[Omegavers] เมื่อไหร่คนจะเลิกเข้าใจผิดคิดว่าผมเป็นเบต้า!
-
เขียนโดย GUEST1716463936
วันที่ 23 พฤษภาคม พ.ศ. 2567 เวลา 18.41 น.
4 ตอน
1 วิจารณ์
856 อ่าน
แก้ไขเมื่อ 23 พฤษภาคม พ.ศ. 2567 18.49 น. โดย เจ้าของนิยาย
2) ตอนที่ 2
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความพวกเราไปถึงก่อนเวลาราวๆ ครึ่งชั่วโมง พอให้มีเวลาเตรียมตัวบ้าง งานเสวนาของมันเดลกรุ๊ปไม่มีอะไรมาก แค่เป็นการจัดพิธีพบปะของนักธุรกิจ และนักลงทุนรายใหญ่ ซึ่งเป็นงานปิดที่ค่อนข้างเข้าถึงยาก
ผมเปิดกระเป๋ากีต้าร์ ดึงอุปกรณ์ต่างๆ ขึ้นมาเตรียมพร้อม พื้นที่ของผมอยู่ในจุดที่ไม่ใกล้หน้าต่างจนเกินไป แต่ก็มองเห็นวิวด้านนอกได้ดี โดยเฉพาะชั้นหกสิบสามของตึกอีกฟากหนึ่ง ผมเช็คเรื่องเสียงเป็นลำดับสุดท้ายเพื่อให้แน่ใจว่าการสื่อสารจะไม่ผิดพลาด
เมื่อถึงเวลาเปิดงานสมาชิกในชุดสูทต่างก็ทยอยกันเข้าไปในห้องรับรองขนาดใหญ่ทีละกลุ่ม มีพิธีกรมากล่าวเปิด ตามด้วยการอภิปรายเสนอแผนธุรกิจ และไอเดียใหม่ๆ ที่จะหาเงินเข้ากระเป๋าได้
และแน่นอนว่าการที่งานเข้าถึงยากขนาดนี้เพราะมันคือการสงวนช่องทางรวยไว้สำหรับคนระดับเดียวพวกเขาเท่านั้น พวกเขาอาจเห็นแก่ตัว แต่นั่นก็เป็นความเห็นแก่ตัวตามธรรมชาติของมนุษย์
แน่นอนว่าที่พวกเขามีทุนทรัพย์มหาศาลขนาดนั้นคงจะไม่ได้มาจากกลไกทุนนิยมเพียงอย่างเดียว
งานที่น่าเบื่อดำเนินไปถึงสองชั่วโมง เป็นสองชั่วโมงที่ผมมีเวลาเหลือเฟือเพื่อนั่งนิ่งๆ สังเกตสถานการณ์ หลังจากที่พวกเขาหารือนู่นนี่จบ คนโน้นจับมือดีลธุรกิจกับคนนี้ คนนั้นเข้ามาแนะนำตัวว่าเป็นนักลงทุนหน้าใหม่ที่กำลังประสบความสำเร็จ และแล้วฉากหน้าแสนสวยงามก็ถูกรื้อออก
สมาชิกใหม่ที่เข้ามาในงานคราวนี้คือพวกชายใส่สูทหลายคน มีการ์ดล้อมหน้าล้อมหลัง ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าพวกเขาเป็นสมาชิกคนสำคัญ เบื้องหลังของพวกเขาแตกต่างอย่างสิ้นเชิง… พวกเขาไม่พูดถึงพลังงานสะอาด ไม่พูดถึงการลดต้นทุนการเพิ่มกำไรหรือกลไกราคา พวกเขาพูดคุยกันเกี่ยวกับช่องว่างของกฎหมาย การหลีกเลี่ยงภาษี การหนีคดี…
แน่นอนว่าเป็นคนที่ไม่ได้มีชีวิตผูกติดกับโลกธรรมดา มือของคนพวกนั้นเปื้อนไปด้วยเลือดก่อนที่จะพาตัวเองมายังจุดที่เป็นอยู่ เพียงพวกเขาเหล่านั้นเข้ามาไม่นาน ผมก็สังเกตเห็นชายที่สวมสูท กลัดเข็มกลัดสีแดงที่หน้าอกซ้าย เขาขยับเนกไทให้เข้าที่ก่อนเดินไปยังชายที่มีกลิ่นอายดำทะมึนคนหนึ่ง
ชายคนนั้นทำมือเป็นสัญญาณ ผมมองตาม หลังจากนั้นไม่นาน ศีรษะของใครอีกคนก็ระเบิดออกโดยไม่มีแม้แต่คำเตือน… ส่งผลให้ร่างนั้นกระตุกเกร็ง และลงไปนอนรวมกับไขสมองและเศษกะโหลกที่กระจายกันเกลื่อนกลาดบนพื้น
เป็นเพียงเสี้ยววิสั้นๆ ที่ผมเห็นก้อนเนื้อกระเด็นไปติดหน้าแขกเรียกเสียงกรีดร้องสิบแปดหลอด พร้อมกับร่างที่ใบหน้าหายไปเป็นแถบร่วงตุบ ทำให้งานเสวนาที่จัดขึ้นตกอยู่ในความโกลาหลในทันที
ผู้คนมากหน้าหลายตาวิ่งกรูกันหาทางออก การ์ดในงานรีบพุ่งเข้าชาร์จทันที ส่วนชายที่ใส่สูทกลัดเข็มกลัดก็หายไปจากตรงนั้นอย่างไร้ร่องรอย
ผมรีบเก็บของกลับเข้ากระเป๋า ก่อนพุ่งตัวลงไปชั้นล่างด้วยบันไดหนีไฟ จนกระทั่งเท้าแตะพื้นก็เจอพี่มัทรที่จอดรถรอไว้แล้ว ผมรีบปีนขึ้นไปเบาะหลัง โยนกระเป๋ากีต้าร์ไว้ที่พื้นรถ ดึงเข็มขัดมาคาด ก่อนรายงานความวุ่นวายให้อีกฝ่ายฟัง
หลังเหตุการณ์วุ่นวายทั้งหมดทั้งมวลก็ได้ยินแว่วๆ มาว่ามีผู้ร่วมงานหลายท่านถูกเชิญเข้าไปสอบปากคำ รวมถึงโดนซักเรื่องแหล่งที่มาของรายได้ ออกข่าวกันอึกทึกครึกโครมไปพักหนึ่งเพราะผู้ตายเป็นอาชญากรที่หลายประเทศต้องการตัว
ส่วนตัวผมก็ใช้ชีวิตปกติสุขของตัวเองไป เปิดดูข่าวบ้างว่าการสืบสวนขยายผลถึงไหน ได้เงินค่าจ้างแล้วก็นอนแกว่งตีนชิวๆ อยู่หอ
หอพักของผมเป็นห้องระดับที่บอกได้ว่าคุณภาพชีวิตไม่ได้มีเงินมากมายเท่าไหร่ ผนังห้องเป็นคราบราดำบวกกับรอยน้ำที่ไหลซึมลงมาจากเพดานเป็นเวลานาน พอกลับมาถึงก็ได้กลิ่นอับๆ ตีขึ้นจมูกทันทีที่เปิดห้อง สงสัยน้ำหอมปรับอากาศคงหมด ผมเลยหยิบสเปรย์ดับกลิ่นขึ้นมาฉีดฟืดๆ ไปทั่วห้อง
ผมเปิดแอร์ ล้มตัวลงบนฟูกหนังแข็งๆ ผ่านผ้าปูเตียงชั้นบางๆ คงต้องขอร้องให้พี่ชายซื้อท็อปเปอร์มาให้ซะแล้ว
ผมหลับตาลง แล้วจมสู่ห้วงแห่งความฝัน…
พอลืมตาตื่นมาอีกทีภาพก็ตัดไปที่ตอนเช้า… ผมควานเอาโทรศัพท์ที่สั่นครืดคราดเพราะชอบเปิดโหมดสั่นเอาไว้ขึ้นมาดู ปลายสายที่พยายามติดต่อผมเป็นรอบที่ร้อยเห็นจะได้ตัดสายไปหลังผมพยายามกดปุ่มรับสายแต่ไม่ติดสักที
พอจะวางโทรศัพท์ลงสายก็เข้ามาอีกแล้ว คราวนี้ผมเลื่อนรับสายติด ทำให้ได้คุยกับอีกฝ่าย “โพธิ์… อยู่ไหน”
เสียงปลายสายที่เป็นผู้หญิงเอ่ยขึ้น “อืม…ห้อง”
ผมหาวไปเกาพุงไปก่อนจะลุกไปหยิบกาแฟแคปซูลหย่อนลงเครื่องชงแล้ววางแก้วเอาไว้
“วันนี้วันเสาร์” ฝ่ายนั้นเอ่ยอย่างร่าเริง
“แกชวนฉันดูเจ้าขุนทองเหรอยัยแพรว” ผมเรียกชื่อเล่นของฝ่ายนั้น ยัยแพรวเป็นเพื่อนสนิทผมตั้งแต่เรายังเด็กๆ บ้านผมกับมันไม่ได้อยู่ติดกัน แต่ครอบครัวพวกเราค่อนข้างมีสัมพันธ์ที่ดี มันจึงกลายมาเป็นสมาชิกอีกคนของบ้านผมกลายๆ
พวกเราอยู่ด้วยกันมาตั้งแต่เรียนเตรียมอนุบาลที่เดียวกัน เข้าประถมไปด้วยกัน จูงมือกันไปตรวจเพศรอง ต่อด้วยชั้นม.ต้น จวบจนม.ปลายและเข้ามหาลัยเดียวกัน… พวกเราตัวติดกันแทบจะตลอดเวลา
พ่อกับแม่ของผมเอ็นดูยัยหนูแพรวเป็นอย่างมาก ถึงขั้นให้เรียกคุณพ่อคุณแม่กันเลยทีเดียว
“โพธิ์! โพธิ์! ฟังอยู่มั้ย” มันส่งเสียงแจ๋วๆ ผ่านปลายสายมา เรียกผมที่เกือบหลับกลางอากาศไปอีกรอบให้ตื่นขึ้นมาฟังมันเล่าแผนการของวันนี้
“วันนี้ไปสยาม ไปนะ” มันเว้าวอนผม
“...อืม” ขอคิดดูก่อน ผมขมวดคิ้วมุ่นแบบที่อีกฝ่ายน่าจะเดาได้
“น้าๆๆๆ นะนะ” ยัยแพรวทำเสียงกระเง้ากระงอดใส่สาย
“...ฮึ่ม ก็ได้ๆ” เซ้าซี้จริงๆ
“เย่ โพธิ์น่ารักที่สุดเลยค่ะ เดี๋ยวไปรับนะคะ ตอนสิบโมง” ยัยแพรวตัดสายไปแค่นั้น ส่วนผมก็ยกกาแฟร้อนกรุ่นในแก้วขึ้นมาจิบแก้ง่วง ขณะที่นั่งตรงระเบียงแคบๆ มองฝูงนกฝูงกาบินร่อนไปร่อนมาผมก็เห็นข้อความที่ส่งมาในโทรศัพท์ของตัวเอง
[Preaw : เลือกช่วยหน่อย ชุดไหนสวย]
พร้อมกับภาพยัยแพรวที่ใส่แค่กางเกงในลูกไม้ตัวบางๆ กับท่อนบนที่เป็นบราลูกไม้เข้าเซตยืนอยู่หน้ากระจกแบบเต็มตัวบานใหญ่ อวดสารร่างผอมๆ ของมันคู่กับชุดแรกที่เป็นชุดเดรสสั้นลายสตรอว์เบอรี่หวานแหวว อีกชุดเป็นชุดแบบ y2k ที่ประกอบด้วยเสื้อครอปตัวเล็กสีเขียวเข้าชุดกับกางเกงคาร์โก้สีขาว
ผมที่รู้อยู่แล้วว่ายัยแพรวไม่เคยต้องการความคิดเห็นของใคร เพราะนาทีต่อมามันก็ส่งข้อความมาบอกว่า
[Preaw : รู้ละ แพรวจะใส่ชุดนี้]
มันไม่ต้องการให้ผมตัดสินใจแทน ถึงการสื่อสารจะชวนสับสนแต่ด้วยความเป็นเพื่อนกันมาอย่างเนิ่นนานทำให้ผมรู้ว่ามันหมายความว่ายังไง ผมยิ้มขำๆ ก่อนหมุนแหวนที่คล้องอยู่กับคอตลอดเวลาเล่น และหันไปเปิดตู้เสื้อผ้าของตัวเอง จัดชุดให้เข้ากับที่มันใส่…
ถ้าเป็นแฟนคนที่มันเคยคบด้วยตอนม.ต้นมันก็จะมาบ่นให้ผมฟังว่าพี่เขาไม่เข้าใจมันเลยทั้งที่บอกแล้วว่าให้ใส่คู่กันอย่างนั้นอย่างนี้
ผมไปอาบน้ำแต่งตัว ก่อนรวบเส้นผมที่ยาวเกินจะเป็นทรงแต่สั้นเกินกว่าจะมัดไปด้านหลังอย่างลวกๆ จากนั้นก็เอาอาหารแช่แข็งในกล่องลงไปอุ่นที่ไมโครเวฟส่วนกลางด้านล่าง
ไม่นานเวลาก็ล่วงเลยไปจนถึงเวลานัด ผมลงไปด้านล่างก่อนเจอกับรถโลโก้ห่วงซ้อนกันจอดเปิดแอร์อยู่พื้นที่ลานหน้าหอแคบๆ โห…นี่มันขับเข้ามาได้ไงวะเนี่ย
พอผมเดินเข้าไปใกล้ๆ รถคันดังกล่าวก็เปิดกระจกลงมาแซวเป็นจิ๊กโก๋หน้าปากซอย ”วันนี้หล่อนะเรา”
ยัยแพรวหัวเราะให้ผมที่เดินเข้าไปนั่งตำแหน่งข้างคนขับของมัน หลังคาดเข็มขัดเรียบร้อยมันก็มองผมขึ้นๆ ลงๆ และยิ้มอย่างพอใจก่อนจะออกรถ
“วันนี้อยากกินอะไร”
มันถามตอนชะเง้อหน้ามองหลังเพราะต้องถอยรถออกจากตรอกแคบๆ แน่นอนว่าสกิลอย่างยัยแพรวสามารถหลบหลุมบ่อยิ่งกว่าผิวดวงจันทร์บนถนน กับแนวสิ่งปลูกสร้างขวางทาง ทั้งป้ายเหล็กหักๆ ที่ยื่นออกมา บวกกับกับสายไฟระเกะระกะรุงรังอยู่บนเสาแต่ก็ยังไม่วายบ่นอุบอิบ
“โอ๊ยยยย เมื่อไหร่แกจะอกจากที่นี่ได้ นี่อยู่ๆ ไปจะมีโจรมาปล้นแกหรือเปล่าเถอะ”
“เดี๋ยวก็ได้ไปแล้ว รอครบกำหนดก่อน” ผมพูดอย่างใจเย็น ก่อนถามกลับ “แล้วแกอยากกินอะไร”
“ฉันให้แกเลือก”
“อาหารญี่ปุ่น” มันพยักหน้าหงึกหงักแทนคำตอบ
ยัยแพรวใช้สกิลหลบหลีกอันชำนาญพาพวกเราออกสู่ถนนใหญ่ และวิ่งไปตามถนนสายหลักเรื่อยๆ จนเลี้ยวเข้าจอดในช่องจอดบัตรวิสดอมของมัน
“วันนี้แกตัดผมมั้ย” หลังลงรถยัยแพรวมายืนด้านหน้าผม ใช้ปลายนิ้วปัดป่ายเส้นผมที่ปรกหน้าอยู่ออกให้ ด้วยส่วนสูงที่ไล่ๆ กัน หน้ามันเลยอยู่ระดับเดียวกับผม
วันนี้ยัยแพรวอยู่ในเชิ้ตเดรสสีขาวห้อยกระเป๋าทรงโฮโบ เส้นผมสีน้ำตาลช็อกโกแลตถูกรวบขึ้นเป็นทรงหางม้า มีหน้าม้าพอกรุบกริบน่ารัก
“ทำไมรู้ใจกันอย่างนี้อะ” ผมพูด ก่อนชมมัน “วันนี้แต่งตัวน่ารักนะ”
สีชุดของยัยแพรวเป็นคีย์หลักของผม ผมใส่เสื้อเชิ้ตทรงหลวมกว่าตัวเล็กน้อยปล่อยชายให้ออกมานอกกางเกง ถกแขนเสื้อขึ้นไปอย่างลวกๆ ทั้งสองข้าง ท่อนล่างเป็นกางเกงสีกากีอ่อน ดูแล้วเข้าคู่กับชุดยัยแพรวเหมือนไม่ตั้งใจ
“ปากหวาน” ยัยแพรวตีผม ก่อนดึงแขนผมเข้าไปกอดควง
นาฬิกาข้อมือผมบอกเวลาสิบเอ็ดโมงสี่สิบ พวกเรานั่งกันอยู่ในร้านอาหารญี่ปุ่นร้านหนึ่งที่ยัยแพรวเป็นคนหารีวิวมาเช่นทุกที บรรยากาศภายในเน้นโปร่งโล่งแต่ยังมีความเป็นส่วนตัวให้สำหรับแต่ละโต๊ะ ฝั่งที่นั่งตรงข้ามผมพลิกเมนูไปมา ปากก็บ่นหงุงหงิงๆ ว่ามีแต่เมนูน่ากินทั้งนั้น
“ก็สั่งสิ” ผมพูดเนิบๆ
“ไม่อยากกินเหลืออะ แต่ของมันน่ากินมากเลยนะ” ด้วยความที่ในร้านมีคนไม่ค่อยเยอะมันจึงคร่ำครวญแบบไม่แคร์สายตาชาวบ้านใส่ผม
“เดี๋ยวช่วยกิน” ผมพูด
“จริงหรอ ขอบคุณนะ” ยัยแพรวยิ้มกว้างด้วยความตื่นเต้นดีใจ ทำเอาผมตาพร่ามัวไปหมด
“สั่งอาหารเลยมั้ยครับ”
ใบหน้าระดับดาวมหาลัยหันไปหาพนักงานเสิร์ฟ เล็บยาวๆ ของมันก็ชี้ๆ บนหน้ากระดาษ จากนั้นก็เปิดไปอีกหน้าแล้วจิ้มเลือกมาอีกสามสี่อย่าง แล้วมันก็หันมาหาผมที่สั่งอาหารง่ายๆ มาสองสามอย่างตบท้ายด้วยชาบวกรีฟิลไปอีก 89 บาท
“ขอบคุณน้าที่จะช่วยกินให้ แต่ถ้ากินไม่ไหวเดี๋ยวบอกเขาห่อละกัน” มันกุมมือผมไว้แบบซึ้งในน้ำใจ
“ไม่เป็นไร” ผมพูดเนิบๆ
ระหว่างนั้นยัยแพรวก็ถอยมือกลับไปเลื่อนโทรศัพท์ พอมีอะไรตลกๆ มันก็จะหันไอโฟนตัวท็อปของมันที่อัปเดตทุกการเปิดตัวรุ่นใหม่มาให้ผมดู ผมที่เคยเห็นคลิปนั้นไปแล้วแต่ก็มีรีแอคชันกับมันอยู่ดี
ตากลมๆ ของมันห่อเป็นดอลลี่อายเล็กๆ ตอนหัวเราะคลิปในมือถือ ยัยแพรวมีตาสีน้ำตาลธรรมชาติ พอเจอแสงแล้วจะเป็นประกายใสๆ ทำเอาละสายตาไม่ได้
จมูกมันเป็นทรงสโลปที่ผมชอบบีบเล่นเวลาหมั่นเขี้ยว
ริมฝีปากยัยแพรวยกยิ้มจนเห็นฟันเขี้ยวฟันเกเล็กๆ โผล่ออกมา ตอนเด็กๆ มันเคยร้องไห้โฮใส่ผมว่าเพื่อนล้อมันว่ามันฟันเหยินมันจะไปถอนออก แต่ผมก็หยุดมันด้วยการบอกว่าออกจะน่ารัก
มันไม่รู้หรอกว่าฟันกระต่ายคู่หน้าของมันน่ารักกว่าอีก
ใบหน้าของยัยแพรวเป็นวีเชฟจากการที่มันเซ้าซี้ผมหลายทีจนผมต้องพามันไปฉีดหน้า จนตอนนี้ผมเลยบอกว่าจะไปเข้าคลินิคเป็นเพื่อนมันเดือนละสองครั้ง
ผิวของมันเนียนใสอยู่แล้ว แต่มันก็ชอบเอาแขนมาเทียบกับผมแล้วก็บ่นอุบว่าทำไมไม่ขาวเท่าแขนผม สุดท้ายมันก็ลากผมไปฉีดผิวกับมันอยู่ดี
ไม่นานอาหารก็มาเสิร์ฟ ยัยแพรวบ่นว่าหิวจนไส้กิ่วแล้วจัดการโซ้ยกุ้งเทมปุระตัวใหญ่ในคำเดียว ท่าของมันที่ก้มกินข้าวเหมือนกระต่ายขนน้ำตาลตัวเล็กๆ มันทำท่าตะกละตะกลามมากจนไม่รู้ว่าเผลอกินเส้นผมตัวเองเข้าไปแล้วด้วย
“หัวเราะอะไร” ยัยแพรวมองผมอย่างงุนงง ส่วนผมก็จัดการใช้ปลายนิ้วเขี่ยปอยผมช่อหนึ่งที่ติดปากมันออกแล้วเอาไปทัดหูไว้ให้ มันทำหน้ายู่แบบที่ชอบทำตอนผมบอกว่ามันเหมือนเด็ก “แกไม่กินหรอ”
“ก็กินอยู่นี่ไง” ผมว่าพลางแกะซองตะเกียบ
“แกเพิ่งหยิบตะเกียบเมื่อกี้เถอะ” ว่าแล้วมันก็คีบปลาเซลม่อนย่างโชยุอย่างชำนาญส่งเนื้อปลาชิ้นสวยเข้าปากผมที่ก้มลงกินของที่มันคีบให้
“อร่อยจริงด้วย”
มันทำท่าเชิดๆ “ขึ้นอยู่กับคนป้อนจ่ะ”
“โห เชฟน้อยใจละป๊ะแบบนี้” ผมคีบเนื้อแซลม่อนชิ้นเดียวกันส่งเข้าปาก
“ไม่อร่อยเท่าฉันป้อนใช่มั้ยล่า” มันเย้ย
“...” ผมเสียใจนิดหน่อยที่ต้องยอมรับว่าจริง
หลังจากนั้นมันก็ป้อนข้าวผมบ้าง คีบให้ตัวเองกินบ้างแล้วก็บ่นอีกว่าขาดทุนจังที่ตัวเองต้องเสียเวลามานั่งป้อนผมแบบนี้ ผมจัดการปิดปากยัยแพรวด้วยการคีบเทมปุระชิ้นเล็กๆ จิ้มกับซอสแล้วส่งเข้าปากมัน
“อร่อยอ่า แกต้องเป็นนักป้อนมืออาชีพแน่เลย” ยัยแพรวสรรเสริญผม
“ฮ่าๆ แน่นอน” ผมกอดอกแบบลำพองนิดๆ แล้วเราสองคนก็ป้อนกันไปกันมาจนไม่ได้คีบเข้าปากเองเลยสักนิด
“โพธิ์ อยากชิมราเม็ง” ยัยแพรวพูด ผมเลยจัดการคีบเส้นวางม้วนๆ ลงบนช้อน แล้วเป่าฟู่ๆ ก่อนยื่นช้อนไปตรงหน้ามัน ส่วนอีกมือก็ใช้รองไว้เผื่อหก
“อื้อ…” มันร้องขึ้นขณะใช้มือปิดปาก “น้ำซุปต้มยำอร่อยนะเนี่ย”
สุดท้ายพวกเราก็ออกจากร้านโดยจ่ายค่าเสียหายทั้งหมดราวๆ สามพันห้าชาร์จแวท
แล้วก็ถึงคราวที่ฝ่ายนั้นเป็นคนลากผมออกจากร้าน ส่งตรงไปขึ้นเขียงที่ร้านตัดผมซึ่งอยู่อีกโซน ระหว่างที่เดินๆ มันก็พูดถึงแผนการที่จะทำต่อไป อย่างการไปทำเล็บ ดูหนัง “วันนี้พวกคุณพ่อกลับไทยด้วยนะ ตอนเย็นไปล่องเรือกัน”
ผมเหลือบมองใบหน้าของคนที่ก้มเลื่อนหารูปทรงผมสำหรับผู้ชาย ก่อนใช้มือปัดป่ายปอยผมข้างแก้มไปทัดหู แล้วพามันก้าวลงจากบันไดเลื่อน
ยัยแพรวผลักประตูร้านที่เป็นกระจกใสเข้าไป ด้านในมีที่นั่งว่างราวๆ สามสี่ที่ ฝ่ายนนั้นพอจัดแจงคุยกับช่างเรียบร้อยก็ดันผมไปหลังร้านเพื่อสระผม ระหว่างนั้นก็ถ่ายรูปผมที่ทำหน้าตลกๆ ลงสตอรี่ไอจีไพรเวทของมัน ผมบ่นอุบอิบให้อีกฝ่ายที่แท็กไอจีผมเข้าไปด้วย
พอออกจากร้านผมก็ดูเป็นผู้เป็นคนขึ้น ไม่เหมือนก่อนหน้านี้ที่หัวเป็นรังนก พอบอกแบบนั้นยัยแพรวก็เชิดจมูกแล้วบอกว่าของมันแน่อยู่แล้ว ก่อนจะยีหัวผมด้วยความมันมือ
“ปะ ไปทำเล็บต่อ”
“นานอะ” ผมบ่น แต่ก็ไม่ได้คัดค้านอะไร
จนกระทั่งเราเข้าร้านทำเล็บที่ยัยแพรวจองคิวไปเมื่อกี้นี้ตอนผมตัดผมอยู่
“ที่จองไว้ค่ะ โพธิ์…มานี่” ยัยแพรวพูดกับพนักงานก่อนหันมาหาผมที่กำลังจะหย่อนตัวลงโซฟาที่จัดไว้ให้นั่งรอ
“หือ มีอะไร?”
“สองท่านใช่มั้ยคะ” พนักงานทำเล็บเอ่ยขึ้น ผมเลยรู้ว่าโดนมันวางยาให้มาทำเล็บด้วยกัน จึงนั่งลงแบบเสียไม่ได้ จากนั้นก็หันไปหาตัวต้นเรื่อง
“เอาลายอะไร”
มันเอาโทรศัพท์ให้ผมดูลายเล็บสีตุ่นๆ มินิมอลที่มันเลือกไว้แล้ว แน่นอนว่ามันอยากมีเล็บสีอะไรผมก็ต้องมีเหมือนมัน “เอาเหมือนกันนะคะ”
“นิ้วเราสวยนะเนี่ย” ช่างทำเล็บพลิกมือผมไปมาก่อนเอ่ยปากชม
“โอ๊ย! คนนี้อะไรก็ดูดีไปหมดแหละค่ะ” ยัยแพรวที่นั่งอยู่ข้างๆ กับช่างอีกคนเอ่ยขึ้นมา จากนั้นบทสนทนาระหว่างยัยแพรวที่เป็นเอ็กซ์โทรเวิร์ทนักปาร์ตี้ขั้นสุดกับพี่ช่างก็เกิดขึ้น
หลังจากช่างลงเคลือบเล็บหรืออะไรสักอย่างให้ผมเสร็จผมที่รอจนง่วงก็เอนซบไหล่ยัยแพรวที่อยู่ติดๆ กัน ทำให้เกิดเสียงแซวจากฝ่ายนั้น
“น่ารักเชียวนะคะ หนูไปหาแฟนจากไหนคะเนี่ย พี่เจอลูกค้าบางคนนะ… เขามาทำเล็บแต่แฟนเขาไม่อยากรอก็เลยทะเลาะกัน” พี่ช่างทำเล็บเม้ามอยก่อนหันมาตะไบเล็บให้ผม พอเห็นว่ายัยแพรวเงียบไปอีกฝ่ายก็ขมวดคิ้วนิดๆ
“หนูเป็นแฟนกันใช่มั้ย?”
“ไม่ค่ะ แค่เพื่อนกัน” ยัยแพรวตอบกลั้วหัวเราะ ทำเอาพี่ช่างหน้าเจื่อนไปนิดนึง ก่อนหัวเราะแห้งๆ
“อ๋อ พี่ก็นึกว่าแฟนกัน แปลว่าสนิทกันมากเลยนะคะ”
“ค่ะ เจอกันตั้งแต่เด็กเลยค่ะ พอดีพ่อแม่รู้จักกัน…” ผมหลับตาลง แต่หูก็ยังฟังบทสนทนาต่อไป
มันไม่รูหรอกว่า…
ผมเปิดกระเป๋ากีต้าร์ ดึงอุปกรณ์ต่างๆ ขึ้นมาเตรียมพร้อม พื้นที่ของผมอยู่ในจุดที่ไม่ใกล้หน้าต่างจนเกินไป แต่ก็มองเห็นวิวด้านนอกได้ดี โดยเฉพาะชั้นหกสิบสามของตึกอีกฟากหนึ่ง ผมเช็คเรื่องเสียงเป็นลำดับสุดท้ายเพื่อให้แน่ใจว่าการสื่อสารจะไม่ผิดพลาด
เมื่อถึงเวลาเปิดงานสมาชิกในชุดสูทต่างก็ทยอยกันเข้าไปในห้องรับรองขนาดใหญ่ทีละกลุ่ม มีพิธีกรมากล่าวเปิด ตามด้วยการอภิปรายเสนอแผนธุรกิจ และไอเดียใหม่ๆ ที่จะหาเงินเข้ากระเป๋าได้
และแน่นอนว่าการที่งานเข้าถึงยากขนาดนี้เพราะมันคือการสงวนช่องทางรวยไว้สำหรับคนระดับเดียวพวกเขาเท่านั้น พวกเขาอาจเห็นแก่ตัว แต่นั่นก็เป็นความเห็นแก่ตัวตามธรรมชาติของมนุษย์
แน่นอนว่าที่พวกเขามีทุนทรัพย์มหาศาลขนาดนั้นคงจะไม่ได้มาจากกลไกทุนนิยมเพียงอย่างเดียว
งานที่น่าเบื่อดำเนินไปถึงสองชั่วโมง เป็นสองชั่วโมงที่ผมมีเวลาเหลือเฟือเพื่อนั่งนิ่งๆ สังเกตสถานการณ์ หลังจากที่พวกเขาหารือนู่นนี่จบ คนโน้นจับมือดีลธุรกิจกับคนนี้ คนนั้นเข้ามาแนะนำตัวว่าเป็นนักลงทุนหน้าใหม่ที่กำลังประสบความสำเร็จ และแล้วฉากหน้าแสนสวยงามก็ถูกรื้อออก
สมาชิกใหม่ที่เข้ามาในงานคราวนี้คือพวกชายใส่สูทหลายคน มีการ์ดล้อมหน้าล้อมหลัง ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าพวกเขาเป็นสมาชิกคนสำคัญ เบื้องหลังของพวกเขาแตกต่างอย่างสิ้นเชิง… พวกเขาไม่พูดถึงพลังงานสะอาด ไม่พูดถึงการลดต้นทุนการเพิ่มกำไรหรือกลไกราคา พวกเขาพูดคุยกันเกี่ยวกับช่องว่างของกฎหมาย การหลีกเลี่ยงภาษี การหนีคดี…
แน่นอนว่าเป็นคนที่ไม่ได้มีชีวิตผูกติดกับโลกธรรมดา มือของคนพวกนั้นเปื้อนไปด้วยเลือดก่อนที่จะพาตัวเองมายังจุดที่เป็นอยู่ เพียงพวกเขาเหล่านั้นเข้ามาไม่นาน ผมก็สังเกตเห็นชายที่สวมสูท กลัดเข็มกลัดสีแดงที่หน้าอกซ้าย เขาขยับเนกไทให้เข้าที่ก่อนเดินไปยังชายที่มีกลิ่นอายดำทะมึนคนหนึ่ง
ชายคนนั้นทำมือเป็นสัญญาณ ผมมองตาม หลังจากนั้นไม่นาน ศีรษะของใครอีกคนก็ระเบิดออกโดยไม่มีแม้แต่คำเตือน… ส่งผลให้ร่างนั้นกระตุกเกร็ง และลงไปนอนรวมกับไขสมองและเศษกะโหลกที่กระจายกันเกลื่อนกลาดบนพื้น
เป็นเพียงเสี้ยววิสั้นๆ ที่ผมเห็นก้อนเนื้อกระเด็นไปติดหน้าแขกเรียกเสียงกรีดร้องสิบแปดหลอด พร้อมกับร่างที่ใบหน้าหายไปเป็นแถบร่วงตุบ ทำให้งานเสวนาที่จัดขึ้นตกอยู่ในความโกลาหลในทันที
ผู้คนมากหน้าหลายตาวิ่งกรูกันหาทางออก การ์ดในงานรีบพุ่งเข้าชาร์จทันที ส่วนชายที่ใส่สูทกลัดเข็มกลัดก็หายไปจากตรงนั้นอย่างไร้ร่องรอย
ผมรีบเก็บของกลับเข้ากระเป๋า ก่อนพุ่งตัวลงไปชั้นล่างด้วยบันไดหนีไฟ จนกระทั่งเท้าแตะพื้นก็เจอพี่มัทรที่จอดรถรอไว้แล้ว ผมรีบปีนขึ้นไปเบาะหลัง โยนกระเป๋ากีต้าร์ไว้ที่พื้นรถ ดึงเข็มขัดมาคาด ก่อนรายงานความวุ่นวายให้อีกฝ่ายฟัง
หลังเหตุการณ์วุ่นวายทั้งหมดทั้งมวลก็ได้ยินแว่วๆ มาว่ามีผู้ร่วมงานหลายท่านถูกเชิญเข้าไปสอบปากคำ รวมถึงโดนซักเรื่องแหล่งที่มาของรายได้ ออกข่าวกันอึกทึกครึกโครมไปพักหนึ่งเพราะผู้ตายเป็นอาชญากรที่หลายประเทศต้องการตัว
ส่วนตัวผมก็ใช้ชีวิตปกติสุขของตัวเองไป เปิดดูข่าวบ้างว่าการสืบสวนขยายผลถึงไหน ได้เงินค่าจ้างแล้วก็นอนแกว่งตีนชิวๆ อยู่หอ
หอพักของผมเป็นห้องระดับที่บอกได้ว่าคุณภาพชีวิตไม่ได้มีเงินมากมายเท่าไหร่ ผนังห้องเป็นคราบราดำบวกกับรอยน้ำที่ไหลซึมลงมาจากเพดานเป็นเวลานาน พอกลับมาถึงก็ได้กลิ่นอับๆ ตีขึ้นจมูกทันทีที่เปิดห้อง สงสัยน้ำหอมปรับอากาศคงหมด ผมเลยหยิบสเปรย์ดับกลิ่นขึ้นมาฉีดฟืดๆ ไปทั่วห้อง
ผมเปิดแอร์ ล้มตัวลงบนฟูกหนังแข็งๆ ผ่านผ้าปูเตียงชั้นบางๆ คงต้องขอร้องให้พี่ชายซื้อท็อปเปอร์มาให้ซะแล้ว
ผมหลับตาลง แล้วจมสู่ห้วงแห่งความฝัน…
พอลืมตาตื่นมาอีกทีภาพก็ตัดไปที่ตอนเช้า… ผมควานเอาโทรศัพท์ที่สั่นครืดคราดเพราะชอบเปิดโหมดสั่นเอาไว้ขึ้นมาดู ปลายสายที่พยายามติดต่อผมเป็นรอบที่ร้อยเห็นจะได้ตัดสายไปหลังผมพยายามกดปุ่มรับสายแต่ไม่ติดสักที
พอจะวางโทรศัพท์ลงสายก็เข้ามาอีกแล้ว คราวนี้ผมเลื่อนรับสายติด ทำให้ได้คุยกับอีกฝ่าย “โพธิ์… อยู่ไหน”
เสียงปลายสายที่เป็นผู้หญิงเอ่ยขึ้น “อืม…ห้อง”
ผมหาวไปเกาพุงไปก่อนจะลุกไปหยิบกาแฟแคปซูลหย่อนลงเครื่องชงแล้ววางแก้วเอาไว้
“วันนี้วันเสาร์” ฝ่ายนั้นเอ่ยอย่างร่าเริง
“แกชวนฉันดูเจ้าขุนทองเหรอยัยแพรว” ผมเรียกชื่อเล่นของฝ่ายนั้น ยัยแพรวเป็นเพื่อนสนิทผมตั้งแต่เรายังเด็กๆ บ้านผมกับมันไม่ได้อยู่ติดกัน แต่ครอบครัวพวกเราค่อนข้างมีสัมพันธ์ที่ดี มันจึงกลายมาเป็นสมาชิกอีกคนของบ้านผมกลายๆ
พวกเราอยู่ด้วยกันมาตั้งแต่เรียนเตรียมอนุบาลที่เดียวกัน เข้าประถมไปด้วยกัน จูงมือกันไปตรวจเพศรอง ต่อด้วยชั้นม.ต้น จวบจนม.ปลายและเข้ามหาลัยเดียวกัน… พวกเราตัวติดกันแทบจะตลอดเวลา
พ่อกับแม่ของผมเอ็นดูยัยหนูแพรวเป็นอย่างมาก ถึงขั้นให้เรียกคุณพ่อคุณแม่กันเลยทีเดียว
“โพธิ์! โพธิ์! ฟังอยู่มั้ย” มันส่งเสียงแจ๋วๆ ผ่านปลายสายมา เรียกผมที่เกือบหลับกลางอากาศไปอีกรอบให้ตื่นขึ้นมาฟังมันเล่าแผนการของวันนี้
“วันนี้ไปสยาม ไปนะ” มันเว้าวอนผม
“...อืม” ขอคิดดูก่อน ผมขมวดคิ้วมุ่นแบบที่อีกฝ่ายน่าจะเดาได้
“น้าๆๆๆ นะนะ” ยัยแพรวทำเสียงกระเง้ากระงอดใส่สาย
“...ฮึ่ม ก็ได้ๆ” เซ้าซี้จริงๆ
“เย่ โพธิ์น่ารักที่สุดเลยค่ะ เดี๋ยวไปรับนะคะ ตอนสิบโมง” ยัยแพรวตัดสายไปแค่นั้น ส่วนผมก็ยกกาแฟร้อนกรุ่นในแก้วขึ้นมาจิบแก้ง่วง ขณะที่นั่งตรงระเบียงแคบๆ มองฝูงนกฝูงกาบินร่อนไปร่อนมาผมก็เห็นข้อความที่ส่งมาในโทรศัพท์ของตัวเอง
[Preaw : เลือกช่วยหน่อย ชุดไหนสวย]
พร้อมกับภาพยัยแพรวที่ใส่แค่กางเกงในลูกไม้ตัวบางๆ กับท่อนบนที่เป็นบราลูกไม้เข้าเซตยืนอยู่หน้ากระจกแบบเต็มตัวบานใหญ่ อวดสารร่างผอมๆ ของมันคู่กับชุดแรกที่เป็นชุดเดรสสั้นลายสตรอว์เบอรี่หวานแหวว อีกชุดเป็นชุดแบบ y2k ที่ประกอบด้วยเสื้อครอปตัวเล็กสีเขียวเข้าชุดกับกางเกงคาร์โก้สีขาว
ผมที่รู้อยู่แล้วว่ายัยแพรวไม่เคยต้องการความคิดเห็นของใคร เพราะนาทีต่อมามันก็ส่งข้อความมาบอกว่า
[Preaw : รู้ละ แพรวจะใส่ชุดนี้]
มันไม่ต้องการให้ผมตัดสินใจแทน ถึงการสื่อสารจะชวนสับสนแต่ด้วยความเป็นเพื่อนกันมาอย่างเนิ่นนานทำให้ผมรู้ว่ามันหมายความว่ายังไง ผมยิ้มขำๆ ก่อนหมุนแหวนที่คล้องอยู่กับคอตลอดเวลาเล่น และหันไปเปิดตู้เสื้อผ้าของตัวเอง จัดชุดให้เข้ากับที่มันใส่…
ถ้าเป็นแฟนคนที่มันเคยคบด้วยตอนม.ต้นมันก็จะมาบ่นให้ผมฟังว่าพี่เขาไม่เข้าใจมันเลยทั้งที่บอกแล้วว่าให้ใส่คู่กันอย่างนั้นอย่างนี้
ผมไปอาบน้ำแต่งตัว ก่อนรวบเส้นผมที่ยาวเกินจะเป็นทรงแต่สั้นเกินกว่าจะมัดไปด้านหลังอย่างลวกๆ จากนั้นก็เอาอาหารแช่แข็งในกล่องลงไปอุ่นที่ไมโครเวฟส่วนกลางด้านล่าง
ไม่นานเวลาก็ล่วงเลยไปจนถึงเวลานัด ผมลงไปด้านล่างก่อนเจอกับรถโลโก้ห่วงซ้อนกันจอดเปิดแอร์อยู่พื้นที่ลานหน้าหอแคบๆ โห…นี่มันขับเข้ามาได้ไงวะเนี่ย
พอผมเดินเข้าไปใกล้ๆ รถคันดังกล่าวก็เปิดกระจกลงมาแซวเป็นจิ๊กโก๋หน้าปากซอย ”วันนี้หล่อนะเรา”
ยัยแพรวหัวเราะให้ผมที่เดินเข้าไปนั่งตำแหน่งข้างคนขับของมัน หลังคาดเข็มขัดเรียบร้อยมันก็มองผมขึ้นๆ ลงๆ และยิ้มอย่างพอใจก่อนจะออกรถ
“วันนี้อยากกินอะไร”
มันถามตอนชะเง้อหน้ามองหลังเพราะต้องถอยรถออกจากตรอกแคบๆ แน่นอนว่าสกิลอย่างยัยแพรวสามารถหลบหลุมบ่อยิ่งกว่าผิวดวงจันทร์บนถนน กับแนวสิ่งปลูกสร้างขวางทาง ทั้งป้ายเหล็กหักๆ ที่ยื่นออกมา บวกกับกับสายไฟระเกะระกะรุงรังอยู่บนเสาแต่ก็ยังไม่วายบ่นอุบอิบ
“โอ๊ยยยย เมื่อไหร่แกจะอกจากที่นี่ได้ นี่อยู่ๆ ไปจะมีโจรมาปล้นแกหรือเปล่าเถอะ”
“เดี๋ยวก็ได้ไปแล้ว รอครบกำหนดก่อน” ผมพูดอย่างใจเย็น ก่อนถามกลับ “แล้วแกอยากกินอะไร”
“ฉันให้แกเลือก”
“อาหารญี่ปุ่น” มันพยักหน้าหงึกหงักแทนคำตอบ
ยัยแพรวใช้สกิลหลบหลีกอันชำนาญพาพวกเราออกสู่ถนนใหญ่ และวิ่งไปตามถนนสายหลักเรื่อยๆ จนเลี้ยวเข้าจอดในช่องจอดบัตรวิสดอมของมัน
“วันนี้แกตัดผมมั้ย” หลังลงรถยัยแพรวมายืนด้านหน้าผม ใช้ปลายนิ้วปัดป่ายเส้นผมที่ปรกหน้าอยู่ออกให้ ด้วยส่วนสูงที่ไล่ๆ กัน หน้ามันเลยอยู่ระดับเดียวกับผม
วันนี้ยัยแพรวอยู่ในเชิ้ตเดรสสีขาวห้อยกระเป๋าทรงโฮโบ เส้นผมสีน้ำตาลช็อกโกแลตถูกรวบขึ้นเป็นทรงหางม้า มีหน้าม้าพอกรุบกริบน่ารัก
“ทำไมรู้ใจกันอย่างนี้อะ” ผมพูด ก่อนชมมัน “วันนี้แต่งตัวน่ารักนะ”
สีชุดของยัยแพรวเป็นคีย์หลักของผม ผมใส่เสื้อเชิ้ตทรงหลวมกว่าตัวเล็กน้อยปล่อยชายให้ออกมานอกกางเกง ถกแขนเสื้อขึ้นไปอย่างลวกๆ ทั้งสองข้าง ท่อนล่างเป็นกางเกงสีกากีอ่อน ดูแล้วเข้าคู่กับชุดยัยแพรวเหมือนไม่ตั้งใจ
“ปากหวาน” ยัยแพรวตีผม ก่อนดึงแขนผมเข้าไปกอดควง
นาฬิกาข้อมือผมบอกเวลาสิบเอ็ดโมงสี่สิบ พวกเรานั่งกันอยู่ในร้านอาหารญี่ปุ่นร้านหนึ่งที่ยัยแพรวเป็นคนหารีวิวมาเช่นทุกที บรรยากาศภายในเน้นโปร่งโล่งแต่ยังมีความเป็นส่วนตัวให้สำหรับแต่ละโต๊ะ ฝั่งที่นั่งตรงข้ามผมพลิกเมนูไปมา ปากก็บ่นหงุงหงิงๆ ว่ามีแต่เมนูน่ากินทั้งนั้น
“ก็สั่งสิ” ผมพูดเนิบๆ
“ไม่อยากกินเหลืออะ แต่ของมันน่ากินมากเลยนะ” ด้วยความที่ในร้านมีคนไม่ค่อยเยอะมันจึงคร่ำครวญแบบไม่แคร์สายตาชาวบ้านใส่ผม
“เดี๋ยวช่วยกิน” ผมพูด
“จริงหรอ ขอบคุณนะ” ยัยแพรวยิ้มกว้างด้วยความตื่นเต้นดีใจ ทำเอาผมตาพร่ามัวไปหมด
“สั่งอาหารเลยมั้ยครับ”
ใบหน้าระดับดาวมหาลัยหันไปหาพนักงานเสิร์ฟ เล็บยาวๆ ของมันก็ชี้ๆ บนหน้ากระดาษ จากนั้นก็เปิดไปอีกหน้าแล้วจิ้มเลือกมาอีกสามสี่อย่าง แล้วมันก็หันมาหาผมที่สั่งอาหารง่ายๆ มาสองสามอย่างตบท้ายด้วยชาบวกรีฟิลไปอีก 89 บาท
“ขอบคุณน้าที่จะช่วยกินให้ แต่ถ้ากินไม่ไหวเดี๋ยวบอกเขาห่อละกัน” มันกุมมือผมไว้แบบซึ้งในน้ำใจ
“ไม่เป็นไร” ผมพูดเนิบๆ
ระหว่างนั้นยัยแพรวก็ถอยมือกลับไปเลื่อนโทรศัพท์ พอมีอะไรตลกๆ มันก็จะหันไอโฟนตัวท็อปของมันที่อัปเดตทุกการเปิดตัวรุ่นใหม่มาให้ผมดู ผมที่เคยเห็นคลิปนั้นไปแล้วแต่ก็มีรีแอคชันกับมันอยู่ดี
ตากลมๆ ของมันห่อเป็นดอลลี่อายเล็กๆ ตอนหัวเราะคลิปในมือถือ ยัยแพรวมีตาสีน้ำตาลธรรมชาติ พอเจอแสงแล้วจะเป็นประกายใสๆ ทำเอาละสายตาไม่ได้
จมูกมันเป็นทรงสโลปที่ผมชอบบีบเล่นเวลาหมั่นเขี้ยว
ริมฝีปากยัยแพรวยกยิ้มจนเห็นฟันเขี้ยวฟันเกเล็กๆ โผล่ออกมา ตอนเด็กๆ มันเคยร้องไห้โฮใส่ผมว่าเพื่อนล้อมันว่ามันฟันเหยินมันจะไปถอนออก แต่ผมก็หยุดมันด้วยการบอกว่าออกจะน่ารัก
มันไม่รู้หรอกว่าฟันกระต่ายคู่หน้าของมันน่ารักกว่าอีก
ใบหน้าของยัยแพรวเป็นวีเชฟจากการที่มันเซ้าซี้ผมหลายทีจนผมต้องพามันไปฉีดหน้า จนตอนนี้ผมเลยบอกว่าจะไปเข้าคลินิคเป็นเพื่อนมันเดือนละสองครั้ง
ผิวของมันเนียนใสอยู่แล้ว แต่มันก็ชอบเอาแขนมาเทียบกับผมแล้วก็บ่นอุบว่าทำไมไม่ขาวเท่าแขนผม สุดท้ายมันก็ลากผมไปฉีดผิวกับมันอยู่ดี
ไม่นานอาหารก็มาเสิร์ฟ ยัยแพรวบ่นว่าหิวจนไส้กิ่วแล้วจัดการโซ้ยกุ้งเทมปุระตัวใหญ่ในคำเดียว ท่าของมันที่ก้มกินข้าวเหมือนกระต่ายขนน้ำตาลตัวเล็กๆ มันทำท่าตะกละตะกลามมากจนไม่รู้ว่าเผลอกินเส้นผมตัวเองเข้าไปแล้วด้วย
“หัวเราะอะไร” ยัยแพรวมองผมอย่างงุนงง ส่วนผมก็จัดการใช้ปลายนิ้วเขี่ยปอยผมช่อหนึ่งที่ติดปากมันออกแล้วเอาไปทัดหูไว้ให้ มันทำหน้ายู่แบบที่ชอบทำตอนผมบอกว่ามันเหมือนเด็ก “แกไม่กินหรอ”
“ก็กินอยู่นี่ไง” ผมว่าพลางแกะซองตะเกียบ
“แกเพิ่งหยิบตะเกียบเมื่อกี้เถอะ” ว่าแล้วมันก็คีบปลาเซลม่อนย่างโชยุอย่างชำนาญส่งเนื้อปลาชิ้นสวยเข้าปากผมที่ก้มลงกินของที่มันคีบให้
“อร่อยจริงด้วย”
มันทำท่าเชิดๆ “ขึ้นอยู่กับคนป้อนจ่ะ”
“โห เชฟน้อยใจละป๊ะแบบนี้” ผมคีบเนื้อแซลม่อนชิ้นเดียวกันส่งเข้าปาก
“ไม่อร่อยเท่าฉันป้อนใช่มั้ยล่า” มันเย้ย
“...” ผมเสียใจนิดหน่อยที่ต้องยอมรับว่าจริง
หลังจากนั้นมันก็ป้อนข้าวผมบ้าง คีบให้ตัวเองกินบ้างแล้วก็บ่นอีกว่าขาดทุนจังที่ตัวเองต้องเสียเวลามานั่งป้อนผมแบบนี้ ผมจัดการปิดปากยัยแพรวด้วยการคีบเทมปุระชิ้นเล็กๆ จิ้มกับซอสแล้วส่งเข้าปากมัน
“อร่อยอ่า แกต้องเป็นนักป้อนมืออาชีพแน่เลย” ยัยแพรวสรรเสริญผม
“ฮ่าๆ แน่นอน” ผมกอดอกแบบลำพองนิดๆ แล้วเราสองคนก็ป้อนกันไปกันมาจนไม่ได้คีบเข้าปากเองเลยสักนิด
“โพธิ์ อยากชิมราเม็ง” ยัยแพรวพูด ผมเลยจัดการคีบเส้นวางม้วนๆ ลงบนช้อน แล้วเป่าฟู่ๆ ก่อนยื่นช้อนไปตรงหน้ามัน ส่วนอีกมือก็ใช้รองไว้เผื่อหก
“อื้อ…” มันร้องขึ้นขณะใช้มือปิดปาก “น้ำซุปต้มยำอร่อยนะเนี่ย”
สุดท้ายพวกเราก็ออกจากร้านโดยจ่ายค่าเสียหายทั้งหมดราวๆ สามพันห้าชาร์จแวท
แล้วก็ถึงคราวที่ฝ่ายนั้นเป็นคนลากผมออกจากร้าน ส่งตรงไปขึ้นเขียงที่ร้านตัดผมซึ่งอยู่อีกโซน ระหว่างที่เดินๆ มันก็พูดถึงแผนการที่จะทำต่อไป อย่างการไปทำเล็บ ดูหนัง “วันนี้พวกคุณพ่อกลับไทยด้วยนะ ตอนเย็นไปล่องเรือกัน”
ผมเหลือบมองใบหน้าของคนที่ก้มเลื่อนหารูปทรงผมสำหรับผู้ชาย ก่อนใช้มือปัดป่ายปอยผมข้างแก้มไปทัดหู แล้วพามันก้าวลงจากบันไดเลื่อน
ยัยแพรวผลักประตูร้านที่เป็นกระจกใสเข้าไป ด้านในมีที่นั่งว่างราวๆ สามสี่ที่ ฝ่ายนนั้นพอจัดแจงคุยกับช่างเรียบร้อยก็ดันผมไปหลังร้านเพื่อสระผม ระหว่างนั้นก็ถ่ายรูปผมที่ทำหน้าตลกๆ ลงสตอรี่ไอจีไพรเวทของมัน ผมบ่นอุบอิบให้อีกฝ่ายที่แท็กไอจีผมเข้าไปด้วย
พอออกจากร้านผมก็ดูเป็นผู้เป็นคนขึ้น ไม่เหมือนก่อนหน้านี้ที่หัวเป็นรังนก พอบอกแบบนั้นยัยแพรวก็เชิดจมูกแล้วบอกว่าของมันแน่อยู่แล้ว ก่อนจะยีหัวผมด้วยความมันมือ
“ปะ ไปทำเล็บต่อ”
“นานอะ” ผมบ่น แต่ก็ไม่ได้คัดค้านอะไร
จนกระทั่งเราเข้าร้านทำเล็บที่ยัยแพรวจองคิวไปเมื่อกี้นี้ตอนผมตัดผมอยู่
“ที่จองไว้ค่ะ โพธิ์…มานี่” ยัยแพรวพูดกับพนักงานก่อนหันมาหาผมที่กำลังจะหย่อนตัวลงโซฟาที่จัดไว้ให้นั่งรอ
“หือ มีอะไร?”
“สองท่านใช่มั้ยคะ” พนักงานทำเล็บเอ่ยขึ้น ผมเลยรู้ว่าโดนมันวางยาให้มาทำเล็บด้วยกัน จึงนั่งลงแบบเสียไม่ได้ จากนั้นก็หันไปหาตัวต้นเรื่อง
“เอาลายอะไร”
มันเอาโทรศัพท์ให้ผมดูลายเล็บสีตุ่นๆ มินิมอลที่มันเลือกไว้แล้ว แน่นอนว่ามันอยากมีเล็บสีอะไรผมก็ต้องมีเหมือนมัน “เอาเหมือนกันนะคะ”
“นิ้วเราสวยนะเนี่ย” ช่างทำเล็บพลิกมือผมไปมาก่อนเอ่ยปากชม
“โอ๊ย! คนนี้อะไรก็ดูดีไปหมดแหละค่ะ” ยัยแพรวที่นั่งอยู่ข้างๆ กับช่างอีกคนเอ่ยขึ้นมา จากนั้นบทสนทนาระหว่างยัยแพรวที่เป็นเอ็กซ์โทรเวิร์ทนักปาร์ตี้ขั้นสุดกับพี่ช่างก็เกิดขึ้น
หลังจากช่างลงเคลือบเล็บหรืออะไรสักอย่างให้ผมเสร็จผมที่รอจนง่วงก็เอนซบไหล่ยัยแพรวที่อยู่ติดๆ กัน ทำให้เกิดเสียงแซวจากฝ่ายนั้น
“น่ารักเชียวนะคะ หนูไปหาแฟนจากไหนคะเนี่ย พี่เจอลูกค้าบางคนนะ… เขามาทำเล็บแต่แฟนเขาไม่อยากรอก็เลยทะเลาะกัน” พี่ช่างทำเล็บเม้ามอยก่อนหันมาตะไบเล็บให้ผม พอเห็นว่ายัยแพรวเงียบไปอีกฝ่ายก็ขมวดคิ้วนิดๆ
“หนูเป็นแฟนกันใช่มั้ย?”
“ไม่ค่ะ แค่เพื่อนกัน” ยัยแพรวตอบกลั้วหัวเราะ ทำเอาพี่ช่างหน้าเจื่อนไปนิดนึง ก่อนหัวเราะแห้งๆ
“อ๋อ พี่ก็นึกว่าแฟนกัน แปลว่าสนิทกันมากเลยนะคะ”
“ค่ะ เจอกันตั้งแต่เด็กเลยค่ะ พอดีพ่อแม่รู้จักกัน…” ผมหลับตาลง แต่หูก็ยังฟังบทสนทนาต่อไป
มันไม่รูหรอกว่า…
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ