ม.ปลายสายเวทย์
-
เขียนโดย TheBoyOnTheMoon
วันที่ 13 พฤษภาคม พ.ศ. 2567 เวลา 21.39 น.
19 ตอน
1 วิจารณ์
4,080 อ่าน
แก้ไขเมื่อ 17 พฤษภาคม พ.ศ. 2567 20.34 น. โดย เจ้าของนิยาย
18) All you need is a bit of luck
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ18
All you need is a bit of luck
วันรุ่งขึ้น มารียังคงตื่นมาแต่เช้ามืดเช่นเคย โดยมีนัวร์ในร่างเด็กน้อยนอนซบอกอยู่ เสียงสายฝนโปรยปรายดังมาจากหน้าต่าง พร้อมกับกลิ่นชื้น ๆ ลอยมาจากหน้าต่าง
บางทีก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเพราะอะไร ทุกวันหยุดมารีถึงตื่นเช้าแบบนี้ตลอด เด็กสาวถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนจะเอามือมาขยี้ผมนุ่ม ๆ ของอีกฝ่ายให้หายมันเขี้ยว มีเสียงครางน้อย ๆ ตามมา มารีจ้องมองเพดานเงี่ยฟังเสียงพระพิรุนบรรเลงเพลง เธอพยายามลบเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวันสองวันที่ผ่านมาออก เพราะตอนนี้เธอยังมีอีกเรื่องที่ต้องสะสาง
ผ่านมาหลายเดือนแล้ว เธอยังไม่เจอเบาะแสของคนที่บอกให้เธอมาเรียนที่โฮมเลย
ไปเข้าเรียนที่โอวล์ฟอสเทียร์ซะ แล้วถ้ามีโชค สักวันคงได้พบกัน
บางทีตอนนี้เธออาจจะไม่มีโชคก็ได้...
โชค…
“!?”
ดวงตาสีเปลือกไม้เบิกกว้าง มารีกระเด้งตัวขึ้นมาจนนัวร์กลิ้งตกเตียง (แต่ก็ยังคงหลับต่อ) เธอลุกไปหยิบกระเป๋าสะพายข้าง เอาหลอดแก้วที่บรรจุของเหลวสีทองอร่ามออกมา
“เก็บไว้นานจนลืมเลยแฮะ”
ตั้งแต่ตอนที่ทำน้ำยานำโชคเมื่อหลายสัปดาห์ก่อนนู้นจนโชคร้ายไปทั้งวัน เจ้าไทก็เลยปรุงอีกชุดให้เธอเอาไว้เป็นของปลอบใจ แต่มารีไม่เคยเอามาใช้เลย เพราะเข็ดกับน้ำยาแบบเดียวกันที่เธอสร้างขึ้นมา
หลังจากล้างหน้าแปรงฟันเสร็จ มารีก็กินน้ำยาน้ำโชคไปเจ็ดหยด
หลังจากกินน้ำยาเข้าไปได้ไม่กี่วินาที มารีก็รู้สึกได้ทันทีว่าทุกอย่างมันดูสดใสไปหมด เหมือนว่าจะทำอะไรก็ดูจะเข้าท่าเข้าทาง แล้วทันใดนั้นบางอย่างดลใจให้เธอ…ออกไปวิ่งออกกำลังกาย
มารีรีบเปลี่ยนเสื้อผ้าและลงมาจากห้องพัก ดูเหมือนว่าฝนจะหยุดตกพอดีเลย
เมื่อออกมาหน้าโรงเรียน อากาศเย็นชื้นก็ปะทะกับร่าง ท้องฟ้ายังคงครึ้มไปด้วยเมฆสีเทาและส่งเสียงครืน ๆ เป็นระยะ ตัวเมืองเงียบสงบไร้ผู้คน มารีรวบผมเป็นหางกระรอกมัดด้วยยางรัดผม แล้วก็กดไปที่สมาร์ทวอชเพื่อเริ่มการวิ่ง
เสียงฝีเท้าและเสียงหายใจเป็นจังหวะดังท่ามกลางเมืองที่เริ่มสว่างขึ้น มารีวิ่งเหยาะ ๆ มาถึงย่านการค้า มีผู้คนจำนวนมากออกมาจับจ่ายซื้อของที่ตลาดเช้ากันแล้ว มีทั้งอาหาร พืชผัก เนื้อสัตว์ และปลาสด ๆ จากเขตเกษตรกรรมและประมงเอามาวางขายกันเต็มถนน เสียงตะโกนเรียกลูกค้าจากแต่ละร้านดังแข่งกัน
เธอชะลอฝีเท้าลงและยกข้อมือขึ้นมาดู ตอนนี้วิ่งมาได้เยอะพอสมควร แต่กลับเผาผลาญแคลรอรีไปได้ไม่เท่าไหร่เอง
ทำไมธรรมชาติถึงโหดร้ายนักนะ เวลาเอาของอร่อยเข้าปากมันง่ายแสนง่าย แต่พอวิ่งแทบตายกลับเผาผลาญไปได้แค่นิดเดียว
ในระหว่างนั้นเอง ดวงตาของเธอก็เหลือบไปเห็นแมวสีขาวตัวหนึ่ง มันเดินอย่างกล้า ๆ กลัว ๆ พยายามหลบผู้คนและเข้าไปด้านหลังกองกล่องไม้ที่วางอยู่ที่เต๊นท์ของร้าน ๆ หนึ่ง
แล้วด้านหลังกล่องเดิมก็มีเด็กสาวเผ่ามนุษย์สัตว์ที่มีผมสีขาวและหูกับหางแมวสีเดียวกันลุกขึ้นมาแทน เธอมองซ้ายมองขวาและเดินออกไปในตลาดเช้า
มารีจำแมวตัวนั้นได้ดี ส่วนเด็กผู้หญิงคนนั้นก็คุ้น ๆ ว่าเคยเห็นที่ไหนมาก่อน
ด้วยความสงสัย เธอจึงวิ่งเหยาะ ๆ เข้าไปดูที่กองกล่องไม้ แต่ก็ไม่มีวี่แววของแมวสีขาวตัวเมื่อครู่เลย
พอตามเข้าไปในตลาด คนก็เยอะมากจนเธอหาเด็กสาวคนนั้นไม่เจอ และถูกคลื่นฝูงชนเบียดเสียดจนแทบออกมาไม่ได้
มารีเดินอย่างละเหี่ยใจออกมาจากโซนตลาดเช้า เดี๋ยวรอให้คนซาลงสักหน่อยค่อยไปหาอีกรอบแล้วกัน
มารีจึงแวะหาอาหารเช้าแถวนั้นกินรองท้องสักหน่อยเพื่อฆ่าเวลา และตระเวนหาเด็กสาวคนนั้นจนกระทั่งเกือบ ๆ แปดโมงแต่สุดท้ายก็ไม่พบ จึงตัดสินใจเดินทางกลับ
ระหว่างทาง มารีก็เจอร้านขายต้นไม้เข้า มีไม้ดอกไม้ประดับน่ารัก ๆ วางเอาไว้เต็มหน้าร้าน เห็นแล้วก็น่าซื้อเอาไปปลูกที่ห้องพักกับห้องชมรมเหมือนกัน มารีนั่งยอง ๆ ดูพุ่มโรสแมรีสีเขียวสด เมื่อเอามือลูบไล้ไปก็ส่งกลิ่นหอมออกมา
“สนใจไหม ลุงลดให้เหลือสิบคิวพรัม” คุณลุงเจ้าของร้านถาม
“...” มารีเม้มปากมองราคาเต็มซึ่งอยู่ที่หนึ่งอาร์เกนทัม
เงินตราในโลกของเวทมนตร์ใช้สกุลเงินชื่อเดียวกันทั้งหมด ชื่อว่าโมเนธา เพียงแต่ละประเทศจะมีค่าเงินไม่เท่ากันตามสภาพเศรษฐกิจและปัจจัยอื่น ๆ โดยเงินจะแบ่งเป็นสามหน่วย ได้แก่เหรียญทองเรียกว่าออรัม เหรียญเงินเรียกว่าอาร์เกนทัม และเหรียญทองแดงเรียกว่าคิวพรัม
25 คิวพรัม นับเป็น 1 อาร์เกนทัม
4 อาร์เกนทัม นับเป็น 1 ออรัม
ที่โอวล์ฟอสเทียร์ พวกอาหารการกินตามร้านทั่ว ๆ ไปจะราคาตั้งแต่ 20 คิวพรัมไปจนถึง 1 อาร์เกนทัม
ถูกกว่าข้าวจานหนึ่งล่ะนะ แม้สถาพของต้นจะดูไม่ค่อยดีนัก แต่ในเมื่อให้ราคาถูกแบบนี้ มีหรือจะไม่ซื้อ ไว้ค่อยเอาไปใส่ปุ๋ยบำรุงอีกทีก็ได้
มารีเดินอุ้มต้นโรสแมรีพลางคิดว่าทำไมแมวตัวนั้นต้องเหน็บก้านโรสแมรีติดตัวด้วยนะ แต่ตอนนี้มีอีกเรื่องที่เธอสงสัย…
“เท่าที่รู้ นอกจากผมแล้ว อาเทเนียก็ไม่ได้เปลี่ยนแมวตัวไหนเป็นคนอีกนะฮะ”
“งั้นเหรอ ว่าแต่ช่วงที่ผ่านมาเธอเจอแมวที่เหน็บก้านโรสแมรีไว้ที่คอบ้างไหม”
หลังจากกลับมาที่ห้องพัก ก็เจอนัวร์นอนวาดรูปเล่นอยู่บนเตียง มารีนั่งลงที่เก้าอี้ข้าง ๆ ถามเด็กน้อย พลางจัดกระถางต้นโรสแมรีให้เข้าที่เข้าทาง
“เจอบ่อยมากฮะ เธอจะออกมาตอนเช้า ๆ บางวันก็มานั่งอาบแดดบ้าง บางวันก็เดินเตร็ดเตร่บ้าง แต่ผมยังจับทางเธอไม่ได้เลยว่าจะโผล่มาตอนไหน เหมือนกับเธอออกมาตามใจตัวเองมากกว่า เสียดายที่เธอไม่เล่นด้วย ไม่งั้นคงได้แฟนแล้ว” นัวร์ตอบ
“แก่แดดนะเรา” มารียิ้มอย่างอ่อนใจให้ เด็กน้อยยิ้มแฉ่งตอบก่อนจะชะงักไปเมื่อมองมาที่ต้นโรสแมรี
“ว่าแต่ โรสแมรีมันหมายความว่ายังไงเหรอฮะ ทำไมเธอคนนั้นถึงต้องพกมันติดตัวด้วย”
“ไม่รู้สิ โดยทั่วไป โรสแมรีเป็นสัญลักษณ์ของความซื่อสัตย์และความทรงจำน่ะ” มารีเบ้ปากมองต้นโรสแมรีในกระถาง และลูบไล้ไปมาเบา ๆ ให้กลิ่นหอมติดมือ “แต่คิดว่ามีคนแถว ๆ นี้ที่น่าจะรู้อยู่แหละนะ”
หลังจากอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จ มารีกับนัวร์ก็เดินข้ามลานกว้างของโรงเรียนมายังตึกฝั่งตรงข้ามกับหอพักและขึ้นบันไดมาชั้นที่สาม เธอหยุดหน้าประตูกระจกซึ่งมีป้ายชื่อของผู้อำนวยการติดเอาไว้อยู่เหนือประตู เป็นประตูธรรมดา ๆ ที่ไม่มีอะไรพิเศษนอกจากป้ายที่เขียนว่า “กรุณาเคาะเบา ๆ ระวังแตก” ติดเอาไว้ และไม่ต้องพูดรหัสแปลก ๆ อย่างไอศกรีมเชอร์เบทรสมะนาวก็สามารถเข้าไปได้เลย
จริง ๆ มองผ่านประตูไปก็เห็นผอ.นั่งยิ้มแฉ่งให้อยู่แล้วล่ะ แต่ตามมารยาท มารีจึงเคาะประตูเบา ๆ และเปิดเข้าไป
ห้องของอาเทเนีย ไวท์ฟอร์ดนั้นเต็มได้ด้วยชั้นวางหนังสือและตู้กระจกที่เต็มไปด้วยของแปลก ๆ ด้านหลังคือหน้าต่างบานใหญ่ซึ่งสามารถมองเห็นวิวทิวทัศน์ของเมืองได้ บริเวณใจกลางห้องมีโต๊ะไม้สีเข้มที่เต็มไปด้วยกองแฟ้มและหนังสือมากมายตั้งอยู่ และหลังโต๊ะก็คือร่างของผู้อำนวยการในชุดกระโปรงสบาย ๆ วันนี้เธออยู่ในร่างของเด็กสาววัย ม.ต้น ดูโตกว่าเมื่อวานประมาณสามสี่ปี
“ลมอะไรหอบมาล่ะ”
“มีเรื่องอยากจะปรึกษาหน่อยน่ะค่ะ”
“การเงินมีปัญหาแล้วเหรอ”
“ไม่ใช่เรื่องนั้นหรอกค่ะ”
มารีถอนหายใจและนั่งลงที่เก้าอี้เบื้องหน้าอีกฝ่าย นัวร์ขึ้นมานั่งบนตักของเธออีกที ในระหว่างที่ลูบไล้เส้นผมสีดำนุ่ม ๆ มารีก็เล่าเรื่องที่เจอเมื่อเช้าให้อาจารย์ฟัง
“...น่าสนใจ” เด็กสาวผมขาวกอดอก “แต่ว่า นอกจากเจ้าตัวเล็กนี่ ครูก็ไม่ได้เสกสัตว์ตัวไหนให้เป็นมนุษย์สัตว์แล้วนะ”
“ถ้างั้น แสดงว่าแมวตัวนั้นคงโดนใครเสกคาถาแบบเดียวกันใช่ไหมคะ”
“อืม แต่ว่านะ เวทมนต์นี้มันหายสาบสูญไปแล้วล่ะ จัดเป็นเวทมนตร์โบราณของอาร์คานาที่เคยใช้เปลี่ยนสัตว์ธรรมดา ๆ ให้มีร่างกายแบบมนุษย์เพื่อนำมาเป็นทาสรับใช้ที่ใช้แรงงานและเข้าใจคำสั่งได้ดีขึ้นน่ะ” อาเทเนียกล่าว “แต่ว่าเวทย์ที่ครูเสกใส่นัวร์น่ะ พัฒนาต่อยอดมาจากเวทย์นั้นอีกที คือทำให้เขาสามารถสลับไปมาระหว่างร่างมนุษย์กับสัตว์ได้ แล้วคนรู้คาถานี้ก็มีแต่ครู ไม่ก็อาจารย์”
ได้ยินดังนั้น ในอกของมารีก็รู้สึกวูบวาบขึ้นมา
“แปลว่า...เป็นฝีมือของแม่เหรอคะ”
“ครูก็ฟันธงไม่ได้หรอก ไม่รู้ว่าขานั้นเขาจะสอนใครเสกคาถานี้อีกหรือเปล่า อาจารย์โรมารินไม่ได้มีลูกศิษย์คนเดียวสักหน่อยนะ” อาเทเนียเท้าคางและยิ้มออกมา
“...ก็เป็นไปได้นะคะ” ได้ยินดังนั้น มารีก็ถอนหายใจและเลื่อนสายตาลงอย่างหมอง ๆ
ระหว่างนั้นเอง ที่เตาผิงด้านหลังของโต๊ะทำงานก็มีเปลวไฟลุกโชน พร้อมกับกล่องกระดาษไหม้ ๆ ปรากฏขึ้น ผอ. รีบเดินไปหยิบกล่องออกมาก่อนที่มันจะไหม้ไปกว่านี้และเอามาวางบนโต๊ะ ในนั้นมีคุกกี้ที่ไหม้จากการส่งผ่านเครือข่ายเตาผิงบรรจุอยู่หนึ่งโหล
“อย่างกะรู้แน่ะ” อาเทเนียยิ้มอย่างอ่อนใจและยื่นคุกกี้ให้มารี “ชาหน่อยไหม”
“เจ้านี่…ส่งมาจากแม่เหรอคะ”
“อืม” อาเทเนียกัดคุกกี้ไปชิ้นนึง “ฝีมือห่วยสุด ๆ เลยใช่ไหมล่ะ แถมยังส่งมาแบบไหม้ ๆ อีก”
“ถ้างั้น ก็น่าจะรู้ปลายทางได้นี่คะว่ามาจากไหน” มารีว่า แต่อีกฝ่ายส่ายหน้า
“ก็ใช่ แต่ปัญหาคือปลายทางของเจ้านี่มันเชื่อมต่อกับที่อื่นเยอะมากจนไม่รู้ว่ามาจากตรงไหนน่ะสิ” เด็กสาวผมขาวเบ้ปาก เธอหยิบไม้กายสิทธิ์บนโต๊ะโบกไปหนึ่งที เรียกแฟ้มเอกสารเล่มหนามากางตรงหน้าของมารี มันคือข้อมูลของปลายทางเครือข่ายของเตาผิงนี้ ซึ่งสามารถไปโผล่ได้ทุกที่ทั่วโลก
แค่เห็นจำนวนปลายทางก็รู้สึกท้อแล้ว มารียิ้มเศร้า ๆ ก่อนจะกัดไปหนึ่งคำ แน่นอนว่าน้ำตามันก็ยังคงไหลออกมาโดยอัตโนมัติ
“เป็นอย่างงี้ทุกทีสินะ” อาเทเนียทัก “นัวร์เคยเล่าให้ฟังอยู่”
“อาจารย์พอจะรู้ไหมคะว่าเป็นเพราะอะไร”
“อืม ว่ากันว่านอกจากสมองแล้ว ร่างกายเองก็สามารถเก็บความทรงจำได้ล่ะนะ บางอย่างเราอาจจะจำไม่ได้ แต่ร่างกายมันจำได้” อีกฝ่ายกล่าวพลางส่งผ้าเช็ดหน้าให้เธอ
“แสดงว่าหนูเคยกินคุกกี้นี้ตอนที่เคยอยู่กับแม่เหรอคะ”
“วันสุดท้ายก่อนที่อาจารย์จะจากไปน่ะ ตอนนั้นพระองค์ร้องไห้ใหญ่เลย กว่าจะปลอบจนหายร้องได้ก็ทำเอาเหนื่อยกันทั้งวัง แถมยังทำปราสาทพังไปหลังนึงอีก”
“ขะ...ขนาดนั้นเลยเหรอคะ” มารีกัดคุกกี้คำต่อไปพลางเช็ดน้ำตาพร้อมกับรอยยิ้ม “มีอีกเรื่องที่สงสัยค่ะ แม่เกี่ยวอะไรกับโรสแมรีหรือเปล่าคะ”
“อยู่ฝรั่งเศสตั้งพักใหญ่ ๆ มารีไม่ได้สอนภาษาของที่นั่นให้เลยเหรอ” อาเทเนียเอียงคอ
“ค่ะ หนูสอนภาษาเวทมนตร์ให้เขาอย่างเดียว” มารีว่า “ทำไมเหรอคะ”
“ไม่รู้ว่าจะเรียกว่าบังเอิญหรือเปล่านะ...แต่นี่คือชื่อภาษาอาร์คานาของโรสแมรี ซึ่งมันไปตรงกับชื่อของต้นโรสแมรีในภาษาฝรั่งเศสพอดี ถึงจะอ่านไม่เหมือนกันก็เถอะ” อาเทเนียโบกไม้กายสิทธิ์วาดเส้นแสงเป็นตัวอักษรละติน มารีตั้งใจดูอย่างใจจดใจจ่อ และสิ่งที่ ผอ. เขียนออกมาก็คือ
ROMARIN
เพียงแค่เห็น ดวงตาสีเปลือกไม้ก็ขยายใหญ่ขึ้นทันที
และในตอนนั้นเอง บางอย่างก็ดลใจเธอขึ้นมา มารีกระเด้งตัวลุกขึ้นโดยลืมไปว่านัวร์นั่งอยู่บนตัก ผลก็คือเด็กน้อยกระเด็นหน้าทิ่มไปกับชนโต๊ะ...
มารีกับนัวร์ (ที่แปะพลาสเตอร์ไว้ที่หน้าผาก) เดินเลาะริมทะเลสาบมาเรื่อย ๆ จนกระทั่งมาถึงทางเข้าอุทยานแห่งชาติ
“มาที่นี่ทำไมเหรอฮะ” เด็กน้อยเงยหน้าถามงง ๆ
“บางอย่างมันบอกว่าต้องมาที่นี่น่ะ” เธอยักไหล่ นี่อาจจะเป็นผลของน้ำยานำโชคอีกก็ได้ แต่มารีเองก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมถึงเป็นที่นี่ ทั้ง ๆ ที่ถ้าอยากจะหาแมวตัวนั้นให้เจอก็ต้องไปย่านการค้าสิ
ทั้งสองคนเดินเข้ามาเรื่อย ๆ จนกระทั่งหยุดตรงหน้าสิ่งปลูกสร้างแห่งหนึ่ง มันคือบ้านร้างที่ตั้งอยู่ในนี้นั่นเอง
“กลิ่นนี้มัน...” เด็กน้อยทำจมูกฟุตฟิต ก่อนจะถือวิสาสะเดินเข้าไปในบ้านร้าง มารีมองซ้ายมองขวาและตามเข้าไป นัวร์ดมบริเวณต่าง ๆ จนกระทั่งไปหยุดที่เตาผิง “เหมือนเพิ่งจะมีคนมาจุดไฟไว้เลยฮะ”
มารีมองรอบ ๆ เตาผิงที่มีร่องรอยของการเผาไหม้สด ๆ ร้อน ๆ จนกระทั่งไปสะดุดตาเข้าที่กระถางดินเผาที่วางอยู่ใกล้ ๆ ในนั้นมีผงสีขาวเหมือนทรายบรรจุเอาไว้อยู่
“...อย่างนี้นี่เอง” เธอหยิบผงสีขาวขึ้นมา “เข้าไปนั่งข้างในเตาผิงหน่อยสิ”
“ฮะ จะทำอะไรเหรอ” นัวร์เอียงคองง ๆ แต่ก็เข้าไปนั่งตามที่เจ้านายบอก
“อยู่นิ่ง ๆ ล่ะ ฝากบอกอาจารย์ด้วยว่าให้ส่งกลับมาที่นี่ คอนเทโก” มารีเสกคาถาเกราะป้องกันใส่นัวร์ จากนั้นก็ปาผงสีขาวลงไปที่พื้นใต้ตัวเด็กน้อย “ห้องทำงานอาเทเนีย ไวท์ฟอร์ด”
เปลวไฟสีม่วงลุกโชนโอบล้อมร่างของนัวร์ที่สะดุ้งโหยง ยังไม่ทันที่จะได้อ้าปากพูด ร่างของเขาก็หายวับไป
ผ่านไปสักพัก ที่เตาผิงก็มีไฟสีม่วงลุกขึ้นมาอีกครั้ง ตามมาด้วยร่างของนัวร์ที่สีหน้าไม่ค่อยดีนัก
“เง้ออออ” เด็กน้อยเดินโซซัดโซเซออกมา แน่นอนว่าการเดินทางด้วยวิธีแบบนี้มันเวียนหัวพอ ๆ กับการหายตัว
“แสดงว่าอาจจะใช้ที่นี่ส่งคุกกี้ไปสินะ” มารีแตะคางครุ่นคิด ก่อนจะเหลือบไปมองนัวร์ที่ยืนไม่ไหวแล้ว “ไปนั่งพักก่อนไป”
“งืออออ”
มารีเดินสำรวจรอบ ๆ ดูยังไงที่นี่ก็ไม่น่าจะใช่ที่อยู่อาศัย คำถามก็คือแล้วใครเป็นคนส่งคุกกี้ไปล่ะ แล้วจะเกี่ยวข้องอะไรกับแมวตัวนั้นด้วยหรือเปล่า
พรุ่งนี้คงต้องลองมาแอบสังเกตการณ์ดูสักหน่อย
“ไหวไหมเนี่ย” พอเห็นหน้าซีด ๆ ของเด็กน้อยที่โอนไปเอนมา มารีก็ได้แต่ยิ้มอย่างอ่อนใจ
“งืมมมม”
“ไปหาขนมอะไรกินไหมล่ะ”
“อื้อ!”
พอพูดคำว่าขนมปุ๊บ ไอ้อาการเมื่อกี้ก็หายเป็นปลิดทิ้งทันที นัวร์กระโดดลงจากเก้าอี้และกระโดดเหยง ๆ ด้วยตาเป็นประกาย
แล้วมารีก็กลับมาที่ย่านการค้าอีกรอบ เธอพานัวร์ไปที่คาเฟ่เล็ก ๆ ที่ไม่ค่อยมีคน ทว่า...
“...โอ้”
หนึ่งในลูกค้าที่นั่งอยู่ยกมือทักเธอ พ่อหนุ่มผมแดงเดรโกรัสนั่นเอง
ไอ้น้ำยานำโชคนี้มันจะหาแต่เรื่องดี ๆ มาให้เยอะเกินไปแล้ว...
“วันนี้มีโปรโมชันลดยี่สิบเปอร์เซนต์นะคะ” คุณพนักงานกล่าวพร้อมกับรอยยิ้ม ดูท่าวันนี้เธอจะเจอแต่เรื่องดี ๆ จริง ๆ
“เอาชานมร้อนหวานน้อยกับชีสเค้กบลูเบอรี แล้วก็นมร้อนกับคัพเค้กเรดเวลเวทค่ะ” เธอสั่งเมนูกับพนักงาน ระหว่างนั้นก็สังเกตเห็นว่านัวร์ทำจมูกฟุตฟิตแปลก ๆ “มีอะไรเหรอ”
“ได้กลิ่นแปลก ๆ น่ะฮะ แต่ช่างเถอะ” นัวร์ว่า พร้อมกับส่งยิ้มให้
“ขอนั่งด้วยนะ” มารีเดินมานั่งกับเพื่อนชาย ในมือของเดรโกคือหนังสือพิมพ์ฉบับวันนี้ ซึ่งมีข่าวการก่อวินาศกรรมที่เอลเดนเมื่อวานปรากฏเป็นข่าวใหญ่บนหน้าแรก
“พะ...พ่ะย่ะค่ะ” เด็กหนุ่มผมแดงยิ้มแห้ง ๆ ให้
“ไม่ต้องใช้คำสูงหรอกน่า” มารีถอนหายใจและยิ้มจาง ๆ ให้ “เราก็มารีคนเดิมนะ”
“อะ...อืม แค่ก ๆ” เด็กหนุ่มยิ้มเจื่อน พลางจิบกาแฟดำช้า ๆ ก่อนจะสำลักออกมาเพราะลืมเป่า
“อาการหนักนะนาย”
“ก็มัน...” เดรโกเช็ดปาก “จะว่าไงดีล่ะ เรื่องของพระองค์...ของเธอมันโถมเข้ามาเยอะมากจนตั้งตัวไม่ทันน่ะ เป็นใครก็ทำตัวไม่ถูกทั้งนั้นแหละ ดีแล้วล่ะที่ยังไม่บอกสองคนนั้นไป”
“เห็นด้วยอย่างยิ่งเลยล่ะ”
“ลบความทรงจำเขาดีไหมฮะ จะได้อาการดีขึ้น” นัวร์ที่นั่งอยู่บนตักยิ้มแป้นและเงยหน้ามองมารี
“ก็ดีนะ ไหน ๆ นายก็เห็นร่างนี้จนหมดไส้หมดพุงแล้วด้วย” มารีเบ้ปากพลางหยิบไม้กายสิทธิ์ออกมา
“เดี๋ยวสิ”
หลังจากนั้นหนุ่มสาวทั้งสองกับเด็กน้อยอีกคนก็นั่งดื่มเครื่องดื่มและกินของหวานกันเงียบ ๆ นั่งฟังเสียงเพลงบรรเลงจากเครื่องเล่นแผ่นเสียงโบราณในร้าน เสียงจิบกาแฟของเดรโกดังขึ้นมาเป็นพัก ๆ ตัวร้านตกแต่งสไตล์บ้าน ๆ ดูอบอุ่นเหมือนกำลังนั่งอยู่ในห้องนั่งเล่นที่บ้านตัวเองก็มิปาน
แต่บรรยากาศตอนนี้มันรู้สึกอัดอัดยังไงก็ไม่รู้สิ…
“...สองคนนั้นไม่เป็นอะไรใช่ไหม” ผ่านไปสักพักมารีก็ถามขึ้นมาเพื่อทำลายบรรยากาศเดดแอร์ ตั้งแต่กลับมาเมื่อวาน เธอก็ไม่ได้คุยกับเพื่อน ๆ เลย เห็นว่าถูกส่งไปตรวจร่างกายที่โรงพยาบาลกันอีกรอบ
“แค่ยังตกใจกันอยู่นิดหน่อยน่ะ เห็นว่าโดนพวกอีกาสร้างภาพหลอนใส่” หนุ่มผมแดงบอก “ถ้าไม่ได้น้ำตาของเธอก็คงแย่ ขอบใจนะ”
“อืม ทางนี้ก็ขอบใจเช่นกันที่พยายามปกป้องตัวเรา ถึงตอนนี้จะเป็นนัวร์ที่ปลอมตัวอยู่ก็เถอะ” มารีว่า พลางยกมือลูบหัวไอ้ตัวเล็ก “แล้วก็ขอโทษด้วยที่ไม่บอกก่อน พวกนายคงไม่ต้องมาเจ็บตัวแบบนี้”
“ไม่เป็นไรหรอก พวกเราเองก็ทำให้มารีลำบากเหมือนกัน” เดรโกใช้สองมือประคองถ้วยกาแฟและจิบบา ๆ “มารี...กำลังตามหาแม่อยู่สินะ ถึงได้หนีออกจากวังมา”
“อืม” มารีใช้ชั้นตักเนื้อชีสเค้กเอาเข้าปาก “แต่นั่นก็ไม่ใช่เหตุผลทั้งหมดหรอก”
“งั้นเหรอ” อีกฝ่ายว่า “ถ้าอยากจะให้เราช่วยอะไรก็บอกได้นะ เรายินดีจะช่วยเท่าที่ทำได้”
“อืม" รอยยิ้มจาง ๆ ปรากฏขึ้นบนใบหน้าพร้อมกับเลือดฝาดที่แก้ม "ถ้าเห็นแมวสีขาวหรือเด็กผู้หญิงเผ่ามนุษย์สัตว์ที่เหน็บก้านโรสแมรีเอาไว้กับโชคเกอร์ที่คอก็ฝากบอกเราหน่อยแล้วกัน”
“แบบนี้เจ้าตัวนี้น่ะเหรอ”
เดรโกวางหนังสือพิมพ์ลง ก่อนจะเอาสองมือล้วงไปที่หน้าตักและอุ้มแมวสีขาวที่เหน็บก้านโรสแมรีเอาไว้ที่คอขึ้นมา
“...”
All you need is a bit of luck
วันรุ่งขึ้น มารียังคงตื่นมาแต่เช้ามืดเช่นเคย โดยมีนัวร์ในร่างเด็กน้อยนอนซบอกอยู่ เสียงสายฝนโปรยปรายดังมาจากหน้าต่าง พร้อมกับกลิ่นชื้น ๆ ลอยมาจากหน้าต่าง
บางทีก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเพราะอะไร ทุกวันหยุดมารีถึงตื่นเช้าแบบนี้ตลอด เด็กสาวถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนจะเอามือมาขยี้ผมนุ่ม ๆ ของอีกฝ่ายให้หายมันเขี้ยว มีเสียงครางน้อย ๆ ตามมา มารีจ้องมองเพดานเงี่ยฟังเสียงพระพิรุนบรรเลงเพลง เธอพยายามลบเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวันสองวันที่ผ่านมาออก เพราะตอนนี้เธอยังมีอีกเรื่องที่ต้องสะสาง
ผ่านมาหลายเดือนแล้ว เธอยังไม่เจอเบาะแสของคนที่บอกให้เธอมาเรียนที่โฮมเลย
ไปเข้าเรียนที่โอวล์ฟอสเทียร์ซะ แล้วถ้ามีโชค สักวันคงได้พบกัน
บางทีตอนนี้เธออาจจะไม่มีโชคก็ได้...
โชค…
“!?”
ดวงตาสีเปลือกไม้เบิกกว้าง มารีกระเด้งตัวขึ้นมาจนนัวร์กลิ้งตกเตียง (แต่ก็ยังคงหลับต่อ) เธอลุกไปหยิบกระเป๋าสะพายข้าง เอาหลอดแก้วที่บรรจุของเหลวสีทองอร่ามออกมา
“เก็บไว้นานจนลืมเลยแฮะ”
ตั้งแต่ตอนที่ทำน้ำยานำโชคเมื่อหลายสัปดาห์ก่อนนู้นจนโชคร้ายไปทั้งวัน เจ้าไทก็เลยปรุงอีกชุดให้เธอเอาไว้เป็นของปลอบใจ แต่มารีไม่เคยเอามาใช้เลย เพราะเข็ดกับน้ำยาแบบเดียวกันที่เธอสร้างขึ้นมา
หลังจากล้างหน้าแปรงฟันเสร็จ มารีก็กินน้ำยาน้ำโชคไปเจ็ดหยด
หลังจากกินน้ำยาเข้าไปได้ไม่กี่วินาที มารีก็รู้สึกได้ทันทีว่าทุกอย่างมันดูสดใสไปหมด เหมือนว่าจะทำอะไรก็ดูจะเข้าท่าเข้าทาง แล้วทันใดนั้นบางอย่างดลใจให้เธอ…ออกไปวิ่งออกกำลังกาย
มารีรีบเปลี่ยนเสื้อผ้าและลงมาจากห้องพัก ดูเหมือนว่าฝนจะหยุดตกพอดีเลย
เมื่อออกมาหน้าโรงเรียน อากาศเย็นชื้นก็ปะทะกับร่าง ท้องฟ้ายังคงครึ้มไปด้วยเมฆสีเทาและส่งเสียงครืน ๆ เป็นระยะ ตัวเมืองเงียบสงบไร้ผู้คน มารีรวบผมเป็นหางกระรอกมัดด้วยยางรัดผม แล้วก็กดไปที่สมาร์ทวอชเพื่อเริ่มการวิ่ง
เสียงฝีเท้าและเสียงหายใจเป็นจังหวะดังท่ามกลางเมืองที่เริ่มสว่างขึ้น มารีวิ่งเหยาะ ๆ มาถึงย่านการค้า มีผู้คนจำนวนมากออกมาจับจ่ายซื้อของที่ตลาดเช้ากันแล้ว มีทั้งอาหาร พืชผัก เนื้อสัตว์ และปลาสด ๆ จากเขตเกษตรกรรมและประมงเอามาวางขายกันเต็มถนน เสียงตะโกนเรียกลูกค้าจากแต่ละร้านดังแข่งกัน
เธอชะลอฝีเท้าลงและยกข้อมือขึ้นมาดู ตอนนี้วิ่งมาได้เยอะพอสมควร แต่กลับเผาผลาญแคลรอรีไปได้ไม่เท่าไหร่เอง
ทำไมธรรมชาติถึงโหดร้ายนักนะ เวลาเอาของอร่อยเข้าปากมันง่ายแสนง่าย แต่พอวิ่งแทบตายกลับเผาผลาญไปได้แค่นิดเดียว
ในระหว่างนั้นเอง ดวงตาของเธอก็เหลือบไปเห็นแมวสีขาวตัวหนึ่ง มันเดินอย่างกล้า ๆ กลัว ๆ พยายามหลบผู้คนและเข้าไปด้านหลังกองกล่องไม้ที่วางอยู่ที่เต๊นท์ของร้าน ๆ หนึ่ง
แล้วด้านหลังกล่องเดิมก็มีเด็กสาวเผ่ามนุษย์สัตว์ที่มีผมสีขาวและหูกับหางแมวสีเดียวกันลุกขึ้นมาแทน เธอมองซ้ายมองขวาและเดินออกไปในตลาดเช้า
มารีจำแมวตัวนั้นได้ดี ส่วนเด็กผู้หญิงคนนั้นก็คุ้น ๆ ว่าเคยเห็นที่ไหนมาก่อน
ด้วยความสงสัย เธอจึงวิ่งเหยาะ ๆ เข้าไปดูที่กองกล่องไม้ แต่ก็ไม่มีวี่แววของแมวสีขาวตัวเมื่อครู่เลย
พอตามเข้าไปในตลาด คนก็เยอะมากจนเธอหาเด็กสาวคนนั้นไม่เจอ และถูกคลื่นฝูงชนเบียดเสียดจนแทบออกมาไม่ได้
มารีเดินอย่างละเหี่ยใจออกมาจากโซนตลาดเช้า เดี๋ยวรอให้คนซาลงสักหน่อยค่อยไปหาอีกรอบแล้วกัน
มารีจึงแวะหาอาหารเช้าแถวนั้นกินรองท้องสักหน่อยเพื่อฆ่าเวลา และตระเวนหาเด็กสาวคนนั้นจนกระทั่งเกือบ ๆ แปดโมงแต่สุดท้ายก็ไม่พบ จึงตัดสินใจเดินทางกลับ
ระหว่างทาง มารีก็เจอร้านขายต้นไม้เข้า มีไม้ดอกไม้ประดับน่ารัก ๆ วางเอาไว้เต็มหน้าร้าน เห็นแล้วก็น่าซื้อเอาไปปลูกที่ห้องพักกับห้องชมรมเหมือนกัน มารีนั่งยอง ๆ ดูพุ่มโรสแมรีสีเขียวสด เมื่อเอามือลูบไล้ไปก็ส่งกลิ่นหอมออกมา
“สนใจไหม ลุงลดให้เหลือสิบคิวพรัม” คุณลุงเจ้าของร้านถาม
“...” มารีเม้มปากมองราคาเต็มซึ่งอยู่ที่หนึ่งอาร์เกนทัม
เงินตราในโลกของเวทมนตร์ใช้สกุลเงินชื่อเดียวกันทั้งหมด ชื่อว่าโมเนธา เพียงแต่ละประเทศจะมีค่าเงินไม่เท่ากันตามสภาพเศรษฐกิจและปัจจัยอื่น ๆ โดยเงินจะแบ่งเป็นสามหน่วย ได้แก่เหรียญทองเรียกว่าออรัม เหรียญเงินเรียกว่าอาร์เกนทัม และเหรียญทองแดงเรียกว่าคิวพรัม
25 คิวพรัม นับเป็น 1 อาร์เกนทัม
4 อาร์เกนทัม นับเป็น 1 ออรัม
ที่โอวล์ฟอสเทียร์ พวกอาหารการกินตามร้านทั่ว ๆ ไปจะราคาตั้งแต่ 20 คิวพรัมไปจนถึง 1 อาร์เกนทัม
ถูกกว่าข้าวจานหนึ่งล่ะนะ แม้สถาพของต้นจะดูไม่ค่อยดีนัก แต่ในเมื่อให้ราคาถูกแบบนี้ มีหรือจะไม่ซื้อ ไว้ค่อยเอาไปใส่ปุ๋ยบำรุงอีกทีก็ได้
มารีเดินอุ้มต้นโรสแมรีพลางคิดว่าทำไมแมวตัวนั้นต้องเหน็บก้านโรสแมรีติดตัวด้วยนะ แต่ตอนนี้มีอีกเรื่องที่เธอสงสัย…
“เท่าที่รู้ นอกจากผมแล้ว อาเทเนียก็ไม่ได้เปลี่ยนแมวตัวไหนเป็นคนอีกนะฮะ”
“งั้นเหรอ ว่าแต่ช่วงที่ผ่านมาเธอเจอแมวที่เหน็บก้านโรสแมรีไว้ที่คอบ้างไหม”
หลังจากกลับมาที่ห้องพัก ก็เจอนัวร์นอนวาดรูปเล่นอยู่บนเตียง มารีนั่งลงที่เก้าอี้ข้าง ๆ ถามเด็กน้อย พลางจัดกระถางต้นโรสแมรีให้เข้าที่เข้าทาง
“เจอบ่อยมากฮะ เธอจะออกมาตอนเช้า ๆ บางวันก็มานั่งอาบแดดบ้าง บางวันก็เดินเตร็ดเตร่บ้าง แต่ผมยังจับทางเธอไม่ได้เลยว่าจะโผล่มาตอนไหน เหมือนกับเธอออกมาตามใจตัวเองมากกว่า เสียดายที่เธอไม่เล่นด้วย ไม่งั้นคงได้แฟนแล้ว” นัวร์ตอบ
“แก่แดดนะเรา” มารียิ้มอย่างอ่อนใจให้ เด็กน้อยยิ้มแฉ่งตอบก่อนจะชะงักไปเมื่อมองมาที่ต้นโรสแมรี
“ว่าแต่ โรสแมรีมันหมายความว่ายังไงเหรอฮะ ทำไมเธอคนนั้นถึงต้องพกมันติดตัวด้วย”
“ไม่รู้สิ โดยทั่วไป โรสแมรีเป็นสัญลักษณ์ของความซื่อสัตย์และความทรงจำน่ะ” มารีเบ้ปากมองต้นโรสแมรีในกระถาง และลูบไล้ไปมาเบา ๆ ให้กลิ่นหอมติดมือ “แต่คิดว่ามีคนแถว ๆ นี้ที่น่าจะรู้อยู่แหละนะ”
หลังจากอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จ มารีกับนัวร์ก็เดินข้ามลานกว้างของโรงเรียนมายังตึกฝั่งตรงข้ามกับหอพักและขึ้นบันไดมาชั้นที่สาม เธอหยุดหน้าประตูกระจกซึ่งมีป้ายชื่อของผู้อำนวยการติดเอาไว้อยู่เหนือประตู เป็นประตูธรรมดา ๆ ที่ไม่มีอะไรพิเศษนอกจากป้ายที่เขียนว่า “กรุณาเคาะเบา ๆ ระวังแตก” ติดเอาไว้ และไม่ต้องพูดรหัสแปลก ๆ อย่างไอศกรีมเชอร์เบทรสมะนาวก็สามารถเข้าไปได้เลย
จริง ๆ มองผ่านประตูไปก็เห็นผอ.นั่งยิ้มแฉ่งให้อยู่แล้วล่ะ แต่ตามมารยาท มารีจึงเคาะประตูเบา ๆ และเปิดเข้าไป
ห้องของอาเทเนีย ไวท์ฟอร์ดนั้นเต็มได้ด้วยชั้นวางหนังสือและตู้กระจกที่เต็มไปด้วยของแปลก ๆ ด้านหลังคือหน้าต่างบานใหญ่ซึ่งสามารถมองเห็นวิวทิวทัศน์ของเมืองได้ บริเวณใจกลางห้องมีโต๊ะไม้สีเข้มที่เต็มไปด้วยกองแฟ้มและหนังสือมากมายตั้งอยู่ และหลังโต๊ะก็คือร่างของผู้อำนวยการในชุดกระโปรงสบาย ๆ วันนี้เธออยู่ในร่างของเด็กสาววัย ม.ต้น ดูโตกว่าเมื่อวานประมาณสามสี่ปี
“ลมอะไรหอบมาล่ะ”
“มีเรื่องอยากจะปรึกษาหน่อยน่ะค่ะ”
“การเงินมีปัญหาแล้วเหรอ”
“ไม่ใช่เรื่องนั้นหรอกค่ะ”
มารีถอนหายใจและนั่งลงที่เก้าอี้เบื้องหน้าอีกฝ่าย นัวร์ขึ้นมานั่งบนตักของเธออีกที ในระหว่างที่ลูบไล้เส้นผมสีดำนุ่ม ๆ มารีก็เล่าเรื่องที่เจอเมื่อเช้าให้อาจารย์ฟัง
“...น่าสนใจ” เด็กสาวผมขาวกอดอก “แต่ว่า นอกจากเจ้าตัวเล็กนี่ ครูก็ไม่ได้เสกสัตว์ตัวไหนให้เป็นมนุษย์สัตว์แล้วนะ”
“ถ้างั้น แสดงว่าแมวตัวนั้นคงโดนใครเสกคาถาแบบเดียวกันใช่ไหมคะ”
“อืม แต่ว่านะ เวทมนต์นี้มันหายสาบสูญไปแล้วล่ะ จัดเป็นเวทมนตร์โบราณของอาร์คานาที่เคยใช้เปลี่ยนสัตว์ธรรมดา ๆ ให้มีร่างกายแบบมนุษย์เพื่อนำมาเป็นทาสรับใช้ที่ใช้แรงงานและเข้าใจคำสั่งได้ดีขึ้นน่ะ” อาเทเนียกล่าว “แต่ว่าเวทย์ที่ครูเสกใส่นัวร์น่ะ พัฒนาต่อยอดมาจากเวทย์นั้นอีกที คือทำให้เขาสามารถสลับไปมาระหว่างร่างมนุษย์กับสัตว์ได้ แล้วคนรู้คาถานี้ก็มีแต่ครู ไม่ก็อาจารย์”
ได้ยินดังนั้น ในอกของมารีก็รู้สึกวูบวาบขึ้นมา
“แปลว่า...เป็นฝีมือของแม่เหรอคะ”
“ครูก็ฟันธงไม่ได้หรอก ไม่รู้ว่าขานั้นเขาจะสอนใครเสกคาถานี้อีกหรือเปล่า อาจารย์โรมารินไม่ได้มีลูกศิษย์คนเดียวสักหน่อยนะ” อาเทเนียเท้าคางและยิ้มออกมา
“...ก็เป็นไปได้นะคะ” ได้ยินดังนั้น มารีก็ถอนหายใจและเลื่อนสายตาลงอย่างหมอง ๆ
ระหว่างนั้นเอง ที่เตาผิงด้านหลังของโต๊ะทำงานก็มีเปลวไฟลุกโชน พร้อมกับกล่องกระดาษไหม้ ๆ ปรากฏขึ้น ผอ. รีบเดินไปหยิบกล่องออกมาก่อนที่มันจะไหม้ไปกว่านี้และเอามาวางบนโต๊ะ ในนั้นมีคุกกี้ที่ไหม้จากการส่งผ่านเครือข่ายเตาผิงบรรจุอยู่หนึ่งโหล
“อย่างกะรู้แน่ะ” อาเทเนียยิ้มอย่างอ่อนใจและยื่นคุกกี้ให้มารี “ชาหน่อยไหม”
“เจ้านี่…ส่งมาจากแม่เหรอคะ”
“อืม” อาเทเนียกัดคุกกี้ไปชิ้นนึง “ฝีมือห่วยสุด ๆ เลยใช่ไหมล่ะ แถมยังส่งมาแบบไหม้ ๆ อีก”
“ถ้างั้น ก็น่าจะรู้ปลายทางได้นี่คะว่ามาจากไหน” มารีว่า แต่อีกฝ่ายส่ายหน้า
“ก็ใช่ แต่ปัญหาคือปลายทางของเจ้านี่มันเชื่อมต่อกับที่อื่นเยอะมากจนไม่รู้ว่ามาจากตรงไหนน่ะสิ” เด็กสาวผมขาวเบ้ปาก เธอหยิบไม้กายสิทธิ์บนโต๊ะโบกไปหนึ่งที เรียกแฟ้มเอกสารเล่มหนามากางตรงหน้าของมารี มันคือข้อมูลของปลายทางเครือข่ายของเตาผิงนี้ ซึ่งสามารถไปโผล่ได้ทุกที่ทั่วโลก
แค่เห็นจำนวนปลายทางก็รู้สึกท้อแล้ว มารียิ้มเศร้า ๆ ก่อนจะกัดไปหนึ่งคำ แน่นอนว่าน้ำตามันก็ยังคงไหลออกมาโดยอัตโนมัติ
“เป็นอย่างงี้ทุกทีสินะ” อาเทเนียทัก “นัวร์เคยเล่าให้ฟังอยู่”
“อาจารย์พอจะรู้ไหมคะว่าเป็นเพราะอะไร”
“อืม ว่ากันว่านอกจากสมองแล้ว ร่างกายเองก็สามารถเก็บความทรงจำได้ล่ะนะ บางอย่างเราอาจจะจำไม่ได้ แต่ร่างกายมันจำได้” อีกฝ่ายกล่าวพลางส่งผ้าเช็ดหน้าให้เธอ
“แสดงว่าหนูเคยกินคุกกี้นี้ตอนที่เคยอยู่กับแม่เหรอคะ”
“วันสุดท้ายก่อนที่อาจารย์จะจากไปน่ะ ตอนนั้นพระองค์ร้องไห้ใหญ่เลย กว่าจะปลอบจนหายร้องได้ก็ทำเอาเหนื่อยกันทั้งวัง แถมยังทำปราสาทพังไปหลังนึงอีก”
“ขะ...ขนาดนั้นเลยเหรอคะ” มารีกัดคุกกี้คำต่อไปพลางเช็ดน้ำตาพร้อมกับรอยยิ้ม “มีอีกเรื่องที่สงสัยค่ะ แม่เกี่ยวอะไรกับโรสแมรีหรือเปล่าคะ”
“อยู่ฝรั่งเศสตั้งพักใหญ่ ๆ มารีไม่ได้สอนภาษาของที่นั่นให้เลยเหรอ” อาเทเนียเอียงคอ
“ค่ะ หนูสอนภาษาเวทมนตร์ให้เขาอย่างเดียว” มารีว่า “ทำไมเหรอคะ”
“ไม่รู้ว่าจะเรียกว่าบังเอิญหรือเปล่านะ...แต่นี่คือชื่อภาษาอาร์คานาของโรสแมรี ซึ่งมันไปตรงกับชื่อของต้นโรสแมรีในภาษาฝรั่งเศสพอดี ถึงจะอ่านไม่เหมือนกันก็เถอะ” อาเทเนียโบกไม้กายสิทธิ์วาดเส้นแสงเป็นตัวอักษรละติน มารีตั้งใจดูอย่างใจจดใจจ่อ และสิ่งที่ ผอ. เขียนออกมาก็คือ
ROMARIN
เพียงแค่เห็น ดวงตาสีเปลือกไม้ก็ขยายใหญ่ขึ้นทันที
และในตอนนั้นเอง บางอย่างก็ดลใจเธอขึ้นมา มารีกระเด้งตัวลุกขึ้นโดยลืมไปว่านัวร์นั่งอยู่บนตัก ผลก็คือเด็กน้อยกระเด็นหน้าทิ่มไปกับชนโต๊ะ...
มารีกับนัวร์ (ที่แปะพลาสเตอร์ไว้ที่หน้าผาก) เดินเลาะริมทะเลสาบมาเรื่อย ๆ จนกระทั่งมาถึงทางเข้าอุทยานแห่งชาติ
“มาที่นี่ทำไมเหรอฮะ” เด็กน้อยเงยหน้าถามงง ๆ
“บางอย่างมันบอกว่าต้องมาที่นี่น่ะ” เธอยักไหล่ นี่อาจจะเป็นผลของน้ำยานำโชคอีกก็ได้ แต่มารีเองก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมถึงเป็นที่นี่ ทั้ง ๆ ที่ถ้าอยากจะหาแมวตัวนั้นให้เจอก็ต้องไปย่านการค้าสิ
ทั้งสองคนเดินเข้ามาเรื่อย ๆ จนกระทั่งหยุดตรงหน้าสิ่งปลูกสร้างแห่งหนึ่ง มันคือบ้านร้างที่ตั้งอยู่ในนี้นั่นเอง
“กลิ่นนี้มัน...” เด็กน้อยทำจมูกฟุตฟิต ก่อนจะถือวิสาสะเดินเข้าไปในบ้านร้าง มารีมองซ้ายมองขวาและตามเข้าไป นัวร์ดมบริเวณต่าง ๆ จนกระทั่งไปหยุดที่เตาผิง “เหมือนเพิ่งจะมีคนมาจุดไฟไว้เลยฮะ”
มารีมองรอบ ๆ เตาผิงที่มีร่องรอยของการเผาไหม้สด ๆ ร้อน ๆ จนกระทั่งไปสะดุดตาเข้าที่กระถางดินเผาที่วางอยู่ใกล้ ๆ ในนั้นมีผงสีขาวเหมือนทรายบรรจุเอาไว้อยู่
“...อย่างนี้นี่เอง” เธอหยิบผงสีขาวขึ้นมา “เข้าไปนั่งข้างในเตาผิงหน่อยสิ”
“ฮะ จะทำอะไรเหรอ” นัวร์เอียงคองง ๆ แต่ก็เข้าไปนั่งตามที่เจ้านายบอก
“อยู่นิ่ง ๆ ล่ะ ฝากบอกอาจารย์ด้วยว่าให้ส่งกลับมาที่นี่ คอนเทโก” มารีเสกคาถาเกราะป้องกันใส่นัวร์ จากนั้นก็ปาผงสีขาวลงไปที่พื้นใต้ตัวเด็กน้อย “ห้องทำงานอาเทเนีย ไวท์ฟอร์ด”
เปลวไฟสีม่วงลุกโชนโอบล้อมร่างของนัวร์ที่สะดุ้งโหยง ยังไม่ทันที่จะได้อ้าปากพูด ร่างของเขาก็หายวับไป
ผ่านไปสักพัก ที่เตาผิงก็มีไฟสีม่วงลุกขึ้นมาอีกครั้ง ตามมาด้วยร่างของนัวร์ที่สีหน้าไม่ค่อยดีนัก
“เง้ออออ” เด็กน้อยเดินโซซัดโซเซออกมา แน่นอนว่าการเดินทางด้วยวิธีแบบนี้มันเวียนหัวพอ ๆ กับการหายตัว
“แสดงว่าอาจจะใช้ที่นี่ส่งคุกกี้ไปสินะ” มารีแตะคางครุ่นคิด ก่อนจะเหลือบไปมองนัวร์ที่ยืนไม่ไหวแล้ว “ไปนั่งพักก่อนไป”
“งืออออ”
มารีเดินสำรวจรอบ ๆ ดูยังไงที่นี่ก็ไม่น่าจะใช่ที่อยู่อาศัย คำถามก็คือแล้วใครเป็นคนส่งคุกกี้ไปล่ะ แล้วจะเกี่ยวข้องอะไรกับแมวตัวนั้นด้วยหรือเปล่า
พรุ่งนี้คงต้องลองมาแอบสังเกตการณ์ดูสักหน่อย
“ไหวไหมเนี่ย” พอเห็นหน้าซีด ๆ ของเด็กน้อยที่โอนไปเอนมา มารีก็ได้แต่ยิ้มอย่างอ่อนใจ
“งืมมมม”
“ไปหาขนมอะไรกินไหมล่ะ”
“อื้อ!”
พอพูดคำว่าขนมปุ๊บ ไอ้อาการเมื่อกี้ก็หายเป็นปลิดทิ้งทันที นัวร์กระโดดลงจากเก้าอี้และกระโดดเหยง ๆ ด้วยตาเป็นประกาย
แล้วมารีก็กลับมาที่ย่านการค้าอีกรอบ เธอพานัวร์ไปที่คาเฟ่เล็ก ๆ ที่ไม่ค่อยมีคน ทว่า...
“...โอ้”
หนึ่งในลูกค้าที่นั่งอยู่ยกมือทักเธอ พ่อหนุ่มผมแดงเดรโกรัสนั่นเอง
ไอ้น้ำยานำโชคนี้มันจะหาแต่เรื่องดี ๆ มาให้เยอะเกินไปแล้ว...
“วันนี้มีโปรโมชันลดยี่สิบเปอร์เซนต์นะคะ” คุณพนักงานกล่าวพร้อมกับรอยยิ้ม ดูท่าวันนี้เธอจะเจอแต่เรื่องดี ๆ จริง ๆ
“เอาชานมร้อนหวานน้อยกับชีสเค้กบลูเบอรี แล้วก็นมร้อนกับคัพเค้กเรดเวลเวทค่ะ” เธอสั่งเมนูกับพนักงาน ระหว่างนั้นก็สังเกตเห็นว่านัวร์ทำจมูกฟุตฟิตแปลก ๆ “มีอะไรเหรอ”
“ได้กลิ่นแปลก ๆ น่ะฮะ แต่ช่างเถอะ” นัวร์ว่า พร้อมกับส่งยิ้มให้
“ขอนั่งด้วยนะ” มารีเดินมานั่งกับเพื่อนชาย ในมือของเดรโกคือหนังสือพิมพ์ฉบับวันนี้ ซึ่งมีข่าวการก่อวินาศกรรมที่เอลเดนเมื่อวานปรากฏเป็นข่าวใหญ่บนหน้าแรก
“พะ...พ่ะย่ะค่ะ” เด็กหนุ่มผมแดงยิ้มแห้ง ๆ ให้
“ไม่ต้องใช้คำสูงหรอกน่า” มารีถอนหายใจและยิ้มจาง ๆ ให้ “เราก็มารีคนเดิมนะ”
“อะ...อืม แค่ก ๆ” เด็กหนุ่มยิ้มเจื่อน พลางจิบกาแฟดำช้า ๆ ก่อนจะสำลักออกมาเพราะลืมเป่า
“อาการหนักนะนาย”
“ก็มัน...” เดรโกเช็ดปาก “จะว่าไงดีล่ะ เรื่องของพระองค์...ของเธอมันโถมเข้ามาเยอะมากจนตั้งตัวไม่ทันน่ะ เป็นใครก็ทำตัวไม่ถูกทั้งนั้นแหละ ดีแล้วล่ะที่ยังไม่บอกสองคนนั้นไป”
“เห็นด้วยอย่างยิ่งเลยล่ะ”
“ลบความทรงจำเขาดีไหมฮะ จะได้อาการดีขึ้น” นัวร์ที่นั่งอยู่บนตักยิ้มแป้นและเงยหน้ามองมารี
“ก็ดีนะ ไหน ๆ นายก็เห็นร่างนี้จนหมดไส้หมดพุงแล้วด้วย” มารีเบ้ปากพลางหยิบไม้กายสิทธิ์ออกมา
“เดี๋ยวสิ”
หลังจากนั้นหนุ่มสาวทั้งสองกับเด็กน้อยอีกคนก็นั่งดื่มเครื่องดื่มและกินของหวานกันเงียบ ๆ นั่งฟังเสียงเพลงบรรเลงจากเครื่องเล่นแผ่นเสียงโบราณในร้าน เสียงจิบกาแฟของเดรโกดังขึ้นมาเป็นพัก ๆ ตัวร้านตกแต่งสไตล์บ้าน ๆ ดูอบอุ่นเหมือนกำลังนั่งอยู่ในห้องนั่งเล่นที่บ้านตัวเองก็มิปาน
แต่บรรยากาศตอนนี้มันรู้สึกอัดอัดยังไงก็ไม่รู้สิ…
“...สองคนนั้นไม่เป็นอะไรใช่ไหม” ผ่านไปสักพักมารีก็ถามขึ้นมาเพื่อทำลายบรรยากาศเดดแอร์ ตั้งแต่กลับมาเมื่อวาน เธอก็ไม่ได้คุยกับเพื่อน ๆ เลย เห็นว่าถูกส่งไปตรวจร่างกายที่โรงพยาบาลกันอีกรอบ
“แค่ยังตกใจกันอยู่นิดหน่อยน่ะ เห็นว่าโดนพวกอีกาสร้างภาพหลอนใส่” หนุ่มผมแดงบอก “ถ้าไม่ได้น้ำตาของเธอก็คงแย่ ขอบใจนะ”
“อืม ทางนี้ก็ขอบใจเช่นกันที่พยายามปกป้องตัวเรา ถึงตอนนี้จะเป็นนัวร์ที่ปลอมตัวอยู่ก็เถอะ” มารีว่า พลางยกมือลูบหัวไอ้ตัวเล็ก “แล้วก็ขอโทษด้วยที่ไม่บอกก่อน พวกนายคงไม่ต้องมาเจ็บตัวแบบนี้”
“ไม่เป็นไรหรอก พวกเราเองก็ทำให้มารีลำบากเหมือนกัน” เดรโกใช้สองมือประคองถ้วยกาแฟและจิบบา ๆ “มารี...กำลังตามหาแม่อยู่สินะ ถึงได้หนีออกจากวังมา”
“อืม” มารีใช้ชั้นตักเนื้อชีสเค้กเอาเข้าปาก “แต่นั่นก็ไม่ใช่เหตุผลทั้งหมดหรอก”
“งั้นเหรอ” อีกฝ่ายว่า “ถ้าอยากจะให้เราช่วยอะไรก็บอกได้นะ เรายินดีจะช่วยเท่าที่ทำได้”
“อืม" รอยยิ้มจาง ๆ ปรากฏขึ้นบนใบหน้าพร้อมกับเลือดฝาดที่แก้ม "ถ้าเห็นแมวสีขาวหรือเด็กผู้หญิงเผ่ามนุษย์สัตว์ที่เหน็บก้านโรสแมรีเอาไว้กับโชคเกอร์ที่คอก็ฝากบอกเราหน่อยแล้วกัน”
“แบบนี้เจ้าตัวนี้น่ะเหรอ”
เดรโกวางหนังสือพิมพ์ลง ก่อนจะเอาสองมือล้วงไปที่หน้าตักและอุ้มแมวสีขาวที่เหน็บก้านโรสแมรีเอาไว้ที่คอขึ้นมา
“...”
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ