[Omegavers] เมื่อไหร่คนจะเลิกเข้าใจผิดคิดว่าผมเป็นเบต้า!

-

เขียนโดย GUEST1716463936

วันที่ 23 พฤษภาคม พ.ศ. 2567 เวลา 18.41 น.

  4 ตอน
  1 วิจารณ์
  846 อ่าน

แก้ไขเมื่อ 23 พฤษภาคม พ.ศ. 2567 18.49 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

1) ตอนที่ 1

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

 “อันนี้เป็นรายการของคุณลูกค้าทั้งหมดเลยนะครับ เดี๋ยวขออนุญาตทวนออร์เดอร์นะครับ... มีมัทฉะลาเต้พลัสวิปช็อกชิพคาราเมล เค้กแครอท อเมริกาโน่…” ไอ้เด็กมหาลัยปีสามครึ่งที่ใส่ชุดนักศึกษาผูกผ้ากันเปื้อนสีครีมในมือมีใบแจ้งออร์เดอร์ยาวพรืดเลขที่ A102 ซึ่งกำลังยืนพูดอยู่กับกลุ่มลูกค้าอัลฟ่าหน้าหล่อที่เรียงกันสลอนอยู่ในคาเฟ่คือผม

 

ผมชื่อโพธิ์ ผมเป็น...

 

“ยังครับ ยังไม่ครบครับ”

 

“ครับ? ...” ผมนิ่งไปชั่วขณะ ขณะที่มองอัลฟ่าคนหนึ่งซึ่งเอ่ยท้วงด้วยสีหน้ายิ้มๆ ทำให้ผมรีบก้มมองบิลกระดาษในมือก่อนจะไล่เรียงไปทีละรายการ เอ... เครื่องดื่มก็ครบ ขนมก็ไม่ได้เสิร์ฟขาดไปซักจานนะ

 

“ไม่ทราบว่าคุณลูกค้าได้สั่งเพิ่มระหว่างรอออร์เด------” ผมเอ่ยเนิบๆ ทว่ายังไม่ทันจะพูดจบฝ่ายนั้นก็ชิงพูดขึ้นมาก่อน

 

“ในนี้ไม่เห็นมีเบอร์คุณเลย” เท่านั้นแหละ เพื่อนทั้งโต๊ะของเขาก็ฮาครืนพลางส่งเสียงแซวหวีดหวิวใส่ผมกันสนั่น

 

“งั้นขออนุญาตวางบิลนะครับ หากต้องการสั่งเมนูเพิ่มสามารถกดกริ่งเรียกพนักงานได้เลยนะครับ ในมอร์คาเฟ่ยินดีให้บริการ”

 

ผมพูดตัดบทด้วยน้ำเสียงนุ่มเนิบ ส่วนใบหน้าก็มีรอยยิ้มการค้าแปะอยู่โต้งๆ ก่อนวางกระดาษบางๆ ซึ่งปลิวตกลงพื้นทันทีที่ปล่อยมืออย่างนุ่มนวล ก่อนไหว้ลาแล้วก้าวเท้าฉับๆ แบบไม่หันไปมอง

 

แต่ก็ไม่วายมีเสียงพูดไม่ดังไม่เบาเอ่ยไล่หลังมาให้ได้ยิน

 

“แม่งยากว่ะรายนี้ มึงไม่ไปฟันเด็กในคลับวะ”

 

“หน้าตาก็ดีอยู่หรอก แต่แม่งเป็นเบต้าไม่ใช่เหรอวะ เดี๋ยวนี้มึงเปลี่ยนรสนิยมเหรอหาญ”

 

“พนันกันมั้ย กูให้ห้าพันถ้าไอ้หาญมันได้”

 

“กูหกพัน พนันว่าสองอาทิตย์”

 

ผมกลับมาถึงเคาน์เตอร์แล้วแต่ก็ได้ยินเสียงที่ไม่ดังไม่เบานั่นอยู่ดี

 

ผมทำเป็นเรียงของเสียงดังก๊อกแก๊ก กับเอาผ้ามาเช็ดโน่นเช็ดนี่คอยรับหน้าลูกค้าที่เข้ามาแล้วทำออร์เดอร์ตามสั่งให้อีกที แต่ไม่นานนักเสียงกริ่งก็ดังขึ้น

มีคนสั่งอาหาร!

 

ผมรีบพุ่งออกไปพร้อมสมุดจดและปากกา พอมาถึงก็พบว่าเป็นโต๊ะของอัลฟ่ากลุ่มเมื่อกี้ “รับอะไรดีครับคุณลูกค้า”

 

“ขอไอจีพนักงานเสิร์ฟหน่อยได้มั้ยครับ” ไอ้อัลฟ่าหน้าตายที่ชื่อหาญยื่นโทรศัพท์ตัวท็อปสุดในรุ่นที่หน้าจอเข้าแอปรอเสิร์ชชื่อไว้แล้วคล้ายบังคับกึ่งขอร้อง

 

หาญเป็นชายรูปร่างกำยำ ร่องกล้ามเนื้อของแผ่นอกเผยออกมาจากการปลดกระดุมเพียงสองเม็ดบนเพราะอากาศร้อน กล้ามเนื้อส่วนอื่นที่พอมองออกผ่านเสื้อนักศึกษาพอดีตัวให้เห็นรอยสักวับๆ แวมๆ ผ่านช่วงการปกปิดของผ้า

 

ร่างกายสูงใหญ่แบบคนมีเชื้อสายชาวตะวันตก เครื่องหน้าของเขายังหลงเหลือกลิ่นอายจางๆ ของชาวเอเชียให้พอมองออกว่าเป็นลูกครึ่ง เส้นผมสีดำตัดสั้นจัดเป็นทรงคล้ายไม่ตั้งใจ พอผมสบตากับดวงตาสีน้ำเข้มคู่นั้นผมก็นึกขึ้นได้

 

และอีกคุณสมบัติที่ใครๆ ต่างก็หลงใหลเขาก็คือเขาเป็นหนุ่มรูปงามชนิดที่หาตัวจับได้ยาก ใบหน้าแนวลูกครึ่งมีเสน่ห์สะกดหลายๆ คนให้ถูกตาต้องใจต้องหันไปมองหลายครั้ง

 

คิ้วเข้มเป็นทรงเป๊ะแบบไม่ต้องกันออก เบ้าตาลึกขับเน้นให้ดวงตาสีน้ำเงินเข้มดูโดดเด่น จมูกเป็นสันคม สันกรามชัด ริมฝีปากคล้ายหยักยิ้มน้อยๆ ตลอดเวลา ประกอบกันขึ้นมา หน้าตาแบบเขาก็ได้เข้ารอบเป็นถึงรองเดือนประจำมหาวิทยาลัยของรุ่นผม

 

“ต้องขออภัยด้วยครับ ไอจีพนักงานไม่อยู่ในรายการเมนูนะครับ” ผมพูดตัดบทแบบรำคาญนิดๆ แต่ไม่แสดงออกในน้ำเสียง “สนใจรับเป็นซอฟเสิร์ฟวนิลลาแทนมั้ยครับ”

 

เพื่อนๆ ของเขาส่งเสียงอู้อ้าใส่ก่อนหันไปซุบซิบกันเอง เนื้อหาคำพูดทีเล่นทีจริงทำเอาผมอดเหลือบตามองไม่ได้ “เล่นตัวเก่งจัดๆ ถ้าเป็นกูนะป่านนี้ไปเอากันหลังร้านแล้วฮ่าๆ”

 

“แดกเก่งนะมึงไอ้ชัช จะไปแย่งของไอ้หาญมันทำไม”

 

“อะแฮ่ม! งั้นถ้าซื้อเท่าไหร่เหรอครับ” เขากระแอมสียงดัง พยายามกลบเสียงของเพื่อนร่วมโต๊ะ

 

“ไซส์ S เริ่มต้นที่ 49 บาทครับ ไซส์ M 59 และไซส์ L 89 บาท กรณีของคุณลูกค้าขอแนะนำเป็นเซตอร่อยยกก๊วน 229 ได้ซอฟเสิร์ฟฟรีวิปปิ้งแอดออนท็อปปิ้งสี่ชนิดฟรีครับ” ผมกางใบเมนูที่มีรูปไอศกรีมถ้วยใหญ่เด่นหราให้อีกฝ่ายดู เจ้าหมอนั่นทำหน้าผิดหวังนิดๆ ก่อนเลือกจิ้มที่มุมหนึ่งของเล่มเมนูที่ผมถือ

 

“งั้นขอไซส์ M แล้วกันครับ”

 

“ได้ครับซอฟเสิร์ฟวนิลลาถ้วยไซส์ M รับท็อปปิ้งเพิ่มมั้ยครับรายการละ 10 บาทยกเว้นเยลลี่ซิกเนเจอร์ในมอร์” ผมปิดกระดาษก่อนจรดปากกาลูกลื่นขีดๆ คำว่าซอฟเอ็มลงไปด้วยตัวหนังสือหวัดๆ

 

“ครับ เอาเป็น...”

 

“มึงไม่บอกไปเลยว่าอยากเย็ด” หลังลับร่างผมอีกรอบเพื่อนของเขาก็ทักท้วงขึ้นมา

 

“ไอ้คิง! มึงอย่าปากไว กูไม่ได้เข้าหาเขาแบบนั้น” คนที่ชื่อหาญตวาดแหว

 

“มึงก็เอาเงินล่อเลย ใครๆ ก็เสร็จทุกราย กูว่าทำพาร์ทไทม์ร้านกระจอกงี้ก็ไม่ได้รวยนะ” อีกเสียงที่ไม่ใช่คนชื่อคิงพูดขึ้น

 

“จริงอย่างที่ไอ้ขาลพูด มีโอกาสแปดสิบเปอร์เซ็นต์ที่ตบด้วยทุนทรัพย์แล้วอีกฝ่ายจะยอมจำนน” ผมเหลือบตาไปมอง เห็นคนพูดเป็นหนุ่มตี๋ๆ ขาวๆ เหมือนลูกคนจีน เขาดันแว่นให้เข้าที่พลางวิเคราะห์อย่างเชี่ยวชาญ

 

จากรูปลักษณ์ภายนอกสามารถบอกได้ว่าเขาคือคนเอเชียร้อยเปอร์เซ็น ด้วยรูปร่างสูงโปร่ง ท่าทางเจ้าสำอางนิดๆ ผมสีดำขลับตัดเป็นทรงรับกับรูปหน้า คิ้วสูงโก่ง ดวงตาสองชั้นหลบใน หางตายกขึ้นแบบไม่ต้องทำฟ็อกซี่อายส์ จมูกโค้งรับกับหน้าผาก

 

เครื่องหน้าโดยรวมให้ความรู้สึกถึงความผ่อนคลาย แต่เขามักจะวางตัวคล้ายอยู่เหนือคนอื่นนิดๆ จนรู้สึกได้

 

“กูอยากไปกินร้านในห้างมากกว่าว่ะ อาหารให้มาอย่างเยอะ มีแต่ของต้นทุนต่ำทั้งนั้น เสือกเอามาขายแพง” หนึ่งในนั้นทำเสียงถ่มถุยขนมที่อยู่ในปากทิ้งจนเกิดเสียงโวยวายจากเพื่อนของเขา

 

“สกปรกไอ้สัส!”

 

“ชู่ว! ไอ้เหี้ยคิง มึงก็พูดไป เกิดเขาได้ยินแล้วฟ้องมึงจะทำไงวะ ฮ่าๆ”

 

คำพูดคล้ายจะห้ามปรามเพื่อนอยู่ในที แต่ก็หยอกล้อกับความไร้อำนาจของคนที่ตกอยู่ภายใต้ช่องว่างความเหลื่อมล้ำของสังคม

 

ผมที่ทำหูทวนลมแสร้งว่าไม่ได้ยินอะไรทั้งนั้นก้มๆ เงยๆ อยู่หน้าเคาน์เตอร์ที่เป็นกึ่งครัว ด้านหน้าเป็นบาร์ไว้บริการลูกค้าแต่ก็ยังไม่วายได้ยินเสียงของไอ้พวกนั้นอยู่ดี

 

ช่วยไม่ได้ที่ร้านที่ไม่ได้ใหญ่โตอะไรนี้มีพื้นที่พอให้เบียดเสียดไปกับกิจการขนาดใหญ่ที่ขนาบไปทั้งสองฝั่งของร้าน เรียกได้ว่าโดนเบียดจนถ้าไม่ตั้งใจดูดีๆ จะไม่เห็นร้านสีขาวมินิมอลเป็นบล็อกเล็กๆ ที่ตั้งอยู่ตรงนี้เลยก็ว่าได้

 

และเหตุที่ร้านมีอยู่แค่นี้เป็นเพราะตอนซื้อที่มามันเป็นแค่เศษที่ดินซึ่งเป็นแปลงเหลือๆ มาจากนายทุนเจ้าใหญ่อีกที ประกอบกันขึ้นก็เลยคลอดเป็นร้านคาเฟ่เล็กๆ บรรยากาศชิลๆ ที่มีเอาไว้คั่นกลางระหว่างร้านชาบูกับฟิตเนสเหมือนเศษผักที่ติดในซอกฟัน

 

นานๆ ทีจะมีลูกค้าหลงเข้ามาบ้าง อย่างวันนี้นอกจากโต๊ะที่ส่งเสียงดังแจ๊วๆๆๆ ของไอ้พวกนั้นก็มีนักศึกษาบางคนที่มานั่งจ่อมอ่านหนังสือ ดื่มด่ำบรรยากาศ ซึ่งประเภทหลังเป็นลูกค้าผมยินดีต้อนรับเป็นอย่างยิ่ง

 

ผมสวมถุงมือพลาสติก เปิดเครื่องทำไอศกรีมและบิดที่จับให้เนื้อครีมสีขาวร่อนตัวลงในถ้วยกระดาษสีสันพาสเทลที่ถืออยู่ หลังได้ความสูงที่พอใจ ผมเปิดฝากระปุกเยลลี่น้ำผึ้ง และคว้าเอาโหลคุกกี้จิ๋ว ตวงทั้งสองอย่างอย่างละช้อนครึ่งและเทโปะไว้บนยอดภูเขาซอฟเสิร์ฟทั้งสองลูก

 

ผมถอดถุงมือ จัดการวางถ้วยกระดาษลงบนถาดไม้ ก่อนหิ้วออร์เดอร์เดินตัวปลิวไปที่โต๊ะเจ้ากรรมนายเวรหมายเลข 15

 

“ออร์เดอร์ A103 ครับ ซอฟเสิร์ฟวนิลลา M แอดออนฮันนี่เยลลี่ และมินิคุ้กกี้” ผมช้อนถ้วยกระดาษจากถาดในมือและวางลงบนโต๊ะ พร้อมใบบิลก่อนทวนออร์เดอร์และตามด้วยแพทเทิร์นที่พูดมาเป็นร้อยๆ รอบ

 

“ครบถ้วนนะครับ หากต้องการสิ่งใดเพิ่มกรุณากดกริ่งเรียกพนักงานได้ทุกเมื่อ หากรับประทานเสร็จแล้วเชิญชำระค่าบริการได้ที่หน้าเคาน์เตอร์ ในมอร์คาเฟ่ขอบคุณที่ให้ความกรุณามาเสมอครับ”

 

ผมเดินกลับไปที่เคาน์เตอร์ ในหูก็ได้ยินเสียงซุบซิบดังแว่วๆ มา

 

“หาญ กูว่าถ้ามึงอยากได้มัน มึงต้องพยายามกว่านี้” เพื่อนของเขาเสนอ

 

“ยังไงวะ?” เขาถามกลับด้วยน้ำเสียงเคลือบแคลงใจ

 

“กูจัดการเอง”

 

ขณะที่เอาถาดไม้ไปวางไว้ในที่เก็บของมัน เสียงกริ่งออร์เดอร์ก็ดังขึ้นอีกรอบ แม่ง! พ่อมึงสิ!

 

ผมทำใจให้สงบ ยุบหนอ พองหนอก่อนเดินไปที่โต๊ะ

 

“สวัสดีครับ รับอะไรดีครับ” ผมยิ้มแป้นแล้นพร้อมบริการลูกค้าผู้น่าลัก (ลักไปฆ่า)

 

“เอาของทุกอย่างในออร์เดอร์มา อย่างละหนึ่ง” คราวนี้คนสั่งเป็นอัลฟ่าที่ไม่ใช่หาญ

 

เขาเป็นหนุ่มผิวสีแทนแบบคนสุขภาพดี เครื่องหน้าที่ประกอบด้วยจมูกโด่งเป็นสันคมรับกับคิ้วทรงเหลี่ยมทั้งสองข้าง ตำแหน่งตา และปากก็ถูกวางในตำแหน่งที่เหมาะเจาะพอดี ทำให้น่ามองเป็นอย่างยิ่ง ประกอบกับดวงตาสีน้ำตาลแกมเขียวที่บ่งบอกว่าไม่ใช่ชาวไทยแท้ยิ่งทำให้ดูมีเสน่ห์น่าลุ่มหลงเข้าไปใหญ่

 

“ครับ ได้เลยครับ” ผมรับรายการจากเขาก่อนจะกล่าวด้วยถ้อยคำสุภาพอย่างเป็นธรรมชาติว่า “ก่อนอื่นต้องขออภัยคุณลูกค้าด้วยครับ สินค้าประเภทเค้กบางรายการอาจจะไม่พร้อมให้บริการเนื่องจากวัตถุดิบหมด”

 

“งั้นนายก็ไปหามา”

 

“เอ่อ... ต้องขออภัยด้วยครับ เนื่องจากการสต็อกวัตถุดิบไม่ใช่หน้าที่ของพนักงานเสิร์ฟ จึงไม่สามารถให้บริการสินค้าได้ครับ” ก็ของมันไม่มี มึงจะเอายังไง!!! ทว่าฝ่ายนั้นก็ยังยืนกรานหัวชนฝา

 

“ฉันสามารถซื้อร้านนี้แล้วไล่นายออกได้ถ้านายไม่มีความพยายามมากพอที่จะหาสินค้าที่ฉันต้องการมาให้ฉัน” พ่อหนุ่มคนรวยในกลุ่มเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงนิ่งๆ โอ้โห... เปิดมาด้วยมาดหนุ่มนักธุรกิจต่อรองขอกินเค้กมะพร้าวอ่อนที่ผมเพิ่งเสิร์ฟชิ้นสุดท้ายให้ลูกค้าโต๊ะ 8 เมื่อสิบนาทีที่แล้ว

 

ผมมารู้เอาทีหลังว่าบ้านหมอนั่นเป็นเจ้าของโรงแรมประดับดาวหลายแห่งทั่วภูมิภาคเอเชีย แถมยังมีข่าวลืออกมาว่าไอ้หมอนี่แม่งเป็นมาเฟียตัวจริงเสียงจริง ดีแล้วที่วันนั้นผมไม่โดนลากไปฆ่าจริงๆ เพราะเพื่อนเขาชอบผมก็เถอะ…

 

ไม่ว่าอย่างไรก็ตามนั่นทำให้ผมมีจุดจบอยู่ทีหลังร้านซึ่งเป็นส่วนที่ยื่นออกมาด้านนอก มีกันสาดแปะอยู่กับตัวอาคารพอให้บังแดดบังฝนได้บ้าง

 

ในมือผมมีบุหรี่มวนหนึ่งที่ค่อยๆ ลุกไหม้ ผมสูดควันเข้าปอด ก่อนจะพ่นออกมาแทนการระบายความรำคาญใจ ส่วนโทรศัพท์ปุ่มกดในมือก็ต่อสายไปหาคนที่พอจะช่วยผมได้ ทันทีที่ปลายสายรับสายผมก็โพล่งออกไปทันที “ต่อสายคุณประภาพรให้หน่อย”

 

มีเสียงกุกกักอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนสายจะถูกโอนไปที่อีกคนซึ่งมีน้ำเสียงร่าเริง “หะโหลๆ อ้าวน้องโพธิ์ เจ๊ฝ้ายจ้า เจ๊ฝ้ายพูดสาย”

 

“ครับ คือลูกค้าสั่งออลออร์เดอร์ แต่เค้กมะพร้าวหมดสต็อก” ผมรายงานอย่างรวบรัดที่สุด

 

“อ้าว แล้วที่เจ๊เห็นในตู้เย็น...”

 

“อันนั้นของลุงยล” ผมสูดควันเข้าปอด

 

“อ่อ โอเค เจ๊เข้าใจแล้ว เดี๋ยวส่งพี่เข้าไปนะ” เกิดเสียงสวบสาบของกระดาษ ตามด้วยเสียงกดแป้นโทรศัพท์

 

“เอ้อ เจ๊ครับ พนักงานใหม่ที่เราเทรนด์สัปดาห์นี้น่ะ...”

 

“จ๋าจ้า...”

 

“เอามาเฝ้าร้านเลยได้มั้ย โพธิ์ขอกลับก่อนเวลาได้มั้ย”

 

“ได้เลยค่ะ เดี๋ยวเจ๊แจ้งน้องให้นะคะ สิบนาทีน้า... น้องโพธิ์รอหน่อยนะคะ”

 

หลังตัดสายผมก็ทิ้งบุหรี่ที่ยังไม่หมดมวนลงพื้น อนิจจาตอนนั้นเองที่ควันลอยเข้าตาจนตาแสบพร่าไปหมด ผมหลับตาปี๋ครู่หนึ่ง ก่อนครู่ต่อมาจะค่อยๆ คลายลง จากนั้นผมจึงใช้เท้าขยี้บุหรี่เจ้ากรรมจนมอดแล้วค่อยเดินกลับเข้ามาในร้าน

 

“สรุปหามาได้มั้ย” ทันทีที่เดินเข้าร้านไอ้อัลฟ่าคนเดิมก็โพล่งขึ้น ทีแรกผมกะจะหาน้ำล้างตาสักหน่อยได้แต่จำใจหันไปตอบรับเขาด้วยดวงตาที่ยังเคืองอยู่นิดๆ พร้อมน้ำคลอหน่วยตา

 

“ได้ครับ คุณลูกค้ารอสักสิบนาทีนะครับ”

 

“ไอ้ขาล! มึงทำเกินไป มึงไปกดดันเขา” คนชื่อหาญทำเสียงเข้มใส่เพื่อน

 

“กดดันอะไรหาญ กูเป็นลูกค้า กูต้องได้ที่กูต้องการ” ขาลทำเสียงฮึดฮัด

 

“มึงทำเขาร้องไห้นะ” หาญพูดเสียงรอดไรฟันให้ได้ยินแค่กลุ่มเขา แต่ผมก็ดันได้ยินเข้าเหมือนกัน

 

“ถ้าแค่นี้แล้วขี้แยก็อ่อนแอเกินไปปะวะ”

 

ผมสรรเสริญพ่อเขาเป็นรอบที่ล้านก่อนจะวักน้ำมาล้างตาแบบลวกๆ จนเปียกชุ่มไปถึงเสื้อสีขาวของตัวเอง จากนั้นก็เดินไปที่ครัวแล้วทำเมนูที่พอทำได้ไปก่อนระหว่างรอของเข้ามาเติมสต็อก

 

ผมตั้งใจเสิร์ฟอาหารประเภทขนมหวานอย่างไอศกรีมและเจลาโต้ก่อน เจ้าพวกนี้เจอกับอากาศประเทศไทยประเดี๋ยวจะละลายกลายเป็นน้ำอดกินกันพอดี

ผมนับจำนวนและทำสัญลักษณ์ในรายการที่เตรียมเรียบร้อยแล้วอย่างคล่องแคล่ว หลังจากหันรีหันขวางอยู่สามสี่ทีอาหารชุดแรกก็พร้อมยกไปบริการให้กับพวกเขา

 

“ส่วนนี้เป็นรายการชุดแรกนะครับ เดี๋ยวรายการในชุดที่เหลือจะตามมาทีหลัง” ผมแจกแจงรายละเอียดพร้อมโค้งให้พวกเขาอย่างสุภาพ ก่อนรีบหนีไปทำพวกกาแฟร้อนและน้ำปั่นซึ่งใช้เวลาพอสมควร

 

หลังผมเสิร์ฟเครื่องดื่มและขนมปังปิ้งครบแล้วพี่มัทรซึ่งเป็นหญิงสาวสวยอยู่ในชุดเสื้อสูทและกระโปรงทรงเอสีแดงแปร๊ดแบบเช็คเพอร์ซันนอลคัลเลอร์แล้วก็เข้ามาพร้อมน้องนักศึกษาตัวเล็กๆ ขาวๆ น่ารักๆ คนหนึ่ง

 

พี่มัทรกล่าวทักทายผมพอเป็นพิธี ส่วนน้องพนักงานใหม่ก็ยกมือไหว้ผมอย่างสุภาพ “พี่โพธิ์ สวัสดีครับ”

 

“สวัสดีครับ” ผมยกมือรับไหว้ พี่มัทรรีบกุลีกุจอเข้ามาจัดแจงข้าวของช่วยผมแล้วทยอยยกไปยังโต๊ะหมายเลข 15 ส่วนน้องเบส... “เดี๋ยวพี่เสิร์ฟเสร็จแล้วเรารับช่วงเลยนะ ตอนนี้เคลียร์ครัวช่วยพี่หน่อยครับ”

 

“ได้ครับ” อีกฝ่ายตอบรับอย่างขยันขันแข็งก่อนหันไปล้างภาชนะที่ใช้แล้วจากนั้นก็ตากให้เรียบร้อย หลังจากเสิร์ฟอาหารจนหน้าโต๊ะแน่นขนัดไปด้วยแก้วและจานชามผมก็เป็นคนรับหน้าเอ่ยปิดพิธี

 

“ได้รับรายการครบถ้วนแล้วนะครับ หากรับประทานเสร็จแล้วเชิญชำระค่าบริการได้ที่เคาน์เตอร์ด้านหน้า ในมอร์คาเฟ่ต้องขอขอบพระคุณอย่างยิ่งที่ให้ความกรุณาเสมอมาครับ” ผมกล่าวก่อนจะโค้งแทบจะเก้าสิบองศาให้กับพวกเขา

 

หลังหันหลังแต่ยังไม่ได้กลับไปก็มีเสียงร้องเรียกดังขึ้น “เดี๋ยวบ๋อย!”

 

“ครับ” ผมหันขวับก่อนประคองรอยยิ้มการค้าเอาไว้บนหน้าที่ชักกระตุกนิดๆ ของตัวเอง นายคนที่ชื่อชัชทำมือหมุนๆ บนโต๊ะ

 

“เช็คบิล ห่อทั้งหมดนี่ให้หน่อย” พวกเพื่อนๆ เขาหัวเราะคิกคัก

 

“เอ่อ… ผมเลิกงานแล้วครับ เดี๋ยวให้พนักงานอีกคนรับช่วงต่อนะครับ ขออภัยในความไม่สะดวกด้วยครับ” ผมกล่าวอย่างสุภาพและใจเย็นที่สุดเท่าที่จะทำได้ ก่อนที่พี่มัทรจะเรียกผม

 

“น้องเบต้า น้องเบต้า!”

 

ผมขานรับ ก่อนจะหันมาที่พวกเขาอีกรอบ “เดี๋ยวขอตัวสักครู่นะครับ”

 

ผมเดินก้าวฉับๆ ไปที่เคาน์เตอร์ ก่อนส่งสัญญาณให้น้องเบสออกไปจัดการพวกเขาต่อ

 

หลังเข้าไปในที่ลับตาคนซึ่งเป็นที่เก็บของก่อนออกมานอกตัวร้านอีกฝ่ายก็เอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงอ่อยๆ “ขอโทษนะคะน้องโพธิ์ที่ต้องมาเจอเรื่องวุ่นวายแบบนี้ พี่ไม่น่าเลื่อนเวรเรามาไว้ร้านนี้เลย”

 

“ไม่เป็นไรครับพี่ ผมเข้างานกะนี้อยู่แล้ว ไม่ได้ทำร้านนี้ก็ทำร้านอื่นอยู่ดี มีเจอคนน่าปวดหัวบ้างก็เป็นเรื่องธรรมดา” ถึงตอนนี้จะกำลังหนีงานก็เถอะ

 

“จะเป็นอะไรมั้ยคะถ้าพี่ให้น้องโพธิ์รับงานต่อนิดหน่อย” พี่มัทรดูมีท่าทางลำบากใจเล็กๆ ก่อนจะบอกรายละเอียดงานมาคร่าวๆ “มันมีงานเสวนาขอมันเดลกรุ๊ปที่ชั้น 63 ตึก…”

 

“คือถ้าน้องโพธิ์ลำบากใจก็ไม่เป็นไรนะคะ สามเดือนก่อนน้องก็เพิ่งกลับจากญี่ปุ่นมา” พี่มัทรมีสีหน้าลำบากใจสุดๆ แต่ในขณะเดียวกันดวงตาคู่นั้นก็เต็มเปี่ยมไปด้วยความคาดหวัง

 

“งั้น…พี่พอจะขับรถให้ผมได้มั้ยล่ะครับ”

 

“ขอบคุณน้องโพธิ์มากค่ะ! เดี๋ยวพี่พาหนูไปเอง” อีกฝ่ายโค้งให้ผมปะหลกๆ ก่อนจะควักโทรศัพท์ขึ้นคุยงานต่อ “เดี๋ยวน้องโพธิ์ออกไปรอพี่ข้างนอกก็ได้นะคะ พี่คุยงานแปบนึง”

 

ผมผงกหัวให้พี่มัทรก่อนจะเดินออกมาพบกับ…

 

“หนูเพิ่งเข้าทำงานเหรอคะ ให้แด๊ดซื้อร้านนี้แล้วให้เงินเดือนหนูเยอะๆ ดีมั้ย” ฝ่ายชายว่าพลางใช้มือหนาๆ ลูบบั้นท้ายของคนที่ยืนอยู่ป้อยๆ

 

“แหม… แด๊ดก็พูดไป หนูมาหาประสบการณ์เฉยๆ” ส่วนอีกฝ่ายที่เป็นชาย เอ้อ… โอเมก้าชายก็รับมุกด้วยการหัวเราะเสียงหวาน

 

“หนูไม่ต้องลำบากก็ได้ค่ะ เดี๋ยวให้แด๊ดเลี้ยงเองดีมั้ย หนูเลิกงานกี่โมงคะ”

 

เอ่อ… ใช่ครับ อัลฟ่าโต๊ะ 15 กำลังจีบพนักงานเสิร์ฟใหม่แกะกล่องอยู่ ผมกะพริบตาปริบๆ ก่อนเดินเข้าไปในครัวแล้วเปิดเครื่องปั่นทำเครื่องดื่มให้ตัวเองง่ายๆ ก่อนเปิดตู้เย็นหยิบเค้กเรดเวลเวทออกมาตักกินที่หน้าเคาน์เตอร์

 

เมื่อกี้ไอ้ขาล… คาร์ลอะไรนั่นเพิ่งทำเสียงแข็งใส่กูไปหยกๆ ผมตักเค้กเข้าปากก่อนจะซัดต่อด้วยสมูธตี้ น้องเบสสังเกตเห็นผมในที่สุด เขาส่งสายตามาหาผมว่า… ว่าอะไรก็ไม่รู้เหมือนกัน ผมดันไม่ได้สนิทกับเขาพอจะอ่านสายตาออกด้วยสิ

 

ผมส่งสัญญาณกะพริบตารัวๆ กลับไป หวังให้คลื่นความถี่ของพวกเราจูนกันติด น้องเบสทำหน้าลำบากใจก่อนหันกลับไปรับหน้ากับอีกฝ่ายที่บอกว่าอาหารอร่อยมากเลย เขาจะอยากกินของหวานฝีมือน้องทุกๆ วันแบบนี้

 

เอ่อ… ลืมอะไรไปหรือเปล่าครับ ที่กองอยู่บนโต๊ะพวกมึงคือฝีมือกูนะ ยกเว้นเค้กนั่นที่พี่มัทรเพิ่งหิ้วเข้ามา ผมตักเค้กเข้าปากอีกรอบ ก่อนจะได้ยินเสียงพี่มัทรคนดังกล่าวที่คุยโทรศัพท์แทรกเข้าหู

 

ผมทิ้งกล่องเค้กที่ว่างเปล่าลงถังขยะ ก่อนจะหันมาดูดน้ำปั่นในมือดูคนจีบกันไปพลางๆ “...หรือเปล่า”

 

“หือ…” ผมหันไปตามต้นเสียง พบว่าเห็นไอ้ หาน… ห่านนั่นที่เพิ่งเซ้าซี้ขอไอจีผมไปหยกๆ นี่วาร์ปมาเหรอ…

 

“ว่างหรือเปล่า เลิกงานกี่โมง” ตอนนั่งอยู่ก็ไม่อะไรหรอก แต่พอยืนคุยกันด้วยความสูงเต็มเหยียดแบบนี้ผมนี่แหละที่ต้องเงยหน้าคุยกับเขา ทำไมตัวสูงงี้วะ นี่ถ้าวันไหนขัดใจมัน มันจะเอากล้ามแขนรัดกูหรือเปล่าเนี่ย…

 

“เลิกงานแล้ว แต่มีจ๊อบต่อ ไม่ว่างอะ” ผมตอบไปแบบซื่อๆ

 

“ไม่ว่างจริงๆ หรอ” เขาทำเสียงหงอยเหมือนลูกหมา “งั้นคราวหน้ามาทำงานกี่โมง”

 

“เอ่อ…” เรื่องนั้นตอบไม่ได้หรอก ตารางชีวิตผมมันวุ่นอย่างกับอะไรดี “คือไม่ใช่ไม่อยากตอบนะ แต่…”

 

“น้องโพธิ์คะ ถึงเวลาแล้วค่ะ” พี่มัทรเอ่ยด้วยรอยยิ้ม ก่อนมองร่างสูงๆ ใหญ่ๆ ที่เข้ามาประชิดตัวผมโดยมีบาร์ตรงกลางกั้นอยู่ “ถ้าลูกค้าต้องการอะไรบอกน้องพนักงานโอเมก้าที่ยังอยู่ในเวลาเข้างานได้เลยนะคะ คนนี้เลิกงานแล้วค่ะ ไม่รบกวนกันดีกว่านะ”

 

พี่มัทรเอ่ยด้วยรอยยิ้มและกล่าวด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลผิดกับความหมายแฝงที่แทบจะกินเลือดกินเนื้อ ผมผงกศีรษะ จากนั้นก็เดินตามอีกฝ่ายออกไปด้านนอก แต่ยังไม่ทันที่จะก้าวพ้นธรณีประตู เสียงทุ้มๆ ก็ตะโกนไล่หลังมา

 

“เดี๋ยวครับ!”

 

ผมหันไปมองเขา… อันที่จริงคือทุกคนในร้านหันขวับไปยังต้นเสียงเป็นตาเดียว

 

“เราจีบโพธิ์อยู่ เราจะมาร้านนี้ทุกวันจนกว่าโพธ์จะใจอ่อน แต่ถ้าเราไม่เห็นโพธิ์เราก็จะตามหาโพธิ์ให้เจอ เพราะงั้นไม่ต้องคิดหนีเรา เพราะต่อให้โพธิ์หนีไปไหนเราก็จะตามจนเจออยู่ดี!”

 

เท่านั้นแหละ บรรดาลูกค้าที่ตอนแรกนั่งอยู่เฉยๆ ไม่อยากยุ่งเรื่องชาวบ้านก็พากันซุบซิบกันให้แซ่ด

 

“นั่นใช่หาญปะ คนที่เป็นรองเดือนปีเราอะ”

 

“กูว่าใช่”

 

“หาญมีรสนิยมว่ะ เลือกคนจีบยากด้วย”

 

“ฮัลโหล ไอ้ฝน นั่นแฟนเก่ามึงปะที่กูถ่ายส่งให้ดู!”

 

“มึง พี่โพธิ์รุ่นพี่เรามั้ย ที่ตอนม.ปลายฮอตๆ อะ”

 

“กูเข้าม.นี้เพราะพี่โพธิ์เลยนะ ฮือออ… กูสู้คนมาจีบเขาไม่ได้เลย กูว่ากูอกหัก” เอ่อ… อันนี้ไม่ลองดูพี่ก็ไม่รู้นะครับ หนูอาจจะจีบพี่ติดก่อนไอ้หาญนี่ก็ได้

ผมกะพริบตาปริบๆ ก่อนที่จะปิดประตู อีกฝ่ายก็ส่งยิ้มมาให้ “ไว้เจอกันนะครับ”

 

ผมนั่งเอ๋อในรถสักพัก ก่อนจะถูกเรียกสติด้วยพี่มัทรที่อธิบายแผนงานให้คร่าวๆ ก่อนจะตบท้ายด้วย “น้องโพธิ์ฮอตนะคะเนี่ย”

 

“ไม่ขนาดนั้นมั้งครับ” ดูทรงน่าจะโดนเพื่อนพนันกันให้มาจีบผมมากกว่าล่ะมั้ง ผมเกาแก้มก่อนจะคลี่กระดาษดูตารางเวลา

 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

คุณคิดยังไงกับนิยายเรื่องนี้

* สามารถกรอกแบบสำรวจโดยไม่ต้องเป็นสมาชิกก็ได้ครับ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา