืนกอดอกมองทั้งสี่คนเหมือนกำลังดูตัวปัญหาเดินได้
 
 
 
    "เมิ่งซิน:ไม่น่าพวกมันถึงรวมตัวมาไล่ล่าพวกนาย ดูสิ่งที่พวกนายทำสิ มันคงคิดว่าพวกนายประกาศสงครามด้านการหาอาหารแน่ๆ"
 
 
 
    ทั้งสี่ทำหน้าหงอยคล้ายลูกหมาถูกดุ ไม่มีใครกล้าเถียง เพราะทุกอย่างเกิดขึ้นเพราะพฤติกรรมของพวกเขาเต็มๆ
 
 
 
    เมิ่งซินยังคงถามต่อทันทีเหมือนยังจับต้นชนปลายไม่หมด
 
 
 
    "เมิ่งซิน:แล้วพวกคุณทำอีท่าไหนถึงไปอยู่ที่หนาวๆได้ล่ะ"
 
 
 
    "ฟลังโก้:โดนพวกลิซาร์ดแมนต้อนเข้าไปที่นั้นน่ะ"
 
 
 
    เมิ่งซินขมวดคิ้วแน่นขึ้นกว่าเดิม
 
 
 
    "เมิ่งซิน:เดี๋ยวนะ อย่าบอกนะว่าพวกคุณโดนไล่มาจากที่เปียกๆให้ไปที่หนาวๆอ่ะนะ"
 
 
 
    ฟลังโก้ถอนหายใจยาว เหมือนเก็บเรื่องนี้ไว้ในอกมาหลายวัน
 
 
 
    "ฟลังโก้:ใช่ หลังจากเราโดนต้อนออกมาจากที่นั้นในขณะตัวเปียกๆให้เข้าไปในเขตหนาว พวกเราก็ยังไม่เข้าไปลึกและรอดูว่าพวกลิซาร์ดแมนจะกลับไป แต่ไม่ พวกมันยืนเฝ้าอยู่แบบนั้นจนเราจะก่อไฟนอน แต่พอเริ่มทำก็มีพวกลิซาร์ดแมนมาก่อกวนเราโดยการขว้างหอกมาใส่ จนเราไม่ได้ทำอะไร มันทำแบบนี้เรื่อยๆ จนพวกฉันเหนื่อย ก่อนที่เราจะทนไม่ไหวและเดินเข้าไปในเขตหนาวให้ลึกเพื่อจะหาห้องพัก ซึ่งตลอด 3-4 วันที่ผ่านมาเราไม่เจอห้องพักเลย แถมนอนไม่ค่อยพอด้วยเนื่องจากอากาศที่เย็น พวกเราทนหนาวมาจนออกมาจากเขตนั้นและมาเจอที่นี่เข้าก่อนจะเจอพวกเธอมาที่นี่"
 
 
 
    คำอธิบายยาวเหยียดนั้นเต็มไปด้วยความอัดอั้น เหมือนฟลังโก้ได้ระบายทุกความลำบากของหลายวันที่ผ่านมาออกมาในครั้งเดียว
 
 
 
    คริสมองพวกเขาด้วยสายตาอ่อนลง
 
 
 
    "คริส:ลำบากมานานเลยสินะครับ"
 
 
 
    โยเซฟที่ยืนฟังอยู่ก็พูดขึ้นด้วยเสียงแผ่วล้า
 
 
 
    "โยเซฟ:ใช่ ลำบากมานาน จนอยากจะนอนและไม่ลุกสัก 2-3 วันเลย"
 
 
 
    ว่าจบ เขาก็ทิ้งตัวลงนอนบนพื้นโดยไม่สนใจภาพลักษณ์ใดๆ เลย
 
 
 
    "โยเซฟ:เฮ้อ"
 
 
 
    ลมหายใจหนักๆถูกปล่อยออกมาพร้อมกับการปิดเปลือกตาช้าๆ เหมือนร่างกายเขาฝืนมานานเกินไปแล้วจริงๆ
 
 
 
    คริสมองภาพนั้นด้วยความรู้สึกบางอย่างที่เริ่มชัดเจนขึ้นในอก
 
 
 
    "คริส:ดูแล้วเขาดูเหนื่อยล้ามากเลยนะครับ"
 
 
 
    อาซิมพยักหน้าเบาๆ
 
 
 
    "อาซิม:เขาเป็นคนแบกคามีญมาตลอดตั้งแต่เธอไม่ค่อยสบายแล้วล่ะ"
 
 
 
    คริสชะงักก่อนถามด้วยเสียงเบาลงโดยไม่รู้ตัว
 
 
 
    "คริส:ผมขอถามได้ไหม ตั้งแต่เมื่อไหร่"
 
 
 
    "อาซิม:เรื่องนั้นฉันก็ไม่แน่ใจเพราะไม่มีนาฬิกา แต่น่าจะประมาณวัน...สองวันมั้ง"
 
 
 
    ในหัวของคริสมีเสียงคำรำพึงดังขึ้นอย่างไม่อาจปิดบัง
 
 
 
    ‘คริส:แค่แบกลีน่ากลับมาฉันยังรู้สึกเหนื่อยมากๆเลย… แต่เขากลับแบกมาวันสองวันเลยจริงดิ’
 
 
 
     เมื่อคิดได้แบบนั้น คริสมองไปยังโยเซฟอีกครั้ง สายตาเต็มไปด้วยความเคารพอย่างจริงใจ ตอนนี้เขาเข้าใจแล้วว่าการแบกคนหนึ่งๆไม่ใช่แค่หนักทางกาย แต่ยังต้องอาศัยความอดทนมหาศาลและโยเซฟทำมันโดยไม่บ่นแม้แต่นิดเดียว
 
 
 
    "ฟลังโก้:แล้วเรื่องของพวกนายล่ะ เป็นไงบ้าง"
 
 
 
    โจเซฟยกหัวขึ้นเล็กน้อยเหมือนถูกเรียกให้เล่าความลับบางอย่าง
 
 
 
    "โยเซฟ:เออ~ ว่าไงดีล่ะ ลำบากบ้างสบายบ้างนะ"
 
 
 
    ฟลังโก้หันไปมองคนที่นอนอยู่บนเตียงก่อนจะถอนหายใจเบาๆ แล้วหันกลับมาทางโจเซฟ
 
 
 
    ฟลังโก้เลิกคิ้ว
 
 
 
    "ฟลังโก้:แน่ใจ?"
 
 
 
    โจเซฟทำหน้าเหนื่อยหน่ายแบบปิดไม่มิด ก่อนตอบตรงๆ
 
 
 
    "โจเซฟ:เออๆ! ก็ลำบากนั่นแหละ"
 
 
 
    ฟลังโก้ไม่พูดเพิ่ม แต่ลุกขึ้นมานั่งข้างๆ โจเซฟอย่างคนที่คุ้นเคยกันดี เขาหยิบถุงหนังกับแก้วไม้ขึ้นมา ก่อนเทของเหลวสีแดงเข้มลงในแก้วแล้วยื่นให้
 
 
 
    "ฟลังโก้:เอ้า"
 
 
 
    "โจเซฟ:อะไร"
 
 
 
    "ฟลังโก้:กินดู เดี๋ยวก็รู้"
 
 
 
    โจเซฟยกขึ้นมาดม กลิ่นเข้มของผลไม้หมักแตะจมูกทันที
 
 
 
    "โจเซฟ:เห้ย! นี่มัน!"
 
 
 
    เขาหันไปมองแต่ก็เจอฟลังโก้ยิ้มมุมปาก พยักหน้าเหมือนจะพูดว่า ใช่เลย
 
 
 
    โจเซฟไม่รอช้า ดื่มทันที กลิ่นผลไม้หมักลอยขึ้นก่อนแตะริมฝีปาก กลิ่นเปรี้ยวๆ หวานๆ ปนกลิ่นเปลือกไม้บางๆ เหมือนผลไม้ป่าที่ผ่านการหมักอย่างตั้งใจ
 
 
 
    เมื่อของเหลวแตะลิ้น รสแรกคือความเปรี้ยวแรงคล้ายไวน์ราคาถูก แต่พอกลืนลงไปกลับทิ้งความหวานบางๆและความฝาดติดปลายลิ้น รสชาติไม่เนียน แต่มีเอกลักษณ์จนเขาต้องดื่มซ้ำเพื่อเช็กว่าไม่ได้รู้สึกไปเอง
 
 
 
    "โจเซฟ:...อืม มัน..."
 
 
 
    เขาเว้นจังหวะ ก่อนจะดื่มอีกครั้ง
 
 
 
    "โจเซฟ:...แรงกว่าที่คิดนะ แต่เข้มใช้ได้เลย"
 
 
 
    ความร้อนแผ่วเบาวิ่งผ่านลำคอเหมือนเปลวไฟเล็กๆ จุดขึ้นจากภายใน กำลังไล่ความเย็นออกไปทีละน้อย
 
 
 
    ฟลังโก้หัวเราะเบาๆเอามือตบพื้น
 
 
 
    "ฟลังโก้:ฮ่ะๆๆ ฉันบอกแล้ว มันอาจไม่หอมเหมือนเหล้าชั้นดี แต่ถ้าอยากคลายหนาว แค่สองแก้วก็พอให้เลือดสูบฉีดแล้ว"
 
 
 
    โจเซฟยกแก้วขึ้นมองก่อนจะพูดออกมาว่า
 
 
 
    "โจเซฟ:รสชาติมันแปลก...แต่มีเสน่ห์ดีนะ เหมือนเจ้าตัวคนทำเลย"
 
 
 
    ฟลังโก้ระเบิดหัวเราะดังลั่น
 
 
 
    "ฟลังโก้:ฮ่าฮ่า! ระวังเถอะ ดื่มไปอีกหน่อยจะพูดเพี้ยนยิ่งกว่านี้!"
 
 
 
    บรรยากาศผ่อนคลายลงอย่างเห็นได้ชัด เสียงหัวเราะของพวกเขาแตกต่างจากควาวเคร่งเครียดที่ผ่านมาอย่างสิ้นเชิง
 
 
 
    "ฟลังโก้:เอาล่ะ ฉันว่านายคงพร้อมเล่าให้ฟังแล้วใช่ไหมว่าเกิดอะไรขึ้นหลังจากแยกกันบ้าง"
 
 
 
    โจเซฟนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนเริ่มเล่าเรื่องทั้งหมด ตั้งแต่แยกกับฟลังโก้ เจอเพื่อนร่วมปาร์ตี้ใหม่ เจอเมิ่งซิน เจอคริส เจอลีน่า สำรวจไปอีกพักใหญ่ แล้วได้เจออากิ และตามมาด้วยเรื่องวุ่นวายทุกอย่างที่พวกเขาผ่านมาด้วยกัน
 
 
 
    เขาเล่าไปพลางดื่มเหล้าหมักไปด้วย บรรยากาศเหมือนเพื่อนสนิทสองคนที่นั่งแชร์เรื่องราวที่ค้างคาในอกมานาน
 
 
 
    คนอื่นๆต่างฟังเงียบๆไม่แทรก เพราะเข้าใจดีถึงความรู้สึกแบบนี้ แต่พวกเขายังไม่มีใครที่สนิทพอจะระบายแบบนั้นได้เหมือนโจเซฟและฟลังโก้
 
 
 
    "ฟลังโก้:เจอมาหนักจริงๆ เพื่อนเอ้ย มาดื่มยอมใจกันดีกว่า"
 
 
 
    ทั้งคู่ชนแก้วและดื่มต่อ ส่วนที่เหลือก็ทยอยพักผ่อนกันไป เมิ่งซินนั่งขัดกริชอย่างตั้งใจ คริสไปนั่งคุยกับจาบารีและอาซิมเพื่อฟังเรื่องราวการผจญภัยของพวกเขาเพิ่มเติม
 
 
 
    บรรยากาศสงบ อุ่น ด้วยไฟและเสียงหัวเราะจางๆจนในที่สุดทุกคนก็นอนกันหมด เหลือเพียงฟลังโก้และโจเซฟที่หน้าเริ่มแดงจากเหล้าหมัก
 
    โจเซฟเอนหลังนิดๆก่อนถามขึ้นด้วยน้ำเสียงเมาเพียงเล็กน้อย
 
 
 
    "โจเซฟ:แล้วเป็นไงบ้างล่ะ"
 
 
 
    ฟลังโก้มองหน้าเขา พลางยกแก้วขึ้นหมุนเล่น
 
 
 
    "ฟลังโก้:ถามถึงเรื่องไหนล่ะ"
 
 
 
    โจเซฟหายใจเข้าเบาๆ ราวกับกำลังเลือกคำพูดให้เหมาะสมที่สุด ก่อนตอบอย่างจริงจัง
 
 
 
    "โจเซฟ:เรื่อง คาเล และ ยัสมีน"
 
 
 
    ทันทีที่ชื่อสองคนนั้นถูกเอ่ยออกมา บรรยากาศรอบกองไฟก็เหมือนจะหนาขึ้นเล็กน้อย ฟลังโก้ชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนจะยกเหล้าขึ้นดื่มยาวๆ ราวกับพยายามกลืนความจริงที่ไม่อยากพูดออกมา แล้ววางแก้วลงอย่างเงียบงัน
 
 
 
    "ฟลังโก้:ไม่มีเลย ไม่มีอะไรเลย ไม่ว่าฉันจะไปที่ไหนและเจอใคร ไม่มี...ไม่มีเลย"
 
 
 
    เสียงของเขาแตกพร่าเล็กน้อย อย่างคนที่ฝืนตัวเองมานานจนเริ่มทนไม่ไหว โจเซฟเห็นดังนั้นจึงหยิบถุงเหล้าเทให้โดยไม่ต้องพูดอะไรเพิ่ม ฟลังโก้รับมา ดื่มอีกครั้งก่อนจะพูดต่อเหมือนคำที่กดไว้ในใจพังทะลักออกมา
 
 
 
    "ฟลังโก้:รู้ไหม ฉันภาวนาต่อพระเจ้าในทุกๆวินาทีให้พวกเขาปลอดภัย ฉันภาวนาต่อพระองค์อย่างจริงใจเพื่อพวกเขา แต่ใจหนึ่งฉันก็ทำใจไว้แล้ว แต่มัน..."
 
 
 
    เสียงของเขาสั่นอย่างเห็นได้ชัด ความกลัวที่เขาเก็บซ่อนเอาไว้ตลอดถูกเผยให้เห็น ร่างกายกำยำที่เคยแกร่งหนักกลับดูอ่อนแรงลงทันทีในความมืดรอบๆ กองไฟ
 
 
 
    ความตายในที่แห่งนี้ไม่ใช่เพียงภัยไกลตัว แต่คือเงาที่คอยไล่ล่าอยู่ทุกย่างก้าว และฟลังโก้รู้ดี…ว่าคนที่เขารักอาจจะไม่มีวันกลับมาอีกครั้ง
 
 
 
    โจเซฟยกมือลูบหลังเพื่อนช้าๆ น้ำเสียงนุ่มและมั่นคงจนเป็นเสาหลักให้อีกฝ่ายพิงได้
 
 
 
    "โจเซฟ:ฉันว่าพระองค์ทรงรับฟังคำภาวนาของนายและกำลังปกป้องพวกเขาแน่นอน ขอแค่นายอย่าหยุดภาวนาและมุ่งมั่นหาพวกเขาต่อไป"
 
 
 
    หลังจากคำพูดนั้น ทุกอย่างก็เงียบลง มีเพียงเสียงกลืนน้ำเหล้าเป็นพักๆก่อนที่ทั้งคู่จะหลับไปจากความเหนื่อยล้าทั้งร่างกายและหัวใจ
 
 
 
             6–8 ชั่วโมงต่อมา
 
 
 
    เมิ่งซินและคนอื่นๆ ต่างลุกขึ้นจากการพักผ่อนอย่างช้าๆ ยกเว้นโจเซฟกับฟลังโก้ที่ยังนอนสลบไสลจากฤทธิ์เหล้าตรงเดิม ส่วนโยเซฟก็ยังหลับอยู่จากความเหนื่อยล้าที่สะสม
 
 
 
    อาซิมเพิ่งออกมาจัดเตรียมกองไฟใหม่ หันไปยิ้มให้เด็กชายที่เพิ่งตื่น
 
 
 
    "อาซิม:คริสมานี้สิ เราจะย่างปลาให้นายกินตามที่คุยกันไว้ตอนก่อนนอน"
 
 
 
    คริสทำตาเป็นประกายทันที เขารีบวิ่งเข้าไปหาอาซิมและจาบารีที่กำลังจัดการเครื่องในปลาอย่างคล่องมือ
 
 
 
    "อาซิม:น่าเสียดายที่เกลือที่เราเอามาหมดแล้ว ไม่งั้นนายคงได้กินแบบอร่อยๆแล้ว"
 
 
 
    คริสรีบตอบอย่างไม่ลังเล เหมือนกลัวว่าจะเสียโอกาสทองนี้ไป
 
 
 
    "คริส:ผมมีเกลือนะ เอาไหมครับ"
 
 
 
    อาซิมหันมามอง ก่อนหัวยิ้มกว้างแล้วตบหลังคริสแบบเอ็นดูจนเด็กสะดุ้งนิดๆ
 
 
 
    "อาซิม:ฮ่าฮ่าฮ่า ต้องแบบนี้สิถึงจะได้กินแบบอร่อยๆกัน"
 
 
 
    คริสยิ้มกว้างอย่างภูมิใจ ก่อนยื่นถุงเกลือให้จาบารีที่กำลังเตรียมปลาด้วยท่าทางจริงจัง
 
 
 
    "คริส:นี่ครับเกลือ ได้ยินว่าใส่แล้วจะอร่อยขึ้น"
 
 
 
    "จาบารี:โอ้ ขอบใจ ไว้รอกินได้เลย"
 
 
 
    หลังจากส่งเกลือให้จบ คริสก็ลงไปนั่งข้างอาซิมด้วยท่าทางตื่นเต้นเหมือนลูกหมาที่กำลังรออาหารเช้า ดวงตาเป็นประกายไม่หยุด
 
 
 
    "อาซิม:เห็นแบบนี้น่ะ แต่เขาทำงานในร้านอาหารในอเมริกาเลยนะ"
 
 
 
    คริสหันไปอย่างสนใจทันที
 
 
 
    "คริส:พี่ชายเขาเป็นเชฟเหรอครับ"
 
 
 
    จาบารีที่กำลังขูดเกล็ดปลาอย่างตั้งใจเงยหน้าขึ้นเล็กน้อยแล้วตอบเรียบๆ
 
 
 
    "จาบารี:ฉันไม่ใช่เชฟ ฉันเป็นแค่ผู้ช่วย"
 
 
 
    อาซิมหลุดหัวเราะสั้นๆ อย่างไม่เห็นด้วยเลยสักนิด
 
 
 
    "อาซิม:ผู้ช่วยบ้าอะไรทำอาหารได้ดีขนาดนี้ ฉันว่าไอ้หัวหน้าเชฟมันคงไม่ชอบนายและไม่ให้ขึ้นเป็นเชฟมากกว่า"
 
 
 
    จาบารีส่ายหน้าเบาๆ ไล่มือขูดเกล็ดปลาต่ออย่างเป็นจังหวะ
 
 
 
    "จาบารี:ไม่หรอก หัวหน้าเชฟไม่ใช่คนแบบนั้น"
 
 
 
    แต่คำตอบนั้นยิ่งทำให้อาซิมโวยด้วยความคับข้องใจแทน
 
  
 
    "อาซิม:ไม่ คนแบบนั้น อะไรล่ะ เขาให้นายเป็นผู้ช่วยตั้ง 7 ปี 7 ปี! เลยน่ะ ในเวลาขนาดนั้นนายเปิดร้านเองยังได้เลย"
 
 
 
    คำพูดนั้นทำให้มือของจาบารีหยุดนิ่งไปทันที เงียบงันในชั่วอึดใจเหมือนเขากำลังกลืนบางอย่างที่พูดไม่ออก ก่อนจะค่อยๆกลับไปทำงานต่อโดยไม่พูดแม้แต่คำเดียว
 
 
 
    อาซิมเห็นว่าเผลอไปกดจุดที่อีกฝ่ายไม่อยากแตะ จึงถอนหายใจเบาๆแล้วเปลี่ยนเรื่องสนทนาแทน
 
 
 
    "อาซิม:เพิ่มไฟดีกว่า รอจาบารีมาย่างปลา"
 
 
 
    "คริส:ครับ"
 
 
 
    ทั้งคู่จึงเริ่มช่วยกันเอาคบเพลิงใส่ไฟให้ลุกเพิ่ม
 
 
 
    เมิ่งซินเพิ่งออกมาจากห้องน้ำหลังจากจัดการธุระส่วนตัว เธอปัดเส้นผมเล็กน้อยก่อนเดินเข้าไปดูอาการของลีน่า ท่านอนของเด็กสาวดูสงบ แต่สีหน้าอ่อนล้าก็ยังเห็นได้ชัด
 
 
 
    เมิ่งซินนั่งลงข้างเตียง แล้วเอาหลังมือแตะที่หน้าผากของลีน่าเบาๆเพื่อตรวจไข้ แต่ยังไม่ทันจะพูดอะไร ลีน่าก็ลืมตาขึ้นช้าๆ
 
 
 
    "เมิ่งซิน:อะ ขอโทษที่รบกวนนะ พี่แค่ดูไข้เฉยๆนะ"
 
 
 
    "ลีน่า:ไม่เป็นไรค่ะ หนูตื่นนานแล้วแต่นอนอยู่เฉยๆ"
 
 
 
   เมิ่งซินยิ้มอย่างอ่อนโยน
 
 
 
    "เมิ่งซิน:ถ้างั้นอยากไปนั่งข้างกองไฟไหม พี่จะพาไป"
 
 
 
    "ลีน่า:ค่ะ"
 
 
 
    เธอค่อยๆพยุงลีน่าออกมาอย่างระมัดระวัง แม้ลีน่าจะยังดูอ่อนแรง แต่ก็ยิ้มเล็กน้อยทันทีที่ได้สัมผัสไออุ่นจากกองไฟ
 
 
 
    "ลีน่า:อืม~ อุ่นจัง"
 
 
 
    เธอนั่งพิงใกล้กองไฟอย่างสบาย ก่อนจะเหลือบมองไปทางคริสที่กำลังนั่งอยู่ข้างอาซิม
 
 
 
    "ลีน่า:ว่าแต่คริสน่ะใครเหรอ"
 
 
 
    เด็กชายรีบตอบทันทีอย่างเป็นมิตร
 
 
 
    "คริส:อ้อ เป็นคนรู้จักของลุงโจเซฟนะ คนข้างๆฉันคือคุณอาซิม คุณพี่ตัวใหญ่ที่กำลังทำปลาอยู่ตรงนั้นคือคุณจาบารี ส่วนพี่ผู้หญิงตรงนั้นคือคามีญ ส่วนคนที่นอนอยู่ตควนั้นคุณโยเซฟ และก็คนสุดท้ายคนตรงนั้นที่นอนข้างๆลุงโจเซฟคือคุณลุงฟลังโก้และเป็นเพื่อนกับลุงโจเซฟ"
 
 
 
    ลีน่าพยักหน้าอย่างสุภาพ
 
 
 
    "ลีน่า:ยินดีที่ได้รู้จักนะคะ"
 
 
 
    "อาซิม:ยินดีที่ได้รู้จัก"
 
 
 
    จาบารีซึ่งกำลังจัดการปลาก็หันมาพูดด้วยรอยยิ้มบางๆ
 
 
 
    "จาบารี:ยินดีที่ได้รู้จัก"
 
 
 
    บรรยากาศรอบกองไฟเริ่มอบอุ่นขึ้นทีละนิด ทั้งจากไอร้อนของเปลวไฟและจากเสียงหัวเราะพูดคุยอันผ่อนคลายของพวกเขา
 
 
 
    "ลีน่า:แล้วมาเจอกันได้ยังไงเหรอคะ เล่าให้ฟังได้ไหม"
 
 
 
    "คริส:ได้สิ เรื่องมันมีอยู่ว่าหลังจากที่เราจัดการ..."
 
 
 
    คริสเริ่มเล่าเรื่องทุกอย่างให้ลีน่าฟัง ตั้งแต่เหตุการณ์ที่พวกเขาผ่านมา ไปจนถึงสิ่งที่ฟลังโก้กับคนอื่นๆเคยเล่าให้เขาฟัง ยิ่งเขาเล่า เสียงรอบกองไฟก็เหมือนเงียบลง เหลือเพียงน้ำเสียงของเด็กชายที่ถ่ายทอดทุกเหตุการณ์อย่างตรงไปตรงมา
 
 
 
     "ลีน่า:งั้นปลาที่ย่างอยู่นี้คือตัวที่เล่าให้ฟังใช่ไหม"
 
 
 
    "คริส:ใช่แล้วล่ะ"
 
 
 
    "ลีน่า:ฟิดๆ ถึงหน้าตาจะดูไม่ดีแต่กลิ่นหอมอยู่นะ ชักจะหิวแล้วสิ"
 
 
 
    กลิ่นปลาย่างที่อบอวลในอากาศเข้ามาปะทะจมูกของเธอ ทั้งหอม ทั้งชวนให้ท้องร้อง ร่างกายที่ไม่ได้รับอาหารมานานเหมือนตื่นขึ้นอีกครั้ง ลีน่าเผลอมองปลาที่กำลังย่างตาเป็นมัน
 
 
 
    จาบารีลอบเห็นสายตานั้น ก็เข้าใจทันที เขาหยิบปลาที่สุกตัวแรกขึ้นมาแล้วยื่นให้เธออย่างใจดี
 
 
 
    "จาบารี:กินเยอะๆจะได้หายไวๆ"
 
 
 
    "ลีน่า:เออ~ แต่ว่าคนอื่นๆยังไม่ได้กินเหมือนกันนิคะ"
 
 
 
    จาบารีหัวเราะเบาๆ กับความห่วงคนอื่นของเธอ ก่อนจะหันไปถามทีละคน
 
 
 
    "จาบารี:อาซิม กินไหม"
 
 
 
    "อาซิม:โอ้ยไม่เอาอ่ะ ไม่หิวเท่าไหร่"
 
 
 
    "จาบารี:นายล่ะพ่อหนุ่ม"
 
 
 
    "คริส:ผมก็ไม่หิวเหมือนกันครับ"
 
 
 
    "จาบารี:แล้วคุณผู้หญิงล่ะครับ"
 
 
 
    "เมิ่งซิน:ฉันขอผ่านแล้ว"
 
 
 
    จาบารีแกล้งทำเสียงเศร้าปนผิดหวังเกินจริง
 
 
 
    "จาบารี:ทำไงดีล่ะเนี่ย ไม่มีใครกินเลย น่าเสียใจจริงๆ"
 
 
 
    ลีน่าตกใจรีบพลิกตัวมองปลาที่อยู่ในมือ
 
 
 
    "ลีน่า:งะ งั้นหนูจะกินเองค่ะ"
 
 
 
    "จาบารี:ว้าว ดีใจจัง จะมีคนกินปลาย่างของฉันแล้ว หวังว่าหนูน้อยคนนี้จะกินหมดนะ"
 
 
 
    "ลีน่า:หนะ หนูจะกินให้หมดเลยค่ะ!"
 
 
 
    เสียงเธอสดใสจนคนรอบกองไฟอมยิ้มตาม จาบารีนำปลามาวางบนแผ่นไม้ต่อหน้าเธอ
 
 
 
   "ลีน่า:ขอบคุณนะคะคุณ..."
 
 
 
    "จาบารี:เรียกฉันว่าลุงก็ได้"
 
 
 
    "ลีน่า:ขอบคุณค่ะคุณลุง"
 
 
 
    จาบารีหัวเราะกว้าง ยื่นปลาให้เธอแล้วหันกลับไปย่างปลาต่อ ส่วนลีน่าก็นั่งลงมองปลาที่วางอยู่ตรงหน้าอย่างมีความหวังเต็มสองตา
 
 
 
    ไอน้ำอุ่นๆลอยขึ้นจากเนื้อปลาที่เพิ่งลงจากไฟ กลิ่นหอมเข้มลึกทำให้ท้องของเธอร้องเบาๆ จาไม่อาจซ่อนความหิวได้เลย เธอรีบเช็ดน้ำลายที่เกือบจะไหลออกมา ก่อนจะเอาส้อมขึ้นมาอย่างตั้งใจ
 
 
 
    เนื้อปลาถูกจิ้มลงไปแล้วแยกออกช้าๆ เผยเนื้อฉ่ำๆ ด้านใน ไขมันธรรมชาติผสมกับเกลือจางๆ ลอยกลิ่นหอมชัดเจนกว่าเดิม เธอนำคำแรกเข้าปาก…
 
 
 
    ทันทีที่ฟันสัมผัส เนื้อปลากรุบแน่นเหมือนปลาที่เคยสู้กับน้ำเชี่ยวกรากมาก่อน กลิ่นเกลือบางๆ ดึงรสหวานของเนื้อปลาขึ้นมาจนเด่นชัด ชุ่มฉ่ำจนลีน่าเผลอหลับตา สัมผัสความอร่อยที่แทรกเข้ามาในความเหนื่อยล้าทั้งหมด
 
 
 
    เพียงคำเดียวก็ทำให้เธอยิ้มได้
 
 
 
    เธอกินต่ออย่างเพลินลืมตัว จนในที่สุดปลาทั้งตัวก็หายไปอย่างรวดเร็ว พอวางส้อมลง เสียงท้องอิ่มก็ทำให้หน้าเธอแดงนิดๆ
 
 
 
    "ลีน่า:กิน...ต่อ...ไม่ไหวแล้ว"
 
 
 
    ฟลุบ!
 
 
 
    เธอล้มตัวนอนหงายด้วยความเหนื่อยล้าหลังจากอิ่มจนท้องอุ่นร้อน ความรู้สึกพึงพอใจค่อยๆ คลายออกมาจากสีหน้าอย่างชัดเจนจนทุกคนที่เห็นต่างอมยิ้มตาม บรรยากาศรอบกองไฟจึงเต็มไปด้วยความผ่อนคลาย ความเงียบสงบ และความสุขแบบเรียบง่าย ความรู้สึกที่พวกเขาไม่ได้สัมผัสมานานเหลือเกิน
 
 
 
    "ลีน่า:จะว่าไปแล้ว พี่อากิเป็นไงมั้งคะ"
 
 
 
    "คริส:คือว่า..."
 
 
 
    ได้ยินดังนั้น ลีน่าก็ลุกขึ้นนั่งอย่างเร็ว หันขวับไปมองคริสด้วยแววตากังวล
 
 
 
    "ลีน่า:คือว่า?"
 
 
 
    "เมิ่งซิน:หมอนั้นมันหลับมาตั้งแต่ตอนนั้นเลย ไม่ขยับตัวเลยแม้แต่น้อย ถ้าไม่หายใจคงคิดว่าตายไปแล้ว"
 
 
 
    "ลีน่า:ไม่ขยับเลย...เหรอคะ?"
 
 
 
    "เมิ่งซิน:ใช่"
 
 
 
    อาซิมที่นั่งฟังเงียบๆจนถึงตอนนี้ ก็ค่อยๆยกมือขึ้นและเอ่ยเข้ามาในวงสนทนา
 
 
 
    "อาซิม:ถ้าจำไม่ผิดตามที่คุณโจเซฟเล่า คนที่นอนอยู่บนเตียงชั้น 2 นั้นคือคนที่ฆ่าโคลโบลเกือบทั้งฝูงคนเดียวใช่ไหม"
 
 
 
    "เมิ่งซิน:ใช่~ ถามทำไม นายรู้อะไรเหรอ"
 
 
 
    "อาซิม:จะว่าไงดีล่ะ เหมือนจะเคยเจอคนแบบเขาอยู่นะ แบบตอนสู้ละเกือบตายพวกเขาจะเก่งขึ้นมากๆแบบเอามือตบก็อบลินจนหัวแตกได้เลย"
 
 
 
    "ลีน่า:หนูจำได้ พี่อากิเคยบีบหัวก็อบลินแตกด้วยมือมาแล้วมาเหมือนกันนิคะ"
 
 
 
    "เมิ่งซิน:เหมือนจะมีเหตุการณ์นั้นด้วยสิน่ะ...แล้วนายรู้อะไรอีกไหม"
 
 
 
    "อาซิม:รู้สิ รู้เยอะด้วยเพราะคนนั้นเป็นเพื่อนฉันเอง"
 
 
 
    "เมิ่งซิน:เล่าให้ฟังได้ไหม"
 
 
 
    "อาซิม:ได้แน่นอน เขาคนนั้นมีชื่อว่าโชสุเกะ ฟุรุคาวะ เรียกเขาว่าฟุรุคาวะแล้วกันนะ เขาเป็นคนปาตี้เก่าฉันเอง เป็นคนดีคนหนึ่งเลยแถมเก่งมากๆด้วย เรียกได้ว่าอยู่กับเขานี้รอดตายแน่นอน"
 
 
 
    อาซิมพูดถึงเขาด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความนับถือจนเห็นได้ชัด จนเมิ่งซินต้องขมวดคิ้วอย่างสงสัย
 
 
 
    "เมิ่งซิน:ถ้าเขาดีแบบนั้นแล้วทำไมนายถึงออกมาล่ะ"
 
 
 
    "อาซิม:เออ~ เขาเป็นคนออกไปเองน่ะ"
 
 
 
    "เมิ่งซิน:?"
 
 
 
    เมิ่งซินทำหน้าไม่เข้าใจทันที แต่ยังไม่ทันถามต่อ อาซิมก็เริ่มเล่าอย่างช้าๆ ราวกับกำลังดึงเรื่องราวจากความทรงจำอันหนักอึ้งขึ้นมาอีกครั้ง
 
 
 
    "อาซิม:ฟังแบบนี้อาจจะงง งั้นจะเล่าให้ฟังเอง คุณฟุรุคาวะเนี่ย ตอนก่อนเข้ามาเหมือนว่าเขาจะจำได้ว่าครอบครัวของเขาเหมือนจะเข้าที่นี้เหมือนกัน เพราะตอนนั้นไม่ได้มีแค่เขาคนเดียวที่ตัวเรืองแสงสีฟ้า เขาเลยพยายามตามหาครอบครัวของเขาตามจุดพักต่างๆ เรียกได้ว่าพเนจรไร้ที่พักได้เลย ดังนั้นเขาถึงได้พบป่ะคนมากมายและตั้งปาตี้ขึ้นและออกค้นหาครอบครัวของเขาจนผ่านมา 1 เดือนกว่าๆที่ฉันอยู่กับเขา เขาก็หาครอบครัวของตัวเองเจอ…"
 
 
 
    น้ำเสียงของอาซิมสั่นลงเล็กน้อยราวกับยังจำภาพวันนั้นได้ดี
 
 
 
    "อาซิม:ตอนนั้นฉันจำได้ดีเลยว่ามันเป็นภาพที่น่าจดจำแค่ไหน…แต่วันนั้นก็เป็นวันที่มีข่าวดีที่มาพร้อมข่าวร้ายจริงๆ"
 
 
 
    เขาหยุดหายใจลึกหนึ่งครั้ง สีหน้าเปลี่ยนเป็นหม่นเศร้าแบบที่ไม่ต้องอธิบายใดๆ
 
 
 
    "อาซิม:ครอบครัวของเขาที่มาที่นี้มีน้องสาวและคุณแม่ของเขา ในตอนแรกเขาดีใจมาก จนถึงตอนที่เราพักและแลกเปลี่ยนเรื่องของทั้ง 2 ฝ่าย…ตอนนั้นเองทุกคนมีสีหน้าแบบเดียวกัน เพราะเรื่องที่แม่และน้องสาวของคุณฟุรุคาวะเล่ามานั้นมันเกินจะบรรยายและปวดร้าวมากๆ…"
 
 
 
    ความเงียบกลืนกินวงสนทนา ทุกคนรู้สึกถึงแรงกดดันที่แผ่ออกจากเขาอย่างชัดเจน
 
 
 
    อาซิมสูดลมหายใจอีกครั้งก่อนเล่าต่อด้วยน้ำเสียงต่ำ สั่น และจริงจัง
 
 
 
    "อาซิม:ซูด~ แม่และน้องของคุณฟุรุคาวะได้โดนช่วยโดยผู้ชายกลุ่มหนึ่งที่มี 5 คน…ในตอนแรกพวกเขาก็ดีใจมากที่รอดมาได้ ก่อนจะได้รู้ว่าพวกมันนั้นมีจุดประสงค์อื่น…พวกมันได้ข่มขืนทั้งคู่…อยู่หลายอาทิตย์ ก่อนจะมาทิ้งอยู่ที่นี้…และกลับมาข่มขืนพวกเธอหลังจากกลับมาจากการหาอาหาร..."
 
 
 
    คำพูดแต่ละประโยคเหมือนก้อนหินหนักๆ ตกใส่กลางอกของทุกคน
 
 
 
    "อาซิม:คุณฟุรุคาวะที่ได้ยินตอนนั้นกัดฟันจนหน้าแดงและเต็มไปด้วยความโกรธ…แต่หลังจากฟังต่อก็ได้รู้ว่าทั้งคู่นั้นท้องจากคนพวกนั้นด้วย ยิ่งทำให้เขาโกรธมากๆ เรียกได้ว่าตอนนั้นถ้าเขาเจอพวกมันคงโดนฉีกเป็นชิ้นแน่ๆ…"
 
 
 
    อาซิมเงียบไปอีกรอบหนึ่ง นัยน์ตาหลุบลงราวกับกำลังเห็นฉากนั้นซ้ำอีกครั้ง
 
 
 
    "อาซิม:แต่รู้อะไรไหม ฟ้าเหมือนเล่นตลก…เพราะในตอนนั้นเองพวกมัน 5 คนก็มา และจะพาน้องสาวและแม่ของคุณฟุรุคาวะไป…"
 
 
 
    ทุกคนเผลอกลืนน้ำลาย
 
 
 
    "อาซิม:ในวินาทีนั้นคุณฟุรุคาวะลุกขึ้น แล้วเอากริชแทงตัวเอง…ตอนนั้นเราทุกคนงงว่าเกิดอะไรขึ้น…จนเขาดึงกริชออกแล้วพุ่งเข้าไปจับแขนไอ้คนที่มันแตะน้องสาวของเขา ก่อนจะดึงมันเข้ามาหา…แล้วเอามือฉีกปากมันออกจากกัน ก่อนจะโยนไปหาอีก 4 คน…"
 
 
 
    เมิ่งซินถึงกับตัวแข็งทื่อ ลีน่ากอดแขนตัวเองแน่น ส่วนคริสหน้าซีดเล็กน้อย
 
 
 
    "อาซิม:ตอนนั้นทุกอย่างมันเงียบไปหมด มีแต่เสียงประหลาดของคนที่นอนดิ้นอยู่ตรงนั้น ก่อนฉากการสังหารอันเกินบรรยายจะเกิดขึ้น…คุณฟุรุคาวะฉีกไอ้เดนนรกทั้ง 4 ด้วยมือเปล่าๆก่อนจะพาพวกเราออกมาจากตรงนั้นและเล่าทุกอย่างให้ฟัง…"
 
 
 
    น้ำเสียงของอาซิมกลับมานิ่ง แต่ยังหนักแน่น
 
 
 
    "อาซิม:เขาบอกว่าเขาปิดบังตัวเองมาตลอด เพราะจริงๆเขาแข็งแกร่งมากจากสกิลที่เรียกว่า อะดรีนาลีน เขาบอกว่าสกิลนี้ยิ่ง HP ลดลงเท่าไหร่เขาจะยิ่งแข็งแกร่งมากเท่านั้นแถมยังจะไม่รู้สึกเจ็บด้วว…และยังบอกอีกว่า ถ้าเจอคู่ต่อสู้ที่อยู่ดีๆ ทำร้ายตัวเองแล้วเก่งขึ้น จงหนีหรือไม่ก็ยอมแพ้ อย่าฝืนสู้…เพราะยังไงก็แพ้แน่นอน…"
 
 
 
    อาซิมถอนหายใจเล็กน้อย
 
 
 
     "อาซิม:หลังจากพูดจบเขาก็เดินจากไปพร้อมครอบครัวของเขา…"
 
 
 
    เรื่องราวจบลง แต่ความเงียบกลับยิ่งหนักอึ้งกว่าเดิม ทุกคนมองหน้ากันอย่างไม่แน่ใจว่าควรพูดอะไรดี
 
 
 
    เพราะตอนนี้พวกเขาเพิ่งตระหนักถึงอะไรบางอย่างบางอย่างที่น่ากลัว
 
 
 
    "ลีน่า:หนูจำได้ว่าก่อนจะสู้พี่อากิเขาชอบจะเอากริชกีดตัวเองด้วยใช่ไหมค่ะ"
 
 
 
    "คริส:ใช่ ฉันก็จำได้"
 
 
 
    "เมิ่งซิน:..."
 
 
 
    ความเงียบที่ตกลงมาครั้งนี้ หนักจนเหมือนอากาศรอบกองไฟหยุดไหลเวียน
 
 
 
    ทุกคนรู้ดีแล้วอากิอาจจะแข็งแกร่งยิ่งกว่าที่พวกเขาคิดไว้มากนัก
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
                     จากผู้แต่ง
 
    แต่งเสร็จตั้งหลายวันละลืมลง

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
10 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
10 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
10 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

คุณคิดยังไงกับนิยายเรื่องนี้

* สามารถกรอกแบบสำรวจโดยไม่ต้องเป็นสมาชิกก็ได้ครับ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา