CHESS:พลิกกระดานเทพ
เขียนโดย
TKFD
วันที่ 3 สิงหาคม พ.ศ. 2567 เวลา 01.14 น.
แก้ไขเมื่อ 3 สิงหาคม พ.ศ. 2567 01.16 น. โดย เจ้าของนิยาย
55) ตอนที่ 17.2 แลกเปลี่ยนเรื่องราวจากสหาย
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความโจเซฟเดินเข้ามาหาฟลังโก้ก่อนจะยกมือขึ้นตบไหล่เขาเบาๆ ราวกับยืนยันว่า ตอนนี้ทุกอย่างปลอดภัยแล้ว
บรรยากาศอุ่นใจแผ่วๆแทรกเข้ามาท่ามกลางความเหน็ดเหนื่อยที่ยังค้างอยู่ในสีหน้าของทุกคน
"โจเซฟ:อย่างน้อยก็รอดมาได้ใช่ไหมล่ะ"
ฟลังโก้พยักหน้ารับคำ เขาสูดหายใจลึกก่อนจะเอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงที่ยังสั่นนิดๆ
"ฟลังโก้:ใช่...ใช่ เรายังรอดมาได้ใช่..."
คำพูดนั้นทำให้ทุกคนเงียบลงเล็กน้อยเหมือนได้ยินเสียงของเรื่องราวหนักหนาทั้งหมดสะท้อนกลับขึ้นจากความทรงจำของตัวเอง ทั้งความกลัว ความลำบาก และความสูญเสียที่แต่ละคนผ่านมา
บรรยากาศเริ่มขมุกขมัวลงทีละนิด จนกระทั่งมีคนเปิดประเด็นใหม่เพื่อหนีความอึดอัดที่กำลังจะกดทับวงสนทนา
"คริส:แล้วทุกคนทำไมถึงมาที่นี้ได้เหรอครับ"
จาบารีเกาหัวเล็กน้อยเหมือนกำลังเลือกว่าจะเล่าแบบไหนดี
"จาบารี:เออ เรื่องนั้นจะว่าไงดีล่ะ มันคือเรื่อง..."
ยังไม่ทันที่เขาจะพูดจบ อาซิมก็สอดขึ้นมาด้วยสีหน้าจริงจังจนน่าประหลาดใจ
"อาซิม:เรื่องมันเกิดเพราะปลานะ"
คำตอบนั้นทำให้ฝั่งโจเซฟชะงัก ก่อนจะขมวดคิ้วถามกลับไปด้วยความงุนงง
"โจเซฟ:ปลา?"
"อาซิม:ใช่ มันคือเรื่องของปลา"
คริสที่ฟังอยู่ก็รีบถามอย่างไม่แน่ใจ
"คริส:หมายถึงปลาที่พวกคุณเอามาโชว์เหรอครับ"
"จาบารี:ใช่"
เมิ่งซินเลิกคิ้วขึ้น เหมือนไม่ค่อยเข้าใจตามเท่าไหร่
"เมิ่งซิน:พวกนายหมายความว่ายังไง พวกนายหนีปลามาเหรอ?"
ฟลังโก้ถอนหายใจยาวหนึ่งทีก่อนจะเริ่มเล่าอย่างจำใจ
"ฟลังโก้:เรื่องนี้ฉันเล่าเอง เรื่องมันมีอยู่ว่าหลังจากที่เรารู้ว่าปลานี้มันกินได้และก็รสชาติไม่แย่ พวกเราก็ได้ออกล่าปลาพวกนี้เป็นจำนวนเยอะมากๆ จนพวกลิซาร์ดแมนรวมกันตามไล่ล่าพวกเรา"
คำอธิบายนั้นทำให้โจเซฟตาโตทันที
"โจเซฟ:เดี๋ยวๆอย่าบอกนะว่าหลังจากที่พวกนายรู้ว่าปลากินได้พวกนายก็เลยล่าแต่ปลาพวกนั้น จนลิซาร์ดแมนรวมตัวกันมาล่าพวกนายอ่ะนะ"
ทั้งสี่คนพยักหน้าพร้อมกันอย่างหน้าตาย คริสที่เห็นก็มีสีหน้าฉงนมากขึ้น ก่อนจะถามอย่างอดไม่ได้
"คริส:พวกคุณล่ากันมาเยอะแค่ไหนครับ"
อาซิมตอบเป็นคนแรกทันที เหมือนเรื่องนี้เขาภูมิใจอยู่ลึกๆ
"อาซิม:ฉันมี 459 ตัว"
จาบารีต่อทันทีไม่แพ้กัน
"จาบารี:ผม 413 ตัว"
"โยเซฟ:ฉันมี 601 ตัว"
ปิดท้ายด้วยฟลังโก้ที่พูดอย่างจริงจังที่สุดในกลุ่ม
"ฟลังโก้:ฉันมี 767 ตัว"
หลังจากได้ยินจำนวนรวมทั้งหมด คริสก็อ้าปากค้างทันที ราวกับสมองกำลังประมวลผลตัวเลขเหล่านั้นอย่างเชื่องช้า เพราะมันเกินกว่าที่เขาคาดไว้หลายเท่าตัว
"โจเซฟ:ฉัน...ไม่รู้จะพูดไงต่อเลย"
เสียงของโจเซฟฟังดูมึนงงพอๆ กับสีหน้าเมิ่งซินที่ยืนกอดอกมองทั้งสี่คนเหมือนกำลังดูตัวปัญหาเดินได้
"เมิ่งซิน:ไม่น่าพวกมันถึงรวมตัวมาไล่ล่าพวกนาย ดูสิ่งที่พวกนายทำสิ มันคงคิดว่าพวกนายประกาศสงครามด้านการหาอาหารแน่ๆ"
ทั้งสี่ทำหน้าหงอยคล้ายลูกหมาถูกดุ ไม่มีใครกล้าเถียง เพราะทุกอย่างเกิดขึ้นเพราะพฤติกรรมของพวกเขาเต็มๆ
เมิ่งซินยังคงถามต่อทันทีเหมือนยังจับต้นชนปลายไม่หมด
"เมิ่งซิน:แล้วพวกคุณทำอีท่าไหนถึงไปอยู่ที่หนาวๆได้ล่ะ"
"ฟลังโก้:โดนพวกลิซาร์ดแมนต้อนเข้าไปที่นั้นน่ะ"
เมิ่งซินขมวดคิ้วแน่นขึ้นกว่าเดิม
"เมิ่งซิน:เดี๋ยวนะ อย่าบอกนะว่าพวกคุณโดนไล่มาจากที่เปียกๆให้ไปที่หนาวๆอ่ะนะ"
ฟลังโก้ถอนหายใจยาว เหมือนเก็บเรื่องนี้ไว้ในอกมาหลายวัน
"ฟลังโก้:ใช่ หลังจากเราโดนต้อนออกมาจากที่นั้นในขณะตัวเปียกๆให้เข้าไปในเขตหนาว พวกเราก็ยังไม่เข้าไปลึกและรอดูว่าพวกลิซาร์ดแมนจะกลับไป แต่ไม่ พวกมันยืนเฝ้าอยู่แบบนั้นจนเราจะก่อไฟนอน แต่พอเริ่มทำก็มีพวกลิซาร์ดแมนมาก่อกวนเราโดยการขว้างหอกมาใส่ จนเราไม่ได้ทำอะไร มันทำแบบนี้เรื่อยๆ จนพวกฉันเหนื่อย ก่อนที่เราจะทนไม่ไหวและเดินเข้าไปในเขตหนาวให้ลึกเพื่อจะหาห้องพัก ซึ่งตลอด 3-4 วันที่ผ่านมาเราไม่เจอห้องพักเลย แถมนอนไม่ค่อยพอด้วยเนื่องจากอากาศที่เย็น พวกเราทนหนาวมาจนออกมาจากเขตนั้นและมาเจอที่นี่เข้าก่อนจะเจอพวกเธอมาที่นี่"
คำอธิบายยาวเหยียดนั้นเต็มไปด้วยความอัดอั้น เหมือนฟลังโก้ได้ระบายทุกความลำบากของหลายวันที่ผ่านมาออกมาในครั้งเดียว
คริสมองพวกเขาด้วยสายตาอ่อนลง
"คริส:ลำบากมานานเลยสินะครับ"
โยเซฟที่ยืนฟังอยู่ก็พูดขึ้นด้วยเสียงแผ่วล้า
"โยเซฟ:ใช่ ลำบากมานาน จนอยากจะนอนและไม่ลุกสัก 2-3 วันเลย"
ว่าจบ เขาก็ทิ้งตัวลงนอนบนพื้นโดยไม่สนใจภาพลักษณ์ใดๆ เลย
"โยเซฟ:เฮ้อ"
ลมหายใจหนักๆถูกปล่อยออกมาพร้อมกับการปิดเปลือกตาช้าๆ เหมือนร่างกายเขาฝืนมานานเกินไปแล้วจริงๆ
คริสมองภาพนั้นด้วยความรู้สึกบางอย่างที่เริ่มชัดเจนขึ้นในอก
"คริส:ดูแล้วเขาดูเหนื่อยล้ามากเลยนะครับ"
อาซิมพยักหน้าเบาๆ
"อาซิม:เขาเป็นคนแบกคามีญมาตลอดตั้งแต่เธอไม่ค่อยสบายแล้วล่ะ"
คริสชะงักก่อนถามด้วยเสียงเบาลงโดยไม่รู้ตัว
"คริส:ผมขอถามได้ไหม ตั้งแต่เมื่อไหร่"
"อาซิม:เรื่องนั้นฉันก็ไม่แน่ใจเพราะไม่มีนาฬิกา แต่น่าจะประมาณวัน...สองวันมั้ง"
ในหัวของคริสมีเสียงคำรำพึงดังขึ้นอย่างไม่อาจปิดบัง
‘คริส:แค่แบกลีน่ากลับมาฉันยังรู้สึกเหนื่อยมากๆเลย… แต่เขากลับแบกมาวันสองวันเลยจริงดิ’
เมื่อคิดได้แบบนั้น คริสมองไปยังโยเซฟอีกครั้ง สายตาเต็มไปด้วยความเคารพอย่างจริงใจ ตอนนี้เขาเข้าใจแล้วว่าการแบกคนหนึ่งๆไม่ใช่แค่หนักทางกาย แต่ยังต้องอาศัยความอดทนมหาศาลและโยเซฟทำมันโดยไม่บ่นแม้แต่นิดเดียว
"ฟลังโก้:แล้วเรื่องของพวกนายล่ะ เป็นไงบ้าง"
โจเซฟยกหัวขึ้นเล็กน้อยเหมือนถูกเรียกให้เล่าความลับบางอย่าง
"โยเซฟ:เออ~ ว่าไงดีล่ะ ลำบากบ้างสบายบ้างนะ"
ฟลังโก้หันไปมองคนที่นอนอยู่บนเตียงก่อนจะถอนหายใจเบาๆ แล้วหันกลับมาทางโจเซฟ
ฟลังโก้เลิกคิ้ว
"ฟลังโก้:แน่ใจ?"
โจเซฟทำหน้าเหนื่อยหน่ายแบบปิดไม่มิด ก่อนตอบตรงๆ
"โจเซฟ:เออๆ! ก็ลำบากนั่นแหละ"
ฟลังโก้ไม่พูดเพิ่ม แต่ลุกขึ้นมานั่งข้างๆ โจเซฟอย่างคนที่คุ้นเคยกันดี เขาหยิบถุงหนังกับแก้วไม้ขึ้นมา ก่อนเทของเหลวสีแดงเข้มลงในแก้วแล้วยื่นให้
"ฟลังโก้:เอ้า"
"โจเซฟ:อะไร"
"ฟลังโก้:กินดู เดี๋ยวก็รู้"
โจเซฟยกขึ้นมาดม กลิ่นเข้มของผลไม้หมักแตะจมูกทันที
"โจเซฟ:เห้ย! นี่มัน!"
เขาหันไปมองแต่ก็เจอฟลังโก้ยิ้มมุมปาก พยักหน้าเหมือนจะพูดว่า ใช่เลย
โจเซฟไม่รอช้า ดื่มทันที กลิ่นผลไม้หมักลอยขึ้นก่อนแตะริมฝีปาก กลิ่นเปรี้ยวๆ หวานๆ ปนกลิ่นเปลือกไม้บางๆ เหมือนผลไม้ป่าที่ผ่านการหมักอย่างตั้งใจ
เมื่อของเหลวแตะลิ้น รสแรกคือความเปรี้ยวแรงคล้ายไวน์ราคาถูก แต่พอกลืนลงไปกลับทิ้งความหวานบางๆและความฝาดติดปลายลิ้น รสชาติไม่เนียน แต่มีเอกลักษณ์จนเขาต้องดื่มซ้ำเพื่อเช็กว่าไม่ได้รู้สึกไปเอง
"โจเซฟ:...อืม มัน..."
เขาเว้นจังหวะ ก่อนจะดื่มอีกครั้ง
"โจเซฟ:...แรงกว่าที่คิดนะ แต่เข้มใช้ได้เลย"
ความร้อนแผ่วเบาวิ่งผ่านลำคอเหมือนเปลวไฟเล็กๆ จุดขึ้นจากภายใน กำลังไล่ความเย็นออกไปทีละน้อย
ฟลังโก้หัวเราะเบาๆเอามือตบพื้น
"ฟลังโก้:ฮ่ะๆๆ ฉันบอกแล้ว มันอาจไม่หอมเหมือนเหล้าชั้นดี แต่ถ้าอยากคลายหนาว แค่สองแก้วก็พอให้เลือดสูบฉีดแล้ว"
โจเซฟยกแก้วขึ้นมองก่อนจะพูดออกมาว่า
"โจเซฟ:รสชาติมันแปลก...แต่มีเสน่ห์ดีนะ เหมือนเจ้าตัวคนทำเลย"
ฟลังโก้ระเบิดหัวเราะดังลั่น
"ฟลังโก้:ฮ่าฮ่า! ระวังเถอะ ดื่มไปอีกหน่อยจะพูดเพี้ยนยิ่งกว่านี้!"
บรรยากาศผ่อนคลายลงอย่างเห็นได้ชัด เสียงหัวเราะของพวกเขาแตกต่างจากควาวเคร่งเครียดที่ผ่านมาอย่างสิ้นเชิง
"ฟลังโก้:เอาล่ะ ฉันว่านายคงพร้อมเล่าให้ฟังแล้วใช่ไหมว่าเกิดอะไรขึ้นหลังจากแยกกันบ้าง"
โจเซฟนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนเริ่มเล่าเรื่องทั้งหมด ตั้งแต่แยกกับฟลังโก้ เจอเพื่อนร่วมปาร์ตี้ใหม่ เจอเมิ่งซิน เจอคริส เจอลีน่า สำรวจไปอีกพักใหญ่ แล้วได้เจออากิ และตามมาด้วยเรื่องวุ่นวายทุกอย่างที่พวกเขาผ่านมาด้วยกัน
เขาเล่าไปพลางดื่มเหล้าหมักไปด้วย บรรยากาศเหมือนเพื่อนสนิทสองคนที่นั่งแชร์เรื่องราวที่ค้างคาในอกมานาน
คนอื่นๆต่างฟังเงียบๆไม่แทรก เพราะเข้าใจดีถึงความรู้สึกแบบนี้ แต่พวกเขายังไม่มีใครที่สนิทพอจะระบายแบบนั้นได้เหมือนโจเซฟและฟลังโก้
"ฟลังโก้:เจอมาหนักจริงๆ เพื่อนเอ้ย มาดื่มยอมใจกันดีกว่า"
ทั้งคู่ชนแก้วและดื่มต่อ ส่วนที่เหลือก็ทยอยพักผ่อนกันไป เมิ่งซินนั่งขัดกริชอย่างตั้งใจ คริสไปนั่งคุยกับจาบารีและอาซิมเพื่อฟังเรื่องราวการผจญภัยของพวกเขาเพิ่มเติม
บรรยากาศสงบ อุ่น ด้วยไฟและเสียงหัวเราะจางๆจนในที่สุดทุกคนก็นอนกันหมด เหลือเพียงฟลังโก้และโจเซฟที่หน้าเริ่มแดงจากเหล้าหมัก
โจเซฟเอนหลังนิดๆก่อนถามขึ้นด้วยน้ำเสียงเมาเพียงเล็กน้อย
"โจเซฟ:แล้วเป็นไงบ้างล่ะ"
ฟลังโก้มองหน้าเขา พลางยกแก้วขึ้นหมุนเล่น
"ฟลังโก้:ถามถึงเรื่องไหนล่ะ"
โจเซฟหายใจเข้าเบาๆ ราวกับกำลังเลือกคำพูดให้เหมาะสมที่สุด ก่อนตอบอย่างจริงจัง
"โจเซฟ:เรื่อง คาเล และ ยัสมีน"
ทันทีที่ชื่อสองคนนั้นถูกเอ่ยออกมา บรรยากาศรอบกองไฟก็เหมือนจะหนาขึ้นเล็กน้อย ฟลังโก้ชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนจะยกเหล้าขึ้นดื่มยาวๆ ราวกับพยายามกลืนความจริงที่ไม่อยากพูดออกมา แล้ววางแก้วลงอย่างเงียบงัน
"ฟลังโก้:ไม่มีเลย ไม่มีอะไรเลย ไม่ว่าฉันจะไปที่ไหนและเจอใคร ไม่มี...ไม่มีเลย"
เสียงของเขาแตกพร่าเล็กน้อย อย่างคนที่ฝืนตัวเองมานานจนเริ่มทนไม่ไหว โจเซฟเห็นดังนั้นจึงหยิบถุงเหล้าเทให้โดยไม่ต้องพูดอะไรเพิ่ม ฟลังโก้รับมา ดื่มอีกครั้งก่อนจะพูดต่อเหมือนคำที่กดไว้ในใจพังทะลักออกมา
"ฟลังโก้:รู้ไหม ฉันภาวนาต่อพระเจ้าในทุกๆวินาทีให้พวกเขาปลอดภัย ฉันภาวนาต่อพระองค์อย่างจริงใจเพื่อพวกเขา แต่ใจหนึ่งฉันก็ทำใจไว้แล้ว แต่มัน..."
เสียงของเขาสั่นอย่างเห็นได้ชัด ความกลัวที่เขาเก็บซ่อนเอาไว้ตลอดถูกเผยให้เห็น ร่างกายกำยำที่เคยแกร่งหนักกลับดูอ่อนแรงลงทันทีในความมืดรอบๆ กองไฟ
ความตายในที่แห่งนี้ไม่ใช่เพียงภัยไกลตัว แต่คือเงาที่คอยไล่ล่าอยู่ทุกย่างก้าว และฟลังโก้รู้ดี…ว่าคนที่เขารักอาจจะไม่มีวันกลับมาอีกครั้ง
โจเซฟยกมือลูบหลังเพื่อนช้าๆ น้ำเสียงนุ่มและมั่นคงจนเป็นเสาหลักให้อีกฝ่ายพิงได้
"โจเซฟ:ฉันว่าพระองค์ทรงรับฟังคำภาวนาของนายและกำลังปกป้องพวกเขาแน่นอน ขอแค่นายอย่าหยุดภาวนาและมุ่งมั่นหาพวกเขาต่อไป"
หลังจากคำพูดนั้น ทุกอย่างก็เงียบลง มีเพียงเสียงกลืนน้ำเหล้าเป็นพักๆก่อนที่ทั้งคู่จะหลับไปจากความเหนื่อยล้าทั้งร่างกายและหัวใจ
6–8 ชั่วโมงต่อมา
เมิ่งซินและคนอื่นๆ ต่างลุกขึ้นจากการพักผ่อนอย่างช้าๆ ยกเว้นโจเซฟกับฟลังโก้ที่ยังนอนสลบไสลจากฤทธิ์เหล้าตรงเดิม ส่วนโยเซฟก็ยังหลับอยู่จากความเหนื่อยล้าที่สะสม
อาซิมเพิ่งออกมาจัดเตรียมกองไฟใหม่ หันไปยิ้มให้เด็กชายที่เพิ่งตื่น
"อาซิม:คริสมานี้สิ เราจะย่างปลาให้นายกินตามที่คุยกันไว้ตอนก่อนนอน"
คริสทำตาเป็นประกายทันที เขารีบวิ่งเข้าไปหาอาซิมและจาบารีที่กำลังจัดการเครื่องในปลาอย่างคล่องมือ
"อาซิม:น่าเสียดายที่เกลือที่เราเอามาหมดแล้ว ไม่งั้นนายคงได้กินแบบอร่อยๆแล้ว"
คริสรีบตอบอย่างไม่ลังเล เหมือนกลัวว่าจะเสียโอกาสทองนี้ไป
"คริส:ผมมีเกลือนะ เอาไหมครับ"
อาซิมหันมามอง ก่อนหัวยิ้มกว้างแล้วตบหลังคริสแบบเอ็นดูจนเด็กสะดุ้งนิดๆ
"อาซิม:ฮ่าฮ่าฮ่า ต้องแบบนี้สิถึงจะได้กินแบบอร่อยๆกัน"
คริสยิ้มกว้างอย่างภูมิใจ ก่อนยื่นถุงเกลือให้จาบารีที่กำลังเตรียมปลาด้วยท่าทางจริงจัง
"คริส:นี่ครับเกลือ ได้ยินว่าใส่แล้วจะอร่อยขึ้น"
"จาบารี:โอ้ ขอบใจ ไว้รอกินได้เลย"
หลังจากส่งเกลือให้จบ คริสก็ลงไปนั่งข้างอาซิมด้วยท่าทางตื่นเต้นเหมือนลูกหมาที่กำลังรออาหารเช้า ดวงตาเป็นประกายไม่หยุด
"อาซิม:เห็นแบบนี้น่ะ แต่เขาทำงานในร้านอาหารในอเมริกาเลยนะ"
คริสหันไปอย่างสนใจทันที
"คริส:พี่ชายเขาเป็นเชฟเหรอครับ"
จาบารีที่กำลังขูดเกล็ดปลาอย่างตั้งใจเงยหน้าขึ้นเล็กน้อยแล้วตอบเรียบๆ
"จาบารี:ฉันไม่ใช่เชฟ ฉันเป็นแค่ผู้ช่วย"
อาซิมหลุดหัวเราะสั้นๆ อย่างไม่เห็นด้วยเลยสักนิด
"อาซิม:ผู้ช่วยบ้าอะไรทำอาหารได้ดีขนาดนี้ ฉันว่าไอ้หัวหน้าเชฟมันคงไม่ชอบนายและไม่ให้ขึ้นเป็นเชฟมากกว่า"
จาบารีส่ายหน้าเบาๆ ไล่มือขูดเกล็ดปลาต่ออย่างเป็นจังหวะ
"จาบารี:ไม่หรอก หัวหน้าเชฟไม่ใช่คนแบบนั้น"
แต่คำตอบนั้นยิ่งทำให้อาซิมโวยด้วยความคับข้องใจแทน
"อาซิม:ไม่ คนแบบนั้น อะไรล่ะ เขาให้นายเป็นผู้ช่วยตั้ง 7 ปี 7 ปี! เลยน่ะ ในเวลาขนาดนั้นนายเปิดร้านเองยังได้เลย"
คำพูดนั้นทำให้มือของจาบารีหยุดนิ่งไปทันที เงียบงันในชั่วอึดใจเหมือนเขากำลังกลืนบางอย่างที่พูดไม่ออก ก่อนจะค่อยๆกลับไปทำงานต่อโดยไม่พูดแม้แต่คำเดียว
อาซิมเห็นว่าเผลอไปกดจุดที่อีกฝ่ายไม่อยากแตะ จึงถอนหายใจเบาๆแล้วเปลี่ยนเรื่องสนทนาแทน
"อาซิม:เพิ่มไฟดีกว่า รอจาบารีมาย่างปลา"
"คริส:ครับ"
ทั้งคู่จึงเริ่มช่วยกันเอาคบเพลิงใส่ไฟให้ลุกเพิ่ม
เมิ่งซินเพิ่งออกมาจากห้องน้ำหลังจากจัดการธุระส่วนตัว เธอปัดเส้นผมเล็กน้อยก่อนเดินเข้าไปดูอาการของลีน่า ท่านอนของเด็กสาวดูสงบ แต่สีหน้าอ่อนล้าก็ยังเห็นได้ชัด
เมิ่งซินนั่งลงข้างเตียง แล้วเอาหลังมือแตะที่หน้าผากของลีน่าเบาๆเพื่อตรวจไข้ แต่ยังไม่ทันจะพูดอะไร ลีน่าก็ลืมตาขึ้นช้าๆ
"เมิ่งซิน:อะ ขอโทษที่รบกวนนะ พี่แค่ดูไข้เฉยๆนะ"
"ลีน่า:ไม่เป็นไรค่ะ หนูตื่นนานแล้วแต่นอนอยู่เฉยๆ"
เมิ่งซินยิ้มอย่างอ่อนโยน
"เมิ่งซิน:ถ้างั้นอยากไปนั่งข้างกองไฟไหม พี่จะพาไป"
"ลีน่า:ค่ะ"
เธอค่อยๆพยุงลีน่าออกมาอย่างระมัดระวัง แม้ลีน่าจะยังดูอ่อนแรง แต่ก็ยิ้มเล็กน้อยทันทีที่ได้สัมผัสไออุ่นจากกองไฟ
"ลีน่า:อืม~ อุ่นจัง"
เธอนั่งพิงใกล้กองไฟอย่างสบาย ก่อนจะเหลือบมองไปทางคริสที่กำลังนั่งอยู่ข้างอาซิม
"ลีน่า:ว่าแต่คริสน่ะใครเหรอ"
เด็กชายรีบตอบทันทีอย่างเป็นมิตร
"คริส:อ้อ เป็นคนรู้จักของลุงโจเซฟนะ คนข้างๆฉันคือคุณอาซิม คุณพี่ตัวใหญ่ที่กำลังทำปลาอยู่ตรงนั้นคือคุณจาบารี ส่วนพี่ผู้หญิงตรงนั้นคือคามีญ ส่วนคนที่นอนอยู่ตควนั้นคุณโยเซฟ และก็คนสุดท้ายคนตรงนั้นที่นอนข้างๆลุงโจเซฟคือคุณลุงฟลังโก้และเป็นเพื่อนกับลุงโจเซฟ"
ลีน่าพยักหน้าอย่างสุภาพ
"ลีน่า:ยินดีที่ได้รู้จักนะคะ"
"อาซิม:ยินดีที่ได้รู้จัก"
จาบารีซึ่งกำลังจัดการปลาก็หันมาพูดด้วยรอยยิ้มบางๆ
"จาบารี:ยินดีที่ได้รู้จัก"
บรรยากาศรอบกองไฟเริ่มอบอุ่นขึ้นทีละนิด ทั้งจากไอร้อนของเปลวไฟและจากเสียงหัวเราะพูดคุยอันผ่อนคลายของพวกเขา
"ลีน่า:แล้วมาเจอกันได้ยังไงเหรอคะ เล่าให้ฟังได้ไหม"
"คริส:ได้สิ เรื่องมันมีอยู่ว่าหลังจากที่เราจัดการ..."
คริสเริ่มเล่าเรื่องทุกอย่างให้ลีน่าฟัง ตั้งแต่เหตุการณ์ที่พวกเขาผ่านมา ไปจนถึงสิ่งที่ฟลังโก้กับคนอื่นๆเคยเล่าให้เขาฟัง ยิ่งเขาเล่า เสียงรอบกองไฟก็เหมือนเงียบลง เหลือเพียงน้ำเสียงของเด็กชายที่ถ่ายทอดทุกเหตุการณ์อย่างตรงไปตรงมา
"ลีน่า:งั้นปลาที่ย่างอยู่นี้คือตัวที่เล่าให้ฟังใช่ไหม"
"คริส:ใช่แล้วล่ะ"
"ลีน่า:ฟิดๆ ถึงหน้าตาจะดูไม่ดีแต่กลิ่นหอมอยู่นะ ชักจะหิวแล้วสิ"
กลิ่นปลาย่างที่อบอวลในอากาศเข้ามาปะทะจมูกของเธอ ทั้งหอม ทั้งชวนให้ท้องร้อง ร่างกายที่ไม่ได้รับอาหารมานานเหมือนตื่นขึ้นอีกครั้ง ลีน่าเผลอมองปลาที่กำลังย่างตาเป็นมัน
จาบารีลอบเห็นสายตานั้น ก็เข้าใจทันที เขาหยิบปลาที่สุกตัวแรกขึ้นมาแล้วยื่นให้เธออย่างใจดี
"จาบารี:กินเยอะๆจะได้หายไวๆ"
"ลีน่า:เออ~ แต่ว่าคนอื่นๆยังไม่ได้กินเหมือนกันนิคะ"
จาบารีหัวเราะเบาๆ กับความห่วงคนอื่นของเธอ ก่อนจะหันไปถามทีละคน
"จาบารี:อาซิม กินไหม"
"อาซิม:โอ้ยไม่เอาอ่ะ ไม่หิวเท่าไหร่"
"จาบารี:นายล่ะพ่อหนุ่ม"
"คริส:ผมก็ไม่หิวเหมือนกันครับ"
"จาบารี:แล้วคุณผู้หญิงล่ะครับ"
"เมิ่งซิน:ฉันขอผ่านแล้ว"
จาบารีแกล้งทำเสียงเศร้าปนผิดหวังเกินจริง
"จาบารี:ทำไงดีล่ะเนี่ย ไม่มีใครกินเลย น่าเสียใจจริงๆ"
ลีน่าตกใจรีบพลิกตัวมองปลาที่อยู่ในมือ
"ลีน่า:งะ งั้นหนูจะกินเองค่ะ"
"จาบารี:ว้าว ดีใจจัง จะมีคนกินปลาย่างของฉันแล้ว หวังว่าหนูน้อยคนนี้จะกินหมดนะ"
"ลีน่า:หนะ หนูจะกินให้หมดเลยค่ะ!"
เสียงเธอสดใสจนคนรอบกองไฟอมยิ้มตาม จาบารีนำปลามาวางบนแผ่นไม้ต่อหน้าเธอ
"ลีน่า:ขอบคุณนะคะคุณ..."
"จาบารี:เรียกฉันว่าลุงก็ได้"
"ลีน่า:ขอบคุณค่ะคุณลุง"
จาบารีหัวเราะกว้าง ยื่นปลาให้เธอแล้วหันกลับไปย่างปลาต่อ ส่วนลีน่าก็นั่งลงมองปลาที่วางอยู่ตรงหน้าอย่างมีความหวังเต็มสองตา
ไอน้ำอุ่นๆลอยขึ้นจากเนื้อปลาที่เพิ่งลงจากไฟ กลิ่นหอมเข้มลึกทำให้ท้องของเธอร้องเบาๆ จาไม่อาจซ่อนความหิวได้เลย เธอรีบเช็ดน้ำลายที่เกือบจะไหลออกมา ก่อนจะเอาส้อมขึ้นมาอย่างตั้งใจ
เนื้อปลาถูกจิ้มลงไปแล้วแยกออกช้าๆ เผยเนื้อฉ่ำๆ ด้านใน ไขมันธรรมชาติผสมกับเกลือจางๆ ลอยกลิ่นหอมชัดเจนกว่าเดิม เธอนำคำแรกเข้าปาก…
ทันทีที่ฟันสัมผัส เนื้อปลากรุบแน่นเหมือนปลาที่เคยสู้กับน้ำเชี่ยวกรากมาก่อน กลิ่นเกลือบางๆ ดึงรสหวานของเนื้อปลาขึ้นมาจนเด่นชัด ชุ่มฉ่ำจนลีน่าเผลอหลับตา สัมผัสความอร่อยที่แทรกเข้ามาในความเหนื่อยล้าทั้งหมด
เพียงคำเดียวก็ทำให้เธอยิ้มได้
เธอกินต่ออย่างเพลินลืมตัว จนในที่สุดปลาทั้งตัวก็หายไปอย่างรวดเร็ว พอวางส้อมลง เสียงท้องอิ่มก็ทำให้หน้าเธอแดงนิดๆ
"ลีน่า:กิน...ต่อ...ไม่ไหวแล้ว"
ฟลุบ!
เธอล้มตัวนอนหงายด้วยความเหนื่อยล้าหลังจากอิ่มจนท้องอุ่นร้อน ความรู้สึกพึงพอใจค่อยๆ คลายออกมาจากสีหน้าอย่างชัดเจนจนทุกคนที่เห็นต่างอมยิ้มตาม บรรยากาศรอบกองไฟจึงเต็มไปด้วยความผ่อนคลาย ความเงียบสงบ และความสุขแบบเรียบง่าย ความรู้สึกที่พวกเขาไม่ได้สัมผัสมานานเหลือเกิน
"ลีน่า:จะว่าไปแล้ว พี่อากิเป็นไงมั้งคะ"
"คริส:คือว่า..."
ได้ยินดังนั้น ลีน่าก็ลุกขึ้นนั่งอย่างเร็ว หันขวับไปมองคริสด้วยแววตากังวล
"ลีน่า:คือว่า?"
"เมิ่งซิน:หมอนั้นมันหลับมาตั้งแต่ตอนนั้นเลย ไม่ขยับตัวเลยแม้แต่น้อย ถ้าไม่หายใจคงคิดว่าตายไปแล้ว"
"ลีน่า:ไม่ขยับเลย...เหรอคะ?"
"เมิ่งซิน:ใช่"
อาซิมที่นั่งฟังเงียบๆจนถึงตอนนี้ ก็ค่อยๆยกมือขึ้นและเอ่ยเข้ามาในวงสนทนา
"อาซิม:ถ้าจำไม่ผิดตามที่คุณโจเซฟเล่า คนที่นอนอยู่บนเตียงชั้น 2 นั้นคือคนที่ฆ่าโคลโบลเกือบทั้งฝูงคนเดียวใช่ไหม"
"เมิ่งซิน:ใช่~ ถามทำไม นายรู้อะไรเหรอ"
"อาซิม:จะว่าไงดีล่ะ เหมือนจะเคยเจอคนแบบเขาอยู่นะ แบบตอนสู้ละเกือบตายพวกเขาจะเก่งขึ้นมากๆแบบเอามือตบก็อบลินจนหัวแตกได้เลย"
"ลีน่า:หนูจำได้ พี่อากิเคยบีบหัวก็อบลินแตกด้วยมือมาแล้วมาเหมือนกันนิคะ"
"เมิ่งซิน:เหมือนจะมีเหตุการณ์นั้นด้วยสิน่ะ...แล้วนายรู้อะไรอีกไหม"
"อาซิม:รู้สิ รู้เยอะด้วยเพราะคนนั้นเป็นเพื่อนฉันเอง"
"เมิ่งซิน:เล่าให้ฟังได้ไหม"
"อาซิม:ได้แน่นอน เขาคนนั้นมีชื่อว่าโชสุเกะ ฟุรุคาวะ เรียกเขาว่าฟุรุคาวะแล้วกันนะ เขาเป็นคนปาตี้เก่าฉันเอง เป็นคนดีคนหนึ่งเลยแถมเก่งมากๆด้วย เรียกได้ว่าอยู่กับเขานี้รอดตายแน่นอน"
อาซิมพูดถึงเขาด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความนับถือจนเห็นได้ชัด จนเมิ่งซินต้องขมวดคิ้วอย่างสงสัย
"เมิ่งซิน:ถ้าเขาดีแบบนั้นแล้วทำไมนายถึงออกมาล่ะ"
"อาซิม:เออ~ เขาเป็นคนออกไปเองน่ะ"
"เมิ่งซิน:?"
เมิ่งซินทำหน้าไม่เข้าใจทันที แต่ยังไม่ทันถามต่อ อาซิมก็เริ่มเล่าอย่างช้าๆ ราวกับกำลังดึงเรื่องราวจากความทรงจำอันหนักอึ้งขึ้นมาอีกครั้ง
"อาซิม:ฟังแบบนี้อาจจะงง งั้นจะเล่าให้ฟังเอง คุณฟุรุคาวะเนี่ย ตอนก่อนเข้ามาเหมือนว่าเขาจะจำได้ว่าครอบครัวของเขาเหมือนจะเข้าที่นี้เหมือนกัน เพราะตอนนั้นไม่ได้มีแค่เขาคนเดียวที่ตัวเรืองแสงสีฟ้า เขาเลยพยายามตามหาครอบครัวของเขาตามจุดพักต่างๆ เรียกได้ว่าพเนจรไร้ที่พักได้เลย ดังนั้นเขาถึงได้พบป่ะคนมากมายและตั้งปาตี้ขึ้นและออกค้นหาครอบครัวของเขาจนผ่านมา 1 เดือนกว่าๆที่ฉันอยู่กับเขา เขาก็หาครอบครัวของตัวเองเจอ…"
น้ำเสียงของอาซิมสั่นลงเล็กน้อยราวกับยังจำภาพวันนั้นได้ดี
"อาซิม:ตอนนั้นฉันจำได้ดีเลยว่ามันเป็นภาพที่น่าจดจำแค่ไหน…แต่วันนั้นก็เป็นวันที่มีข่าวดีที่มาพร้อมข่าวร้ายจริงๆ"
เขาหยุดหายใจลึกหนึ่งครั้ง สีหน้าเปลี่ยนเป็นหม่นเศร้าแบบที่ไม่ต้องอธิบายใดๆ
"อาซิม:ครอบครัวของเขาที่มาที่นี้มีน้องสาวและคุณแม่ของเขา ในตอนแรกเขาดีใจมาก จนถึงตอนที่เราพักและแลกเปลี่ยนเรื่องของทั้ง 2 ฝ่าย…ตอนนั้นเองทุกคนมีสีหน้าแบบเดียวกัน เพราะเรื่องที่แม่และน้องสาวของคุณฟุรุคาวะเล่ามานั้นมันเกินจะบรรยายและปวดร้าวมากๆ…"
ความเงียบกลืนกินวงสนทนา ทุกคนรู้สึกถึงแรงกดดันที่แผ่ออกจากเขาอย่างชัดเจน
อาซิมสูดลมหายใจอีกครั้งก่อนเล่าต่อด้วยน้ำเสียงต่ำ สั่น และจริงจัง
"อาซิม:ซูด~ แม่และน้องของคุณฟุรุคาวะได้โดนช่วยโดยผู้ชายกลุ่มหนึ่งที่มี 5 คน…ในตอนแรกพวกเขาก็ดีใจมากที่รอดมาได้ ก่อนจะได้รู้ว่าพวกมันนั้นมีจุดประสงค์อื่น…พวกมันได้ข่มขืนทั้งคู่…อยู่หลายอาทิตย์ ก่อนจะมาทิ้งอยู่ที่นี้…และกลับมาข่มขืนพวกเธอหลังจากกลับมาจากการหาอาหาร..."
คำพูดแต่ละประโยคเหมือนก้อนหินหนักๆ ตกใส่กลางอกของทุกคน
"อาซิม:คุณฟุรุคาวะที่ได้ยินตอนนั้นกัดฟันจนหน้าแดงและเต็มไปด้วยความโกรธ…แต่หลังจากฟังต่อก็ได้รู้ว่าทั้งคู่นั้นท้องจากคนพวกนั้นด้วย ยิ่งทำให้เขาโกรธมากๆ เรียกได้ว่าตอนนั้นถ้าเขาเจอพวกมันคงโดนฉีกเป็นชิ้นแน่ๆ…"
อาซิมเงียบไปอีกรอบหนึ่ง นัยน์ตาหลุบลงราวกับกำลังเห็นฉากนั้นซ้ำอีกครั้ง
"อาซิม:แต่รู้อะไรไหม ฟ้าเหมือนเล่นตลก…เพราะในตอนนั้นเองพวกมัน 5 คนก็มา และจะพาน้องสาวและแม่ของคุณฟุรุคาวะไป…"
ทุกคนเผลอกลืนน้ำลาย
"อาซิม:ในวินาทีนั้นคุณฟุรุคาวะลุกขึ้น แล้วเอากริชแทงตัวเอง…ตอนนั้นเราทุกคนงงว่าเกิดอะไรขึ้น…จนเขาดึงกริชออกแล้วพุ่งเข้าไปจับแขนไอ้คนที่มันแตะน้องสาวของเขา ก่อนจะดึงมันเข้ามาหา…แล้วเอามือฉีกปากมันออกจากกัน ก่อนจะโยนไปหาอีก 4 คน…"
เมิ่งซินถึงกับตัวแข็งทื่อ ลีน่ากอดแขนตัวเองแน่น ส่วนคริสหน้าซีดเล็กน้อย
"อาซิม:ตอนนั้นทุกอย่างมันเงียบไปหมด มีแต่เสียงประหลาดของคนที่นอนดิ้นอยู่ตรงนั้น ก่อนฉากการสังหารอันเกินบรรยายจะเกิดขึ้น…คุณฟุรุคาวะฉีกไอ้เดนนรกทั้ง 4 ด้วยมือเปล่าๆก่อนจะพาพวกเราออกมาจากตรงนั้นและเล่าทุกอย่างให้ฟัง…"
น้ำเสียงของอาซิมกลับมานิ่ง แต่ยังหนักแน่น
"อาซิม:เขาบอกว่าเขาปิดบังตัวเองมาตลอด เพราะจริงๆเขาแข็งแกร่งมากจากสกิลที่เรียกว่า อะดรีนาลีน เขาบอกว่าสกิลนี้ยิ่ง HP ลดลงเท่าไหร่เขาจะยิ่งแข็งแกร่งมากเท่านั้นแถมยังจะไม่รู้สึกเจ็บด้วว…และยังบอกอีกว่า ถ้าเจอคู่ต่อสู้ที่อยู่ดีๆ ทำร้ายตัวเองแล้วเก่งขึ้น จงหนีหรือไม่ก็ยอมแพ้ อย่าฝืนสู้…เพราะยังไงก็แพ้แน่นอน…"
อาซิมถอนหายใจเล็กน้อย
"อาซิม:หลังจากพูดจบเขาก็เดินจากไปพร้อมครอบครัวของเขา…"
เรื่องราวจบลง แต่ความเงียบกลับยิ่งหนักอึ้งกว่าเดิม ทุกคนมองหน้ากันอย่างไม่แน่ใจว่าควรพูดอะไรดี
เพราะตอนนี้พวกเขาเพิ่งตระหนักถึงอะไรบางอย่างบางอย่างที่น่ากลัว
"ลีน่า:หนูจำได้ว่าก่อนจะสู้พี่อากิเขาชอบจะเอากริชกีดตัวเองด้วยใช่ไหมค่ะ"
"คริส:ใช่ ฉันก็จำได้"
"เมิ่งซิน:..."
ความเงียบที่ตกลงมาครั้งนี้ หนักจนเหมือนอากาศรอบกองไฟหยุดไหลเวียน
ทุกคนรู้ดีแล้วอากิอาจจะแข็งแกร่งยิ่งกว่าที่พวกเขาคิดไว้มากนัก
จากผู้แต่ง
แต่งเสร็จตั้งหลายวันละลืมลง
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้

รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ