ม.ปลายสายเวทย์

-

เขียนโดย TheBoyOnTheMoon

วันที่ 13 พฤษภาคม พ.ศ. 2567 เวลา 21.39 น.

  19 ตอน
  1 วิจารณ์
  4,464 อ่าน

แก้ไขเมื่อ 17 พฤษภาคม พ.ศ. 2567 20.34 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

19) Destiny princess departs again

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

18

Destiny princess departs again

 

“เหวอ!”

ทันที่ที่เดรโกรัสยกแมวขาวขึ้นมา คุณเธอก็ดิ้นอย่างแรงจนหลุดจากมือของเขาและรีบวิ่งหนีออกจากร้านทางหน้าต่างที่เปิดเอาไว้ออกไป

“ให้มันได้อย่างงี้สิ” เห็นดังนั้น มารีก็ได้แต่ถอนหายใจ

“ดะ...โดนเกลียดเข้าแล้ว”

“รบกวนหน่อย ถ้าครึ่งชั่วโมงเราไม่กลับมา ฝากแบกร่างนี้กลับไปที่โรงเรียนให้ด้วยนะ หรือถ้าขี้เกียจรอก็แบกไปก่อนได้เลย ส่วนค่าอาหารฝากออกไปก่อนนะ เดี๋ยวมาจ่ายคืนให้”

“เอ๋”

ยังไม่ทันที่หนุ่มผมแดงจะตอบอะไร มารีก็ฟุบหลับไปกับโต๊ะเสียแล้ว โดยที่กระเป๋าสะพายข้างของเธอหายไปด้วย

“เอาไงดีอะ” เขาหันมายิ้มแห้ง ๆ ให้นัวร์ที่ทำสีหน้าไม่ต่างกัน

“แล้วแต่เลยฮะ”

เดรโกถอนหายใจก่อนจะขยับเขาไปพิจารณาร่างของมารีให้ใกล้ขึ้น เมื่อยกนิ้วไปจ่อที่จมูกก็พบว่าไม่มีลมหายใจเข้าออก พอแตะที่หน้าผากก็รู้สึกว่าความอุ่นในร่างค่อย ๆ ลดลง และเมื่อจับไปที่ข้อมือก็พบว่าไม่มีชีพจรเต้นแล้ว

แม้จะดูเหมือนแค่ฟุบหลับไป แต่ถ้าพูดตรง ๆ เลยก็คือตรงหน้าของเขาก็คือศพนั่นแหละ...

“ว่าแต่ เดรโกทำได้ยังไงน่ะฮะ ให้แม่นั่นมานอนบนตักได้น่ะ” นัวร์แย่งขนมที่เหลือมาจากมารี (เพราะคงไม่ได้กินแล้ว) เอาเข้าปากและเคี้ยวตุ้ย ๆ ถามอีกฝ่าย

“ก็แค่นั่งอยู่เฉย ๆ น่ะ แล้วเขาก็กระโดดขึ้นมานอนเอง” เขายักไหล่ให้ บางทีแมวก็เป็นสัตว์ที่เดาใจอะไรไม่ได้ ถ้าแมวทุกตัวแปลงร่างเป็นคนได้แบบนัวร์ก็คงดี

“น่าอิจฉาจัง” เด็กน้อยเบ้ปากและตักขนมชิ้นต่อไปเข้าปาก “ผมตามจีบนางมาหลายเดือนแล้ว ยังไม่แม่แต่แยแสเลย”

“แก่แดดอะเรา” ได้ยินดังนั้นก็อดขำกับความไร้เดียงสาของเจ้าหนูนี่ไม่ได้ แต่ในตอนนั้นเดรโกก็นึกอะไรออก “จะว่าไป นัวร์รู้จักคนที่ชื่ออาเรียไหม แล้วในสายตานัวร์เขาหน้าตายังไงเหรอ”

“เคยเจออยู่ฮะ แล้วก็ทำให้ผมปวดหัวมาแล้วรอบนึง” ดวงตาสีเหลืองกลอกไปมา “หน้าตาของคน ๆ นั้น...ก็ผมสีเงิน ตาสีฟ้าเหมือนเจ้านายเลยฮะ”

“งั้นเหรอ แล้วพอจะรู้อะไรไหมว่าเขาเกี่ยวข้องยังไงกับเจ้านายเธอน่ะ”

“งืม เจ้านายเองก็ไม่เคยบอกอะไรเลยน่ะฮะ” เด็กน้อยกอดอก “แต่ว่านะ มีอยู่อย่างนึงที่คน ๆ นั้นไม่เหมือนเจ้านายน่ะฮะ”

“นิสัยเหรอ”

“ไอ้นี่ต่างหากฮะ” นัวร์ยกสองมือขึ้นมาจับไปที่อวัยวะหนึ่ง ทำให้ดวงตาเบื้องหลังแว่นกันลมเบิกกว้างทันที เพราะเขานึกขึ้นมาได้ว่าไม่เคยเห็นอวัยวะส่วนนั้นของทั้งสองคนโผล่ออกมาเลย

 

เอเลนาไล่ตามแมวขาวไปเรื่อย ๆ มันยังคงวิ่งซอกแซกไปตามซอกซอยต่าง ๆ ผ่านผู้คน ถนนใหญ่ มาถึงริมทะเลสาบ และวิ่งเลาะไปจนกระทั่งมาถึงอุทยานแห่งชาติ

อย่าบอกนะว่า...

แล้วเจ้าแมวก็มาหยุดที่หน้าซากบ้านร้าง มันมองซ้ายขวาเพื่อดูว่ามีใครอื่นอยู่แถวนี้หรือไม่ แล้วก็เริ่มทำอะไรแปลก ๆ ที่เอเลนาไม่เข้าใจ

เริ่มจากการนั่งด้วยสองขาหลัง เอาอุ้งเท้าหน้าทั้งสองมาเท้าสะเอวส่ายก้นเล็กน้อยสองสามที จากนั้นเอาอุ้งเท้ามาทำท่าหมุน ๆ แล้วชูขึ้นโบกไปมา กางแขนขึ้นและลง พับแขนและเอาอุ้งเท้าแตะไหล่

ปิ๊ง...

“...เฮ้ย!”

แล้วทันใดนั้นเอง ร่างของแมวน้อยสีขาวก็อันตรธานหายวับไปต่อหน้าต่อตา เอเลนารีบกลับร่างมาเป็นกายเนื้อและสำรวจรอบ ๆ อีกครั้ง แต่ก็ไม่มีวี่แววของเจ้าแมวอยู่เลย เมื่อเอามือแตะตามจุดต่าง ๆ ก็ไม่พบว่ามีเกทอยู่

ยังไงแมวตัวนั้นก็ไม่น่าจะใช้เวทมนต์ได้เพราะเป็นมนุษย์สัตว์ หรือว่ามันจะเป็นพิธีกรรมบางอย่างเพื่อใช้ข้ามมิติไป

เจ้าหญิงเม้มปาก จากนั้นก็ซ้ายมองขวา เมื่อไม่เห็นใครอยู่แถวนั้นก็สูดหายใจลึก ๆ และเริ่มเอาบ้าง

สองมือเท้าสะเอวส่ายก้นไปมา กำมือขึ้นแล้วหมุน ๆ ชูมือขึ้นโบกไปมา 

“...” หน้าของเด็กสาวเริ่มแดงและร้อนผ่าว ๆ 

จากนั้นกางแขนขึ้นและลง พับแขนเอามือแตะไหล่

“...”

พอมองไปรอบ ๆ เธอก็ยังคงยืนที่เดิม คิดแล้วก็รู้สึกว่านี่มันติงต๊องชะมัด

“อ๊ะ”

ทว่ามือกระพริบตาสองสามที ภาพตรงหน้าก็ทำให้ดวงตาสีฟ้าสดใสเบิกกว้าง แม้โดยรอบจะยังคงเป็นป่าสนเช่นเดิม แต่ตรงที่ ๆ เคยมีบ้านร้างอยู่นั้นได้เปลี่ยนไปแบบหน้ามือเป็นหลังมือ

ตรงหน้าของเอเลนาคือกระท่อมไม้หลังน้อยชั้นเดียวเป็นทรงน่ารัก ถูกสร้างจากไม้ซุงนำมาวางเรียงกันและมุงหลังคาด้วยเปลือกไม้ ที่ด้านหลังมีปล่องไฟก่อขึ้นมาจากหิน รอบตัวบ้านมีทั้งสวนผักและสวนดอกไม้ปลูกเอาไว้ เมื่อมองรอบ ๆ อีกทีก็พบว่าถนนของอุทยานหายไปแล้ว เหมือนกับว่าที่นี่ถูกล้อมรอบด้วยป่าและไม่มีทางออกไปที่ไหนเลย

แต่นอกจากตัวบ้านแล้ว ก็มีร่างมนุษย์สัตว์สาวในชุดกระโปรงสไตล์วิคตอเรียนที่หน้าเหวอทำปากพะงาบ ๆ อยู่อีกอย่างนึงด้วย

“คะๆๆๆใครน่ะคะ ละๆๆๆแล้วมาได้ไง!!”

ว่าแล้วคุณเธอก็หันตัวไปคว้าขวานผ่าฟืนเล่มใหญ่ที่ปักอยู่กับท่อนไม้ใกล้ ๆ มาถือเพื่อป้องกันตัว

“เดี๋ยว ๆ ใจเย็น ๆ ก่อน” เอเลนายิ้มแหย ๆ ให้ “พี่ชื่อเอเลนา เป็นลูกสาวของโรมาริน”

“เอ๊ะ!” อีกฝ่ายเลิกคิ้ว กระนั้นก็ยังดูไม่ค่อยจะเชื่อเท่าไหร่ และยังคงถือขวานจ่อมาที่เธอ “ถ้างั้นพิสูจน์มาค่ะ”

เจ้าหญิงหยิบไม้กายสิทธิ์ออกมาจากกระเป๋าสะพายข้างและเปลี่ยนมันเป็นดาบน้ำแข็งเอาปักลงพื้น จากนั้นก็ยกมือข้างหนึ่งขึ้นมาสางผมด้านข้างไปทัดหูไว้ เผยใบหูที่มีลักษณะแหลมที่ปลายคล้ายกับเอลฟ์แต่สั้นกว่าให้อีกฝ่ายดู

ดวงตาของอีกฝ่ายเบิกกว้างทันที ก่อนจะรีบเข้ามาคุกเข่าตรงหน้าเธอ

 

“ต้องขออภัยที่เสียมารยาทด้วยค่ะ นายหญิงสั่งเอาไว้ว่าห้ามไว้ใจทุกคน”

หลังจากนั้น มนุษย์สัตว์สาวก็พาเอเลนาเข้ามานั่งที่โซฟาในบ้าน ชงชาดอกไม้หอม ๆ เสิร์ฟพร้อมกับคุกกี้ที่หน้าตาคุ้นเคยให้ เอเลนามองไปรอบ ๆ ภายในตกแต่งในสไตล์เรียบง่าย มีต้นไม้เล็ก ๆ ปลูกเอาไว้สองสามกระถางตามมุมห้อง มีลมเย็น ๆ พัดเข้ามาผ่านหน้าต่างที่เปิดเอาไว้ทำให้รู้สึกเย็นสบาย

ถึงจะบอกว่าไม่ไว้ใจทุกคน แต่เมื่อกี้หล่อนดันไปนอนบนตักไอ้ผู้ชายคนนั้นได้เนี่ยนะ...

“อืม” เธอแอบนินทาอีกฝ่ายในใจพลางยกถ้วยชาขึ้นมาเป่าให้หายร้อนและสูดกลิ่นหอมหวานของดอกไม้ผ่านจมูก “ว่าแต่ เธอชื่ออะไรเหรอ”

“มองต์บลังค์ค่ะ เรียกบลังค์เฉย ๆ ก็ได้”

“ชื่อน่ากินเชียว”

“นายหญิงบอกว่าแปลว่าภูเขาสีขาวน่ะค่ะ มันน่ากินตรงไหนเหรอคะ” สาวน้อยทำตาปริบ ๆ เอียงคองง ๆ

“มันบังเอิญกลายมาเป็นชื่อขนมชนิดนึงน่ะ” เจ้าหญิงยิ้มให้ “ขอถามอะไรหน่อยสิ เธอเป็นคนส่งคุกกี้ไปให้อาจารย์อาเทเนียใช่ไหม”

“ค่ะ” สาวน้อยพยักหน้าพร้อมกับรอยยิ้ม “นายหญิงจะส่งคุกกี้มาทางเตาผิงนี้ แล้วหนูก็จะส่งผ่านเครือข่ายเตาผิงที่บ้านร้างไปให้อาจารย์อาเทเนียอีกที แต่ว่าหลังจากนี้จะให้หนูส่งยังไงดีคะ เอาไปให้กับตัวเลยไหม”

“ไม่ล่ะ เดี๋ยวค่อยแวะมาเอาที่นี่ก็ได้ ว่าแต่...นายหญิงของบลังค์อยู่ไหนเหรอ”

เอเลนามองไปรอบ ๆ บ้าน ทว่าไม่มีวี่แววของผู้อยู่อาศัยคนอื่นเลย มันทำให้ในอกของเธอรู้สึกหวิว ๆ ชอบกล

“อา...ต้องขออภัยด้วยนะคะ เรื่องนั้นหนูเองก็ไม่ทราบค่ะ” บลังค์ยิ้มจ๋อย ๆ พร้อมกับใบหูที่ลู่ลง “หนูเป็นหนึ่งในผู้ส่งสารของนายหญิงเท่านั้น หน้าที่ที่นายหญิงมอบเอาไว้ให้ก็คือดูแลที่นี่ ส่งคุกกี้ให้อาจารย์อาเทเนีย และรอการมาถึงของคุณหนูเท่านั้นค่ะ ถ้าคุณหนูมาแล้วก็ให้มอบสิ่งนี้ให้”

เด็กสาวดึงก้านโรสแมรีออกมาจากโชคเกอร์ที่คอและส่งให้ เอเลนารับมันมาด้วยสองมือ 

ทันทีที่ก้านโรสแมรีเขียว ๆ สัมผัสกับฝ่ามือของเธอ มันก็เรืองแสงและเปลี่ยนรูปร่างกลายเป็นลูกกุญแจสีเงินที่มีด้ามจับทำเป็นรูปหัวของมังกร

“นายหญิงบอกว่าถ้าใช้กุญแจนี้ไขเปิดประตูบานไหนก็ตาม จะสามารถโผล่มาที่นี่ได้ตลอดค่ะ ท่านตั้งใจจะให้ที่นี่เป็นบ้านของคุณหนู” 

“แล้ว ถ้าจะออกจากที่นี่ล่ะ”

“ก็ทำแบบเดียวกันค่ะ ขอแค่นึกถึงที่หมายปลายทางให้ละเอียดที่สุดก็พอ”

เยี่ยมเลย หลังจากนี้ก็ไม่ต้องเสียตังค์ค่าขนส่งสาธารณะแล้วสินะ

“แล้ว พี่จะต้องทำยังไงต่อเหรอ ถึงจะได้เจอแม่น่ะ” ระหว่างที่พิจารณาลูกกุญแจไป เอเลนาก็ถามอีกฝ่าย

“คงต้องหาผู้ส่งสารคนต่อไปน่ะค่ะ หนูเองก็ไม่เคยเจอผู้ส่งสารคนอื่นเลย” เด็กสาวยิ้มแห้ง “แต่ก็น่าจะหาไม่ยากหรอกค่ะ ผู้ส่งสารทุกคนเป็นสัตว์ที่สามารถแปลงร่างเป็นมนุษย์สัตว์ได้ และจะมีสัญลักษณ์ของนายหญิงติดอยู่ที่ตัวค่ะ อ้อ บางทีกุญแจนั่นอาจจะเป็นคำใบ้ก็ได้นะคะ”

จะให้เจอกันง่าย ๆ ไม่ได้เลยหรือยังไงกันนะ เจ้าหญิงยิ้มอย่างอ่อนใจพลางมองดูรูปหัวมังกรที่ลูกกุญแจที่สะท้อนกับแสงจากหน้าต่าง พลางถอนหายใจออกมา

ในตอนนั้นเธอก็รู้สึกตงิด ๆ ใจ ไม่ใช่เรื่องของมังกรหรอก แต่เป็นไอ้บ้าคนนึงที่ทนมือทนเท้ากับทุกอย่างราวกับว่ามีผิวหนังเป็นเกล็ดมังกรนั่นแหละ 

หรือว่า…

“จะว่าไป...ไม่พาคุณหนูอีกท่านมาด้วยเหรอคะ”

“รู้ด้วยเหรอ” เจ้าหญิงละสายตาขึ้นมามองอีกฝ่าย

“ค่ะ นายหญิงเคยบอกเอาไว้อยู่ จริง ๆ หนูก็เคยเจอเขาอยู่เหมือนกัน แต่ว่ากลัวว่าจะเป็นตัวปลอม ก็เลยไม่ได้แสดงตัว” บลังค์บอก “คน ๆ นั้นเองก็พยายามหาเบาะแสของนายหญิงอยู่เหมือนกัน รวมทั้งคุณหนูด้วย”

“ทางนั้นเองก็พยายามอย่างหนักในแบบของตัวเองสินะ” รอยยิ้มจาง ๆ ปรากฏขึ้นมาบนใบหน้า “ไว้ซักวันจะพามาแล้วกัน งั้นขอลองเล่นเจ้านี่หน่อยนะ”

เอเลนาลุกขึ้นและเดินไปที่ประตู เมื่อยื่นกุญแจไปที่รูกุญแจ ส่วนปลายก็เปลี่ยนรูปร่างให้เข้ากันโดยอัตโนมัติ เธอนึกภาพของสถานที่ปลายทางที่หนึ่งขึ้นมา ก่อนจะเสียบกุญแจเข้าไปและบิดไขกุญแจ มีเสียงดังกริ๊กตามมาหนึ่งที เมื่อแง้มประตูออก ลมหนาวก็พัดเข้ามาปะทะร่าง

“ไว้วันหลังจะมาหาบ่อย ๆ นะ มีคนที่อยากรู้จักเธออยู่คนนึงด้วยล่ะ” เจ้าหญิงยิ้มจาง ๆ ให้มองต์บลังค์ก่อนจะเดินผ่านประตูไป สาวน้อยจับชายกระโปรงและถอนสายบัวให้อย่างนอบน้อม แต่ก็แอบเอียงคอสงสัย

 

“ใครน่ะ!”

อีวาน สเตฟานอฟที่นั่งคุกเข่าภาวนาอยู่ ณ ระเบียงของห้องชั้นบนสุดของหอคอยที่สูงที่สุดชักอาวุธออกมาเมื่อได้ยินเสียงผู้บุกรุก ทว่าดวงตาก็เบิกกว้างทันทีเมื่อเห็นร่างอันบอบบางในชุดกระโปรงสีขาวเดินมา

“อะ...องค์หญิง!”

“ขอโทษนะคะ…อาจารย์ ที่ทำให้ต้องทรมานแบบนี้” เจ้าหญิงปิดเปลือกตาลง ทำให้หยดน้ำใส ๆ ที่ซึมออกมาไหลผ่านแก้มไปถึงคางและหยดลงในแก้วน้ำที่ใส่น้ำเปล่าเอาไว้ เธอส่งแก้วนั้นให้กับอาจารย์ที่เป็นคนสอนวิชาดาบให้กับเธอ

อีวานรับแก้วน้ำและจิบไปหนึ่งอึก ไม่นาน ร่องรอยของความโทรมบนใบหน้าก็พลันจางหายไปทันที

“กระหม่อมไม่ได้ฝันไปใช่ไหม เกิดอะไรขึ้น ทำไมถึง...”

“ขอโทษที่ทำให้ทุกคนต้องเป็นห่วงแล้วก็วุ่นวายกันนะคะ” เอเลนายกมือเช็ดน้ำตาออก ก่อนจะหันไปมองภาพวิวทิวทัศน์ด้านนอก เธอชี้ไม้กายสิทธิ์ไปที่จุด ๆ หนึ่งและยิงลำแสงออกไป ทำให้บาเรียเวทมนตร์ที่คอยปกป้องยอดหอคอยเอาไว้แตกสลาย จากนั้นก็ชี้ไม้ไปที่แก้วน้ำในมือของอีวาน ทำให้ของเหลวใส ๆ ที่บรรจุเอาไว้ลอยออกมา เจ้าหญิงชี้ไม้กายสิทธิ์ขึ้นฟ้า ทำให้กลุ่มของของเหลวพุ่งขึ้นไปตาม ไม่นานท้องฟ้าที่มืดครึ้มก็ดำมืดยิ่งกว่าเดิม ตามด้วยเสียงฟ้าร้องครืน ๆ และหยดน้ำฝนที่ร่วงหล่นลงมา

“หลังจากฝนนี้หยุด ท้องฟ้าก็จะกลับมาสดใสและอบอุ่นเหมือนที่เคยเป็นนะคะ ส่วนน้ำตามธรรมชาติที่รองรับน้ำฝนนี้ไว้ก็จะมีพลังแบบเดียวกับน้ำตาของฉัน” 

“....องค์หญิง”

“ฉันไม่อยากจะแบกรับภาระนี้อีกแล้วค่ะอาจารย์ แล้วก็ไม่อยากจะเป็นชนวนสงคราม หรืออาวุธสงครามแบบที่ท่านพ่อตั้งใจเอาไว้ด้วย” เอเลนายิ้มเศร้า ๆ ให้อีกฝ่าย “ฝากขอโทษท่านพ่อกับท่านแม่ด้วยนะคะ”

เธอเปลี่ยนไม้กายสิทธิ์เป็นดาบ ก่อนจะใช้ด้านคมตัดปลายผมออกมาปอยหนึ่งและส่งให้อีกฝ่ายเพื่อเป็นเครื่องยืนยันว่าเธอได้กลับมาแล้ว

“ไม่ต้องตามหาฉันอีกแล้วนะคะ ตอนนี้ฉันอยู่ที่บ้านแล้ว”

เจ้าหญิงเปลี่ยนดาบกลับมาเป็นไม้กายสิทธิ์และโบกสะบัดไม้อีกหนึ่งที ร่างของเธอก็พลันอันตรธานหายไป พร้อมกับเสียงร้องเรียกหาของอาจารย์ของเธอ

 

ยังเหลืออีกหนึ่งเรื่องที่ต้องสะสาง

ร่างอันบอบบางของเอเลนาเดินผ่านผู้คนที่เดินกันขวักไขว่เต็มฟุตบาท โดยหาได้สนใจว่าผู้ที่เดินผ่านพวกเขาไปเป็นถึงเจ้าหญิงผู้สูงศักดิ์ของโลกเวทมนตร์ ในอ้อมแขนของเธอโอบกอดห่อของบางอย่างที่ซื้อมาจากร้านใกล้ ๆ อย่างทะนุถนอม เจ้าหญิงเดินไปเรื่อย ๆ พลางนึกถึงเรื่องราวในอดีต

ในที่สุดก็มาถึงที่หมาย ตรงหน้าของเธอคือโกดังร้างที่อยู่ริมแม่น้ำ ห่างไกลจากตัวเมืองและผู้คน เด็กสาวเม้มปากและสูดหายใจลึก ๆ ก่อนจะก้าวเท้าเข้าไปด้านใน จนมาถึงห้องมืด ๆ ที่ไม่มีอะไรอยู่เลยนอกจากโต๊ะหนึ่งตัว

เอเลนาแกะห่อของออก วางช่อดอกเบญจมาศสีขาวบริสุทธิ์ลงบนโต๊ะซึ่งมีร่องรอยบากเอาไว้ห้ารอย เธอล้วงลงไปในกระเป๋าสะพายข้าง หยิบไดอารีเล่มเก่าออกมาเปิดไปที่หน้า ๆ หนึ่ง ซึ่งมีกระดาษถูกพับครึ่งเสียบเอาไว้

อาเทเนียบอกว่าบังเอิญเจอสิ่งนี้ตอนที่เก็บกวาดห้องของมารีหลังเหตุการณ์เลวร้ายในวันนั้น เธอบอกว่าเป็นสิ่งสุดท้ายที่เพื่อนของเธอทิ้งไว้ให้ เอเลนาไม่กล้าที่จะเปิดมันออกมาเลย

แต่ในตอนนี้ เธอเองก็จัดการตัวการที่ทำให้เพื่อนต้องเจอชะตากรรมแบบนั้นไปแล้ว เอเลนาสูดลมหายใจเข้า หยิบแผ่นกระดาษออกมาและคลี่ออก

ฝั่งหนึ่งเป็นภาพตัวการ์ตูนที่วาดล้อเลียนแบบลวก ๆ เป็นภาพของมารีที่พยายามทำท่าง้อเธออยู่ ส่วนอีกฝั่งคือข้อความไม่กี่บรรทัด

เอเลนา

ฉันนี่มันโง่จริง ๆ ที่โดนความโลภบังตาจนลืมไปว่าสิ่งที่ทำให้ฉันมีความสุขที่สุดในรอบหลายเดือนมานี้คืออะไร

ฉันสัญญาว่าจะกลับมาเป็นมารีของเอเลนาเหมือนเดิม อย่าโกรธกันเลยนะ เดี๋ยวจะพาไปกินของอร่อย ๆ

ฉันขอโ---------------------

ข้อความบรรทัดสุดท้ายยังไม่ทันจะเขียนจบก็มีร่องรอยเหมือนขีดลากออกไป คงเป็นตอนที่พวกอีกาบุกเข้ามาพอดี

“...ฉันเอง...ก็พูดไม่ดี...กับมารีไว้เหมือนกัน...แถมยัง....”

หยดน้ำใส ๆ หยดจากปลายคางกระทบพื้นที่ว่างเปล่า ทันใดนั้นก็มีดอกไม้สีขาวงอกออกมาและผลิบาน

“ฉันยกโทษให้...หลับให้สบายนะ...มารี”

ร่างของเจ้าหญิงทรุดลงไปเกาะกับโต๊ะ ก่อนจะร้องไห้ออกมา มีเพียงเสียงร้องที่โหยหวนแทบจะขาดใจที่สะท้อนกังวานอยู่ภายในนั้น...

 

“โอ๊ะ ตื่นแล้ว”

เมื่อลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง มารีก็พบว่าตัวเองมานั่งอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ที่ลานกว้างของโรงเรียน แสงแดดส่องผ่านหมู่ใบไม้ลงมาระยิบระยับ แต่ก็สว่างจนต้องยกมือขึ้นมาป้อง ไม่นานก็รู้สึกได้ถึงลมร้อน ๆ ที่พัดเข้ามาและเสียงจั๊กจั่นดังกังวาน

“กำลังทำอะไรกันอยู่น่ะ” มารีขยับท่าทางขึ้นมานั่งละดันแว่นตามองพวกเพื่อน ๆ เดรโกนั่งอยู่ข้าง ๆ เธอโดยมีนัวร์ในร่างแมวดำนอนขดอยู่บนตักของเขา ส่วนที่พื้นหญ้ามีไทกับลูอานาที่ปูเสื้อนั่งเล่นอุปกรณ์ปรุงยากันอยู่

“ลองเล่นอะไรใหม่ ๆ กันล่ะเน่อ” ไทยิ้ม “อะ น้ำสมุนไพรแก้ร้อน” 

“ไม่อะ ขอบคุณ”

“ชิ...” ไทเดาะลิ้น เรียกเสียงหัวเราะจากเพื่อนอีกสองคนที่ไม่ได้กินชาสมุนไพรแปลก ๆ ด้วยเช่นกัน เป็นบรรยากาศบ้า ๆ บอ ๆ ที่เจอทุกครั้งในคาบชมรม ราวกับว่าสองสามวันที่ผ่านนี้ไม่มีเรื่องร้าย ๆ เกิดขึ้นมาก่อนเลย

“มารีไม่เป็นอะไรใช่ไหมคะ” ลูอานาถามเธอ

“อืม สบายมาก” เธอยิ้มจาง ๆ ให้อีกฝ่าย “ขอโทษด้วยนะที่ทำให้เป็นห่วง”

“เดรโกเล่าให้ฟังแล้วล่ะเน่อ แต่ว่านะ มารีจะสุดยอดเกินไปแล้ว” ไทว่า ได้ยินดังนั้นก็ทำเอาเธอแอบใจหวิว ๆ และรีบหันไปหาหนุ่มผมแดงทันที ทว่าเดรโกเพียงส่ายหน้าให้

“แค่เล่าว่ามารีซ้อนแผนแล้วไปจัดการพวกอีกาตัวคนเดียวน่ะ”

“...แล้วไป” เด็กสาวถอนหายใจอย่างโล่งอก “จริงสิ ซื้อเจ้านี่มาฝากล่ะ”

มารีเปิดกระเป๋าสะพายข้าง หยิบถุงขนมที่ซื้อมาจากปารีสก่อนหน้านี้ให้เพื่อน ๆ มีทั้งมาการอง มองต์บลังค์ เมดเดเลน เอแคลร์ และชูครีม ทำให้ตาของเพื่อน ๆ ลุกวาวทันที

พอกัดขนมเอแคลร์เข้าไป เดรโกก็เลิกคิ้วขึ้นและแก้มกลายเป็นสีชมพูพร้อมกับยกนิ้วชม ลูอานาที่ชิมเมดเดเลนเองก็ร้องออกมาอย่างมีความสุข

“ทำอะไรกันอยู่น่ะ”

ในระหว่างนั้นเอง อาเรีย สเตฟานอฟ (ที่ทุกคนรู้กันแล้วว่าเป็นตัวปลอม) ก็เดินมาหา เธอเลิกคิ้วมองของแต่ละอย่างด้วยความสงสัย

“มา ๆ กินขนมกันเน่อ” เจ้าไทชูแก้วใส่น้ำสมุนไพรเป็นการทักทาย ก่อนจะกัดขนมมาการองและจิบสมุนไพรเข้าไปให้ลื่นคอ “อ๊ะ!”

ปุ๋ง...

ทันใดนั้น ร่างพ่อหนุ่มตัวแสบของเราก็มีควันผุดออกมาแวบหนึ่ง ก่อนจะกลายเป็นมนุษย์ต้นไม้ตัวเขียว ที่มีผมเป็นใบไม้และมีกิ่งไม้งอกออกมาเป็นเขา 

“อ๊ะ...น้ำยาชำระล้างหมดพอดีน่ะ” มารีค้น ๆ กระเป๋าสะพายข้าง ก็เจอแต่ขวดน้ำยาเปล่า ๆ 

“เอ๊!!!”

“เอ่อมารี ถามอะไรหน่อยสิ” ระหว่างที่ไอ้ตัวแสบร้องห่มร้องไห้ เดรโกเข้ามากระซิบถามเธอ

“รู้แล้วล่ะว่าเรื่องอะไร” เธอถอนหายใจออกมาก่อนจะมองไปที่เด็กสาวผมเงิน “นี่ มีผึ้งเกาะอยู่ที่หูน่ะ”

“เอ๋ ไหนๆๆๆ” อาเรียรีบทัดผมก่อนปัด ๆ ออก เผยให้เห็นใบหูรูปทรงกลมมนเหมือนคนทั่ว ๆ ไป ทั้งในสายตาของไทกับลูอานา และสายตาพิเศษของเดรโกกับมารี

“...อย่างนี้นี่เอง” หนุ่มผมแดงกอดอก “แต่ถ้าอย่างนั้น คน ๆ นี้เขาเป็นอะไรกับ...มารีเหรอ”

“คนหน้าตาเหมือนกันสองคน ถ้าไม่ใช่ดอพเพลแกงเกอร์ มันก็มีแค่กรณีเดียวแหละนะ” มารีหยิบกุญแจสีเงินออกมาจากกระเป๋าสายข้างและพินิจพิจารณามันอีกรอบ “แต่ตอนนี้เราเองก็มีเรื่องอยากจะถามเดรโกอยู่เหมือนกันแหละ”

“สายลับของเรฟลอเดียน่ะมีอยู่ทุกที่ และอาจจะอยู่ใกล้ตัวพวกเธอกว่าที่คิดด้วย”

เหมือนที่พระราชินีมาร์การิตาเคยบอกเอาไว้ ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าเด็กสาวผมเงินตรงหน้าก็คือสายลับจากเรฟลอเดียที่ถูกส่งตัวมาเพื่อสืบหาตัวของเจ้าหญิงเอเลนาเนี่ยแหละ แต่ก็ไม่คิดเลยว่าทางนั้นจะส่งคนที่ใกล้ตัวที่สุดของเธอมา 

ไว้สักวัน ค่อยบอกเรื่องที่ไปเจอกับบลังค์ให้ฝาแฝดของเธอรู้ก็แล้วกัน...

               

“คิดยังไงกับเด็กพวกนั้นล่ะ”

ไม่ไกลจากต้นไม้ใหญ่กลางโรงเรียน คนสามคนพูดคุยกันอยู่ที่ห้องพักชั้นสามและมองไปที่พวกเด็ก ๆ ที่ยังคงทำเรื่องไร้สาระกันจนน่าเหนื่อยใจ

“การประสานงานกันในการต่อสู้ไม่ได้เรื่อง ทีมเวิร์คไม่มี ทำอะไรตามใจตัวเองกันหมด” อาจารย์ราตรีกอดอกมองพวกเด็ก ๆ “ถ้าเอเลนาไปช่วยไม่ทัน ป่านนี้น่าจะตายไปสองคนแล้ว”

“ก็เข้าใจอยู่ว่าที่เลือกสามคนนี้มาเพราะมีความหลังกับพวกอีกากันทุกคน แต่ตอนนี้พวกเขาโดนความแค้นบังตาจนคิดแต่จะลุยท่าเดียว แถมยังอ่อนประสบการณ์กันหมดด้วย” อาจารย์ลุดวิกเสริม “ให้เจ้าหญิงเป็นพี่เลี้ยงเด็กไปเรื่อย ๆ แบบนี้ดีกว่าเถอะครับ อย่าเอาพวกเขาไปเสี่ยงเลย...อาจารย์”

“ถึงเราจะกีดกันแค่ไหน แต่สักวันพวกเขาก็ต้องไปซัดกับไอ้พวกนั้นอยู่ดี มันเป็นชะตาที่เลี้ยงไม่ได้หรอก” อาเทเนีย ไวท์ฟอร์ดบอกกับอดีตลูกศิษย์ทั้งสอง “หน้าที่ของพวกเราก็คือคอยฟูมฟักและลับเขี้ยวเล็บของพวกเขาให้ถูกทางจนปีกกล้าขาแข็งเท่านั้นแหละ อย่างน้อยตอนนี้ก็พอจะให้เป็นผู้ช่วยของเอเลนาไปได้บ้าง”

“น่าจะเป็นภาระมากกว่าค่ะ” อาจารย์วิชาปรุงยาถอนหายใจ ทำเอา ผอ. หัวเราะร่วน

“นั่นสินะ คงจะยังให้มาเป็นเป็นสมาชิกเต็มตัวไม่ได้” ดวงตาสีเหลืองทองมองไปที่พวกเด็ก ๆ “ก็เหมือนพวกเธอสองคนเมื่อก่อนแหละนะ”

ดวงตาสีน้ำชาเบื้องหลังแว่นกรอบพระจันทร์เสี้ยวของอาจารย์สาวเลื่อนหนี ส่วนอาจารย์ในผ้าคลุมก็หัวเราะออกมา

“หลังจากนี้ฝากพวกเธอสองคนช่วยสอนพวกเขาทีนะ ในฐานะที่พวกเธอเองก็เป็นรุ่นพี่ของพวกเขา รวมทั้งในฐานะสมาชิกชมรมเดียวกันรุ่นก่อนหน้าด้วย”

 

วันต่อมา โฮมก็เปิดเรียนตามปกติโดยไม่สนใจว่าการสอบกลางภาคเมื่อสัปดาห์ที่แล้วจะผลาญพลังชีวิตของเด็กนักเรียนไปมากเท่าไร หรืออากาศจะร้อนจนไม่อยากจะออกมาข้างนอก รวมทั้งไม่สนใจด้วยว่าพวกมารีแทบจะเอาชีวิตกันไม่รอด

หลังจากคาบวิชาเสรีตอนบ่ายจบลง พวกเด็ก ๆ ก็เดินห่อเหี่ยวไปยังห้องชมรม

“วันนี้ดูมารีอารมณ์ดีนะคะ” ลูอานาก็หันมามองมารี ก็จริงของเธอ ทั้งวันนี้มารีไม่ได้สะทกสะท้านกับคลื่นความร้อน หรือความรู้หัวข้อใหม่ที่ยัดเข้ามาในสมองสักเท่าไหร่

“...เจอเรื่องดี ๆ มาน่ะ” มารียิ้มจาง ๆ ก่อนจะจิบน้ำเย็น ๆ จากกระติกแบบพกพาเพื่อคลายร้อน

“ได้แฟนเหรอคะ”

พรืด!

“ปะ...เปล่าสักหน่อย” มารีกระแอม ก่อนจะดันแว่นตาเล็กน้อยและเช็ดปาก

“เมื่อวานขอบใจเน่อ” ไทที่กลับมาเป็นปกติแล้วหันไปหาอาเรีย โชคดีที่สาวผมเงินเก็บน้ำยาชำระล้างที่เธอทำเอาไว้ตั้งแต่วันแรกของการเรียนอยู่ 

“อืม” อาเรียที่เดินมาด้วยเพราะยังไงก็ต้องไปที่ห้องสมุดเหมือนกันเชิดหน้าไปหนึ่งที

“จริงสิ อ่านข่าวเมื่อเช้านี้แล้วยัง” เดรโกทักขึ้นมา

“เรื่องที่เจ้าหญิงเอเลนากลับมาแล้วสินะคะ” สาวชาวเผ่าประกบมือ “โล่งอกไปทีเนอะ”

“แต่ว่านะ ทั้งที่กลับมาแล้วแท้ ๆ แต่ดันหายไปไหนไม่รู้อีกเนี่ยน่ะสิ” อาเรียถอนหายใจออกมา และยกมือขึ้นมากุมขมับ เห็นแล้วมารีก็ได้แต่หัวเราะในลำคอ

“พระองค์คงไม่ได้ไปไหนไกลหรอก”

“กรี๊ด!”

อยู่ดี ๆ ลูอานาก็กระโดดโหยงเพราะอาจารย์ลุดวิกที่สวมผ้าคลุมและลอยได้ดันโผล่มาข้างหลังตอนไหนไม่รู้ ถ้าไม่ได้รู้จักกันมาก่อน ป่านนี้คงวิ่งป่าราบกันแล้ว

“มะ...มาตั้งแต่ตอนไหนน่ะครับเน่อ” ไทยิ้มแห้ง ๆ มองอาจารย์

“ตั้งแต่ที่คุณคาฮานานูอิแซวคุณโอแคลร์เรื่องแฟนแล้วล่ะ อาจารย์ขอไปที่ห้องชมรมพวกเธอด้วยนะ” อาจารย์กล่าวด้วยเสียงทุ้มนุ่ม ทว่าทำไมพวกเด็ก ๆ ถึงรู้สึกว่าตาขวามันกระตุกก็ไม่รู้

 

เมื่อเข้ามา ก็พบว่าอาจารย์ราตรีมานั่งดื่มชาอยู่ที่โต๊ะอีกคน

“เอ่อ...อาจารย์มาทำอะไรเหรอครับ” เดรโกยิ้มแห้งให้อีกฝ่าย

“ก็ครูเคยอยู่ชมรมนี้นี่ จะแวะมาไม่ได้เหรอ” หญิงสาวสิ่งยิ้มให้ ทว่าทำให้พวกเด็ก ๆ หน้าเหวอ

“ยังไม่ได้บอกสินะ พวกครูสองคนเคยอยู่ชมรมนี้กันมาก่อน ถึงจะห่างกันเป็นร้อยปีก็เถอะ” อาจารย์ลุดวิกว่า

“ระ...ร้อยปีเหรอคะ” ลูอานาเอียงคองง

“วันนี้เริ่มด้วยคาถาป้องกันตัวง่าย ๆ ก็แล้วกัน” อาจารย์หนุ่มกล่าว “แต่ก่อนอื่นเลย ครูขออนุญาตนะ ถ้าสอนทั้งแบบนี้คงไม่สะดวกเท่าไหร่”

เขาสะบัดมือหนึ่งที ทำให้หน้าต่างของห้องชมรมปิดลง เลื่อนผ้าม่านปิดบังแสงทั้งหมด และเปิดไฟในห้องให้ความสว่างแทน

จากนั้นอาจารย์ลุดวิกก็ค่อย ๆ ถอดผ้าคลุมที่ปกปิดร่างกายอยู่ เด็ก ๆ แต่ละคนกลืนน้ำลาย เพราะตั้งแต่เรียนมาครึ่งเทอม พวกเขาก็ไม่เคยเห็นหน้าตาจริง ๆ ของอาจารย์คนนี้เลย นอกจากมือซีด ๆ ที่ดูน่ากลัว

สิ่งที่ปรากฏออกมาก็คือเรือนผมสั้นสีดำ ดวงตาสีแดงสดที่ดูดุร้าย จมูกโด่งเป็นสัน และริมฝีปากบางซีด ๆ ซึ่งเมื่อรวมกันแล้วก็ทำให้พวกเด็ก ๆ ร้องออกมาว่า...

“หล่อโคตร!” 

               

ในระหว่างที่พวกเพื่อน ๆ ฝึกคาถากับอาจารย์ทั้งสอง มารีที่ใช้คาถาพวกนี้เป็นแล้วก็เพียงนั่งมองเพื่อน ๆ เงียบ ๆ บนโซฟา พลางจิบน้ำผลไม้ไปโดยมีนัวร์นอนขดอยู่บนตัก 

พอรู้ตัวอีกทีก็มีเพื่อนเยอะขนาดนี้แล้วเหรอเนี่ย...

มารีลูบไล้ไปบนขนนุ่ม ๆ ของเจ้าแมวคู่ใจ นับแต่แต่เรื่องเศร้าในวันนั้น เธอก็อยู่กับเขาสองคนมาโดยตลอด จนกระทั่งได้เข้ามาที่โฮมและพบผู้คนมากมาย

ว่ากันว่าคนที่มีชะตาร่วมกันย่อมดึงดูดให้มาอยู่ด้วยกัน

ใครจะคิดว่าคนแปลกหน้าที่แค่เจอกันตอนขึ้นวาฬ กับคนที่เธอเผลอเดินชนจะมีอดีตที่เกี่ยวข้องกับพวกฝูงอีกา และมารวมกันอยู่ที่นี่ด้วยเหตุผลเดียวกัน

แน่นอนว่ามารีไม่ได้เชื่อเรื่องของโชคชะตา เธอรู้ดีว่าทั้งหมดนี้ก็เป็นเพียงการชักใยจากคนที่ไร้ความรับผิดชอบที่สุดคนหนึ่งเท่านั้นเอง

มารีก็ไม่รู้เหมือนกันว่าไอ้คนที่พูดถึงจะมีแผนอะไรมากกว่านั้นหรือไม่

“เมี้ยว!”

อยู่ดี ๆ นัวร์ที่นอนอยู่ก็สะดุ้ง พร้อมกับหูและหางที่ชี้เด่ เห็นแล้วก็รู้เลยว่าเกิดอะไรขึ้น

“โผล่มาแล้วเหรอ”

“เมี้ยว”

จะให้พวกนั้นไปด้วยดีไหมนะ แต่ว่า ตอนนี้ให้ฝึกต่อไปก่อนดีกว่า พวกเขายังอ่อนประสบการณ์เกินไปจริง ๆ เดี๋ยวจะทำให้เรื่องมันวุ่นวายเหมือนรอบที่แล้ว

“ไปห้องน้ำหน่อยนะ ดื่มน้ำมากไปหน่อย”

มารีลุกขึ้น ก่อนจะออกจากห้องไปพร้อมกับนัวร์ เดินลงบันไดมาถึงหน้าห้องสมุด ผ่านต้นไม้ใหญ่กลางโรงเรียน ออกจากประตูหน้า ข้ามสะพาน และมาหยุดที่หน้าทางเข้า

สายลมร้อน ๆ พัดผ่านไป ต่อไปก็จะเข้าสู่การสอบปลายภาคและปิดภาคเรียนในช่วงฤดูร้อน

มารีอุ้มนัวร์มานั่งบนไหล่ หยิบไม้กวาดสำหรับบินออกมา พลางมองกลับไปที่โรงเรียนด้วยรอยยิ้มจาง ๆ ร่างของเด็กสาวลอยขึ้นจากพื้นช้า ๆ และเคลื่อนห่างออกไป

ไว้สักวันค่อยบอกความจริงกับพวกเพื่อน ๆ ที่เหลือแล้วกัน

ยังไงเธอก็มีเวลาอีกถมเถ ในเมื่อตอนนี้เธออยู่ที่โฮม และบ้านที่แท้จริงของเธอแล้ว...

 

-fin-

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

คุณคิดยังไงกับนิยายเรื่องนี้

* สามารถกรอกแบบสำรวจโดยไม่ต้องเป็นสมาชิกก็ได้ครับ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา