ม.ปลายสายเวทย์
-
เขียนโดย TheBoyOnTheMoon
วันที่ 13 พฤษภาคม พ.ศ. 2567 เวลา 21.39 น.
19 ตอน
1 วิจารณ์
4,078 อ่าน
แก้ไขเมื่อ 17 พฤษภาคม พ.ศ. 2567 20.34 น. โดย เจ้าของนิยาย
16) Dessert and detonation
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ16
Dessert and detonation
เช้าวันรุ่งขึ้น ลูอานาตื่นขึ้นมาบนเตียงที่ปูด้วยหนังสัตว์ เธอบิดขี้เกียจสองสามทีและลุกจากเตียง เด็กสาวหยิบหน้ากากไม้ที่วางอยู่ข้าง ๆ มาสวมปิดบังใบหน้าของตัวเอง
เมื่อเดินออกมาจากนอกห้องนอน ก็เจอมารีในชุดนอนกำลังหลับปุ๋ยอยู่บนฟูกหนังสัตว์ที่เธอปูให้อยู่ ใบหน้าตอนที่เธอหลับนั้นดูน่ารักผิดกับตอนตื่นแบบลิบลับเลย
บ้านของลูอานาเป็นบ้านเล็ก ๆ ชั้นเดียว สร้างจากหินทะเลผสานกับปูน มุงหลังคาด้วยกระเบื้องและปูพื้นด้วยไม้ มีด้วยกันสองห้อง ประกอบด้วยห้องนอนของเธอหนึ่งห้อง ห้องใหญ่ซึ่งใช้เป็นทั้งห้องนั่งเล่น ห้องกินข้าว และห้องครัว (รวมทั้งห้องนอนของแขก) หนึ่งห้อง และห้องน้ำเล็ก ๆ อีกหนึ่งห้อง นอกจากนี้ยังมีประตูที่เชื่อมต่อไปยังบ้านข้าง ๆ ของคุณป้าที่ดูแลเธอมาตั้งแต่มาอยู่ที่นี่
เด็กสาวหันไปหาผนังด้านหนึ่งซึ่งมีเตาผิงก่อเอาไว้ หลังเตาผิงมีการวางสิ่งของคล้ายกับแท่นบูชา และเหนือขึ้นไปเล็กน้อยมีหน้ากากไม้สามอันแขวนเอาไว้กับผนัง ลูอานาเดินเอาไปใกล้ ๆ ก่อนจะประกอบมือทั้งสองของตนเอง และสวัสดียามเช้าคุณพ่อ คุณแม่ พี่สาวของเธอด้วยภาษาถิ่น
หลังจากล้างหน้าแปรงฟันเสร็จ ลูอานาก็ไปที่โซนทำครัว เอาวัตถุดิบที่ซื้อมาเมื่อวานนี้มาจัดการทำอาหารเช้าง่าย ๆ เริ่มจากการหุงข้าวเป็นอันดับแรก จากนั้นก็หมักไก่นำไปย่าง ตำสมุนไพรต่าง ๆ เป็นพริกแกงแล้วเอาไปผัดกับน้ำกะทิ จากนั้นก็ใส่ไก่ย่างลงไปและปรุงรสก็เป็นอันแล้วเสร็จ พอดีกับที่ข้าวสุกได้ที่ กลิ่นหอมของอาหารลอยฟุ้งตลบอบอวลไปทั่วห้อง ปลุกมารีที่หลับอยู่
“...หอมจัง” เพื่อนสาวลุกขึ้นมาบิดขี้เกียจ
“อรุณสวัสดิ์ค่ะ อาหารเช้าใกล้เสร็จแล้วนะคะ”
มารีลุกขึ้นจากฟูกและเดินโซเซมาหา ใบหน้าของเธอดูงัวเงีย และเกาผมสีน้ำตาลที่ฟูและชี้โด่ชี้เด่ดูน่าตลกยิ่ง
“หลับสบายไหมคะ” ลูอานาถาม พลางตักแกงไก่ใส่ถ้วยที่ทำจากกะลามะพร้าว
“อือ ไปล้างหน้าแปรงฟันก่อนนะ”
ลูอานามองแผ่นหลังของเพื่อนสาวหายลับไปในห้องน้ำ ก่อนจะจัดวางจานข้าวในสำรับและเอาไปตั้งที่พื้น เธอใช้คทาเสกคาถาทำความสะอาดที่นอนและเสกให้มันพับตัวเอง ก่อนจะลอยเข้าไปเก็บในตู้
ในระหว่างนั้นเด็กสาวก็มองไปรอบ ๆ เพราะรู้สึกว่ามีอะไรหายไป
“นัวร์ไปไหนน่ะ”
หลังอาหารเช้าและเสร็จภารกิจส่วนตัว สองสาวก็ออกจากบ้านเพื่อไปยังสนามบิน ลูอานาร่ายคาถาล็อคประตูให้เรียบร้อยเป็นอย่างสุดท้าย แล้วเธอกับมารีก็เดินไปตามถนนดิน
“นัวร์ไปไหนเหรอคะ” เมื่อเดินไปสักพัก ลูอานาก็หันมาถามมารีด้วยความสงสัย
“…บอกว่าจะขอไปเดินเที่ยวหน่อยน่ะ เจอกันที่สนามบินเลย” อีกฝ่ายว่า
“ปะ...ไปสนามบินด้วยตัวเองได้เลยเหรอคะ แมวมารีเก่งไปแล้วนะนั่น” เธอหัวเราะแห้ง ๆ
“ทำได้ยิ่งกว่านี้อีกล่ะ” มารียิ้มจาง ๆ ให้ ก่อนจะเดินนำหน้าไป
ย่านผู้อพยพของชาวคาอิมานาที่เอลเดนคงต้องเรียกว่าเป็นชุมชนแออัด บ้านแต่ละหลังอยู่ชิดติดกันและรูปทรงคล้ายกันหมด บริเวณนี้อยู่ติดทะเล มีการสร้างตลิ่งกับท่าเรือประมงเอาไว้ ยามสายแบบนี้ก็เริ่มมีคนออกมาเดินเตร็ดเตร่และทำงานกันแล้ว คนที่นี่ยังคงสวมชุดชาวเผ่าแบบเผยเนื้อหนังกัน บางคนก็ยังสวมหน้ากาก บางคนก็ไม่ได้ใส่หน้ากากแล้วเพราะแต่งงาน ส่วนเด็กเล็กที่ยังไม่ถึงวัยเข้าเรียนก็ไม่ใส่อะไรเลย ผู้ใหญ่บางคนกำลังสูบบุหรี่ บ้างก็กำลังเคี้ยวหมากจนปากแดง
แต่คนที่นี่กลับดูเป็นมิตรเกินคาด หลายคนยกมือทักทายและส่งรอยยิ้มให้พวกเด็ก ๆ และที่นี่เองก็มีชาวเอลเดนมาจับจ่ายซื้อของกันหลายคน ซึ่งสินค้าส่วนใหญ่ก็จะเป็นปลาสด ๆ ผลไม้เขตร้อนที่พอจะปลูกที่นี่ได้ และขนมพื้นเมืองของคาอิมานา
“อยากกินอะไรอีกไหมคะ” ลูอานาหันมาหาเพื่อนที่ดูท่าทางจะสนใจอาหารทุกอย่างที่วางอยู่ตามแผงขาย
“มะ...ไม่เป็นไร แค่รู้สึกว่ามันน่ากินน่ะ” มารียิ้มเจื่อนให้ พลางหยิบน้ำในกระติกออกมาจากกระเป๋าสะพายข้างออกมาดื่ม
เห็นดังนั้น ลูอานาก็เลยพาเพื่อนสาวแวะซื้อขนมท้องถิ่นสักหน่อย แล้วก็ได้มาทั้งกล้วยชุบแป้งทอด ขนมทำจากแป้งข้าวเจ้าใส่ใส้มะพร้าวกวนกับน้ำตาลห่อด้วยใบตอง และขนมเค้กฉ่ำ ๆ สีเหลืองนวลที่มีเนื้อแแป้งด้านในเหมือนรังผึ้ง
พอเห็นใบหน้าที่มีความสุขของมารีในระหว่างที่กินขนมไป มุมปากที่ซ่อนอยู่ภายใต้หน้ากากไม้ของลูอานาก็พลันยกขึ้นมาโดยอัตโนมัติ
“โอ้ ดูซิว่าใครมา”
ระหว่างที่เดินออกมาถึงบริเวณหน้าหมู่บ้านที่คนค่อนข้างบางตา ก็มีกลุ่มวัยรุ่นชายสามคนมายืนขวางทั้งสองเอาไว้ แต่ละคนสวมหน้ากากไม้หน้าตาน่ากลัวประดับด้วยขนนก ท่อนบนเปลือยเปล่าและสวมสร้อยคอกับกำไลสไตล์ชาวเผ่า ส่วนท่อนล่างเป็นผ้าเตี่ยวสีเข้ม ที่ข้อเท้าทั้งสองก็สวมกำไลทำจากไม้ทั้งสองข้าง
“ข้าจะไปจะมาก็ไม่ใช่ธุระอะไรของเอ็ง” ลูอานาเท้าสะเอวบอกด้วยเสียงแข็งกร้าว “หลบไป เดี๋ยวพวกข้าไปขึ้นวาฬสาย”
“หายไปอยู่โน่นตั้งหลายเดือน ไม่คิดจะคุยกันหน่อยรึไง” หัวโจกคนกลางกอดอก “พาเพื่อนมาด้วยเรอะ ไม่ยักกะรู้ว่าเอ็งหาเพื่อนเป็นด้วย”
“ก็มีแค่เราคนเดียวแหละที่คบด้วย” มารีกัดขนมเขี้ยวตุ้ย ๆ ทำตาปริบ ๆ ให้ เลยโดนลูอานาค้อนใส่ไปที
“ทั้ง ๆ ที่คนที่ควรจะได้เรียนที่โฮมควรจะเป็นข้าแท้ ๆ อย่างเอ็งน่ะ ไปเรียนก็เสียเวลาเปล่า ๆ” เด็กหนุ่มพ่นลมหายใจและหันมามองมารี “เธอน่ะ คิดดีแล้วเหรอที่มาคบกับยัยนี่น่ะ”
“อย่างน้อย ได้คบกับคนที่ฉลาดพอจะสอบเข้าโฮมได้ ยังดีกว่ามาคบกับพวกโง่ ๆ ที่สอบไม่ติดแล้วยังมาเป็นอันพาลล่ะนะ” มารีโยนกล้วยทอดเข้าปากด้วยหน้าตายด้าน เล่นเอาอีกฝ่ายสะอึก
ลูอานาคว้ามือมารีและกลับหลังหันเพื่อไปอีกทาง ทว่าก็เจอแก๊งวัยรุ่นอีกกลุ่มมายืนขวาง แต่ละคนถือคทาไม้ชี้มาที่เธอ
“คิดจะทำอะไร” เด็กสาวหันไปหานายหัวโจกที่ถือไม้คทาเตรียมร่ายเวทย์เช่นกัน
“พอดีมีคนจ้างมาให้หาตัวผู้หญิงใส่แว่นผมน้ำตาลตาน้ำตาลน่ะ แล้วคนที่ว่าก็น่าจะใช่ยัยปากดีนี่ด้วยสินะ”
ได้ยินดังนั้นก็ทำเอาลูอานาค้างไปทันที หรือว่าเจ้าพวกนี้...
“ถ้าไม่อยากเจ็บตัวก็ส่งแม่นั่นมาให้ข้า” นายหัวโจกบอก
“ให้ตายสิ” ในตอนนั้นมารีก็ถอนหายใจออกมาและกัดขนมไปอีกคำ แต่ยังไม่ทันที่เธอจะหยิบไม้กายสิทธิ์ออกมา ก็ปรากฏว่า...
“ว๊ากกก”
อยู่ดี ๆ ผ้าเตี่ยวของนายหัวโจกก็หลุดลงมากองกับพื้น ตามด้วยคนอื่น ๆ
“...เล็กอะ”
“ทำอะไรของเอ็งน่ะ!” อีกฝ่ายรีบหยิบกองผ้าเตี่ยวขึ้นมาบังของสงวน แต่อยู่ดี ๆ ก็หน้าคะมำเหมือนโดนใครถีบ พวกคนอื่น ๆ ก็มองซ้ายมองขวาอย่างเลิกลัก ก่อนจะโดนพลังปริศนาผลักไปทางนู้นทีทางนี้ที
ในจังหะวที่ชุลมุน มารีก็คว้ามือของลูอานาวิ่งฝ่าออกมาแอบที่มุมตึก พวกอันพาลยังคงวิ่งตามมา แต่สุดท้ายก็หาทั้งคู่ไม่พบ และล่าถอยไป
“เกิดอะไรขึ้นน่ะคะ” ลูอานาถามเพื่อน เธอแน่ใจว่าเมื่อกี้มารีไม่ได้เสกคาถา และไม่มีใครอยู่แถวนั้นด้วย
“ช่างเถอะ” มารีว่า “ว่าแต่พวกนั้นใครเหรอ”
“หัวโจกนั่นชื่อไคค่ะ เป็นเด็กที่อพยพมาจากอีกเกาะนึง” เธอบอก “เป็นศัตรูกันมาตั้งแต่สมัยประถมแล้วล่ะ เค้ากับไอ้นั่นแข่งกันเรียน แข่งกันชิงดีชิงเด่นมาตลอด พอจบ ม.ต้น เราสองคนก็ได้จดหมายเชิญไปสอบเข้าที่โฮมค่ะ แล้วก็อย่างที่เห็น ไม่รู้เหมือนกันว่ามันตกข้อเขียนหรือปฏิบัติ”
“งั้นเหรอ”
“แต่ก็ไม่คิดเลยว่าไอ้นั่น…จะเข้าไปคบหากับพวกอีกา” ลูอานากำมือแน่น “ทั้ง ๆ ที่พวกเราทั้งคู่ก็เคยถูกช่วยจากสภานกฮูกแท้ ๆ”
ได้ยินดังนั้น มารีกเลิกคิ้ว “รู้จักสภานกฮูกด้วยเหรอ”
“ค่ะ ที่เค้ามีชีวิตอยู่มาถึงทุกวันนี้ได้ก็เพราะสภานกฮูกนั่นแหละ” เธอบอก “รีบไปที่สนามบินเถอะค่ะ ที่นี่น่าจะไม่ปลอดภัยแล้ว”
เก้าโมงครึ่ง ลูอานากับมารีก็มาถึงสนามบินตรงตามเวลานัด เดรโกรัสกับไทที่มาถึงแล้ว และโบกมือหยอย ๆ เรียกทั้งสองคน
ทว่ามีบางอย่างผิดปกติ
“เกิดอะไรขึ้นน่ะคะ” ลูอานาหันซ้ายหันขวา เพราะตอนนี้มีเจ้าหน้าที่ตำรวจอยู่เต็มไปหมด และกันไม่ให้ใครเข้าไปด้านในอาคารของสนามบิน
“ไม่รู้เหมือนกันเน่อ ตอนที่พวกข้าน้อยมาก็เป็นอย่างงี้แล้ว”
“เรียนผู้โดยสารที่จะเดินทางไปกับสายการบินสายการบินเวลูกาแอร์ไลน์ เที่ยวบินที่ OF1104 ขอเรียนให้ทราบว่าเนื่องด้วยสถานการณ์ฉุกเฉิน ทำให้ต้องเลื่อนเที่ยวบินออกไปเป็นเวลา 14 นาฬิกา ทั้งนี้ ท่านผู้โดยสารสามารถเช็คอินได้ตั้งแต่เวลา 12 นาฬิกา ขออภัยในความไม่สะดวกมา ณ ที่นี้ค่ะ”
“...โอ้”
สิ้นเสียงประกาศ พวกเด็ก ๆ ก็ได้แต่เม้มปาก แต่ใช่ว่าจะมีแค่เที่ยวบินของพวกเขา หลังจากนั้นก็มีอีกหลายสายการบินที่ประกาศดีเลย์เช่นกัน
“เหมือนจะมีเหตุอะไรนะ” เดรโกมองซ้ายมองขวา ไทเองก็ชะเง้อคอมองดูเหตุการณ์ด้านใน นอกจากพวกเจ้าหน้าที่แล้วยังมีสุนัขดมกลิ่นมาด้วย
“เดี๋ยวมาเน่อ”
ระหว่างนั้นเอง หนุ่มหน้าหวานก็เดินออกไป ทิ้งให้อีกสามคนมองหน้ากันตาปริบ ๆ สักพักเขาก็กลับมาพร้อมกับรอยยิ้ม
“ถามมาแล้วล่ะ เห็นว่ามีขู่วางระเบิดที่สนามบินน่ะเน่อ”
“...เอิ่ม”
สุดท้ายทั้งสี่ก็เลยต้องมานั่งเล่นที่คาเฟ่ใกล้ ๆ สนามบินก่อน และเหมือนพวกนักเดินทางทุกคนจะคิดแบบเดียวกัน ที่นี่จึงเต็มไปด้วยลูกค้าหน้าบูด ๆ ที่พูดคุยกันด้วยเสียงดังเซ็งแซ่
“เราไปที่อื่นดีกว่าไหมคะ” ลูอานาเสนอ พอเห็นคนเยอะแบบนี้เธอก็รู้สึกกังวลขึ้นมา
“ที่อื่นก็น่าจะคนเยอะไม่ต่างกันหรอก” เดรโกว่า
“ไม่ใช่อย่างนั้นหรอกค่ะ” ลูอานามองหน้ามารีก่อนจะตัดสินใจเล่าเรื่องที่พวกเธอเจอก่อนหน้านี้ให้สองหนุ่มฟัง
“อา...แถวบ้านข้าน้อยก็มีคนถามหาผู้หญิงใส่แว่น ผมน้ำตาล ตาน้ำตาลเหมือนกัน” ไทกระซิบ “แสดงว่าไอ้พวกนั้นน่าจะเคลื่อนไหวแล้วสินะ”
แต่ยังไม่ทันจะได้ลุก ของที่ทุกคนสั่งเอาไว้ก็มาเสิร์ฟพอดี มารีสั่งพุดดิ้งกับโทปิกาโพชัน เดรโกสั่งชีสเค้กสตรอว์เบอร์รีกับกาแฟดำร้อน ไทสั่งชาร้อนกับครัวซองต์ราดน้ำผึ้ง และลูอานาสั่งน้ำผลไม้ปั่นกับไอศกรีม
“เอาไงดีคะ” สาวชาวเผ่ามองของหวานบนโต๊ะและเงยหน้ามองเพื่อน ๆ
“ถ้าเป็นแบบนี้ล่ะก็...” ไทกอดอกด้วยสีหน้าเคร่งเครียด ก่อนจะคว้าช้อนขึ้นมา “กิ๋นละเน่อออ”
ตูมมมมม
ภายในพริบตา คาเฟ่ทั้งหลังพังทลายด้วยแรงระเบิดในพริบตา เหลือเพียงพวกเด็ก ๆ ที่ยังอ้าปากค้างเตรียมจะกินขนมอยู่
“จาน...หายไปแล้วค่ะ”
เมื่อมองไปยังต้นตอของการระเบิด ทั้งสี่ก็เบิกตากว้าง เพราะที่นั่นมีกลุ่มคนประมาณสี่ห้าคนยืนอยู่ พวกเขาสวมเสื้อคลุมสีดำ หมวกปีกกว้างและหน้ากากหมออีกา
เดรโกไม่พูดอะไร เขาทิ้งช้อนและพุ่งตัวง้างหมัดเข้าใส่พวกมันทันที หมัดของเขาลุกโชนด้วยเปลวไฟ และเมื่อต่อยถูกเป้าหมายก็เกิดระเบิดเพลิงอย่างรุนแรง
ตามมาด้วยไทที่ชักไม้ตะพดสองด้ามออกมาและพุ่งเข้าใส่อีกฝ่ายที่ชักไม้กายสิทธิ์และคทาออกมาเช่นกัน ใบหน้าของทั้งสองหนุ่มไม่มีร่องรอยของความหวาดกลัว มีเพียงสีหน้าที่โกรธเกรี้ยวไปด้วยความแค้น ซึ่งไม่น่าจะแค่เพราะโดนขัดจังหวะทานของหวานแน่ ๆ
“มารีหลบตรงนี้ก่อนนะคะ” ลูอานาพามารีและพวกลูกค้ามาหลบในที่ปลอดภัย เพราะไม่อยากให้เพื่อนเผยตัวให้พวกนั้นเห็น เด็กสาวหยิบคทาของตัวเองออกมา ดวงตาที่หน้ากากของเธอเรืองแสงสีขาว ตามร่างกายปรากฏอักขระเวทมนตร์เรืองแสงออกมา ร่างลอยขึ้นฟ้าและเสกสายฟ้าจำนวนมากใส่พวกฝูงอีกา
การต่อสู้ดำเนินไป เสียงระเบิดดังสนั่นหวั่นไหว เปลวเพลิงลุกโชน และลำแสงของเวทมนตร์คาถาจำนวนมากปะทะกัน
ฟู่!
เดรโกสูดหายใจเต็มปอด แล้วพ่นไฟขนาดยักษ์ออกมาจากปากใส่พวกอีกา แต่ก็โดนคาถาสะท้อนกลับส่งมาที่ไท
“เหวอ ระหว่างหน่อยสิเน่อ” ไทที่เกือบหลบลูกหลงไม่ทันโวยวายใส่
“โทษ ๆ”
“ระวัง !”
โครมม
ในจังหวะที่เผลอ ร่างของหนุ่มผมแดงก็ปลิวไปชนกับซากปรักหักพังอย่างรุนแรงและล้มลงไปกองกับพื้น ก่อนจะโดนเสกคาถาถล่มอาคารลงมาฝังทั้งเป็น
“เดรโก!!”
ลูอานาบินอยู่บนฟ้าปะทะกับพวกอีกาคนหนึ่ง แสงของคาถากับสายฟ้าสว่างวูบวาบ
แต่ในตอนนั้นเอง ดวงตาภายใต้หน้ากากของสาวชาวเผ่าก็เบิกกว้าง เพราะผู้ที่ปะทะอยู่ตรงหน้ากลับกลายเป็นพี่สาวของเธอที่เสียชีวิตไปแล้ว
พี่สาวของลูอานาใช้คาถายิงลำแสงสีเหลืองใส่ เธอได้แต่ตั้งรับเอาไว้ ไม่กล้าสวนกลับไป
“อ๊า!”
ระหว่างที่เธอพยายามตั้งรับเอาไว้นั้น ก็โดนคาถาจากอีกคนที่อยู่ด้านล่างสอยร่วงลงมากระแทกพื้นจนนอนชัก เลือดสีแดงไหลออกมาจากหลังศีรษะ
สิ่งสุดท้ายที่เธอเห็นก็คือท้องฟ้าสีครามที่ว่างเปล่า ก่อนที่ทุกอย่างจะมืดไป
“ลูอานา!” ไทที่ยังยืนหยัดอยู่ได้กัดฟันกรอด ๆ ในขณะที่ฝั่งของเขาโดนไปแล้วสองคน แต่อีกฝ่ายยังอยู่ครบห้าคนเช่นเดิม ทั้งห้าหมออีการ่ายคาถาและโถมเข้ามาที่ไท เด็กหนุ่มประสานไม้ตะพดทั้งสองเอาไว้และพยายามต้านสุดแรง ก่อนจะกระชากแขนออกทั้งสองข้างจนเกิดการระเบิดและส่งพวกมันปลิวไป
ทว่าเมื่อมองไปรอบ ๆ สิ่งที่เขาเห็นกลับกลายเป็นภาพของสมาชิกในครอบครัวที่นอนจมกองเลือดอยู่ หนึ่งในนั้นคือร่างของคุณแม่ที่ถูกเผาจนร่างไหม้เกรียม เธอค่อย ๆ ลุกขึ้นมาด้วยท่าทางสยดสยองและยกไม้ตะพดในมือขึ้นมา
แต่ไทไม่สามารถขยับร่างกายได้เลย ไม้ตะพดในมือทั้งสองของเขาหลุดมือร่วงลงพื้น
“ไท!”
มารีไม่อาจนั่งหลบอยู่แบบนี้ได้แล้ว เธอตัดสินใจวิ่งออกมาจากที่ซ่อนไปช่วยเพื่อน
“อิมพิดิเอนดุม”
“!?”
แต่อยู่ดี ๆ ก็มีเสียงคาถาดังมาจากปากของคนที่อยู่ข้างหลังเธอ ทำให้ร่างของเด็กสาวก็ทรุดลงไปกองกับพื้นทั้ง ๆ ที่ดวงตายังลืมอยู่ด้วยความตกใจ
“อ้ากกก”
ไทที่ยังคงทำอะไรไม่ถูกก็โดนคาถาเข้าเต็ม ๆ จนกระเด็นมาใกล้กับลูอานาและมารีที่นอนอยู่ ร่างของเขาปวดไปหมดจนขยับไม่ไหวอีกต่อไป และรู้สึกได้ถึงของเหลวอุ่น ๆ ที่ไหลซึมออกมาจากเสื้อ ดวงตา จมูก และปาก
ใกล้กับร่างที่นอนแน่นิ่ง คนที่ร่ายคาถาใส่มารีนั่งยอง ๆ และมองมาที่ไทด้วยแววตาสมเพช
“!?”
“โตขึ้นเยอะนี่ ไอ้หนู”
ไทจำดวงตาสีน้ำข้าวคู่นั้นได้ดี แม้ตอนนั้นจะยังเด็กมาก แต่ไทจำได้แม่นว่านั่นคือใบหน้าของคนที่สังหารคนที่บ้านเกิดของเขาอย่างเลือดเย็น และจับพ่อกับแม่ของเขาไปเผาทั้งเป็น
หญิงสาวผู้มีผมสีขาวยาวถักเป็นเปียสองข้างทำไฮไลต์เป็นสีชมพูที่ปลายลุกขึ้นยืนและจับแขนของมารี ยกตัวเธอขึ้นมาประคอง และดึงไม้กวาดสำหรับบินออกมาจากกระเป๋าสะพายข้าง
“หยุดนะเว้ย!”
ทันใดนั้นเอง ซากปรักหักพังที่ฝังเดรโกเอาไว้ก็ระเบิดออก เด็กหนุ่มผมแดงที่ไร้ซึ่งรอยบาดแผลโผล่ออกมาด้วยสีหน้าเดือดจัด
ทว่าอีกฝ่ายไม่สนใจ หญิงสาวชำเลืองมองเขาด้วยแววตาเยอะเย้ย ก่อนจะใช้ไม้กวาดบินหนีไปพร้อมกับร่างของมารี ส่วนพวกฝูงอีกาที่เหลือก็แปลงร่างกลายเป็นนกกาและบินขึ้นฟ้าจากไป
แล้วก็เหลือเพียงความเงียบอีกครั้ง
“ไท! ลูอานา!”
เดรโกวิ่งเข้ามาหาและทรุดเข่าลงตรงหน้าร่างของไทกับลูอานาที่นอนหายใจโรยริน ตอนนี้สมองของเขาโล่งไปหมด ภาพตรงหน้ามีเพียงซากปรักหักพังและคราบเลือดที่ไหลออกมาจากผู้ที่ถูกฝังอยู่ข้างใต้
เด็กหนุ่มง้างหมัดหมายจะต่อยลงไปบนพื้นเพื่อระบายความเจ็บใจ แต่ก็มีมือปริศนามายั้งเอาไว้ก่อน
“นะ...นาย”
“ขอโทษนะ ฝากเคลียร์ที่นี่ให้ที” นักดาบในหน้ากากนกฮูกกล่าว ก่อนจะโยนถุงใส่อุปกรณ์ปฐมพยาบาลให้ จากนั้นก็กางร่มสีดำและลอยขึ้นจากพื้นบินจากไป
“ได้ตัวมาแล้ว”
ณ โกดังร้างแห่งหนึ่งย่านชานเมืองของเอลเดน หญิงสาวผมขาว-ชมพูเหวี่ยงร่างของมารีไปกองข้างหน้า ผู้ที่ยืนรออยู่คือโทวาดะ ไนโตะ
“เร็วเกิ๊น” ชายหนุ่มถอนหายใจ ก่อนจะเสกเชือกออกมาพันธนาการร่างของมารี และเสกคาถาคลายอัมพาต ทำให้เธอกลับมาได้สติ เด็กสาวพยายามดิ้นแต่ก็ไม่สามารถหลุดจากเชือกที่เหนียวและรัดแน่นขึ้นทุกครั้งที่ขยับตัว
“เป็นฉันจะไม่ขยับตัวเยอะหรอกนะ” หญิงสาวเท้าสะเอวบอกมารี “แล้วจะรู้ได้ไงว่าแม่นี่ไม่ใช่ตัวปลอม”
“ไม่เห็นจะยาก” ไนโตะยกไหล่และชี้ไม่กายสิทธิ์ไปที่มารี “เอเมโต...”
โครมมม
หลังคาของโกดังร้างถล่มลงมา ตามมาด้วยร่างของนักดาบชุดขาวลอยลงมาอย่างนุ่มนวล เมื่อถึงพื้น เขาก็ชักไม้กายสิทธิ์คริสตัลออกมาและสะบัดไปข้างตัวหนึ่งที ทำให้มันกลายเป็นดาบน้ำแข็งเล่มใหญ่
“ให้มันได้อย่างงี้สิวะ”
“ไอ้นี่สินะที่มาป่วน” หญิงสาวถอนหายใจ ก่อนจะหยิบคทาที่มีหัวเป็นงูเห่าสีเงินชี้ไปที่อีกฝ่าย
“ถ้าคิดจะทำอะไรก็อย่าหวัง” ไนโตะชี้ไม้กายสิทธิ์ไปที่ตัวประกัน ทว่าเมื่อหันไปอีกทีก็หน้าเหวอ
“แบร่”
เพราะบริเวณที่มารีนอนอยู่ บัดนี้กลายเแมวดำตัวหนึ่งที่แลบลิ้นปริ้นตาใส่เขา เชือกที่เคยพันธนาการร่างกายหลุดไปหมดเพราะขนาดตัวที่หดลง แล้วแมวน้อยก็วิ่งปรู๊ดหนีไป
“…อีเด็กเปรตนั่น” ชายหนุ่มกัดฟันก่อนจะหันไปที่นักดาบ “ให้ฉันจัดการไอ้เวรนี่เอง เธอไปจับแมวนั่นที”
“เพื่อ?” หญิงสาวเลิกคิ้วถาม เพราะรู้สึกว่ามันไม่ใช่ไอเดียที่เข้าท่าเลย
“ไอ้แมวนั่นก็ไม่ใช่ธรรมดานะ” ไนโตะบอก “อย่างน้อยก็พอจะเอามารีดข้อมูลหรือใช้เป็นตัวประกันได้”
“จ้า ๆ” หญิงสาวเหลือบมองนักดาบในหน้ากากนกฮูกครู่หนึ่ง ก่อนจะกลับหลังหันและวิ่งจากไป
“ก็ไม่รู้หรอกนะว่าเอ็งเป็นใคร” เมื่อหญิงสาวจากไปแล้ว ไนโตะก็หันไปประจันหน้ากับอีกฝ่าย เขาขยับขอเสื้อคลุมสีดำให้เข้าที่ “แต่หลังจากนี้ ถ้าไม่ใช่ฉันที่จะฆ่าแก ก็คงถูกแกฆ่า ขอเห็นหน้าแกชัด ๆ สักครั้งได้ไหม”
“...ก็ดีเหมือนกัน”
นักดาบยกมือขึ้นมาที่ใบหน้าและหยิบหน้ากากออก ทว่าสิ่งที่ชายหนุ่มเห็นกลับทำให้ดวงตาสีน้ำตาลแดงเบิกโพลง
ผมสีมะฮอกกานี ผิวขาว ดวงตาสีเปลือกไม้ที่ดูเหมือนโกรธใครตลอดเวลาเบื้องหลังแว่นตาปรากฏขึ้นจากกลุ่มหมอกสีขาว ใบหน้านั้นคือเด็กสาวที่ไนโตะมั่นใจว่าเคยสังหารกับมือไปแล้วถึงสองรอบ
มารีผายดาบน้ำแข็งไปข้างกาย และถลาตัวพุ่งตัวเข้าใส่คู่ต่อสู้ทันที
Dessert and detonation
เช้าวันรุ่งขึ้น ลูอานาตื่นขึ้นมาบนเตียงที่ปูด้วยหนังสัตว์ เธอบิดขี้เกียจสองสามทีและลุกจากเตียง เด็กสาวหยิบหน้ากากไม้ที่วางอยู่ข้าง ๆ มาสวมปิดบังใบหน้าของตัวเอง
เมื่อเดินออกมาจากนอกห้องนอน ก็เจอมารีในชุดนอนกำลังหลับปุ๋ยอยู่บนฟูกหนังสัตว์ที่เธอปูให้อยู่ ใบหน้าตอนที่เธอหลับนั้นดูน่ารักผิดกับตอนตื่นแบบลิบลับเลย
บ้านของลูอานาเป็นบ้านเล็ก ๆ ชั้นเดียว สร้างจากหินทะเลผสานกับปูน มุงหลังคาด้วยกระเบื้องและปูพื้นด้วยไม้ มีด้วยกันสองห้อง ประกอบด้วยห้องนอนของเธอหนึ่งห้อง ห้องใหญ่ซึ่งใช้เป็นทั้งห้องนั่งเล่น ห้องกินข้าว และห้องครัว (รวมทั้งห้องนอนของแขก) หนึ่งห้อง และห้องน้ำเล็ก ๆ อีกหนึ่งห้อง นอกจากนี้ยังมีประตูที่เชื่อมต่อไปยังบ้านข้าง ๆ ของคุณป้าที่ดูแลเธอมาตั้งแต่มาอยู่ที่นี่
เด็กสาวหันไปหาผนังด้านหนึ่งซึ่งมีเตาผิงก่อเอาไว้ หลังเตาผิงมีการวางสิ่งของคล้ายกับแท่นบูชา และเหนือขึ้นไปเล็กน้อยมีหน้ากากไม้สามอันแขวนเอาไว้กับผนัง ลูอานาเดินเอาไปใกล้ ๆ ก่อนจะประกอบมือทั้งสองของตนเอง และสวัสดียามเช้าคุณพ่อ คุณแม่ พี่สาวของเธอด้วยภาษาถิ่น
หลังจากล้างหน้าแปรงฟันเสร็จ ลูอานาก็ไปที่โซนทำครัว เอาวัตถุดิบที่ซื้อมาเมื่อวานนี้มาจัดการทำอาหารเช้าง่าย ๆ เริ่มจากการหุงข้าวเป็นอันดับแรก จากนั้นก็หมักไก่นำไปย่าง ตำสมุนไพรต่าง ๆ เป็นพริกแกงแล้วเอาไปผัดกับน้ำกะทิ จากนั้นก็ใส่ไก่ย่างลงไปและปรุงรสก็เป็นอันแล้วเสร็จ พอดีกับที่ข้าวสุกได้ที่ กลิ่นหอมของอาหารลอยฟุ้งตลบอบอวลไปทั่วห้อง ปลุกมารีที่หลับอยู่
“...หอมจัง” เพื่อนสาวลุกขึ้นมาบิดขี้เกียจ
“อรุณสวัสดิ์ค่ะ อาหารเช้าใกล้เสร็จแล้วนะคะ”
มารีลุกขึ้นจากฟูกและเดินโซเซมาหา ใบหน้าของเธอดูงัวเงีย และเกาผมสีน้ำตาลที่ฟูและชี้โด่ชี้เด่ดูน่าตลกยิ่ง
“หลับสบายไหมคะ” ลูอานาถาม พลางตักแกงไก่ใส่ถ้วยที่ทำจากกะลามะพร้าว
“อือ ไปล้างหน้าแปรงฟันก่อนนะ”
ลูอานามองแผ่นหลังของเพื่อนสาวหายลับไปในห้องน้ำ ก่อนจะจัดวางจานข้าวในสำรับและเอาไปตั้งที่พื้น เธอใช้คทาเสกคาถาทำความสะอาดที่นอนและเสกให้มันพับตัวเอง ก่อนจะลอยเข้าไปเก็บในตู้
ในระหว่างนั้นเด็กสาวก็มองไปรอบ ๆ เพราะรู้สึกว่ามีอะไรหายไป
“นัวร์ไปไหนน่ะ”
หลังอาหารเช้าและเสร็จภารกิจส่วนตัว สองสาวก็ออกจากบ้านเพื่อไปยังสนามบิน ลูอานาร่ายคาถาล็อคประตูให้เรียบร้อยเป็นอย่างสุดท้าย แล้วเธอกับมารีก็เดินไปตามถนนดิน
“นัวร์ไปไหนเหรอคะ” เมื่อเดินไปสักพัก ลูอานาก็หันมาถามมารีด้วยความสงสัย
“…บอกว่าจะขอไปเดินเที่ยวหน่อยน่ะ เจอกันที่สนามบินเลย” อีกฝ่ายว่า
“ปะ...ไปสนามบินด้วยตัวเองได้เลยเหรอคะ แมวมารีเก่งไปแล้วนะนั่น” เธอหัวเราะแห้ง ๆ
“ทำได้ยิ่งกว่านี้อีกล่ะ” มารียิ้มจาง ๆ ให้ ก่อนจะเดินนำหน้าไป
ย่านผู้อพยพของชาวคาอิมานาที่เอลเดนคงต้องเรียกว่าเป็นชุมชนแออัด บ้านแต่ละหลังอยู่ชิดติดกันและรูปทรงคล้ายกันหมด บริเวณนี้อยู่ติดทะเล มีการสร้างตลิ่งกับท่าเรือประมงเอาไว้ ยามสายแบบนี้ก็เริ่มมีคนออกมาเดินเตร็ดเตร่และทำงานกันแล้ว คนที่นี่ยังคงสวมชุดชาวเผ่าแบบเผยเนื้อหนังกัน บางคนก็ยังสวมหน้ากาก บางคนก็ไม่ได้ใส่หน้ากากแล้วเพราะแต่งงาน ส่วนเด็กเล็กที่ยังไม่ถึงวัยเข้าเรียนก็ไม่ใส่อะไรเลย ผู้ใหญ่บางคนกำลังสูบบุหรี่ บ้างก็กำลังเคี้ยวหมากจนปากแดง
แต่คนที่นี่กลับดูเป็นมิตรเกินคาด หลายคนยกมือทักทายและส่งรอยยิ้มให้พวกเด็ก ๆ และที่นี่เองก็มีชาวเอลเดนมาจับจ่ายซื้อของกันหลายคน ซึ่งสินค้าส่วนใหญ่ก็จะเป็นปลาสด ๆ ผลไม้เขตร้อนที่พอจะปลูกที่นี่ได้ และขนมพื้นเมืองของคาอิมานา
“อยากกินอะไรอีกไหมคะ” ลูอานาหันมาหาเพื่อนที่ดูท่าทางจะสนใจอาหารทุกอย่างที่วางอยู่ตามแผงขาย
“มะ...ไม่เป็นไร แค่รู้สึกว่ามันน่ากินน่ะ” มารียิ้มเจื่อนให้ พลางหยิบน้ำในกระติกออกมาจากกระเป๋าสะพายข้างออกมาดื่ม
เห็นดังนั้น ลูอานาก็เลยพาเพื่อนสาวแวะซื้อขนมท้องถิ่นสักหน่อย แล้วก็ได้มาทั้งกล้วยชุบแป้งทอด ขนมทำจากแป้งข้าวเจ้าใส่ใส้มะพร้าวกวนกับน้ำตาลห่อด้วยใบตอง และขนมเค้กฉ่ำ ๆ สีเหลืองนวลที่มีเนื้อแแป้งด้านในเหมือนรังผึ้ง
พอเห็นใบหน้าที่มีความสุขของมารีในระหว่างที่กินขนมไป มุมปากที่ซ่อนอยู่ภายใต้หน้ากากไม้ของลูอานาก็พลันยกขึ้นมาโดยอัตโนมัติ
“โอ้ ดูซิว่าใครมา”
ระหว่างที่เดินออกมาถึงบริเวณหน้าหมู่บ้านที่คนค่อนข้างบางตา ก็มีกลุ่มวัยรุ่นชายสามคนมายืนขวางทั้งสองเอาไว้ แต่ละคนสวมหน้ากากไม้หน้าตาน่ากลัวประดับด้วยขนนก ท่อนบนเปลือยเปล่าและสวมสร้อยคอกับกำไลสไตล์ชาวเผ่า ส่วนท่อนล่างเป็นผ้าเตี่ยวสีเข้ม ที่ข้อเท้าทั้งสองก็สวมกำไลทำจากไม้ทั้งสองข้าง
“ข้าจะไปจะมาก็ไม่ใช่ธุระอะไรของเอ็ง” ลูอานาเท้าสะเอวบอกด้วยเสียงแข็งกร้าว “หลบไป เดี๋ยวพวกข้าไปขึ้นวาฬสาย”
“หายไปอยู่โน่นตั้งหลายเดือน ไม่คิดจะคุยกันหน่อยรึไง” หัวโจกคนกลางกอดอก “พาเพื่อนมาด้วยเรอะ ไม่ยักกะรู้ว่าเอ็งหาเพื่อนเป็นด้วย”
“ก็มีแค่เราคนเดียวแหละที่คบด้วย” มารีกัดขนมเขี้ยวตุ้ย ๆ ทำตาปริบ ๆ ให้ เลยโดนลูอานาค้อนใส่ไปที
“ทั้ง ๆ ที่คนที่ควรจะได้เรียนที่โฮมควรจะเป็นข้าแท้ ๆ อย่างเอ็งน่ะ ไปเรียนก็เสียเวลาเปล่า ๆ” เด็กหนุ่มพ่นลมหายใจและหันมามองมารี “เธอน่ะ คิดดีแล้วเหรอที่มาคบกับยัยนี่น่ะ”
“อย่างน้อย ได้คบกับคนที่ฉลาดพอจะสอบเข้าโฮมได้ ยังดีกว่ามาคบกับพวกโง่ ๆ ที่สอบไม่ติดแล้วยังมาเป็นอันพาลล่ะนะ” มารีโยนกล้วยทอดเข้าปากด้วยหน้าตายด้าน เล่นเอาอีกฝ่ายสะอึก
ลูอานาคว้ามือมารีและกลับหลังหันเพื่อไปอีกทาง ทว่าก็เจอแก๊งวัยรุ่นอีกกลุ่มมายืนขวาง แต่ละคนถือคทาไม้ชี้มาที่เธอ
“คิดจะทำอะไร” เด็กสาวหันไปหานายหัวโจกที่ถือไม้คทาเตรียมร่ายเวทย์เช่นกัน
“พอดีมีคนจ้างมาให้หาตัวผู้หญิงใส่แว่นผมน้ำตาลตาน้ำตาลน่ะ แล้วคนที่ว่าก็น่าจะใช่ยัยปากดีนี่ด้วยสินะ”
ได้ยินดังนั้นก็ทำเอาลูอานาค้างไปทันที หรือว่าเจ้าพวกนี้...
“ถ้าไม่อยากเจ็บตัวก็ส่งแม่นั่นมาให้ข้า” นายหัวโจกบอก
“ให้ตายสิ” ในตอนนั้นมารีก็ถอนหายใจออกมาและกัดขนมไปอีกคำ แต่ยังไม่ทันที่เธอจะหยิบไม้กายสิทธิ์ออกมา ก็ปรากฏว่า...
“ว๊ากกก”
อยู่ดี ๆ ผ้าเตี่ยวของนายหัวโจกก็หลุดลงมากองกับพื้น ตามด้วยคนอื่น ๆ
“...เล็กอะ”
“ทำอะไรของเอ็งน่ะ!” อีกฝ่ายรีบหยิบกองผ้าเตี่ยวขึ้นมาบังของสงวน แต่อยู่ดี ๆ ก็หน้าคะมำเหมือนโดนใครถีบ พวกคนอื่น ๆ ก็มองซ้ายมองขวาอย่างเลิกลัก ก่อนจะโดนพลังปริศนาผลักไปทางนู้นทีทางนี้ที
ในจังหะวที่ชุลมุน มารีก็คว้ามือของลูอานาวิ่งฝ่าออกมาแอบที่มุมตึก พวกอันพาลยังคงวิ่งตามมา แต่สุดท้ายก็หาทั้งคู่ไม่พบ และล่าถอยไป
“เกิดอะไรขึ้นน่ะคะ” ลูอานาถามเพื่อน เธอแน่ใจว่าเมื่อกี้มารีไม่ได้เสกคาถา และไม่มีใครอยู่แถวนั้นด้วย
“ช่างเถอะ” มารีว่า “ว่าแต่พวกนั้นใครเหรอ”
“หัวโจกนั่นชื่อไคค่ะ เป็นเด็กที่อพยพมาจากอีกเกาะนึง” เธอบอก “เป็นศัตรูกันมาตั้งแต่สมัยประถมแล้วล่ะ เค้ากับไอ้นั่นแข่งกันเรียน แข่งกันชิงดีชิงเด่นมาตลอด พอจบ ม.ต้น เราสองคนก็ได้จดหมายเชิญไปสอบเข้าที่โฮมค่ะ แล้วก็อย่างที่เห็น ไม่รู้เหมือนกันว่ามันตกข้อเขียนหรือปฏิบัติ”
“งั้นเหรอ”
“แต่ก็ไม่คิดเลยว่าไอ้นั่น…จะเข้าไปคบหากับพวกอีกา” ลูอานากำมือแน่น “ทั้ง ๆ ที่พวกเราทั้งคู่ก็เคยถูกช่วยจากสภานกฮูกแท้ ๆ”
ได้ยินดังนั้น มารีกเลิกคิ้ว “รู้จักสภานกฮูกด้วยเหรอ”
“ค่ะ ที่เค้ามีชีวิตอยู่มาถึงทุกวันนี้ได้ก็เพราะสภานกฮูกนั่นแหละ” เธอบอก “รีบไปที่สนามบินเถอะค่ะ ที่นี่น่าจะไม่ปลอดภัยแล้ว”
เก้าโมงครึ่ง ลูอานากับมารีก็มาถึงสนามบินตรงตามเวลานัด เดรโกรัสกับไทที่มาถึงแล้ว และโบกมือหยอย ๆ เรียกทั้งสองคน
ทว่ามีบางอย่างผิดปกติ
“เกิดอะไรขึ้นน่ะคะ” ลูอานาหันซ้ายหันขวา เพราะตอนนี้มีเจ้าหน้าที่ตำรวจอยู่เต็มไปหมด และกันไม่ให้ใครเข้าไปด้านในอาคารของสนามบิน
“ไม่รู้เหมือนกันเน่อ ตอนที่พวกข้าน้อยมาก็เป็นอย่างงี้แล้ว”
“เรียนผู้โดยสารที่จะเดินทางไปกับสายการบินสายการบินเวลูกาแอร์ไลน์ เที่ยวบินที่ OF1104 ขอเรียนให้ทราบว่าเนื่องด้วยสถานการณ์ฉุกเฉิน ทำให้ต้องเลื่อนเที่ยวบินออกไปเป็นเวลา 14 นาฬิกา ทั้งนี้ ท่านผู้โดยสารสามารถเช็คอินได้ตั้งแต่เวลา 12 นาฬิกา ขออภัยในความไม่สะดวกมา ณ ที่นี้ค่ะ”
“...โอ้”
สิ้นเสียงประกาศ พวกเด็ก ๆ ก็ได้แต่เม้มปาก แต่ใช่ว่าจะมีแค่เที่ยวบินของพวกเขา หลังจากนั้นก็มีอีกหลายสายการบินที่ประกาศดีเลย์เช่นกัน
“เหมือนจะมีเหตุอะไรนะ” เดรโกมองซ้ายมองขวา ไทเองก็ชะเง้อคอมองดูเหตุการณ์ด้านใน นอกจากพวกเจ้าหน้าที่แล้วยังมีสุนัขดมกลิ่นมาด้วย
“เดี๋ยวมาเน่อ”
ระหว่างนั้นเอง หนุ่มหน้าหวานก็เดินออกไป ทิ้งให้อีกสามคนมองหน้ากันตาปริบ ๆ สักพักเขาก็กลับมาพร้อมกับรอยยิ้ม
“ถามมาแล้วล่ะ เห็นว่ามีขู่วางระเบิดที่สนามบินน่ะเน่อ”
“...เอิ่ม”
สุดท้ายทั้งสี่ก็เลยต้องมานั่งเล่นที่คาเฟ่ใกล้ ๆ สนามบินก่อน และเหมือนพวกนักเดินทางทุกคนจะคิดแบบเดียวกัน ที่นี่จึงเต็มไปด้วยลูกค้าหน้าบูด ๆ ที่พูดคุยกันด้วยเสียงดังเซ็งแซ่
“เราไปที่อื่นดีกว่าไหมคะ” ลูอานาเสนอ พอเห็นคนเยอะแบบนี้เธอก็รู้สึกกังวลขึ้นมา
“ที่อื่นก็น่าจะคนเยอะไม่ต่างกันหรอก” เดรโกว่า
“ไม่ใช่อย่างนั้นหรอกค่ะ” ลูอานามองหน้ามารีก่อนจะตัดสินใจเล่าเรื่องที่พวกเธอเจอก่อนหน้านี้ให้สองหนุ่มฟัง
“อา...แถวบ้านข้าน้อยก็มีคนถามหาผู้หญิงใส่แว่น ผมน้ำตาล ตาน้ำตาลเหมือนกัน” ไทกระซิบ “แสดงว่าไอ้พวกนั้นน่าจะเคลื่อนไหวแล้วสินะ”
แต่ยังไม่ทันจะได้ลุก ของที่ทุกคนสั่งเอาไว้ก็มาเสิร์ฟพอดี มารีสั่งพุดดิ้งกับโทปิกาโพชัน เดรโกสั่งชีสเค้กสตรอว์เบอร์รีกับกาแฟดำร้อน ไทสั่งชาร้อนกับครัวซองต์ราดน้ำผึ้ง และลูอานาสั่งน้ำผลไม้ปั่นกับไอศกรีม
“เอาไงดีคะ” สาวชาวเผ่ามองของหวานบนโต๊ะและเงยหน้ามองเพื่อน ๆ
“ถ้าเป็นแบบนี้ล่ะก็...” ไทกอดอกด้วยสีหน้าเคร่งเครียด ก่อนจะคว้าช้อนขึ้นมา “กิ๋นละเน่อออ”
ตูมมมมม
ภายในพริบตา คาเฟ่ทั้งหลังพังทลายด้วยแรงระเบิดในพริบตา เหลือเพียงพวกเด็ก ๆ ที่ยังอ้าปากค้างเตรียมจะกินขนมอยู่
“จาน...หายไปแล้วค่ะ”
เมื่อมองไปยังต้นตอของการระเบิด ทั้งสี่ก็เบิกตากว้าง เพราะที่นั่นมีกลุ่มคนประมาณสี่ห้าคนยืนอยู่ พวกเขาสวมเสื้อคลุมสีดำ หมวกปีกกว้างและหน้ากากหมออีกา
เดรโกไม่พูดอะไร เขาทิ้งช้อนและพุ่งตัวง้างหมัดเข้าใส่พวกมันทันที หมัดของเขาลุกโชนด้วยเปลวไฟ และเมื่อต่อยถูกเป้าหมายก็เกิดระเบิดเพลิงอย่างรุนแรง
ตามมาด้วยไทที่ชักไม้ตะพดสองด้ามออกมาและพุ่งเข้าใส่อีกฝ่ายที่ชักไม้กายสิทธิ์และคทาออกมาเช่นกัน ใบหน้าของทั้งสองหนุ่มไม่มีร่องรอยของความหวาดกลัว มีเพียงสีหน้าที่โกรธเกรี้ยวไปด้วยความแค้น ซึ่งไม่น่าจะแค่เพราะโดนขัดจังหวะทานของหวานแน่ ๆ
“มารีหลบตรงนี้ก่อนนะคะ” ลูอานาพามารีและพวกลูกค้ามาหลบในที่ปลอดภัย เพราะไม่อยากให้เพื่อนเผยตัวให้พวกนั้นเห็น เด็กสาวหยิบคทาของตัวเองออกมา ดวงตาที่หน้ากากของเธอเรืองแสงสีขาว ตามร่างกายปรากฏอักขระเวทมนตร์เรืองแสงออกมา ร่างลอยขึ้นฟ้าและเสกสายฟ้าจำนวนมากใส่พวกฝูงอีกา
การต่อสู้ดำเนินไป เสียงระเบิดดังสนั่นหวั่นไหว เปลวเพลิงลุกโชน และลำแสงของเวทมนตร์คาถาจำนวนมากปะทะกัน
ฟู่!
เดรโกสูดหายใจเต็มปอด แล้วพ่นไฟขนาดยักษ์ออกมาจากปากใส่พวกอีกา แต่ก็โดนคาถาสะท้อนกลับส่งมาที่ไท
“เหวอ ระหว่างหน่อยสิเน่อ” ไทที่เกือบหลบลูกหลงไม่ทันโวยวายใส่
“โทษ ๆ”
“ระวัง !”
โครมม
ในจังหวะที่เผลอ ร่างของหนุ่มผมแดงก็ปลิวไปชนกับซากปรักหักพังอย่างรุนแรงและล้มลงไปกองกับพื้น ก่อนจะโดนเสกคาถาถล่มอาคารลงมาฝังทั้งเป็น
“เดรโก!!”
ลูอานาบินอยู่บนฟ้าปะทะกับพวกอีกาคนหนึ่ง แสงของคาถากับสายฟ้าสว่างวูบวาบ
แต่ในตอนนั้นเอง ดวงตาภายใต้หน้ากากของสาวชาวเผ่าก็เบิกกว้าง เพราะผู้ที่ปะทะอยู่ตรงหน้ากลับกลายเป็นพี่สาวของเธอที่เสียชีวิตไปแล้ว
พี่สาวของลูอานาใช้คาถายิงลำแสงสีเหลืองใส่ เธอได้แต่ตั้งรับเอาไว้ ไม่กล้าสวนกลับไป
“อ๊า!”
ระหว่างที่เธอพยายามตั้งรับเอาไว้นั้น ก็โดนคาถาจากอีกคนที่อยู่ด้านล่างสอยร่วงลงมากระแทกพื้นจนนอนชัก เลือดสีแดงไหลออกมาจากหลังศีรษะ
สิ่งสุดท้ายที่เธอเห็นก็คือท้องฟ้าสีครามที่ว่างเปล่า ก่อนที่ทุกอย่างจะมืดไป
“ลูอานา!” ไทที่ยังยืนหยัดอยู่ได้กัดฟันกรอด ๆ ในขณะที่ฝั่งของเขาโดนไปแล้วสองคน แต่อีกฝ่ายยังอยู่ครบห้าคนเช่นเดิม ทั้งห้าหมออีการ่ายคาถาและโถมเข้ามาที่ไท เด็กหนุ่มประสานไม้ตะพดทั้งสองเอาไว้และพยายามต้านสุดแรง ก่อนจะกระชากแขนออกทั้งสองข้างจนเกิดการระเบิดและส่งพวกมันปลิวไป
ทว่าเมื่อมองไปรอบ ๆ สิ่งที่เขาเห็นกลับกลายเป็นภาพของสมาชิกในครอบครัวที่นอนจมกองเลือดอยู่ หนึ่งในนั้นคือร่างของคุณแม่ที่ถูกเผาจนร่างไหม้เกรียม เธอค่อย ๆ ลุกขึ้นมาด้วยท่าทางสยดสยองและยกไม้ตะพดในมือขึ้นมา
แต่ไทไม่สามารถขยับร่างกายได้เลย ไม้ตะพดในมือทั้งสองของเขาหลุดมือร่วงลงพื้น
“ไท!”
มารีไม่อาจนั่งหลบอยู่แบบนี้ได้แล้ว เธอตัดสินใจวิ่งออกมาจากที่ซ่อนไปช่วยเพื่อน
“อิมพิดิเอนดุม”
“!?”
แต่อยู่ดี ๆ ก็มีเสียงคาถาดังมาจากปากของคนที่อยู่ข้างหลังเธอ ทำให้ร่างของเด็กสาวก็ทรุดลงไปกองกับพื้นทั้ง ๆ ที่ดวงตายังลืมอยู่ด้วยความตกใจ
“อ้ากกก”
ไทที่ยังคงทำอะไรไม่ถูกก็โดนคาถาเข้าเต็ม ๆ จนกระเด็นมาใกล้กับลูอานาและมารีที่นอนอยู่ ร่างของเขาปวดไปหมดจนขยับไม่ไหวอีกต่อไป และรู้สึกได้ถึงของเหลวอุ่น ๆ ที่ไหลซึมออกมาจากเสื้อ ดวงตา จมูก และปาก
ใกล้กับร่างที่นอนแน่นิ่ง คนที่ร่ายคาถาใส่มารีนั่งยอง ๆ และมองมาที่ไทด้วยแววตาสมเพช
“!?”
“โตขึ้นเยอะนี่ ไอ้หนู”
ไทจำดวงตาสีน้ำข้าวคู่นั้นได้ดี แม้ตอนนั้นจะยังเด็กมาก แต่ไทจำได้แม่นว่านั่นคือใบหน้าของคนที่สังหารคนที่บ้านเกิดของเขาอย่างเลือดเย็น และจับพ่อกับแม่ของเขาไปเผาทั้งเป็น
หญิงสาวผู้มีผมสีขาวยาวถักเป็นเปียสองข้างทำไฮไลต์เป็นสีชมพูที่ปลายลุกขึ้นยืนและจับแขนของมารี ยกตัวเธอขึ้นมาประคอง และดึงไม้กวาดสำหรับบินออกมาจากกระเป๋าสะพายข้าง
“หยุดนะเว้ย!”
ทันใดนั้นเอง ซากปรักหักพังที่ฝังเดรโกเอาไว้ก็ระเบิดออก เด็กหนุ่มผมแดงที่ไร้ซึ่งรอยบาดแผลโผล่ออกมาด้วยสีหน้าเดือดจัด
ทว่าอีกฝ่ายไม่สนใจ หญิงสาวชำเลืองมองเขาด้วยแววตาเยอะเย้ย ก่อนจะใช้ไม้กวาดบินหนีไปพร้อมกับร่างของมารี ส่วนพวกฝูงอีกาที่เหลือก็แปลงร่างกลายเป็นนกกาและบินขึ้นฟ้าจากไป
แล้วก็เหลือเพียงความเงียบอีกครั้ง
“ไท! ลูอานา!”
เดรโกวิ่งเข้ามาหาและทรุดเข่าลงตรงหน้าร่างของไทกับลูอานาที่นอนหายใจโรยริน ตอนนี้สมองของเขาโล่งไปหมด ภาพตรงหน้ามีเพียงซากปรักหักพังและคราบเลือดที่ไหลออกมาจากผู้ที่ถูกฝังอยู่ข้างใต้
เด็กหนุ่มง้างหมัดหมายจะต่อยลงไปบนพื้นเพื่อระบายความเจ็บใจ แต่ก็มีมือปริศนามายั้งเอาไว้ก่อน
“นะ...นาย”
“ขอโทษนะ ฝากเคลียร์ที่นี่ให้ที” นักดาบในหน้ากากนกฮูกกล่าว ก่อนจะโยนถุงใส่อุปกรณ์ปฐมพยาบาลให้ จากนั้นก็กางร่มสีดำและลอยขึ้นจากพื้นบินจากไป
“ได้ตัวมาแล้ว”
ณ โกดังร้างแห่งหนึ่งย่านชานเมืองของเอลเดน หญิงสาวผมขาว-ชมพูเหวี่ยงร่างของมารีไปกองข้างหน้า ผู้ที่ยืนรออยู่คือโทวาดะ ไนโตะ
“เร็วเกิ๊น” ชายหนุ่มถอนหายใจ ก่อนจะเสกเชือกออกมาพันธนาการร่างของมารี และเสกคาถาคลายอัมพาต ทำให้เธอกลับมาได้สติ เด็กสาวพยายามดิ้นแต่ก็ไม่สามารถหลุดจากเชือกที่เหนียวและรัดแน่นขึ้นทุกครั้งที่ขยับตัว
“เป็นฉันจะไม่ขยับตัวเยอะหรอกนะ” หญิงสาวเท้าสะเอวบอกมารี “แล้วจะรู้ได้ไงว่าแม่นี่ไม่ใช่ตัวปลอม”
“ไม่เห็นจะยาก” ไนโตะยกไหล่และชี้ไม่กายสิทธิ์ไปที่มารี “เอเมโต...”
โครมมม
หลังคาของโกดังร้างถล่มลงมา ตามมาด้วยร่างของนักดาบชุดขาวลอยลงมาอย่างนุ่มนวล เมื่อถึงพื้น เขาก็ชักไม้กายสิทธิ์คริสตัลออกมาและสะบัดไปข้างตัวหนึ่งที ทำให้มันกลายเป็นดาบน้ำแข็งเล่มใหญ่
“ให้มันได้อย่างงี้สิวะ”
“ไอ้นี่สินะที่มาป่วน” หญิงสาวถอนหายใจ ก่อนจะหยิบคทาที่มีหัวเป็นงูเห่าสีเงินชี้ไปที่อีกฝ่าย
“ถ้าคิดจะทำอะไรก็อย่าหวัง” ไนโตะชี้ไม้กายสิทธิ์ไปที่ตัวประกัน ทว่าเมื่อหันไปอีกทีก็หน้าเหวอ
“แบร่”
เพราะบริเวณที่มารีนอนอยู่ บัดนี้กลายเแมวดำตัวหนึ่งที่แลบลิ้นปริ้นตาใส่เขา เชือกที่เคยพันธนาการร่างกายหลุดไปหมดเพราะขนาดตัวที่หดลง แล้วแมวน้อยก็วิ่งปรู๊ดหนีไป
“…อีเด็กเปรตนั่น” ชายหนุ่มกัดฟันก่อนจะหันไปที่นักดาบ “ให้ฉันจัดการไอ้เวรนี่เอง เธอไปจับแมวนั่นที”
“เพื่อ?” หญิงสาวเลิกคิ้วถาม เพราะรู้สึกว่ามันไม่ใช่ไอเดียที่เข้าท่าเลย
“ไอ้แมวนั่นก็ไม่ใช่ธรรมดานะ” ไนโตะบอก “อย่างน้อยก็พอจะเอามารีดข้อมูลหรือใช้เป็นตัวประกันได้”
“จ้า ๆ” หญิงสาวเหลือบมองนักดาบในหน้ากากนกฮูกครู่หนึ่ง ก่อนจะกลับหลังหันและวิ่งจากไป
“ก็ไม่รู้หรอกนะว่าเอ็งเป็นใคร” เมื่อหญิงสาวจากไปแล้ว ไนโตะก็หันไปประจันหน้ากับอีกฝ่าย เขาขยับขอเสื้อคลุมสีดำให้เข้าที่ “แต่หลังจากนี้ ถ้าไม่ใช่ฉันที่จะฆ่าแก ก็คงถูกแกฆ่า ขอเห็นหน้าแกชัด ๆ สักครั้งได้ไหม”
“...ก็ดีเหมือนกัน”
นักดาบยกมือขึ้นมาที่ใบหน้าและหยิบหน้ากากออก ทว่าสิ่งที่ชายหนุ่มเห็นกลับทำให้ดวงตาสีน้ำตาลแดงเบิกโพลง
ผมสีมะฮอกกานี ผิวขาว ดวงตาสีเปลือกไม้ที่ดูเหมือนโกรธใครตลอดเวลาเบื้องหลังแว่นตาปรากฏขึ้นจากกลุ่มหมอกสีขาว ใบหน้านั้นคือเด็กสาวที่ไนโตะมั่นใจว่าเคยสังหารกับมือไปแล้วถึงสองรอบ
มารีผายดาบน้ำแข็งไปข้างกาย และถลาตัวพุ่งตัวเข้าใส่คู่ต่อสู้ทันที
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ