ม.ปลายสายเวทย์
-
เขียนโดย TheBoyOnTheMoon
วันที่ 13 พฤษภาคม พ.ศ. 2567 เวลา 21.39 น.
19 ตอน
1 วิจารณ์
3,987 อ่าน
แก้ไขเมื่อ 17 พฤษภาคม พ.ศ. 2567 20.34 น. โดย เจ้าของนิยาย
8) Crab, TV tower, and red brick building
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ08
Crab, TV tower, and red brick building
มารีกับนัวร์มาโผล่ที่ตรอกแคบ ๆ แห่งหนึ่ง เมื่อเดินออกมาก็พบถนนที่มีรถยนต์วิ่งไปมา ติดกับฟุตบาทคือร้านอาหารที่แช่สัตว์ทะเลไว้ในตู้ และพร้อมยกขึ้นมาย่างบนเตาทันที กลิ่นหอม ๆ โชยมาทำให้น้ำลายไหล มีป้ายเขียนด้วยตัวอักษรที่ไม่คุ้นเคยอยู่เต็มไปหมด ท้องฟ้าสดใส แสงแดดเลยจุดเหนือศีรษะค่อนไปทางทิศตะวันตกพอสมควร
เธอหยิบสมาร์ตโฟนออกมา จากนั้นก็หาวายฟายสาธารณะเพื่อเข้าอินเตอร์เน็ตอันเป็นปัจจัยที่ห้า แม้ความเร็วอินเตอร์เน็ตจะช้ายิ่งกว่าหอยทากเป็นตะคริวตามสภาพของฟรี แต่มารีแค่ต้องการดูว่าเธอมาโผล่ที่ใดจากแอปพลิเคชันแผนที่เท่านั้น
มารีไม่ลืมถ่ายรูปจุดที่เดินออกมาจากอีกโลกด้วยสมาร์ตโฟนเพื่อกันลืม จากนั้นเด็กสาวกับคู่หูก็หาร้านอาหารที่ถูกใจเพื่อหาอาหารเช้ากิน กระนั้นคนที่นี่คงต้องเรียกว่าเป็นอาหารเย็นแล้ว
แน่นอนว่าต่างถิ่นต่างที่แบบนี้ย่อมมีอุปสรรคในเรื่องของภาษา แม้มารีจะใช้ภาษาเวทมนตร์สื่อสารได้ แต่ก็ฟังอีกฝ่ายไม่รู้เรื่อง เธอจึงเลือกใช้แอปพลิเคชันในสมาร์ตโฟนในการสื่อสารกับพนักงานแทน และใช้ภาษาท่าทางในการสั่งอาหารแบบทุลักทุเลเล็กน้อย ไม่นานเซ็ตอาหารก็มาเสิร์ฟ เป็นข้าวโปะด้วยของทะเลสดแบบทะลัก พร้อมกับซุปเต้าหู้สีน้ำตาลอ่อน หอยนางรมย่าง และที่เด็ดที่สุดก็คือปูยักษ์ที่ต้มมาทั้งตัว
แม้จะไม่รู้ภาษา แต่มารีก็พอจะรู้วัฒนธรรมของที่นี่อยู่ และเธออยากทำแบบนี้มานานแล้ว เด็กสาวแยกตะเกียบไม้ไผ่ที่ติดกันอยู่ออก แล้วก็พนมมือ
“...Itadakimasu”
“นะ...นั่นมันอะไรกัน”
อาเรียที่แอบอยู่ที่มุมตึกน้ำลายไหลออกมาเพราะกลิ่นหอม ๆ ของอาหารทะเลย่าง รวมถึงท่าทางการกินเงียบ ๆ แต่เอร็ดอร่อยมารี กับการกินแบบเพลิดเพลินไปกับความอร่อยออกหน้าออกตาของเด็กผู้ชายมนุษย์สัตว์อีกคน
เธอเองก็ไม่ได้กินข้าวเช้าที่โรงอาหารมาเพราะออกมาเดินกายบริหารข้างนอกแต่เช้า ท้องของเธอจึงร้องโครกคราก
เด็กสาวผมเงินมองซ้ายมองขวา ค่อย ๆ ออกมาจากที่ซ่อนโดยที่ไม่ให้มารีสังเกต แล้วก็เดินดูร้านรวงที่ขายอาหารนานาชนิด
แม้จะดูน่ากินแค่ไหน ปัญหาคือเธอไม่รู้จะอาหารสั่งยังไง และจะจ่ายยังไงด้วย แต่เดิมเธอแค่สั่นกระดิ่งก็มีคนใช้ยกอาหารมาเสิร์ฟให้แล้ว
แต่อีกปัญหาหนึ่งก็คือตอนนี้อาเรียใส่เหมือนหลุดมาจากสมัยวิคตอเรียน บวกกับหน้าตาแบบชาวต่างชาติ สายตาของผู้คนจึงมองมาที่เธอแบบแปลก ๆ ไม่ใช่แววตาที่มองด้วยความชื่นชมแบบที่เธอเคยได้รับ นั่นยิ่งทำให้เด็กสาวรู้สึกอึดอัดเข้าไปอีก
ที่นี่มันแปลกประหลาดไปหมด คนแต่งตัวแปลก ๆ ตึกรอบ ๆ เป็นทรงสี่เหลี่ยมเหมือนกล่อง บนถนนก็มีกล่องโลหะวิ่งได้ เป็นที่ ๆ เธอไม่รู้จักเลย
หิวก็หิว กลัวก็กลัว ทิฐิช่างหัวมันแล้ว อาเรียตัดสินใจไปหามารี
“คะ...คือว่า...
ทว่าดูเหมือนจะไม่มีใครอยู่ที่ร้านแล้ว นอกจากบริกรที่กำลังเก็บจานอาหารอยู่และมองเธอด้วยหน้างง ๆ
สาวผมเงินกลับหลังหัน ก่อนจะเดินกลับไปที่ ๆ เธอเดินออกมาจากกำแพงอย่างยอมแพ้ ทว่าเท้าก็ต้องหยุดชะงัก
เพราะเธอจำทางกลับไม่ได้...
หลังกินอาหารเสร็จ มารีเดินดูของในร้านของชำไม่ไกลจากร้านอาหารที่เธอนั่งมาเมื่อครู่ แม้จะรู้สึกตงิด ๆ ว่ามีคนแต่งตัวแปลก ๆ วิ่งไปวิ่งมาอย่างตื่นตระหนกข้างนอกร้าน แต่เธอก็ไม่สนใจ มารีดูพวกอาหารทะเลแห้งและขนุกขนมที่น่าจะถูกปากชาวต่างชาติ ส่วนนัวร์ก็ไปนั่งยอง ๆ ดูปูตัวโตที่ลอยไปลอยมาอยู่ในตู้ด้วยตาแป๋ว
เอาขนมไปฝากเจ้าพวกสามคนนั้นให้งงเล่นดีกว่า
หลังจากซื้อเสร็จ มารีก็ว่าจะกลับเลย แต่หอสัญญาณโทรทัศน์สีส้มแดงคล้ายหอไอเฟลไกล ๆ นั้นก็ดูดึงดูดไม่น้อย มีจอแอลซีดีขนาดใหญ่ที่แสดงอุณหภูมิและเวลาท้องถิ่นเอาไว้
มารีกับนัวร์เดินจูงมือกันเลาะมาเรื่อย ๆ จนถึงหอสัญญาณซึ่งตั้งอยู่ในสวนสาธารณะใจกลางเมือง ขนาบข้างด้วยถนนและตึกทั้งสองข้างในแนวนอน คั่นเป็นล็อก ๆ ด้วยถนนในแนวขวาง แต่ละล็อกปลูกต้นไม้เอาไว้ บางล็อกมีน้ำพุ บางล็อกก็มีรูปปั้นตั้งอยู่
“ถ่ายรูปกัน” มารีบอกกับนัวร์ ก่อนจะย่อตัวกอดคอเด็กน้อย เธอยื่นสมาร์ตโฟนไปสุดแขน และถ่ายเซลฟีมุมเสยขึ้นไปให้เห็นยอดหอคอย แก้มของทั้งสองกลายเป็นสีชมพูระเรื่อ
ไปอีกสักหน่อยแล้วกัน หลังเช็ครูปในโทรศัพท์ มารีก็เก็บมันใส่กระเป๋าออกกำลังกายและเดินไปต่อ เธอรู้สึกว่าจะได้ยินเสียงตะโกนแว่ว ๆ มา แต่ก็ไม่ได้สนใจ
ในระหว่างที่เดินผ่านหอนาฬิกาหลังเก่าของเมืองไปนั้นเอง ก็เห็นอีกาหลายตัวเกาะตามเก้าอี้สาธารณะ ตามสายไฟฟ้า บ้างก็บินไปบินมา มารีมองดูพวกมันเงียบ ๆ พลางขยับให้ปีกหมวกแก็ปให้ปิดบังใบหน้ามากขึ้น นัวร์เองก็ดูจะสนใจพวกมันไม่น้อย
อีกา...
วันนั้น อีกาก็เยอะเหมือนกันนะ...
จุดมายสุดท้ายคืออาคารอิฐสีแดงหลังใหญ่สไตล์ยุโรป หลังคาเป็นสีน้ำเงินเข้ม กึ่งกลางมีการสร้างหลังคาโดมสีสนิมทองแดงสูงขึ้นไปและประดับเสาธงเอาไว้ โดยรอบเป็นสวนสาธารณะที่เต็มไปด้วยต้นไม้ใหญ่ที่กำลังผลิใบสีเขียวสด ด้านหน้าของอาคารก็มีการปลูกแปลงดอกไม้สีสันฉูดฉาดเอาไว้
มารียกโทรศัพท์ขึ้นมาถ่ายรูป ทว่าในเฟรมดันไปติดคนหน้าคุ้น ๆ
“แฮก...แฮก...อยู่นี่เอง...ฮือออ” อาเรียเดินโซซัดโซเซมาหาเธอ ตาทั้งสองข้างของเธอบวมแดง แก้มเปียกชุ่มไปด้วยน้ำตา
ให้ตายสิ...
สาวแว่นได้แต่ถอนหายใจออกมา สงสัยคงต้องใช้คาถาลบความทรงจำกันเสียแล้ว
แต่ในตอนนั้นเอง มารีก็ก็สังเกตเห็นว่าของหลังของอาเรียไกล ๆ นั้นมีร่างของใครบางคนยืนอยู่ ดวงตาสีน้ำตาลแดงมองมาพร้อมกับรอยยิ้มน่าขนลุก
“อันตราย!”
มารีก็ตัดสินใจโผพุ่งเข้าใส่อาเรียจนล้มลงไปทั้งคู่ นั่นเพราะมีบางสิ่งวิ่งออกมาจากตึกอิฐแดง โดยมีเป้าหมายคืออาเรีย ถ้าหากมารีไม่ทำแบบนั้น แม่สาวผมเงินก็คงโดนมันงาบไปแล้ว
“โฮกกก”
เจ้าสิ่งที่ว่านั้นเป็นสิงโตมีเขาสูงราวสามเมตร มีปีกเหมือนค้างคาวและมีหางเป็นแมงป่อง หลังจากสไลด์ไปเพราะพลาดเป้า มันก็กลับหลังหันมาแยกเขี้ยวและคำรามมาทางอาเรียกับมารี
“แมนติคอร์เหรอ!”
อาเรียร้องออกมา ผู้คนที่อยู่แถว ๆ นั้นกรีดร้องและวิ่งหนีอย่างแตกตื่น นัวร์หันไปเผชิญหน้ากับมันและกางแขนสองข้างเพื่อปกป้องสองสาว
แมนติคอร์จัดเป็นสัตว์วิเศษชนิดหนึ่งที่มีความดุร้ายและอันตรายมาก ปกติพวกมันจะอาศัยอยู่ในที่ ๆ ไม่มีผู้คน และไม่ยุ่งกับคนถ้าไม่มีใครไปแหย่ให้มันอาละวาด
แต่อยู่ดี ๆ ทำไมแมนติคอร์ถึงได้มาโผล่ที่โลกมนุษย์ล่ะ
“มารี มารี!” อาเรียเขย่าร่างของมารี ทว่าร่างของเธอกลับไร้ซึ่งเรี่ยวแรง แม้ดวงตาสีเปลือกไม้จะลืมอยู่ แต่มันกลับเลื่อนลอยไร้ประกายของชีวิต
เด็กสาวผมเงินเอานิ้วแตะที่คอของมารี ก่อนจะเบิกตากว้าง
ชีพจรหายไป...
“โฮกกก” แมนติคอร์คำรามใส่อาเรีย แล้วก็วิ่งเข้ามาด้วยความเร็วแบบดับเครื่องชน
ทำอะไรไม่ได้แล้ว อาเรียหลับตาลงและล้มตัวลงไปกอดร่างของมารีเอาไว้แน่น นัวร์เพียงมองมันด้วยแววตาแข็งกร้าว
โครม!
เมื่อลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง ดวงตาสีฟ้าสดใสของเด็กสาวก็เบิกกว้าง เพราะมีกำแพงน้ำแข็งก่อตัวขึ้นมาข้างหน้านัวร์ สิ่งนี้ก็ทำให้เจ้าแมนติคอร์หน้าบี้เป็นปลาบู่ชนเขื่อนและค่อย ๆ ไหลลงไปกองกับพื้น
“ทะ...ทำได้ไงอะ” สาวผมเงินร้องออกมาทึ่ง ๆ นัวร์เลยเก๊กท่าหล่อไปหนึ่งทีจนน่าถีบ
“ไม่ใช่ผมหรอกฮะ”
“หา?”
เสียงฝีเท้าดังขึ้นมาแทรก เมื่ออาเรียหันไปทางต้นเสียงก็พบกับร่างอ้อนแอ้น ไม่สูงมากนัก สวมเสื้อโค้ทสีขาวขลิบทองปล่อยชายยาวมาจนถึงประมาณเข่าแบบเดียวกับตอนที่สอบภาคปฏิบัติ ชุดด้านในเป็นเสื้อเชิตขาวทับด้วยเสื้อกั๊กสูท กางเกงขายาวกับรองเท้าบูทสีเข้ม ศีรษะของเขาคลุมด้วยฮู้ด และมีหน้ากากรูปหัวนกฮูกสีขาวปิดบังใบหน้าเอาไว้ ที่มือขวาสวมถุงมือดำและถือดาบใหญ่ที่ทำจากน้ำแข็งแกะสลักอย่างวิจิตรงดาม
ไม่มีคำพูดใด ๆ ออกมาจากบุคคลปริศนา เขาเพียงจับดาบให้มั่นและพุ่งเข้าใส่แมนติคอร์ทันที
นักดาบเข้าต่อสู้กับแมนติคอร์อย่างคล่องแคล่ว เขาตีลังกาหลบกรงเล็บของสัตว์ร่าย และฟันดาบเข้าเต็ม ๆ คางของแมนตคอร์ด้วยพลังกายมหาศาลจนมันหงายหลัง เลือดสีแดงของสัตว์ร้ายสาดกระเซ็นไปทั่ว
ในจังหวะนั้นเอง นัวร์เปิดกระเป๋าออกกำลังกายของมารี หยิบสมาร์ตโฟนออกมา เขาปลดล็อกโทรศัพท์และเปิดภาพของตรอกที่ถ่ายมาก่อนหน้านี้แสดงให้อาเรีย
“ไปที่นี่เร็วฮะ” เขาชี้ไปในสมาร์ตโฟน แต่ปัญหาคือ...
“แล้วฉันจะรู้ได้ไงว่าจะต้องไปทางไหนอะ” เด็กสาวผมเงินแย้ง นัวร์เลยเอามือกุมขมับครู่หนึ่ง
“อย่างงี้เมี้ยว” เด็กน้อยน้อยทำท่าแปลก ๆ ด้วยการใช้แขนหมุนเป็นวงกลม ขนาดนี้คุณเธอน่าจะรู้ได้แล้วนะ
“จริงด้วย อิททิเนรันทัวร์!” อาเรียหยิบไม้กายสิทธิ์สีเงินออกมาวาดเป็นวงกลม เพียงแวบเดียว วงแหวนเวทมนตร์สีเหลืองก็ปรากฏขึ้นมา เธอแบกร่างของมารีเข้าไปในวงแหวนกลับมาที่ตรอกและทะลุเข้ากำแพงกลับไปที่อุทยานของโอวล์ฟอสเทียร์อย่างปลอดภัย
เมื่อเห็นว่าพวกอาเรียหายไปแล้ว นักดาบปริศนาจึงมีสมาธิอยู่กับเป้าหมายตรงหน้าอย่างเต็มที่
แมนติคอร์สะบัดหางแมงป่องพุ่งเข็มพิษแหลมเข้าใส่ แต่ด้วยรูปร่างที่เล็กแต่เพรียวบาง นักดาบจึงกระโดดตีลังกาพร้อมกับวาดดาบออกไป
“โฮกกก”
คบดาบตัดหางแข็ง ๆ จนขาดสะบั้น นักดาบกลับลงมาทีพื้น แล้ววิ่งไปเอามือสัมผัสกับผนังของอาคารอิฐแดงที่แมนติคอร์ปรากฏตัวออกมาก่อนหน้า แต่มือของเขาสัมผัสได้แต่ความแข็ง ไม่ใช่ผลุบเข้าไป
“...ไม่ใช่เกทงั้นเหรอ”
เมื่อหันกลับไป ก็เห็นแมนติคอร์กำลังพุ่งเข้ามาด้วยความโกรธ เขาเพียงแค่ย่อตัวและกระโดดตีลังกาหลังหลบ ทำให้เป้าหมายที่เจ้าสัตว์ร้ายปะทะก็คือกำแพงแข็ง ๆ และในจังหวะที่ลอยตัวอยู่ เขาก็ตวัดดาบส่งคลื่นพลังเวทมนตร์ออกไปตัดปีกทั้งสองของมันจนขาด แมนติคอร์คำรามลั่นด้วยความเจ็บปวด
ในจังหวะที่มันยังไม่ทันตั้งตัว นักดาบก็พุ่งทะยานเข้ามาด้วยความเร็ว ตัดเส้นเลือดใหญ่ที่คอ และเส้นเอ็นที่ขาทั้งสี่ จนมันไม่สามารถลุกได้อีกต่อไป เลือดสีแดงไหลทะลักออกมาเจิ่งนองเต็มพื้น กระนั้นมันก็ยังทำปากพะงาบ ๆ พยายามที่งับเขาให้ได้
นักดาบยืนมองมันอยู่ครู่ใหญ่ ๆ ราวกับครุ่นคิดอะไรบางอย่าง ก่อนจะวาดดาบเป็นวงกลม กลายเป็นวงแหวนเวทมนตร์ที่เต็มไปด้วยอักขระโบราณสีฟ้า เขาชี้ดาบตรงไปที่แมนติคอร์ บังเกิดลมเย็นและละอองหิมะออกมาจากวงแหวนเวทมนตร์พัดใส่มัน
เมื่อเกล็ดหิมะกระทบกับร่าง หิมะก็ค่อย ๆ ขยายตัวปกคลุมร่างกายของเจ้าสัตว์ร้าย แมนติคอร์ดูจะสงบลง มันค่อย ๆ ปิดเปลือกตา และไม่นานร่างของมันก็ถูกกลืนกินไปด้วยหิมะจนหมดสิ้น แล้วหิมะก็ค่อย ๆ ละลาย จนสุดท้ายก็เหลือเพียงร่างของแมวตัวหนึ่งนอนหายใจโรยรินอยู่
นักดาบเดินเข้ามามองเจ้าแมว เขาชี้ดาบใส่มัน ทำให้เลือดทั้งหมดไหลกลับเข้าตัว จากนั้นก็หยิบหลอดแก้วออกมาจากกระเป๋าเสื้อโค้ท เมื่อของเหลวใสในนั้นหยดลงมากระทบกับบาดแผล มันก็เกิดฟองฟูและสมานได้ดังเดิม
เจ้าแมวลุกขึ้นและวิ่งหนีไป นักดาบโบกสะบัดดาบอีกครั้ง ทำให้พื้นที่โดยรอบที่ได้รับความเสียหายกลับสู่สภาพเดิมราวกับเล่นวีดิโอย้อนกลับ
สุดท้าย เขาชี้ดาบขึ้นฟ้า บังเกิดวงแหวนเวทมนตร์สีขาวพร้อมลำแสงสีขาวพุ่งขึ้นไป ก่อให้เกิดเมฆฝนสีดำครึ้ม และไม่นานฝนก็เทลงมา ชะล้างคราบเลือด และร่องรอยการต่อสู้ ร่างของเขาค่อย ๆ เลือนรางหายไปกับสายฝน พร้อมกับความทรงจำของผู้คนที่เห็นเหตุการณ์วุ่นวายนี้ทั้งหมด
“มารี! มารี!”
อาเรียพยายามเขย่าตัวของเด็กสาวอีกครั้ง แต่ก็ยังไม่ได้รับการตอบสนองใด ๆ เธอจึงตัดสินใจปั๊มไปที่กลางหน้าอกของอีกฝ่ายเป็นจังหวะ นัวร์นั่งยอง ๆ มองภาพตรงหน้าเงียบ ๆ
ดวงตาทั้งสองของเด็กสาวผมเงินเริ่มมีน้ำใส ๆ ไหลออกมา หยดลงไปบนร่างของอีกฝ่าย
เมื่อปั๊มครบจำนวน อาเรียก็สูดหายใจลึก ๆ และก้มตัวลงไปใกล้กับหน้าของมารี อยู่ดี ๆ ในอกก็ได้ยินเสียงดังก้อง ใบหน้าเริ่มร้อนผ่าว
ผู้หญิงกับผู้หญิงคงไม่เป็นอะไรหรอก ยังไงก็ต้องทำล่ะนะ เธอหลับตาปี๋ ก่อนจะเผยอปากเล็กน้อยแล้วเข้าไปใกล้กับริมฝีปากบาง ๆ อมชมพูของมารี
ปัก!
“เอ๋...อ....”
แต่ก่อนที่จะเกิดการจุมพิตกัน คางของแม่สาวผมเงินก็รับกับหมัดของมารีจนตัวปลิวขึ้นฟ้าและหายลับไป
มารีลุกขึ้นมาด้วยหน้าตาสะลืมสะลือ เธอหรี่ตาและขยับแว่นกวาดสายตามองไปรอบ ๆ พอเห็นหน้าเจื่อน ๆ ของนัวร์ก็ทำตาปริบ ๆ
“...พลาดอะไรไปหรือเปล่า”
หลังจากนั้นมารีก็ร่ายมนต์ผนึกต้นไม้ ทำให้ไม่สามารถข้ามไปอีกฝั่งได้อีกต่อไป เธอกับอาเรียและนัวร์เดินตามถนนริมทะเลสาบกลับสู่โรงเรียนกันเงียบ ๆ ไม่มีใครพูดอะไรกันเลย ทั้ง ๆ ที่มันควรจะเป็นการเที่ยวแบบสนุก ๆ ของมารีกับนัวร์แท้ ๆ
“ขะ...ขอบคุณ...นะ เพราะฉันแท้ ๆ” อาเรียที่นิ่งเงียบมาตลอดทางพูดออกมาด้วยเสียงอ่อย เธอเบือนหน้าที่แดงเป็นมะเขือเทศมองไปทางอื่น
“อืม” มารีตอบโดยไม่หันกลับมามอง “ทีหลังก็ไม่ต้องมายุ่งเรื่องชาวบ้านล่ะ”
“เข้าใจแล้ว” เด็กสาวผมเงินถอนหายใจ
“เรื่องวันนี้เป็นความลับนะ ถ้าเกิดความแตกเมื่อไหร่ฉันลบความทรงจำเธอแน่”
“อะ...อือ” สาวผมเงินคอตก รู้งี้ไม่น่าไปยุ่งกับเรื่องไม่เข้าเรื่องเลย “ก่อนหน้านี้ขอโทษด้วยนะ”
ผ่านไปครู่หนึ่ง มารีก็หยุดฝีเท้าลงและหันมาสบตากับอีกฝ่าย “อืม ทางนี้ก็ขอโทษด้วยเหมือนกัน วันหลังถ้าเหงาก็มาคุยเล่นกันได้นะ”
ได้ยินดังนั้น ดวงตาสีฟ้าของเด็กสาวผมเงินก็เบิกกว้างต้องประกายกับแสงแดดยามสาย ลมเอื่อย ๆ พัดโบกเส้นผมสลวยของเธอโยกไปเบา ๆ ก่อนหน้านี้เธอมักจะทำอะไรตัวคนเดียวมาด้วยตลอด เพราะถูกปลูกฝังไม่ให้ไปยุ่งกับคนชาติอื่น รวมทั้งฐานะทางสังคมของตนเอง ตั้งแต่เปิดเรียนมาเธอก็เลยไม่มีเพื่อนเลย
มารีกลับหลังหันและเดินต่อไปพร้อมกับนัวร์ อาเรียมองมองแผ่นหลังของทั้งสองพลางหวนนึกถึงวันเก่า ๆ เด็กสาวยิ้มจาง ๆ ออกมา และเดินตามมารีไป
“เหนื่อยหน่อยนะ”
ณ ลานหน้าตึกอิฐแดงที่ดูปกติเหมือนกับว่าเมื่อไม่กี่นาทีที่แล้วมีสัตว์ร้ายตัวยักษ์ออกมาอาละวาดและถูกกำราบโดยคนปริศนาไม่เคยเกิดขึ้นนั้น มีร่างสูงโปร่งสองร่างกำลังพูดคุยกัน โดยรอบมีอีกาหลายตัวเกาะอยู่ มันส่งเสียงร้องออกเป็นเป็นระยะ ๆ
“เกือบจะได้ตัวยัยนั่นแล้วแท้ ๆ แต่ไอ้นักดาบนั่นดันโผล่มาเฉย” คนที่นั่งยอง ๆ อยู่พูดขึ้นมา เขาสวมเสื้อยืดสีขาวทับด้วยเสื้อคลุมแบบญี่ปุ่นสีเทา กางเกงขาสั้นสีดำและรองเท้าแตะ ไว้ผมสีดำกระเซอะกระเซิงจนนกอาจเข้าใจผิดมาทำรังได้ ดวงตาสีน้ำตาลแดงซึ่งขอบตาคล้ำเหมือนหมีแพนดาของเขาจับจ้องไปที่ก้อนดินเหนียวสีน้ำตาลในมือ มันถูกปั้นเป็นรูปของแมนติคอร์ที่ปีกกับหางแมงป่องถูกตัดออกไป
“เบี้ยเพิ่มมาอีกตัวแล้วสินะ”
ชายอีกคนในชุดสไตล์มินิมอลโทนสีดำพูดขึ้นมาด้วยเสียงทุ้มนุ่ม ดวงตาสีเขียวมรกตที่ดูเฉี่ยวคมมีรูม่านตาเป็นขีดเหมือนดวงตาของสัตว์เลื้อยคลานของเขามองสมาร์ตโฟนในมือ
ในนั้นมีภาพวาดสีน้ำมันถ่ายเก็บเอาไว้ เป็นภาพเหมือนของเด็กสาวผู้งดงามยิ่งกว่าสตรีใดในสภาพเปลือยเปล่า ผมสีเงินยาวสลวย ๆ เหมือนเส้นไหม ผิวขาวบริสุทธิ์เหมือนหิมะแรกของฤดู ดวงตาสีฟ้าสดใสเหมือนท้องฟ้าในวันที่ปลอดโปร่ง มือน้อย ๆ ที่ดูบอบบางน่าทะนุถนอมยกขึ้นมาปิดบังส่วนสงวนเอาไว้ เธอนั่งอยู่บนเตียงสีขาวสะอาด รายล้อมด้วยนกพิราบสีขาว ทว่าทั้งหมดกลับถูกล้อมรอบเอาไว้ด้วยซี่กรงทอง
บริเวณมุมขวาล่างมีชื่อของศิลปินเจ้าของภาพชื่อว่า...มารี โอแคลร์
เขาเก็บโทรศัพท์ใส่กระเป๋า และหันมามองอีกฝ่าย “เตรียมตัวเดินหมากรอบต่อไปด้วยล่ะ”
“คร้าบ ๆ” ผู้ที่นั่งยองอยู่ขยำดินเหนียวเป็นก้อนกลม “แต่ว่านะ กลางวันแสก ๆ แท้ ๆ ข้าว่าข้าเห็นผีว่ะ”
Crab, TV tower, and red brick building
มารีกับนัวร์มาโผล่ที่ตรอกแคบ ๆ แห่งหนึ่ง เมื่อเดินออกมาก็พบถนนที่มีรถยนต์วิ่งไปมา ติดกับฟุตบาทคือร้านอาหารที่แช่สัตว์ทะเลไว้ในตู้ และพร้อมยกขึ้นมาย่างบนเตาทันที กลิ่นหอม ๆ โชยมาทำให้น้ำลายไหล มีป้ายเขียนด้วยตัวอักษรที่ไม่คุ้นเคยอยู่เต็มไปหมด ท้องฟ้าสดใส แสงแดดเลยจุดเหนือศีรษะค่อนไปทางทิศตะวันตกพอสมควร
เธอหยิบสมาร์ตโฟนออกมา จากนั้นก็หาวายฟายสาธารณะเพื่อเข้าอินเตอร์เน็ตอันเป็นปัจจัยที่ห้า แม้ความเร็วอินเตอร์เน็ตจะช้ายิ่งกว่าหอยทากเป็นตะคริวตามสภาพของฟรี แต่มารีแค่ต้องการดูว่าเธอมาโผล่ที่ใดจากแอปพลิเคชันแผนที่เท่านั้น
มารีไม่ลืมถ่ายรูปจุดที่เดินออกมาจากอีกโลกด้วยสมาร์ตโฟนเพื่อกันลืม จากนั้นเด็กสาวกับคู่หูก็หาร้านอาหารที่ถูกใจเพื่อหาอาหารเช้ากิน กระนั้นคนที่นี่คงต้องเรียกว่าเป็นอาหารเย็นแล้ว
แน่นอนว่าต่างถิ่นต่างที่แบบนี้ย่อมมีอุปสรรคในเรื่องของภาษา แม้มารีจะใช้ภาษาเวทมนตร์สื่อสารได้ แต่ก็ฟังอีกฝ่ายไม่รู้เรื่อง เธอจึงเลือกใช้แอปพลิเคชันในสมาร์ตโฟนในการสื่อสารกับพนักงานแทน และใช้ภาษาท่าทางในการสั่งอาหารแบบทุลักทุเลเล็กน้อย ไม่นานเซ็ตอาหารก็มาเสิร์ฟ เป็นข้าวโปะด้วยของทะเลสดแบบทะลัก พร้อมกับซุปเต้าหู้สีน้ำตาลอ่อน หอยนางรมย่าง และที่เด็ดที่สุดก็คือปูยักษ์ที่ต้มมาทั้งตัว
แม้จะไม่รู้ภาษา แต่มารีก็พอจะรู้วัฒนธรรมของที่นี่อยู่ และเธออยากทำแบบนี้มานานแล้ว เด็กสาวแยกตะเกียบไม้ไผ่ที่ติดกันอยู่ออก แล้วก็พนมมือ
“...Itadakimasu”
“นะ...นั่นมันอะไรกัน”
อาเรียที่แอบอยู่ที่มุมตึกน้ำลายไหลออกมาเพราะกลิ่นหอม ๆ ของอาหารทะเลย่าง รวมถึงท่าทางการกินเงียบ ๆ แต่เอร็ดอร่อยมารี กับการกินแบบเพลิดเพลินไปกับความอร่อยออกหน้าออกตาของเด็กผู้ชายมนุษย์สัตว์อีกคน
เธอเองก็ไม่ได้กินข้าวเช้าที่โรงอาหารมาเพราะออกมาเดินกายบริหารข้างนอกแต่เช้า ท้องของเธอจึงร้องโครกคราก
เด็กสาวผมเงินมองซ้ายมองขวา ค่อย ๆ ออกมาจากที่ซ่อนโดยที่ไม่ให้มารีสังเกต แล้วก็เดินดูร้านรวงที่ขายอาหารนานาชนิด
แม้จะดูน่ากินแค่ไหน ปัญหาคือเธอไม่รู้จะอาหารสั่งยังไง และจะจ่ายยังไงด้วย แต่เดิมเธอแค่สั่นกระดิ่งก็มีคนใช้ยกอาหารมาเสิร์ฟให้แล้ว
แต่อีกปัญหาหนึ่งก็คือตอนนี้อาเรียใส่เหมือนหลุดมาจากสมัยวิคตอเรียน บวกกับหน้าตาแบบชาวต่างชาติ สายตาของผู้คนจึงมองมาที่เธอแบบแปลก ๆ ไม่ใช่แววตาที่มองด้วยความชื่นชมแบบที่เธอเคยได้รับ นั่นยิ่งทำให้เด็กสาวรู้สึกอึดอัดเข้าไปอีก
ที่นี่มันแปลกประหลาดไปหมด คนแต่งตัวแปลก ๆ ตึกรอบ ๆ เป็นทรงสี่เหลี่ยมเหมือนกล่อง บนถนนก็มีกล่องโลหะวิ่งได้ เป็นที่ ๆ เธอไม่รู้จักเลย
หิวก็หิว กลัวก็กลัว ทิฐิช่างหัวมันแล้ว อาเรียตัดสินใจไปหามารี
“คะ...คือว่า...
ทว่าดูเหมือนจะไม่มีใครอยู่ที่ร้านแล้ว นอกจากบริกรที่กำลังเก็บจานอาหารอยู่และมองเธอด้วยหน้างง ๆ
สาวผมเงินกลับหลังหัน ก่อนจะเดินกลับไปที่ ๆ เธอเดินออกมาจากกำแพงอย่างยอมแพ้ ทว่าเท้าก็ต้องหยุดชะงัก
เพราะเธอจำทางกลับไม่ได้...
หลังกินอาหารเสร็จ มารีเดินดูของในร้านของชำไม่ไกลจากร้านอาหารที่เธอนั่งมาเมื่อครู่ แม้จะรู้สึกตงิด ๆ ว่ามีคนแต่งตัวแปลก ๆ วิ่งไปวิ่งมาอย่างตื่นตระหนกข้างนอกร้าน แต่เธอก็ไม่สนใจ มารีดูพวกอาหารทะเลแห้งและขนุกขนมที่น่าจะถูกปากชาวต่างชาติ ส่วนนัวร์ก็ไปนั่งยอง ๆ ดูปูตัวโตที่ลอยไปลอยมาอยู่ในตู้ด้วยตาแป๋ว
เอาขนมไปฝากเจ้าพวกสามคนนั้นให้งงเล่นดีกว่า
หลังจากซื้อเสร็จ มารีก็ว่าจะกลับเลย แต่หอสัญญาณโทรทัศน์สีส้มแดงคล้ายหอไอเฟลไกล ๆ นั้นก็ดูดึงดูดไม่น้อย มีจอแอลซีดีขนาดใหญ่ที่แสดงอุณหภูมิและเวลาท้องถิ่นเอาไว้
มารีกับนัวร์เดินจูงมือกันเลาะมาเรื่อย ๆ จนถึงหอสัญญาณซึ่งตั้งอยู่ในสวนสาธารณะใจกลางเมือง ขนาบข้างด้วยถนนและตึกทั้งสองข้างในแนวนอน คั่นเป็นล็อก ๆ ด้วยถนนในแนวขวาง แต่ละล็อกปลูกต้นไม้เอาไว้ บางล็อกมีน้ำพุ บางล็อกก็มีรูปปั้นตั้งอยู่
“ถ่ายรูปกัน” มารีบอกกับนัวร์ ก่อนจะย่อตัวกอดคอเด็กน้อย เธอยื่นสมาร์ตโฟนไปสุดแขน และถ่ายเซลฟีมุมเสยขึ้นไปให้เห็นยอดหอคอย แก้มของทั้งสองกลายเป็นสีชมพูระเรื่อ
ไปอีกสักหน่อยแล้วกัน หลังเช็ครูปในโทรศัพท์ มารีก็เก็บมันใส่กระเป๋าออกกำลังกายและเดินไปต่อ เธอรู้สึกว่าจะได้ยินเสียงตะโกนแว่ว ๆ มา แต่ก็ไม่ได้สนใจ
ในระหว่างที่เดินผ่านหอนาฬิกาหลังเก่าของเมืองไปนั้นเอง ก็เห็นอีกาหลายตัวเกาะตามเก้าอี้สาธารณะ ตามสายไฟฟ้า บ้างก็บินไปบินมา มารีมองดูพวกมันเงียบ ๆ พลางขยับให้ปีกหมวกแก็ปให้ปิดบังใบหน้ามากขึ้น นัวร์เองก็ดูจะสนใจพวกมันไม่น้อย
อีกา...
วันนั้น อีกาก็เยอะเหมือนกันนะ...
จุดมายสุดท้ายคืออาคารอิฐสีแดงหลังใหญ่สไตล์ยุโรป หลังคาเป็นสีน้ำเงินเข้ม กึ่งกลางมีการสร้างหลังคาโดมสีสนิมทองแดงสูงขึ้นไปและประดับเสาธงเอาไว้ โดยรอบเป็นสวนสาธารณะที่เต็มไปด้วยต้นไม้ใหญ่ที่กำลังผลิใบสีเขียวสด ด้านหน้าของอาคารก็มีการปลูกแปลงดอกไม้สีสันฉูดฉาดเอาไว้
มารียกโทรศัพท์ขึ้นมาถ่ายรูป ทว่าในเฟรมดันไปติดคนหน้าคุ้น ๆ
“แฮก...แฮก...อยู่นี่เอง...ฮือออ” อาเรียเดินโซซัดโซเซมาหาเธอ ตาทั้งสองข้างของเธอบวมแดง แก้มเปียกชุ่มไปด้วยน้ำตา
ให้ตายสิ...
สาวแว่นได้แต่ถอนหายใจออกมา สงสัยคงต้องใช้คาถาลบความทรงจำกันเสียแล้ว
แต่ในตอนนั้นเอง มารีก็ก็สังเกตเห็นว่าของหลังของอาเรียไกล ๆ นั้นมีร่างของใครบางคนยืนอยู่ ดวงตาสีน้ำตาลแดงมองมาพร้อมกับรอยยิ้มน่าขนลุก
“อันตราย!”
มารีก็ตัดสินใจโผพุ่งเข้าใส่อาเรียจนล้มลงไปทั้งคู่ นั่นเพราะมีบางสิ่งวิ่งออกมาจากตึกอิฐแดง โดยมีเป้าหมายคืออาเรีย ถ้าหากมารีไม่ทำแบบนั้น แม่สาวผมเงินก็คงโดนมันงาบไปแล้ว
“โฮกกก”
เจ้าสิ่งที่ว่านั้นเป็นสิงโตมีเขาสูงราวสามเมตร มีปีกเหมือนค้างคาวและมีหางเป็นแมงป่อง หลังจากสไลด์ไปเพราะพลาดเป้า มันก็กลับหลังหันมาแยกเขี้ยวและคำรามมาทางอาเรียกับมารี
“แมนติคอร์เหรอ!”
อาเรียร้องออกมา ผู้คนที่อยู่แถว ๆ นั้นกรีดร้องและวิ่งหนีอย่างแตกตื่น นัวร์หันไปเผชิญหน้ากับมันและกางแขนสองข้างเพื่อปกป้องสองสาว
แมนติคอร์จัดเป็นสัตว์วิเศษชนิดหนึ่งที่มีความดุร้ายและอันตรายมาก ปกติพวกมันจะอาศัยอยู่ในที่ ๆ ไม่มีผู้คน และไม่ยุ่งกับคนถ้าไม่มีใครไปแหย่ให้มันอาละวาด
แต่อยู่ดี ๆ ทำไมแมนติคอร์ถึงได้มาโผล่ที่โลกมนุษย์ล่ะ
“มารี มารี!” อาเรียเขย่าร่างของมารี ทว่าร่างของเธอกลับไร้ซึ่งเรี่ยวแรง แม้ดวงตาสีเปลือกไม้จะลืมอยู่ แต่มันกลับเลื่อนลอยไร้ประกายของชีวิต
เด็กสาวผมเงินเอานิ้วแตะที่คอของมารี ก่อนจะเบิกตากว้าง
ชีพจรหายไป...
“โฮกกก” แมนติคอร์คำรามใส่อาเรีย แล้วก็วิ่งเข้ามาด้วยความเร็วแบบดับเครื่องชน
ทำอะไรไม่ได้แล้ว อาเรียหลับตาลงและล้มตัวลงไปกอดร่างของมารีเอาไว้แน่น นัวร์เพียงมองมันด้วยแววตาแข็งกร้าว
โครม!
เมื่อลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง ดวงตาสีฟ้าสดใสของเด็กสาวก็เบิกกว้าง เพราะมีกำแพงน้ำแข็งก่อตัวขึ้นมาข้างหน้านัวร์ สิ่งนี้ก็ทำให้เจ้าแมนติคอร์หน้าบี้เป็นปลาบู่ชนเขื่อนและค่อย ๆ ไหลลงไปกองกับพื้น
“ทะ...ทำได้ไงอะ” สาวผมเงินร้องออกมาทึ่ง ๆ นัวร์เลยเก๊กท่าหล่อไปหนึ่งทีจนน่าถีบ
“ไม่ใช่ผมหรอกฮะ”
“หา?”
เสียงฝีเท้าดังขึ้นมาแทรก เมื่ออาเรียหันไปทางต้นเสียงก็พบกับร่างอ้อนแอ้น ไม่สูงมากนัก สวมเสื้อโค้ทสีขาวขลิบทองปล่อยชายยาวมาจนถึงประมาณเข่าแบบเดียวกับตอนที่สอบภาคปฏิบัติ ชุดด้านในเป็นเสื้อเชิตขาวทับด้วยเสื้อกั๊กสูท กางเกงขายาวกับรองเท้าบูทสีเข้ม ศีรษะของเขาคลุมด้วยฮู้ด และมีหน้ากากรูปหัวนกฮูกสีขาวปิดบังใบหน้าเอาไว้ ที่มือขวาสวมถุงมือดำและถือดาบใหญ่ที่ทำจากน้ำแข็งแกะสลักอย่างวิจิตรงดาม
ไม่มีคำพูดใด ๆ ออกมาจากบุคคลปริศนา เขาเพียงจับดาบให้มั่นและพุ่งเข้าใส่แมนติคอร์ทันที
นักดาบเข้าต่อสู้กับแมนติคอร์อย่างคล่องแคล่ว เขาตีลังกาหลบกรงเล็บของสัตว์ร่าย และฟันดาบเข้าเต็ม ๆ คางของแมนตคอร์ด้วยพลังกายมหาศาลจนมันหงายหลัง เลือดสีแดงของสัตว์ร้ายสาดกระเซ็นไปทั่ว
ในจังหวะนั้นเอง นัวร์เปิดกระเป๋าออกกำลังกายของมารี หยิบสมาร์ตโฟนออกมา เขาปลดล็อกโทรศัพท์และเปิดภาพของตรอกที่ถ่ายมาก่อนหน้านี้แสดงให้อาเรีย
“ไปที่นี่เร็วฮะ” เขาชี้ไปในสมาร์ตโฟน แต่ปัญหาคือ...
“แล้วฉันจะรู้ได้ไงว่าจะต้องไปทางไหนอะ” เด็กสาวผมเงินแย้ง นัวร์เลยเอามือกุมขมับครู่หนึ่ง
“อย่างงี้เมี้ยว” เด็กน้อยน้อยทำท่าแปลก ๆ ด้วยการใช้แขนหมุนเป็นวงกลม ขนาดนี้คุณเธอน่าจะรู้ได้แล้วนะ
“จริงด้วย อิททิเนรันทัวร์!” อาเรียหยิบไม้กายสิทธิ์สีเงินออกมาวาดเป็นวงกลม เพียงแวบเดียว วงแหวนเวทมนตร์สีเหลืองก็ปรากฏขึ้นมา เธอแบกร่างของมารีเข้าไปในวงแหวนกลับมาที่ตรอกและทะลุเข้ากำแพงกลับไปที่อุทยานของโอวล์ฟอสเทียร์อย่างปลอดภัย
เมื่อเห็นว่าพวกอาเรียหายไปแล้ว นักดาบปริศนาจึงมีสมาธิอยู่กับเป้าหมายตรงหน้าอย่างเต็มที่
แมนติคอร์สะบัดหางแมงป่องพุ่งเข็มพิษแหลมเข้าใส่ แต่ด้วยรูปร่างที่เล็กแต่เพรียวบาง นักดาบจึงกระโดดตีลังกาพร้อมกับวาดดาบออกไป
“โฮกกก”
คบดาบตัดหางแข็ง ๆ จนขาดสะบั้น นักดาบกลับลงมาทีพื้น แล้ววิ่งไปเอามือสัมผัสกับผนังของอาคารอิฐแดงที่แมนติคอร์ปรากฏตัวออกมาก่อนหน้า แต่มือของเขาสัมผัสได้แต่ความแข็ง ไม่ใช่ผลุบเข้าไป
“...ไม่ใช่เกทงั้นเหรอ”
เมื่อหันกลับไป ก็เห็นแมนติคอร์กำลังพุ่งเข้ามาด้วยความโกรธ เขาเพียงแค่ย่อตัวและกระโดดตีลังกาหลังหลบ ทำให้เป้าหมายที่เจ้าสัตว์ร้ายปะทะก็คือกำแพงแข็ง ๆ และในจังหวะที่ลอยตัวอยู่ เขาก็ตวัดดาบส่งคลื่นพลังเวทมนตร์ออกไปตัดปีกทั้งสองของมันจนขาด แมนติคอร์คำรามลั่นด้วยความเจ็บปวด
ในจังหวะที่มันยังไม่ทันตั้งตัว นักดาบก็พุ่งทะยานเข้ามาด้วยความเร็ว ตัดเส้นเลือดใหญ่ที่คอ และเส้นเอ็นที่ขาทั้งสี่ จนมันไม่สามารถลุกได้อีกต่อไป เลือดสีแดงไหลทะลักออกมาเจิ่งนองเต็มพื้น กระนั้นมันก็ยังทำปากพะงาบ ๆ พยายามที่งับเขาให้ได้
นักดาบยืนมองมันอยู่ครู่ใหญ่ ๆ ราวกับครุ่นคิดอะไรบางอย่าง ก่อนจะวาดดาบเป็นวงกลม กลายเป็นวงแหวนเวทมนตร์ที่เต็มไปด้วยอักขระโบราณสีฟ้า เขาชี้ดาบตรงไปที่แมนติคอร์ บังเกิดลมเย็นและละอองหิมะออกมาจากวงแหวนเวทมนตร์พัดใส่มัน
เมื่อเกล็ดหิมะกระทบกับร่าง หิมะก็ค่อย ๆ ขยายตัวปกคลุมร่างกายของเจ้าสัตว์ร้าย แมนติคอร์ดูจะสงบลง มันค่อย ๆ ปิดเปลือกตา และไม่นานร่างของมันก็ถูกกลืนกินไปด้วยหิมะจนหมดสิ้น แล้วหิมะก็ค่อย ๆ ละลาย จนสุดท้ายก็เหลือเพียงร่างของแมวตัวหนึ่งนอนหายใจโรยรินอยู่
นักดาบเดินเข้ามามองเจ้าแมว เขาชี้ดาบใส่มัน ทำให้เลือดทั้งหมดไหลกลับเข้าตัว จากนั้นก็หยิบหลอดแก้วออกมาจากกระเป๋าเสื้อโค้ท เมื่อของเหลวใสในนั้นหยดลงมากระทบกับบาดแผล มันก็เกิดฟองฟูและสมานได้ดังเดิม
เจ้าแมวลุกขึ้นและวิ่งหนีไป นักดาบโบกสะบัดดาบอีกครั้ง ทำให้พื้นที่โดยรอบที่ได้รับความเสียหายกลับสู่สภาพเดิมราวกับเล่นวีดิโอย้อนกลับ
สุดท้าย เขาชี้ดาบขึ้นฟ้า บังเกิดวงแหวนเวทมนตร์สีขาวพร้อมลำแสงสีขาวพุ่งขึ้นไป ก่อให้เกิดเมฆฝนสีดำครึ้ม และไม่นานฝนก็เทลงมา ชะล้างคราบเลือด และร่องรอยการต่อสู้ ร่างของเขาค่อย ๆ เลือนรางหายไปกับสายฝน พร้อมกับความทรงจำของผู้คนที่เห็นเหตุการณ์วุ่นวายนี้ทั้งหมด
“มารี! มารี!”
อาเรียพยายามเขย่าตัวของเด็กสาวอีกครั้ง แต่ก็ยังไม่ได้รับการตอบสนองใด ๆ เธอจึงตัดสินใจปั๊มไปที่กลางหน้าอกของอีกฝ่ายเป็นจังหวะ นัวร์นั่งยอง ๆ มองภาพตรงหน้าเงียบ ๆ
ดวงตาทั้งสองของเด็กสาวผมเงินเริ่มมีน้ำใส ๆ ไหลออกมา หยดลงไปบนร่างของอีกฝ่าย
เมื่อปั๊มครบจำนวน อาเรียก็สูดหายใจลึก ๆ และก้มตัวลงไปใกล้กับหน้าของมารี อยู่ดี ๆ ในอกก็ได้ยินเสียงดังก้อง ใบหน้าเริ่มร้อนผ่าว
ผู้หญิงกับผู้หญิงคงไม่เป็นอะไรหรอก ยังไงก็ต้องทำล่ะนะ เธอหลับตาปี๋ ก่อนจะเผยอปากเล็กน้อยแล้วเข้าไปใกล้กับริมฝีปากบาง ๆ อมชมพูของมารี
ปัก!
“เอ๋...อ....”
แต่ก่อนที่จะเกิดการจุมพิตกัน คางของแม่สาวผมเงินก็รับกับหมัดของมารีจนตัวปลิวขึ้นฟ้าและหายลับไป
มารีลุกขึ้นมาด้วยหน้าตาสะลืมสะลือ เธอหรี่ตาและขยับแว่นกวาดสายตามองไปรอบ ๆ พอเห็นหน้าเจื่อน ๆ ของนัวร์ก็ทำตาปริบ ๆ
“...พลาดอะไรไปหรือเปล่า”
หลังจากนั้นมารีก็ร่ายมนต์ผนึกต้นไม้ ทำให้ไม่สามารถข้ามไปอีกฝั่งได้อีกต่อไป เธอกับอาเรียและนัวร์เดินตามถนนริมทะเลสาบกลับสู่โรงเรียนกันเงียบ ๆ ไม่มีใครพูดอะไรกันเลย ทั้ง ๆ ที่มันควรจะเป็นการเที่ยวแบบสนุก ๆ ของมารีกับนัวร์แท้ ๆ
“ขะ...ขอบคุณ...นะ เพราะฉันแท้ ๆ” อาเรียที่นิ่งเงียบมาตลอดทางพูดออกมาด้วยเสียงอ่อย เธอเบือนหน้าที่แดงเป็นมะเขือเทศมองไปทางอื่น
“อืม” มารีตอบโดยไม่หันกลับมามอง “ทีหลังก็ไม่ต้องมายุ่งเรื่องชาวบ้านล่ะ”
“เข้าใจแล้ว” เด็กสาวผมเงินถอนหายใจ
“เรื่องวันนี้เป็นความลับนะ ถ้าเกิดความแตกเมื่อไหร่ฉันลบความทรงจำเธอแน่”
“อะ...อือ” สาวผมเงินคอตก รู้งี้ไม่น่าไปยุ่งกับเรื่องไม่เข้าเรื่องเลย “ก่อนหน้านี้ขอโทษด้วยนะ”
ผ่านไปครู่หนึ่ง มารีก็หยุดฝีเท้าลงและหันมาสบตากับอีกฝ่าย “อืม ทางนี้ก็ขอโทษด้วยเหมือนกัน วันหลังถ้าเหงาก็มาคุยเล่นกันได้นะ”
ได้ยินดังนั้น ดวงตาสีฟ้าของเด็กสาวผมเงินก็เบิกกว้างต้องประกายกับแสงแดดยามสาย ลมเอื่อย ๆ พัดโบกเส้นผมสลวยของเธอโยกไปเบา ๆ ก่อนหน้านี้เธอมักจะทำอะไรตัวคนเดียวมาด้วยตลอด เพราะถูกปลูกฝังไม่ให้ไปยุ่งกับคนชาติอื่น รวมทั้งฐานะทางสังคมของตนเอง ตั้งแต่เปิดเรียนมาเธอก็เลยไม่มีเพื่อนเลย
มารีกลับหลังหันและเดินต่อไปพร้อมกับนัวร์ อาเรียมองมองแผ่นหลังของทั้งสองพลางหวนนึกถึงวันเก่า ๆ เด็กสาวยิ้มจาง ๆ ออกมา และเดินตามมารีไป
“เหนื่อยหน่อยนะ”
ณ ลานหน้าตึกอิฐแดงที่ดูปกติเหมือนกับว่าเมื่อไม่กี่นาทีที่แล้วมีสัตว์ร้ายตัวยักษ์ออกมาอาละวาดและถูกกำราบโดยคนปริศนาไม่เคยเกิดขึ้นนั้น มีร่างสูงโปร่งสองร่างกำลังพูดคุยกัน โดยรอบมีอีกาหลายตัวเกาะอยู่ มันส่งเสียงร้องออกเป็นเป็นระยะ ๆ
“เกือบจะได้ตัวยัยนั่นแล้วแท้ ๆ แต่ไอ้นักดาบนั่นดันโผล่มาเฉย” คนที่นั่งยอง ๆ อยู่พูดขึ้นมา เขาสวมเสื้อยืดสีขาวทับด้วยเสื้อคลุมแบบญี่ปุ่นสีเทา กางเกงขาสั้นสีดำและรองเท้าแตะ ไว้ผมสีดำกระเซอะกระเซิงจนนกอาจเข้าใจผิดมาทำรังได้ ดวงตาสีน้ำตาลแดงซึ่งขอบตาคล้ำเหมือนหมีแพนดาของเขาจับจ้องไปที่ก้อนดินเหนียวสีน้ำตาลในมือ มันถูกปั้นเป็นรูปของแมนติคอร์ที่ปีกกับหางแมงป่องถูกตัดออกไป
“เบี้ยเพิ่มมาอีกตัวแล้วสินะ”
ชายอีกคนในชุดสไตล์มินิมอลโทนสีดำพูดขึ้นมาด้วยเสียงทุ้มนุ่ม ดวงตาสีเขียวมรกตที่ดูเฉี่ยวคมมีรูม่านตาเป็นขีดเหมือนดวงตาของสัตว์เลื้อยคลานของเขามองสมาร์ตโฟนในมือ
ในนั้นมีภาพวาดสีน้ำมันถ่ายเก็บเอาไว้ เป็นภาพเหมือนของเด็กสาวผู้งดงามยิ่งกว่าสตรีใดในสภาพเปลือยเปล่า ผมสีเงินยาวสลวย ๆ เหมือนเส้นไหม ผิวขาวบริสุทธิ์เหมือนหิมะแรกของฤดู ดวงตาสีฟ้าสดใสเหมือนท้องฟ้าในวันที่ปลอดโปร่ง มือน้อย ๆ ที่ดูบอบบางน่าทะนุถนอมยกขึ้นมาปิดบังส่วนสงวนเอาไว้ เธอนั่งอยู่บนเตียงสีขาวสะอาด รายล้อมด้วยนกพิราบสีขาว ทว่าทั้งหมดกลับถูกล้อมรอบเอาไว้ด้วยซี่กรงทอง
บริเวณมุมขวาล่างมีชื่อของศิลปินเจ้าของภาพชื่อว่า...มารี โอแคลร์
เขาเก็บโทรศัพท์ใส่กระเป๋า และหันมามองอีกฝ่าย “เตรียมตัวเดินหมากรอบต่อไปด้วยล่ะ”
“คร้าบ ๆ” ผู้ที่นั่งยองอยู่ขยำดินเหนียวเป็นก้อนกลม “แต่ว่านะ กลางวันแสก ๆ แท้ ๆ ข้าว่าข้าเห็นผีว่ะ”
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ