The Prince of Flower เกมรักมัดใจ เจ้าชายดอกไม้กับยัยเย็นชา

9.7

เขียนโดย Killolat

วันที่ 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2567 เวลา 07.31 น.

  27 บท
  1 วิจารณ์
  2,892 อ่าน

แก้ไขเมื่อ 4 ตุลาคม พ.ศ. 2567 00.23 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

1) -คาโนล่า-

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

“ดูยัยนั่นสิ! น่าหมันไส้เนอะ”

 

“มีดีแค่หน้าตากับบ้านรวย”

 

“ประจบสอพลอ! ขี้ข้าอาจารย์ มั่นหน้าเกิ๊นน!”

 

“…” 

 

เดี๋ยวสิ! ยัยพวกนี้คิดว่าฉันหูหนวกรึไง!?

 

ฉันบ้านรวย! สวยมาก! ประจบใครมั้ย…ก็นิดหน่อย แต่มาถึงจุดนี้ได้เพราะความสามารถล้วนๆ นะยะ ถ้าไม่ห่วงคะแนนพฤติกรรม ป่านนี้ฉันเดินไปตบ

หน้าแหกเรียงตัว ยัยพวกไทยมุงปากตลาดเอ้ย - -***

 

“สุดยอดเลยแฮะ…โดนด่าขนาดนี้ ยังไม่เปลี่ยนสีหน้า -0-” 

 

 ‘แคคตัส’ หนุ่มแว่นสภานักเรียน เพื่อนร่วมทางชั่วคราว ทำเสียงกระซิบกระซาบกวนประสาท

 

แหงล่ะ ยัยพวกนี้ไม่มีค่าอะไรกับชีวิตฉันหรอกย่ะ ด่าในใจยังเปลืองบรรทัดจะแย่

 

นายด้วยไอ้แว่น! ฉันไม่เปลืองน้ำลายมาเสวนาด้วยหรอก 

 

“…”

 

 พอถูกเมินอีตานั่นก็ทำเสียงจิ๊ปากหงุดหงิดใส่ เดินดุ่มๆ ล่วงหน้าไปก่อน

 

เฮ้อ…นั่งทำงานยังเหนื่อยน้อยกว่านี้อีก มีแต่พลังงานลบ! ถ้าไม่ใช่คำสั่งด่วนของ ผอ. ฉันไม่ออกมาเดินเตร็ดเตร่ท่ามกลางฝูงชะนีแบบนี้แน่

 

ก๊อก ก๊อก 

 

ฉันเคาะประตู 2 ทีพอเป็นพิธี 

 

“เข้ามาเลย!” 

 

เสียงสวยหลังประตูพร้อมต้อนรับ

 

ฉันเดินเข้าไปอย่างสง่าผ่าเผยในฐานะ ‘ประธานนักเรียน’ 

 

มีตาแว่นลูกกระจ๊อกเดินหย๋อง ๆ ตามหลังเคอะเขิน

 

…แมงสาปไต่หลังรึไงยะ? บิดไปบิดมาอยู่ได้ ยืนให้มันดีๆ หน่อยเซ่! -*-

 

สายตาซอกแซกกวาดมองคร่าวๆ ห้องทำงานเก่าคร่ำครึของลุง ผอ.เปลี่ยนไปมาก ดูสะอาดเรียบร้อยกว่าเคย แถมพรมกลิ่นน้ำหอมผู้หญิง 

 

“ชื่อ ‘ยู’ สินะ…อื้ม หน้าตาดีกว่าที่คิด”

 

‘เชอรี่’ ผอ.ชั่วคราวหรืออาจจะถาวร (เพราะ ผอ.คนก่อนเพิ่งเสีย) เปล่งเสียงใสมาดมั่น จ้องสำรวจฉันอย่างสนอกสนใจ ซึ่งฉันเองก็เผลอทำแบบ

เดียวกัน

 

เพิ่งเคยเจอตัวเป็นๆ ครั้งแรก…รุ่นราวคราวเดียวกันแท้ๆ แต่เธอดูโตจัง อาจเพราะมีเชื้อยุโรป สูงสง่า ผนวกกับบุคลิก การแต่งหน้า และชุดกึ่งทางการ

 

“…ขอบคุณค่ะ” 

 

ฉันมัวแต่วิจารณ์จนเกือบลืมว่าโดนชม

 

เอ๊ะ จะว่าไปตะกี้ชมหรือประชด? 

 

“ว่าแต่…สภานักเรียนมีแค่นี้เองหรอ?” 

 

เชอรี่ถามด้วยความสงสัย

 

“ค่ะ…” 

 

ฉันตอบกลับเสียงแผ่ว

 

ไม่ต้องงงหรอกค่ะ ผอ. มีกันแค่สองหน่อนี่แหละ เพราะห้องสภานักเรียนเฮี้ยนมาก+มีคนเรทติ้งติดลบแบบฉันอยู่ นอกจากไอ้แว่นจอมขี้เซาที่ไม่รู้เข้า

มาทำหอกอะไร ก็ไม่มีใครอีกแล้ว T-T

 

“เอาเถอะ นี่คือแผนจัดงานของเทอมนี้! ปีนี้ฉันตั้งใจทำให้ยิ่งใหญ่กว่าที่ผ่านมา เพื่อระลึกถึง ผอ.คนก่อนด้วย แน่นอนว่าสิ่งที่ต้องการชูให้เป็น

เอกลักษณ์โรงเรียนคือ ‘ความโรแมนซ์’”

 

“- -?” 

 

โร…อะไรนะคะ

 

ฉันก้มมองเอกสารที่เพิ่งรับมา เพราะตามสิ่งที่เธอพูดไม่ทัน เป็นศัพท์ทางวิชาการอะไรซักอย่างรึเปล่า…?

 

[โรแมนติก สคูล]

 

ว๊อทททท?!? หัวกระดาษจ่าหน้าอะไรเนี่ย ผอ.เผลอหยิบแผนสร้างม่านรูดสลับกับแผนพัฒนาโรงเรียนรึเปล่า??? 

 

“เอ่อ…/ดูไม่ผิดหรอกจ้ะ นี่คือสิ่งที่ฉันอยากสานต่อจากผลงานเก่าของท่าน ผอ. โรงเรียนอื่นน่ะน่าเบื่อ ขายวิชาการ ศิลปะ กีฬา ภาษา… แต่ที่นี่เราจะ

นำเสนอการใช้ชีวิตหวานแหววให้สมกับเป็นวัยรุ่น!”

 

ตาแว่นตั้งท่าปริปากพูดอะไรซักอย่างแต่ถูก ผอ.สาวขัดก่อน 

 

ส่วนฉันยืนงงเต็กพยายามคิดวิเคราะห์…

 

ช่วงนี้นอนน้อยไปรึเปล่า ทำไมฉันไม่เก็ตแนวคิดนี้เลย?? 

 

แบบว่าในแผนงานมันมีแต่สีชมพู เปิดไปเจอ ม้านั่งสื่อรัก น้ำพุฟลามิงโก้ หอรวมฉิมพลี

 

เธอตั้งใจทำม่านรูดจริงๆ สินะ! 0_0 

 

แล้วนี่อะไร Pink Bag โครงการถุงคู่ชนรัก หาคู่ให้นักเรียนเปลี่ยวใจ

 

อี๋~เสี่ยวสุด >0< ฉันทนดูต่อไปไม่ไหวแล้ววว

 

แกร่บ แกร่บ

 

มือฉันสั่นระริกกำหมัดแน่น เผลอออกแรงบีบกระดาษแผนโครงการยับยู่ยี่ แต่แทนที่แม่สาวเชอรี่สายเสี่ยวจะบ่นใส่ เธอกลับอมยิ้มอย่างมีเลศนัย

 

“แน่นอนว่าแผนการนี้ จำเป็นต้องมีสาวสวยอย่างเธอ”

 

“ผมไม่คู่กับยัยถังน้ำแข็งนี่หรอกนะครับ! []^[]” 

 

อีตาแว่นเบ้ปากเสียงแข็งดันแว่นอย่างเก๊ก 

 

เดี๋ยวๆ ถามฉันรึยัง? ฉันก็ไม่อยากคู่กับนายโว้ย! ร้อนตัวจริง! -*-

 

“อีฟต้องคู่กับอดัมที่เป็นหนึ่งในเจ้าชายทุกปี เธอไม่ใช่เจ้าชายนี่นา แค่ช่วยจัดงานก็พอ” 

 

เชอรี่พูดจบผายมือเชิญตาแว่นออกจากห้อง

 

ท่ามกลางความงุนงง ขณะที่ฉันกำลังตีเนียนออกไปด้วยก็ถูกเสียงเฉียบหวานรั้งไว้

 

“เดี๋ยว”

 

“คะ?”

 

ริมฝีปากแดงสดเผยยิ้มให้

 

รู้สึกลางไม่ดีเลยแฮะ -^-;;

 

“ปีนี้ ‘อีฟ’ คือเธอนะ ช่วยเป็นแฟนกับอดัมทีสิ”

 

“อะไรนะ?! 0_0” 

 

ฉันตกใจจนลืมใส่หางเสียง

 

ประโยคแรกว่าเซอร์ไพรส์แล้ว ประโยคหลังยิ่งช็อคกว่า!

 

“แต่อีฟต้องโหวตนะคะ หนูไม่เป็นที่นิยมหรอกค่ะ!” 

 

ฉันพยายามพูดทัดทานตามจริง

 

“อื้ม…แปลกจัง” 

 

สาวมั่นตรงหน้าลากเสียงยาว ใช้ปลายนิ้วชี้แตะคางเต๊ะท่าคิด ก่อนที่ริมฝีปากสวยจะกระตุกยิ้มอีกครั้ง 

 

“แต่ผลโหวตปีนี้ หวยออกที่เธอนะ ^^”

 

ฉันรู้สึกคอแห้งผาด

 

ไม่! มันต้องไม่ใช่ฉันเซ่!!! ><

 

“ย…ยกให้คนอื่นได้มั้ยคะ?!”

 

“ไม่ได้” 

 

น้ำเสียงเธอช่างเย็นเยียบ

 

“หนูยังไม่อยากมีแฟนค่ะ!”

 

“แกล้งเป็นก็ได้ ยังไงอดัมก็หล่อมากกก”

 

คิดว่าปัญหามันอยู่ที่หน้าตารึไงยะ? -*-

 

“ไม่-ค่ะ” 

 

ฉันยังคงปฏิเสธเน้นคำเสียงดังฟังชัด 

 

นักเรียนก็มีสิทธิมนุษยชนนะ!

 

“…” 

 

เชอรี่นิ่งเงียบชั่วครู่ก่อนกรีดยิ้มสวยสยอง

 

“ไม่เป็นไร ฉันมั่นใจว่าเธอต้องเปลี่ยนใจ”

 

.

 

-เวลา 6 โมงเย็น-

 

(ณ ห้องสภานักเรียน)

 

เรื่องที่เกิดขึ้นยังกวนใจฉันไม่หาย…

 

‘อีฟ’ เปรียบเสมือนตำแหน่งดาวโรงเรียน สวย ฉลาด มีความสามารถ 

 

ทุกปีในวันคริสมาสต์อีฟ ‘อดัม’ และ ‘อีฟ’ ต้องเต้นรำคู่กันพร้อมกล่าวคำสาบานรัก 

 

ฉันมาทันดูงานแค่ 2 ปี ซึ่งตำแหน่งอดัมไม่เคยเปลี่ยน คงเพราะปีนี้ทั้งคู่เรียนจบแล้ว เลยต้องหาคนรับไม้ต่อ 

 

แต่ใครจะคิดล่ะว่าเป็นฉัน! 

 

ฟ้ากลั่นแกล้งชัดๆ! ต้องโหวตเพราะเกลียดกันแน่! T-T

 

ฉันนั่งคิดวกวนอย่างหงุดหงิด พลางเขียนงานไม่หยุดมือ 

 

คำพูดของเชอรี่ลอยเข้าหัว…

 

‘อีฟต้องคู่กับอดัมที่เป็นหนึ่งในเจ้าชายทุกปี’

 

เดี๋ยวสิ ตอนนี้พวกเจ้าชายเหลือใครบ้างนะ?

 

-วาโย เจ้าชายสายลม = ขาประจำตัดออก ควบตำแหน่งอดัมหลายปีจนเรียนจบ

 

-ดิสไนท์ เจ้าชายราตรี = ข่าวฉาวเยอะ ไม่เหมาะเป็นไอค่อนโรงเรียน

 

-ซันไลท์ เจ้าชายแสงตะวัน = เพิ่งจบเหมือนกัน 

 

-แม็กม่า เจ้าชายโลกันต์ = คนนี้หนักเลย เห็นหน้าเด็กยังร้อง ห่างไกลอิมเมจเจ้าชายสุดๆ ถ้าธีมงานคือ ‘เดดแมตซ์’ น่ะพอได้

 

คนสุดท้าย…

 

กึก!

 

มือฉันดันหยุดเขียนงานเองดื้อๆ

 

…ไม่หรอกมั้ง เป็นแม็กม่าซะยังดีกว่า

 

เฮ้อ พอแล้ว! เลิกคิดฟุ้งซ่าน 

 

อุตส่าห์ได้อยู่คนเดียวในที่สงบๆ ทั้งที ผ่อนคลายหน่อยดีกว่า 

 

“อื้อออ~”

 

ฉันบิดขี้เกียจยืดเส้นยืดสาย ทอดมองนอกหน้าต่างบานใหญ่ 

 

ท้องฟ้าสีส้มดูเหงาจัง…

 

ที่ฉันตัดสินใจมาเป็นสภานักเรียนในตึกผีสิง เพราะอยากหนีจากความวุ่นวาย ส่วนไอ้แว่นนั่นสมัครไว้แค่ในนาม ร้อยวันพันปีจะเจอหน ห้องนี้จึงกลาย

เป็น ‘เซฟโซน’ ของฉันไปโดยปริยาย

 

ฉันชอบที่นี่ แม้มีงานเอกสารกองพูนเป็นภูเขาหรือข่าวลือผีๆ 

 

เพราะสำหรับอินโทรเวิร์ตอย่างฉัน…คนน่ากลัวกว่าผีเยอะ

 

“ฮ้าา~” 

 

ฉันสูดหายใจเข้าเต็มปอดพยุงตัวลุกจากเก้าอี้

 

เอาล่ะ! เย็นมากแล้ว เก็บของกลับหอดีกว่า~

 

ก๊อก ก๊อก ก๊อก

 

เอ๊ะ ใครมาเคาะอะไรเอาป่านนี้? 

 

ทุกคนน่าจะกลับกันหมดแล้วนี่นา

 

ตาแว่นลืมของหรอ? 

 

แต่ปกติมันไม่เคาะประตู

 

ลุงยามกับป้าแม่บ้านก็ไม่เคยมาที่นี่

 

…แล้วใครล่ะ?

 

ก๊อก ก๊อก ก๊อก 

 

ใจฉันเต้นตุ้มๆ ต่อมๆ เมื่อคิดถึงความเป็นไปได้ 

 

ผีหลอกไม่กลัว แต่ถ้าเกิดเป็นโจร สตอล์กเกอร์ หรือฆาตรกรโรคจิตล่ะ? >< 

 

ที่นี่ยิ่งเปลี่ยวๆ อยู่ด้วย ต่อให้แหกปากร้องดังแค่ไหน คงไม่มีใครได้ยิน

 

ทำไงดี~~ TToTT ไม่น่านั่งเหม่อนานจนกลับช้ากว่าปกติเลย เพราะยัยป้าเชอรี่นั่นแท้ๆ!

 

ฉันก้มตัวหลบใต้โต๊ะ กำไม้บรรทัดฟุตเหล็ก 12 นิ้ว อาวุธเพียงหนึ่งเดียวที่มีไว้แน่น

 

แกร๊ก!

 

แอ๊ดด~

 

เสียงลูกบิดเปิดประตูและบานพับสนิมเขรอะดังชัดเหมือนหนังสยองขวัญ ตามด้วยเสียงฝีเท้าหนักแน่นเยื้องย่างเข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อยๆ 

 

ตึก ตึก ตึก ตึก…

 

และตอนนี้มันหยุดอยู่หน้าโต๊ะทำงานของฉัน

 

พรึ่บ!

 

“กรี๊ดดดดดด!!!!!! §@¥#%%€$”

 

ภาพสุดท้ายที่เห็นก่อนหลับตาปี๋ เหวี่ยงไม้บรรทัดสุดแรงเกิดคือหน้าคนเลือนลาง

 

“โอ้ย!” 

 

“@#฿%&@#฿!” 

 

ฉันกลัวจนสบถไม่เป็นภาษา ฟันอากาศมั่วซั่ว

 

“เดี๋ยวก่อนสิ! ฉันไม่ใช่ผีนะ!!!”

 

หมับ!

 

0_0

 

ตาโตเบิกโพล่งด้วยความตกใจ เมื่อข้อมือถูกคว้าไว้

 

“ผอ.ไม่เห็นบอกเลย ว่าต้องมาเป็นแฟนกับคนบ้า”

 

คนตรงหน้าพูดอะไรไม่รู้ หูฉันดับไปเรียบร้อย แต่สิ่งแรกที่พุ่งชนสัมผัสทั้ง 5 คือ 'กลิ่น’

 

กลิ่นหอมติดจมูกของสวนดอกไม้ธรรมชาติ หอมนวลยิ่งกว่าน้ำยาปรับผ้านุ่ม 

 

ใบหน้าที่ไม่อาจอธิบายได้ว่าควรใช้คำว่า ‘หล่อ’ หรือ ‘สวย’ 

 

แสงอัสดงเล็ดลอดผ่านหน้าต่างส่องกระทบเปลวผมเงินระยับปรกขนตาแพยาวเล็กน้อย 

 

ดวงตากลมโตทรงอัลมอนด์สีน้ำทะเลจับจ้องสะกดวิญญาณ…

 

ตอนนี้เราอยู่ใกล้กันมากจนได้ยินเสียงลมหายใจ

 

“ทวิตซ์…” 

 

ปากเผลอเอ่ยชื่อเขาออกมา

 

เจ้าชายคนสุดท้ายที่ฉันไม่เคยคิดจะกล่าวถึง ตอนนี้เค้าอยู่ตรงหน้าแล้ว

 

“หอมมั้ยล่ะ?”

 

น้ำเสียงยียวนเรียกสติ ทำฉันรีบถอยกรูพร้อมเอามือปิดจมูก 

 

โธ่เอ้ย! ไอ้จมูกไม่รักดี!! แกทำให้ฉันดูแย่~>///<

 

โป๊ก!

 

“โอ๊ย!”

 

ฉันร้องอุทานด้วยความเจ็บปวด สองมือกุมหลังหัวโนที่เพิ่งชนของแข็งไปหมาดๆ 

 

ดันถอยเร็วจนลืมซะได้! ว่าตัวเองยังอยู่ใต้โต๊ะ…ฮืออ~ T-T

 

"นอกจากบ้าแล้ว ยังโรคจิตอีกหรอเนี่ย…สวยเสียของซะจริง” 

 

เจ้าของคำพูดเหยียดหยามอิงหลังชนกำแพงนั่งชันเข่าทรงอย่างแบด มือข้างนึงเสยผมขึ้นไม่สบอารมณ์ สายตาครามทอดมองฉันไม่วางตา

 

“เจ็บมั้ยล่ะ?” 

 

น้ำเสียงเขาอ่อนโยนขึ้นชั่วขณะ ก่อนแปรเปลี่ยนเป็นโทนกวนประสาท 

 

“สมน้ำหน้า”

 

กึด

 

-*- หัวคิ้วฉันขมวดผูกโบว์หงุดหงิด ไม่เคยรู้มาก่อนว่าหมอนี่มันกวนทีนเบอร์นี้! 

 

คนตรงหน้ายั่วน้ำโหคูณสอง เมื่อเห็นฉันแสดงท่าทีหัวเสียออกมามากเท่าไหร่ เขายิ่งฉีกยิ้มกว้างขึ้นเท่านั้น 

 

“ตลกจัง” 

 

ยังไม่วายกวนบาทา - -**** 

 

ฉันรีบปลีกตัวดีกว่าก่อนได้พลั้งมือฆ่าคนจริงๆ

 

“หลีกหน่อยเซ่!” 

 

เชื่อเค้าเลย วันนี้คงเจอมาหนัก ขนาดน้ำเสียงยังควบคุมให้สุขุมเยือกเย็นไม่ได้ นั่นอาจเป็นเหตุผลว่าทำไมคนฟังตัวเบอเร่อยังนั่งจุมปุ๊กที่เดิม ไม่ยอม

หลีกทางให้ฉันได้เคลื่อนตัวออกจากโต๊ะทำงานแคบๆ นี่ซะที

 

ตำแหน่งโต๊ะกับหน้าต่างมันห่างกันแค่พอวางเก้าอี้เท่านั้นนะ ถ้านายยังนั่งเป็นหินปิดปากถ้ำอยู่แบบนี้ ฉันจะออกไปยังไงล่ะย๊ะ?! o>*<o 

 

ฉันจดจ้องดวงตาคู่สวยแข็งกร้าว เริ่มกำหมัดแน่นหงุดหงิด 

 

ฉันควรโกรธกว่านี้ด้วยซ้ำ! แต่เพราะไอ้ความหล่อนั่น ทำเอาอ่อนยวบยาบไปหมด ไม่แปลกใจแล้วว่าทำไมแฟนคลับบางคนแค่เห็นหน้าตานี่ถึงขั้นเป็น

ลม เพราะตอนนี้ฉันเองก็รู้สึกหายใจลำบากเหมือนกัน >///<

 

ฟึ่บ!

 

ยังไม่ทันเสวนาอะไรต่อ มือใหญ่ก็กางออกโบกสะบัดผ่านหน้า ฝ่ามือขาวเนียนมีรอยแผลสดกรีดยาวทำเอาช็อคซีนีม่า

 

นะ นั่นมันเลือดนี่นา!!! 0[]0 

 

อย่าบอกนะว่า…เป็นเพราะฉัน!?

 

“นี่ ฉันเจ็บมากเลยนะ แผลติดเชื้อตายขึ้นมาทำไง T^T” 

 

น้ำเสียงและสีหน้าของเขาให้ความรู้สึกเหมือนโดนอ้อนแปลกๆ

 

“ขะ ขอโทษ…(_ _)” 

 

จากสายตาแข็งกร้าวสั่นสู้หลุบลงเปลี่ยนเป็นหน้าหมาหงอยในพริบตา 

 

รู้สึกผิดจะแย่อยู่แล้ว! ฉันเพิ่งทำสมบัติแห่งชาติของผู้หญิงทั้งโรงเรียนมีตำหนิหรอเนี่ยยย TOT พรุ่งนี้ไม่ตายดีแน่~

 

“เลียแผลให้หน่อยสิ…”

 

โป๊ก!

 

โดนไปอีกหนึ่งดอก! เพราะคำพูดแปลกๆ ทำฉันหัวโขกโต๊ะซ้ำสอง

 

“โอ๊ยยย…” 

 

สภาพตอนนี้น่าอนาถสุดใจ สองมือกุมหัวงอตัวน้ำตาไหลซิบๆ 

 

โคตรเจ็บเลย โดนกระแทกซ้ำจุดเดิม TT[]TT~ 

 

“ล้อเล่น” 

 

ทวิตซ์ยิ้มพึงพอใจ ก้มหน้าเลียแผลตัวเองเหมือนลูกแมว…

 

คนอื่นทำคงดูน่าขยะแขยงเป็นบ้า แต่ทำไมพอเป็นตานี่ถึงเซ็กซี่นักล่ะ T///T พระเจ้าช่างไม่ยุติธรรม~

 

“พรุ่งนี้เลี้ยงข้าวพอ ^^" 

 

ริมฝีปากบางสวยสีกุหลาบผลิยิ้มพริมใจ ก่อนพยุงตัวลุกเดินจากไป ปล่อยฉันนั่งเอ๋ออยู่พักใหญ่ หยิกแก้มตัวเองแรงๆ เพื่อพิสูจน์ว่าไม่ใช่ความฝัน… 

 

"เจ็บ”

 

พรุ่งนี้ต้องไปเจอเจ้าชายดอกไม้? แล้วชีวิตแสนสงบสุขของฉันจะเป็นยังไง? เค้าคืออดัมจริงๆ ใช่มั้ย? 

 

นี่มันเรื่องบ้าอะไรกันเนี่ยย…!!! <(=[]=)>

 

.

 

-เช้าวันต่อมา-

 

“ฮ้าาา~” 

 

ฉันอ้าปากหาวเหยียดแขนตรงชี้ฟ้า 

 

อรุณสวัสดิ์ เช้าที่ฉันสวยหมดสภาพ =_= เพราะเมื่อคืนนอนไม่หลับ เลยนั่งอ่านหนังสือ คุยกับแมวยันหว่าง ถ้าไม่แต่งหน้าปิดไว้ ทุกคนต้องตกใจแน่ที่

เห็นหมีแพนด้ากลางโรงเรียน 

 

เฮ้อ…แบบนี้ตอนไปเจอไอ้หน้าหวานนั่น ฉันจะมีสติครบ 32 มั้ยเนี่ย?

 

เอาน่า! แค่เลี้ยงข้าวเค้าแล้วกลับ ปฏิเสธตรงๆ ว่าไม่เห็นด้วยซักนิดที่จะเปลี่ยนโรงเรียนเป็นม่านรูด และปิดจบด้วยประโยคประจำตัว ‘อย่า-มา-ยุ่ง-กับ-

ฉัน!’

 

เพียงแค่นี้ ชีวิตประจำวันของฉันก็จะกลับคืนมาเหมือนเก่า

 

“กรี๊ดดดดด”

 

ทันทีที่ก้าวเท้าออกจากหอ ฉันได้ยินเสียงโหยหวนดังแซ่งซ้องทั่วบริเวณ เหมือนเกิดโศกนาฏกรรมนรกบนดิน แต่ฉันยังคงรักษาท่าทีนิ่งสงบไว้ได้อยู่ 

 

เพราะอะไรน่ะหรอ? เหตุการณ์แบบนี้มันกลายเป็นเรื่องปกติของเซนต์อคาเดมีไปแล้วน่ะสิ ผู้หญิงที่นี่บ้าผู้ชายมาก ชอบอุปทานหมู่รวมฝูงกรี๊ดกร๊าดสุด

ชีวิต ทุกครั้งที่เจอหนุ่มหล่อหรือพวกเจ้าชาย บลาๆๆ 

 

ซึ่งถือเป็นโชคดีสำหรับฉันที่จะได้ไม่ต้องตกเป็นเป้าสายตา โดนนินทาระยะเผาขนแบบเมื่อวาน

 

เอาเลยค่ะ กรี๊ดให้คอแตกเลยสาวๆ~

 

ฉันก้มหน้าใส่หูฟังเลือกเพลย์ลิสเพลงที่ชอบมุ่งเดินต่อ 

 

ตุ๊บ!

 

“โอ้ย!”

 

หัวเหม่งฉันชนเข้ากับอะไรไม่รู้เซเกือบล้ม มือถือตกพื้น สายหูฟังถูกแรงดึงกระชากหลุด 

 

ซวยบรมปีชงรึเปล่า? -*-

 

ฉันย่อตัวลงไปเก็บมือถือขึ้นมาตรวจเช็คสภาพก่อนเหงยหน้ามองต้นตอ

 

ท่ามกลางเสียงโหยหวนน่ารำคาญ กลิ่นหอมสวนดอกไม้เจือจางลอยแตะจมูก

 

“…” 

 

ฉันจ้องคนตรงหน้าตาแป๋ว

 

“คิด-ถึง-จัง” 

 

เสียงอาจไม่ดังมาก แต่ฉันดันอ่านปากเขาออกทุกคำ จนใบหน้าร้อนวูบวาบชั่วขณะ 

 

หนุ่มหน้าหวานเผยยิ้มจ้องมองสนอกสนใจ 

 

พอเริ่มตั้งสติได้ว่าเกลียดตานี่มากแค่ไหน หัวคิ้วฉันก็ผูกโบว์อัตโนมัติ -*- 

 

อีตาทวิตซ์นายมาทำอะไรที่นี่ยะ? 

 

“ไป-กิน-ข้าว-กัน” 

 

พอเจ้าตัวรู้ว่าฉันอ่านปากออก เลยจงใจพูดสื่อสารแบบไร้เสียง 

 

ยังไม่ทันโต้ตอบอะไร ฉับพลันมือใหญ่ก็ถือวิสาสะพาจูงฝ่าฝูงชน 

 

และแทนที่ยัยพวกแฟนคลับกรี๊ดแตกจะห้ามปราม พอเห็นว่าเป็นฉันที่ตัวเองเกลียดนักหนาคงช็อคหนัก อึ้งกิมกี่ไม่ไหวติง

 

“ปล่อยได้แล้ว!” 

 

พอหลุดพ้นจากความวุ่นวาย ฉันพยายามสะบัดมือออกแต่เปล่าประโยชน์ 

 

ตานี่มันจงใจให้ฉันโดนสาวๆ ลอบฆ่ารึไง? จับไม่ปล่อยซักที -*-

 

…ถึงจะอุ่นดีก็เถอะ

 

“อย่าดิ้นสิ..เดี๋ยวแผลเปิด!” 

 

ทวิตซ์ทำเสียงดุขึ้นเล็กน้อย

 

เอ๊ะ!? ที่จับอยู่คือข้างเป็นแผลหรอ? ลืมซะสนิทว่าเขาถนัดซ้าย

 

โธ่เอ๊ย! แล้วฉันต้องทนโดนลากแบบนี้ไปจนถึงเมื่อไหร่ ToT

 

สถานการณ์ชวนอึดอัด… 

 

ฮัลโหลสุดหล่อ~ นายกะพาฉันเดินสวนสนามกี่รอบ? ทำไมต้องจับมือกันต่อหน้าประชาชีด้วย!

 

ทำตามคำสั่ง ผอ. หรือเพราะเป็นลูกครึ่ง ไทย-สวิตซ์ เลยไม่คิดว่าการสกินชิพเป็นเรื่องใหญ่??

 

ฉันเหลือบมองแผ่นหลังร่างสูงชะลูดที่เดินนำ เพื่อหาจุดโฟกัสอื่นไม่ให้หวั่นไหวกับสัมผัสอบอุ่น 

 

พอมองใกล้ๆ แล้ว ไหล่เขาดูกว้างกว่าที่คิด 

 

หุ่นดีจัง…

 

อร๊าย!~ บ้าบอ!! มีแค่ฉันที่คิดมากไปเองคนเดียวสินะ >///<

 

ตลอดทางฉันมัวแต่ต่อสู้กับความบ้าผู้ชายจนนึกขึ้นได้ว่า 

 

“นี่ไม่ใช่ทางไปโรงอาหารหนิ!”

 

เขาค่อยๆ หยุดฝีเท้าลงราวกับถึงที่หมายพอดี 

 

ตึกสภานักเรียน…ถึงเป็นตอนกลางวันก็ไม่มีใครกล้าเดินเพ่นพ่าน นายพามาที่นี่เพราะอยากคุยเรื่องนั้นสินะ 

 

เลือกได้ดี ตอนนี้ถึงเวลาต้องพูดกันจริงจังแล้ว

 

เดาว่าเขาคงได้รับข้อเสนอบางอย่างจาก ผอ.เชอรี่ ถึงเข้ามาวุ่นวายกับฉัน

 

“ปล่อยได้รึยัง?” 

 

เมื่อเห็นฉันแสดงท่าทีแข็งกร้าว ทวิตซ์จึงยอมปล่อย

 

แต่จังหวะที่มือใหญ่ผละออก ตาดีดันสังเกตเห็นว่ามันเนียนกริ๊บ ไร้ร่องรอยบาดแผลใดๆ

 

อันที่จริง ฉันก็จำไม่ได้หรอกว่าข้างไหนเจ็บ แต่ดันหลงเชื่อคำพูดเค้าซะได้!

 

กรี๊ดดด…นี่นายหลอกฉันหรอ!? o-o***

 

ดวงตาถมึงทึงเบิกโพล่งจ้องเขม็งเหมือนเสือร้าย 

 

โกรธ! ตอนนี้ฉันโกรธมาก!

 

“อ๊ะ…ถูกจับได้ซะแล้ว ^^” 

 

ไอ้สวยตรงหน้ายียวนกวนประสาทหัวเราะร่ามีความสุขไม่รู้ร้อนรู้หนาว 

 

ซักวันฉันจะฆ่านาย! จะฆ่านายแน่ๆ!!! >o<**

 

แต่ตอนนี้ต้องฮึบไว้! ใจเย็นก่อน สงบสติอารมณ์และพูดสิ่งที่ต้องการ… 

 

ตัดให้ขาดในดาบเดียว! ต่อจากนี้ เราจะได้ไม่ต้องเจอกันอีก!

 

“ฉันไม่เป็นแฟนนายหรอกนะ!” 

 

โทสะทำฉันเรียบเรียงคำพูดออกมาได้ห่วยแตกมาก ToT

 

“…” 

 

ทวิตซ์นิ่งไปชั่วครู่ก่อนเผยยิ้มเจ้าเล่ห์ 

 

“แล้วใครว่าฉันจะขอเธอเป็นแฟน”

 

อ๊ากกกก ไม่น้าาา >///< อยากระเบิดตัวตาย! โคตรขายขี้หน้าเลย! 

 

ตอนนี้ฉันกลายเป็นแบบไอ้แว่นเมื่อวานไปแล้ว!!!

 

ศักดิ์ศรีสั่งให้ฝืนจ้องประจัญมาดนิ่ง แม้หน้าแดงเป็นตูดลิงไม่ไหว

 

“ฉันอยากเป็นสภานักเรียน”

 

“ไม่รับ”

 

“เดี๋ยวสิ - -*”

 

“ไม่-รับ” 

 

“งั้นขอสมัครเป็นแฟนประธา…”

 

ฉันรีบตะครุบปิดปากสวยทันที ก่อนที่มันจะพ่นคำบ้าๆ ออกมาอีก

 

นายอย่าทำให้ฉันดูแย่กว่านี้เลยขอร้อง~ T///T

 

แต่สุดท้ายก็ไม่วายโดนแกล้ง…มือใหญ่งัดมือเล็กออกจากปากง่ายดาย ใช้แรงบีบเพียงเบาๆ พอให้รู้ตัวว่าถูกจับอยู่ ก่อนโน้มตัวกระซิบข้างหูด้วยน้ำ

เสียงชวนสยิว 

 

“…แปลว่าตกลงหรอ?”

 

“ใช่ก็บ้าแล้วย่ะ!!” 

 

ฉันแผดเสียงดังลั่น ดึงมือออกอย่างไว กุมป้องไว้แน่นหนา กลัวถูกฉวยไปจับอีก

 

น่าหงุดหงิด…น่าหงุดหงิดจริงๆ! 

 

“ฮะ” 

 

ทวิตซ์เค่นเสียงหัวเราะน่าหมันไส้ กระหยิ่มยิ้มเยาะหรี่ตามองอย่างเหนือกว่า 

 

“ไม่แคร์หรอก~ แค่มาบอกให้รู้เฉยๆ ยังไงซะ ผอ.ก็เซ็นอนุมัติให้แล้ว ^^”

 

หน็อยแน่…! ยัย ผอ.สีชมพู ร้ายกาจนักนนะ!!!

 

“งั้นเรื่องนี้ก็ไม่ใช่ธุระกงการของฉันแล้ว!” 

 

ฉันกระแทกเสียงสะบัดบ๊อบหนี

 

ฮั้วกันเองเสร็จสรรพ ฉันจะทำอะไรได้อีกล่ะ? อยากเป็นนักก็เป็นไป! ฉันไม่ยุ่งด้วยแล้ว >o<**

 

.

 

-เวลา 11.30 น.-

 

(ณ ห้องสภานักเรียน)

 

เพราะตอนเช้าเจออีตาทวิตซ์ทำหัวเสียหมดอารมณ์เข้าเรียน ฉันเลยขลุกตัวทำงานยาวๆ 

 

หมอนั่นบอกว่า ‘อยากเป็นสภานักเรียน’ แล้วยังไง? 

 

คงไม่ต่างจากไอ้แว่นแคคตัสที่เข้ามาเพราะสิทธิพิเศษหรอก 

 

ทุกคนต่างพูดว่า ทวิตซ์น่ะ เหมาะสมกับตำแหน่งเจ้าชายในอุดมคติที่สุดแล้ว บ้านรวย หน้าตาดี บุคลิกโดดเด่น ฉลาด เก่งครบเครื่อง ทั้งเรื่องเรียน

กีฬา ร้องเพลง ดนตรี ศิลปะ แถมยังเป็นพวกสัตว์สังคมชั้นสูง รับมือได้ทุกสถานการณ์ ฉันจินตนาการไม่ออกเลยว่าคนแบบนั้น จะมานั่งเฉาตายปั่นงาน

เอกสารอยู่ในตึกผีสิงแบบฉันทำไม?

 

แอ๊ด~ 

 

เสียงประตูห้องเปิดออก ซึ่งฉันไม่แม้แต่จะเหงยหน้าขึ้นมอง เพราะพอคาดเดาได้ว่าตาแว่นนั่นคงลืมของ ไม่ก็แอบหนีมางีบ

 

ตึก ตึก ตึก

 

เอ๊ะ ฉันอาจคิดไปเองก็ได้ แต่ทำไมวันนี้เสียงฝีเท้ากระแทกส้นสะเปะสะปะของไอ้แว่นถึงฟังดูหนักแน่นนุ่มนวลและมั่นคงกว่าทุกที?

 

ฟึ่บ

 

ทันทีที่เงยหน้าขึ้นมองด้วยความสงสัย ใบหน้าของอีกคนก็อยู่ใกล้จนเส้นผมสีเงินสวยแทบปลิวเข้าตา

 

“น่ารักจัง” 

 

ปากหวานพ่นคำเสี่ยวไร้ยางอาย พร้อมรอยยิ้มพิฆาตที่ฉันเห็นกี่ทีก็อดใจสั่นไม่ได้

 

“!!!” 

 

ดวงตาเบิกโพล่ง ร่างกายผงะถอยฉับไว ส่งผลให้เก้าอี้ที่นั่งอยู่เสียหลัก

 

หมับ!

 

มือใหญ่คว้าประคองหลังศีรษะไว้ทัน ก่อนปะทะเข้ากับกระจกหน้าต่างบานใหญ่ด้านหลัง 

 

=[]= กะ เกือบไปแล้ว! หน้าต่างยิ่งบางๆ อยู่ ถ้าทะลุตกจากชั้นสองไม่พิการก็ซี้แหงเก๋!

 

“ฟู่…ระวังสิ! เดี๋ยวก็เจ็บอีกหรอก” 

 

ทวิตซ์พ่นลมหายใจโล่งอก ทำเสียงดุใส่จริงจังแบบหาดูได้ยาก 

 

-*- ฉันทำคิ้วยุ่งจ้องเขม็งตอบกลับ 

 

มันเพราะใครกันล่ะยะ? ที่ชอบเข้ามาจัมป์สแกร์เหมือนผี! 

 

ช่วงนี้ฉันยังคิดเลยว่าผีในตึกยังน่ากลัวน้อยกว่านาย!!

 

“...” 

 

ทำได้แค่ตะโกนในใจ เพราะความจริงที่เขาช่วยไว้มันค้ำคอ 

 

แล้วเมื่อไหร่นายจะปล่อยหัวฉันซักที! ><

 

เผื่อใครคิดไม่ออก ตอนนี้สภาพฉันคือนั่งขาลอยด่องเด่งอยู่บนเก้าอี้เอียงๆ ที่พร้อมจะพุ่งหลาวใส่หน้าต่างได้ทุกเมื่อ ถ้าไม่มีมือเค้าช่วยประคอง

 

“อื้มม…มองมุมนี้เธอก็เซ็กซี่ใช่เล่นนะ ^^+”

 

โป๊ก!

 

ฉันใช้หัวแข็งๆ โหม่งกระแทกคางอีตาทวิตซ์อย่างจัง

 

“โอ๊ย!“

 

ขอบใจนายมาก ตอนนี้ฉันถึงโน้มตัวกลับมาอยู่ในท่านั่งปกติได้แล้ว - -+

 

“สมน้ำหน้า” 

 

ฉันพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาเอาคืนบ้าง แล้วก้มหน้าทำงานต่อไม่สนใจร่างสูงที่กำลังลูบปลอบคางแหลม

 

“ใจร้ายชะมัด” 

 

หึ ไม่สะท้านย่ะ คำนี้เคยได้ยินเป็นพันครั้งแล้ว 

 

กึก

 

ปลายนิ้วเรียวสวยกดลงบนปลายปากกาที่ใช้จรดเขียนงาน ทำให้มือฉันต้องหยุดชะงัก

 

- -+ ชิ้งงง

 

ฉันเชิดหน้าขึ้นจ้องปะทะด้วยสายตาไม่สบอารมณ์

 

“ปล่อย”

 

นิสัยเสียที่ชอบเห็นคนหงุดหงิดยังไม่เปลี่ยน หมอนั่นไม่เขยื้อนเลยซักนิด แถมกำลังแย้มยิ้มกว้าง

 

พอกันที! ฉันจะไม่ยอมเป็นของเล่นให้นายอีกแล้ว! 

 

ฉันปล่อยมือจากปากกา ลุกขึ้นเก็บข้าวของลงกระเป๋า

 

“ยู”

 

ฉันชะงักเล็กน้อยเมื่อถูกเค้าเรียกชื่อ 

 

แต่มันไม่สำคัญหรอกว่าเขาจะรู้ชื่อฉันได้ยังไง รีบออกไปจากที่นี่ดีกว่า

 

“ยูแช”

 

“…” 

 

เผลอหันไปสบตาจอมเจ้าเล่ห์จนได้ 

 

เดี๋ยวสิ! มีเพียงไม่กี่คนที่รู้ชื่อเต็มฉันนะ นั่นเป็นชื่อที่มีแค่พ่อแม่และคนสนิทใช้เรียกกันในบ้านเท่านั้น ถึงครอบครัวฉันจะร่ำรวย แต่ก็ไม่ได้โด่งดังขนาด

ที่คนนอกจะล่วงรู้ข้อมูลภายในแบบนี้ได้

 

“นี่ นาย…/ฤดูใบไม้ผลิเหมาะกับเธอนะ ^^”

 

ทำไมหมอนี่ถึงเชี่ยวชาญด้านการกวนประสาทคนนัก = =* 

 

ใช่แล้ว ชื่อเต็มของฉันคือ ‘ยูแช’ ดอกไม้สีเหลืองที่เบ่งบานอย่างแจ่มใสต้อนรับฤดูใบไม้ผลิ แม่บอกว่าตั้งชื่อนี้ให้ เพราะพบพ่อครั้งแรกที่ทุ่งยูแช 

 

แต่สำหรับคนอย่างฉัน ซึ่งถูกเรียกว่า ‘เจ้าหญิงน้ำแข็ง’ ‘ผีหิมะ’ ‘ยัยปลาตาย’ มาแต่ไหนแต่ไร ไม่ได้ร่าเริงสดใสสมชื่อ คำพูดของเจ้าชายดอกไม้เมื่อกี้

มันคือคำเสียดสีดีๆ นี่เอง ฟีลลิ่งเดียวกับโดนล้อชื่อพ่อชื่อแม่! น่าโมโหจริงๆ!

 

ซื้อหวยไม่ถูกแบบนี้ พอตานั่นเห็นฉันโกรธตัวสั่นยิ่งมีความสุข กลั้วหัวเราะน่าหมันไส้ 

 

ไอ้คนสันดานเสียเอ้ย!

 

แม้จะส่งสายตาเคียดแค้นไปแค่ไหน คนตรงหน้าก็ไม่สะทกสะท้านแม้แต่น้อย ยังคงยืนลอยหน้าลอยตาส่งยิ้มกวนบาทาเหมือนเดิม

 

“ไม่เอาน่า กินข้าวด้วยกันก่อนสิ” 

 

ดวงตาสีฟ้าอมเทาเปล่งประกายส่องระยับไม่แพ้เรือนผมสีเงิน ก่อนเอื้อนเอ่ยคำพูดที่ยากจะปฏิเสธ

 

“เพราะดูท่า…แผลที่มือจะกลายเป็นแผลเป็นแล้วล่ะ”

 


 

(จบตอน)

 

คาโนล่า; ยินดีกับการเริ่มต้นสิ่งใหม่

 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
10 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
10 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

คุณคิดยังไงกับนิยายเรื่องนี้

* สามารถกรอกแบบสำรวจโดยไม่ต้องเป็นสมาชิกก็ได้ครับ

 

อ่านนิยายเรื่องอื่น

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา