ม.ปลายสายเวทย์
เขียนโดย TheBoyOnTheMoon
วันที่ 13 พฤษภาคม พ.ศ. 2567 เวลา 21.39 น.
แก้ไขเมื่อ 17 พฤษภาคม พ.ศ. 2567 20.34 น. โดย เจ้าของนิยาย
15) Since the princess left the castle
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ15
Since the princess left the castle
“เป็นอะไรหรือเปล่าคะ”
มารีเข้าไปประคองนายทหารขึ้นมา เพื่อน ๆ อีกสามคนก็ช่วยกันอีกแรงเนื่องจากตัวของเขาใหญ่มาก แล้วก็หิ้วปีกของนายทหารกลับมาในห้องให้นั่งลงบนโซฟา มารีเพิ่งสังเกตเห็นว่าขอบตาของเขาเป็นสีคล้ำเหมือนไม่ได้นอนมาหลายวันแล้ว
“พวกเธอเป็นใคร” เขามองหน้าแต่ละคนและถามด้วยเสียงทุ้มต่ำ
“พวกเราเป็นนักเรียนของโฮมค่ะ” มารีกล่าว พลางหยิบบัตรประจำตัวนักเรียนส่งให้เขา “พวกเรากำลังทดลองข้ามเกทกัน แล้วก็มาลงเอยที่นี่ค่ะ”
“งั้นเหรอ” นายทหารมองบัตรของมารีด้วยดวงตาสีฟ้าหม่น ๆ
“พอจะมีทางให้พวกเรากลับโอวล์ฟอสเทียร์ได้บ้างไหมคะ”
“จะว่ามีมันก็มีแหละ” เขาบอก ก่อนจะลุกขึ้นยืนอย่างทุลักทุเลและคืนบัตรนักเรียนให้มารี “แต่คนที่จะตัดสินใจว่าจะให้พวกเธอออกไปน่ะได้มีอยู่แค่คนเดียว ตามมา”
นายทหารก็พาพวกเด็ก ๆ ลงมาจากหอคอย ตอนแรกคิดว่าจะต้องเดินลงบันได (ซึ่งก็คงจะเยอะมาก ๆ) แต่โชคดีที่ที่นี่เขาใช้ลิฟท์กัน ตัวลิฟท์เป็นแบบโบราณ มีประตูเหล็กยืดสีดำ ด้านในทำจากไม้สีเข้ม ส่วนปุ่มกดเป็นโลหะสีทอง
“อีวาน สเตฟานอฟ ลืมบอกชื่อเลย” ระหว่างที่ลิฟท์เลื่อนลงไปด้วยความเร็วแบบสบาย ๆ นายทหารก็แนะนำตัว “เป็นทหารรักษาพระองค์ แล้วก็เป็นพระอาจารย์ขององค์หญิงเอเลนาด้วย”
“...สเตฟานอฟเหรอ” เดรโกเลิกคิ้วขึ้นมา เช่นเดียวกับไท
“แล้วไปทำอะไรหนาว ๆ ที่ระเบียงคนเดียวน่ะคะลุง” ลูอานาถามด้วยความสงสัย
“สวดภาวนาให้เจ้าหญิงกลับมาน่ะ” เขาบอก แววตาดูหมองลงเล็กน้อย “ตั้งแต่พระองค์หายไป หลาย ๆ อย่างก็แย่ลง อากาศที่เคยแจ่มใสก็กลับมาหนาวอีกครั้งเอย ผู้คนเจ็บป่วยด้วยโรคระบาดเอย...”
ได้ยินดังนั้น มารีก็หยิบหน้ากากอนามัยผ้ามาสวม เลยโดนลุงอีวานมองค้อนใส่ไปหนึ่งที
ผ่านไปสักพัก พวกเด็ก ๆ ก็ถูกพามายังบริเวณที่เป็นเรือนกระจก อากาศอุ่นขึ้นพอสมควร ซึ่งน่าจะมาจากคาถาปรับอากาศ ด้านในเต็มไปด้วยต้นไม้นานาชนิด บางต้นออกดอกสีสันสวยงามและส่งกลิ่นหอม บางต้นก็ออกผลสุกงอมน่ากิน
และผู้ที่กำลังนั่งยอง ๆ ดูแปลงดอกไม้กลางลานของเรือนกระจกอยู่นั้นก็หันมาหาเมื่อเห็นพวกมารี เธอยิ้มน้อย ๆ และลุกขึ้นมา ร่างของเธอสูงโปร่งราวร้อยเจ็ดสิบเซนติเมตรและดูสง่าผ่าเผยยิ่งนัก สวมชุดกระโปรงสีขาวสะอาดแขนกุดเผยผิวต้นแขนขาวเนียน ไว้ผมยาวสีบลอนด์ยาวมัดเป็นเปียด้านหลัง ดวงตาสีฟ้าสดใสของเธอจ้องมาที่พวกเด็ก ๆ
และเมื่อเห็นมงกุฎทองคำบนศีรษะ พวกเด็ก ๆ ก็รีบแสดงความเคารพโดยอัตโนมัติ เพราะแน่นอนว่าตรงหน้าก็คือพระราชินีแห่งเรฟลอเดีย มาร์การิตา มารีอา แอริแอนอฟนั่นเอง
“พาใครมาล่ะอีวาน”
“พวกเด็กจากโฮมพ่ะย่ะค่ะ เห็นบอกว่าข้ามเกทกันแล้วก็มาจบที่นี่” นายทหารกล่าว
“สมัยนี้โฮมเขาสอนเรื่องแผลง ๆ ให้เด็กข้ามเกทกันแล้วเหรอเนี่ย” พระราชินีเลิกคิ้วและยิ้มกว้างให้ “เชิญนั่งก่อนสิพวกรุ่นน้อง”
ได้ยินดังนั้น ก็ทำเอาพวกเด็ก ๆ อึ้งไป
พระราชินีพาพวกมารีมานั่งที่โต๊ะกลมที่ตั้งอยู่ในเรือนกระจกใต้ต้นผลไม้ต้นหนึ่งที่กำลังสุกงอมและส่งกลิ่นหอมหวานออกมา ไม่นานนักก็มีสาวใช้อายุรุ่นราวคราวเดียวกับมารียกน้ำชาและกาแฟมาเสิร์ฟ เธอมีผมสีบลอนด์ยาวสลวยกับดวงตาสีฟ้าเข้ม สวมชุดแม่บ้านแบบยุควิคตอเรียนสีดำ-ขาว เธอวางถาดเงินเปล่า ๆ ลงบนโต๊ะและเอาฝามาครอบเอาไว้
“พอดีสามีอาอยู่ระหว่างเดินทางไปประเทศอื่นน่ะ เลยมาต้อนรับพวกเธอไม่ได้” พระราชินีกล่าว “อยากกินอะไรล่ะ บอกได้เลยนะ”
เห็นดังนั้นมารีก็ยกมือขึ้นมา เธออยากทำแบบนี้มานานแล้ว
“เตอร์กิชดีไลท์ค่ะ”
“อะไรนะ”
ไม่ใช่แค่พระราชินีที่สตั๊นท์ไป พวกเพื่อน ๆ อีกสามคนก็เช่นกัน ก็เลยมีตาปริบ ๆ สี่คู่มองมาที่เธอ
มารีจินตนาการถึงหน้าตา กลิ่น และรสชาติของเตอร์กิชดีไลท์ที่เคยกินเมื่อตอนที่เดินทางไปประเทศตุรกีให้ได้มากที่สุด จากนั้นก็เอามือไปจับที่ฝาครอบและเปิดออกมา สิ่งที่อยู่ในถาดที่ว่างเปล่านั้น บัดนี้กลายเป็นกองของขนมหวานลักษณะเป็นวุ้นทรงลูกบาศก์สีแดงหลายก้อน ปกคลุมด้วยน้ำตาลไอซิงสีขาว นั่นทำให้ตาของเจ้าไทเป็นประกายทันที
“ขนมของมนุษย์ก๊ะ”
“อืม ว่ากันว่าเป็นขนมที่อร่อยจนแลกกับการทรยศพี่น้องได้เลยล่ะ” มารีใช้ส้อมตัดเนื้อขนมมาเล็กน้อยเข้าปากและจิบชาตาม แก้มของเธอกลายเป็นสีชมพูจาง ๆ และไม่ลืมแบ่งชิ้นเล็ก ๆ ให้นัวร์ที่นั่งอยู่บนตักด้วย
ถึงจะไม่ค่อยเข้าใจว่ามารีสื่อถึงใคร แต่คนอื่น ๆ ก็ลองชิมดูบ้าง เจ้าไทจิ้มเข้าปากไปทั้งก้อนก่อนจะทำตาถลน
“วะ...หวานเกินไปแล้วเน่อ” ไอ้ตัวแสบเอี้ยวตัวไปคายขนมทิ้งที่กระถางต้นไม้ข้าง ๆ เก้าอี้ ก่อนจะโดนสายตาเอือม ๆ ของแม่บ้านสาวกับลุงอีวานมองใส่
“หอมกลิ่นกุหลาบด้วยแฮะ” เดรโกที่ชิมชิ้นเล็ก ๆ และจิบกาแฟดำตามพูดขึ้นมา พระราชินีกับลูอานาเองก็ดูจะชอบ
“แล้ว ลมอะไรหอบพวกเธอมาล่ะ คุยกับอาใช้คำธรรมดาก็ได้ ไม่ต้องราชาศัพท์หรอก คิดซะว่าเป็นรุ่นพี่คนนึงแล้วกัน” พระราชินีมาร์การิตาถามพวกเด็ก ๆ
“พวกเรามาจากชมรมสืบสวนปริศนาและเรื่องทั่ว ๆ ไปค่ะ” มารีกล่าว “พวกเรากำลังศึกษาเรื่องเกทอยู่ ก็เลยตามหาเกทและลองข้ามกัน แต่ก็บังเอิญไปเจอพวกฝูงอีกาเลยหนีกันมา แล้วมาลงเอยที่นี่ค่ะ”
“พวกอีกาเรอะ ไปทำอีท่าไหนถึงเจอพวกนั้นได้ล่ะนั่น” พระราชินีเลิกคิ้วขณะที่เคี้ยวเนื้อขนมตุ้ย ๆ
“เรื่องมันยาวน่ะค่ะ”
“งั้นเหรอ ไม่เป็นอะไรก็ดีแล้วล่ะ” พระราชินีตักขนมคำต่อไปเข้าปากและจิบชาตาม “ชมรมสืบสวนเองเรอะ นึกว่าจะโดนยุบไปซะแล้วอีก”
“ถ้าก่อนหน้านี้ก็ใช่แหละค่ะ พวกเราเป็นสมาชิกใหม่ในรอบสิบกว่าปีน่ะค่ะ” ลูอานาหัวเราะแห้ง ๆ
“ฝ่าบาทเคยเรียนที่โฮมเหรอครับเน่อ” ไทถามอย่างกล้า ๆ กลัว ๆ
“อืม แล้วก็เคยอยู่ชมรมเดียวกับพวกเธอด้วย อาจารย์อาเทเนียไม่ได้เล่าให้ฟังเหรอ อารุ่นเดียวกับเจ้าราตรี”
ลูอานาถึงกับทำส้อมตกจากมือ เธอสะดุ้งโหยงและรีบคว้าส้อมแต่ก็จับไม่อยู่ จนสุดท้ายมันก็ตกกระทบกับพื้นดังเก๊ง ! เล่นเอาพวกเด็ก ๆ เหงื่อตก ทว่าพระราชินีเพียงหัวเราะชอบใจออกมา
“จะหาทางกลับโรงเรียนกันสินะ” เธอยิ้มให้และผายมือไปทางแม่บ้านสาว “เดี๋ยวให้เขาไปส่งพวกเธอก็ได้”
พอเห็นหน้าของคุณแม่บ้านชัด ๆ เจ้าไทกับลูอานาก็ค้างนิ่งไปและจ้องมองเธอครู่ใหญ่ ๆ ทำเอาคนโดนมองหน้าแดงและหลบหน้าด้วยความประหม่า
“จะว่าไป คน ๆ นั้นหน้าตาเหมือนอาเรียเลยเน่อ” ไทหันมากระซิบกับมารี ลูอานาเองก็หันมาพยักหน้าให้ แต่มารีที่ปกติเห็นตัวจริง ๆ ของยัยนั่นก็เลยไม่รู้ว่ายังไง เธอจึงแค่ทำตาปริบ ๆ ให้ทั้งสอง
“ก็อาเรียน่ะสิ” พระราชินีที่เหมือนจะได้ยินเสียงกระซิบยิ้มให้ “นั่นลูกสาวคนเดียวของอีวาน อาเรีย สเตฟานอฟ”
ทุกคนก็หันควับไปมองคุณเมดอีกรอบ ทำเอาเธอสะดุ้งโหยง
“แต่ว่า จะให้กลับไปเฉย ๆ ก็คงไม่ได้หรอก ตอนนี้พวกเธอโดนข้อหาบุกรุกราชอาณาจักรกับบุกรุกเขตพระราชฐานไปสองกระทงแล้วรู้ไหม โทษสถานเดียวก็คือประหารชีวิต”
แค่นั้น ส้อมในมือของเดรโกกับไทก็หลุดจากมือไปเช่นกัน
“ล้อเล่นน่ะ ไม่ถึงขนาดนั้นหรอก” พระราชินียิ้มอย่างขี้เล่น ทำให้พวกเด็ก ๆ ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก “แต่ยังไงก็ต้องติดคุกอยู่ดีนะ”
ยังไม่ทันจะยกภูเขาออกจากอกพ้น ภูเขาก็หล่นลงมาทับอีกรอบซะงั้น
“เขาบอกกันว่ากฎหมายน่ะ ถ้าไม่มีใครรู้ก็ถือว่าไม่ผิด” มาร์การิตากล่าว “ไหน ๆ ชมรมสืบสวนมาทั้งที อาขอฝากงานให้ทำเป็นการแลกเปลี่ยนได้ไหม แล้วอาจะทำเป็นเหมือนว่าพวกเธอไม่เคยมาที่นี่”
“ค่ะ” มารีพยักหน้านิ่ง ๆ
“ดี” มาร์การิตาประกบมือ “งั้นช่วยตามหาลูกสาวของอาให้หน่อย”
พวกเด็ก ๆ ก็มองหน้ากันเหมือนจะคิดว่าควรพูดออกไปยังไงดี เพราะไอ้คนที่ว่าก็อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลหรอก แถมยังเอาชื่อของแม่บ้านที่อยู่ตรงนี้ไปใช้อีก
“อึก!”
ยังไม่ทันที่มารีจะอ้าปาก อยู่ดี ๆ ลุงอีวานก็กัดฟันแน่นและนั่งเอามือกุมท้องอย่างทรมาน อาเรียผู้เป็นลูกสาวนั่งลงไปพยายามลูบหลังของบิดาปลอบประโลม
“เป็นอะไรหรือเปล่าคะลุง” ลูอานาลุกเข้าไปดูอาการ ไทอ้าปากเหวอและมองภาพตรงหน้าด้วยความอึ้ง เดรโกทำอะไรไม่ถูกจึงได้แต่นั่งมอง มารีเองก็เพียงเม้มปากและกำมือแน่น
ในตอนนั้นเอง พระราชินีก็วางของทุกอย่างในมืออย่างแผ่วเบาและลุกขึ้นเดินไปหาอีวาน พระนางชักไม้กายสิทธิ์ออกมาชี้ไปที่นายทหาร และจากนั้น...
เปรี้ยง!
สายฟ้าสีเขียวก็พุ่งจากปลายคทาทะลุอกของนายทหารจนนอนแน่นิ่ง ทำพวกเด็ก ๆ หน้าเหวอ
ทว่าผ่านไปไม่นาน อีวานก็รู้สึกตัวและค่อย ๆ ลุกขึ้นมา อาการเจ็บปวดเมื่อครู่ดูจะทุเลาลงไปแล้ว นั่นทำให้พวกมารีอึ้งไปกว่าเดิม
“ขอบพระทัย...ฝ่าบาท” อีวานกล่าวก่อนจะค่อย ๆ ลุกขึ้นมา อาเรียประคองตัวเขาออกไปจากเรือนกระจก
“ปีกว่า ๆ แล้วที่เขาต้องทรมานแบบนี้ แล้วอาก็ต้องทำแบบนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า” พระราชินีหอบหายใจอย่างเจ็บปวก ก่อนจะเก็บไม้กายสิทธิ์
“ลุงอีวาน...ดื่มเลือดของเจ้าหญิงเอเลนาไปเหรอครับ” เดรโกกลืนน้ำลายและพูดออกมา
“รู้ด้วยเหรอ”
“อาจารย์อวาลินเคยสอนไว้น่ะครับเน่อ” ไทกล่าว “เจ้าหญิงเอเลนามีน้ำตาที่รักษาทุกอย่างได้ แล้วก็มีเลือดที่ทำให้คนที่ดื่มเป็นอมตะใช่ไหมครับ”
“อืม” พระราชินีกลับมานั่งที่เก้าอี้ “อาจารย์อวาลินเองก็น่าจะสอนพวกเธอแล้วสินะว่าเพราะลูกสาวของอาเนี่ยแหละที่เป็นต้นเหตุทำให้อาณาจักรนี้โดนบุกจากทุกสารทิศ เพราะงั้นแหละ พวกเราเลยไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องทำให้ทหารของพวกเราเป็นอมตะ และชายเมื่อกี้ก็คือคน ๆ แรกที่อาสาดื่มเลือดต้องสาปนั้นไป”
“...ต้องสาปเหรอคะ” ลูอานาที่กลังมานั่งที่เก้าอี้เช่นกันถามอีกฝ่าย
“โลกนี้ไม่มีอะไรสมบูรณ์แบบหรอกนะ” พระราชินีกล่าว “คนที่ดื่มเลือดของเอเลนาไป แม้จะไม่มีวันตายด้วยสาเหตุใด ๆ ก็ตาม แต่ก็แลกมาด้วยการที่ร่างกายต้องแบกรับความเจ็บปวดมหาศาลตลอดเวลา ไม่มีเวทมนตร์หรือยาวิเศษไหนที่จะรักษาคำสาปนี้ได้แม้จะเป็นน้ำยาชำระล้างที่บริสุทธิ์ที่สุด คำสาปพรากวิญญาณก็พอจะหยุดอาการไม่ให้รุนแรงขึ้นชั่วคราวเท่านั้น สิ่งเดียวที่ช่วยได้ก็คือน้ำตาของเจ้าของเลือดนั่นแหละ”
ได้ยินดังนั้นเดรโกก็หันมาหามารีทันที แต่เธอเพียงเม้มปากให้
“แต่น้ำตาของเอเลนาก็บรรเทาอาการได้แค่หนึ่งวันเท่านั้น เลยต้องคอยเก็บน้ำตาจากเธอทุกวัน” มาร์การิตาถอนหายใจ “แล้วดูสิ่งที่เจ้าตัวตอบแทนคนที่ยอมแบกรับความเจ็บปวดนี้เพื่อปกป้องเธอสิ”
“...ทำไมเจ้าหญิงถึงหนีไปเหรอครับ”
หลังจากเงียบกันไปพักใหญ่ หนุ่มผมแดงก็วางส้อมลงบนจานและมองหน้าพระราชินีตรง ๆ
“นั่นสินะ” อีกฝ่ายจ้องมองขนมเตอร์กิชดีไลท์ด้วยสีหน้าหม่น ๆ “นกที่ถูกขังอยู่ในกรงน่ะ ต่อให้ได้กินอาหารดี ๆ หรือมีคนคอยเล่นด้วย แต่ถ้าเปิดประตูกรงทิ้งไว้ ยังไงก็ต้องบินหนีไปอยู่ดี แต่ที่สำคัญเลย คงเพราะว่าเด็กคนนั้นรู้ความจริงน่ะ...”
พวกเด็ก ๆ มองหน้าพระราชินี ส่วนมารีนั้นยังคงตักขนมเข้าปากเงียบ ๆ
“เอเลนาไม่ใช่สาวลูกแท้ ๆ ของอา”
“...อาร์คานาน่ะ ถ้ามีลูกกับมนุษย์จะได้ผู้วิเศษกับเอลฟ์ แต่หากอาร์คานามีลูกกับผู้วิเศษจะได้อะไร...”
อยู่ดี ๆ คำพูดของอาจารย์อวาลินทีทิ้งปริศนาเอาไว้ให้ตั้งแต่เมื่อคาบวิชาสังคมศึกษาหลายสัปดาห์ก่อนก็ผุดขึ้นมาอีกรอบ ทำให้สิ่งที่ยังติดใจของพวกเด็ก ๆ กระจ่างทันที
“เจ้าหญิง...เป็นลูกของพระราชากับอาร์คานาเหรอครับ” ไทพูดออกมา
“อาจารย์อวาลินสอนขนาดนั้นเชียว” พระราชินีเลิกคิ้ว “ก็ตามนั้นแหละ อามีสถานะเป็นแค่แม่เลี้ยง ไม่ใช่คนที่ให้กำเนิดเธอมาจริง ๆ เอเลนาเป็นลูกของโรมาริน อาร์คานาตนสุดท้ายที่มีชีวิตอยู่น่ะ”
พระนางลูบท้องของตนเองก้มหน้าเศร้า ๆ และเริ่มเล่าความหลังออกมา “แต่ไหนแต่ไร ร่างกายของอาไม่สามารถมีลูกได้น่ะ เป็นโรคทางพันธุกรรมที่ไม่สามารถรักษาได้ กระนั้นสามีของอาก็พยายามทุกวิถีทาง จนกระทั่งไปเจอเรื่องของเวทมนตร์โบราณเข้า”
“เวทมนตร์โบราณ...เวทมนตร์ของอาร์คานาน่ะเหรอคะ” ลูอานาพูดขึ้นมา ว่ากันว่าเวทมนตร์โบราณนั้นคือเวทมนตร์ที่คิดค้นขึ้นมาโดยอาร์คานา มีอานุภาพสูงกว่าเวทมนตร์ทั่วไปในปัจจุบันมาก จนมีคำกล่าวที่ว่าเวทมนตร์โบราณนั้นสามารถพลิกผืนฟ้าให้กลายเป็นแผ่นดินได้เลย แต่แน่นอนว่าทุกวันนี้เวทมนตร์ดังกล่าวหายสาบสูญไปแล้ว
“ใช่” พระราชินีพยักหน้า “สามีของอาเลยออกเดินทางไปทั่วโลกหลายปีเพื่อตามหาคนที่มีความรู้เรื่องเวทมนตร์โบราณ จนกระทั่งไปเจอโรมารินที่เป็นอาร์คานาเนี่ยแหละ แต่เรื่องตลกร้ายก็คือเขาดันไปหลงสเน่ห์ทางนั้นเข้าจนได้ทายาทโดยไม่ต้องพึ่งเวทมนตร์โบราณด้วยซ้ำ อย่างที่เขาว่ากันแหละนะ อาร์คานามีใบหน้าที่ทำให้คนหลงสเน่ห์ได้ ต่อให้เป็นผู้ชายที่สาบานด้วยชีวิตว่าจะมีภรรยาคนเดียวก็ตาม”
พระราชินีพ่นลมหายใจออกมา ก่อนจะใช้ส้อมตัดเนื้อขนมเข้าปากและเคี้ยวด้วยหน้าซังกะตาย “และผลสรุปก็คือไม่มีเวทมนตร์โบราณไหนที่จะทำให้อามีลูกได้อยู่ดี”
พวกเด็ก ๆ ได้แต่มองหน้าพระราชินีด้วยความสงสาร ขนมที่เคยหวานจัด ตอนนี้กลับไร้ซึ่งรสชาติไปแล้ว
“แล้ว...ทำไมเจ้าหญิงถึงมาอยู่ที่นี่ได้เหรอครับ” เดรโกถามอีกฝ่าย
“ได้เปิดอกคุยกันนิดหน่อยน่ะ พอฝ่ายนั้นเข้าใจเขาก็ยกเอเลนาให้กับอาตอนที่เด็กคนนั้นได้ขวบนึง แล้วจากนั้นก็หายตัวไปเลย” พระราชินีกล่าว “แต่มันก็เหมือนกับได้รับพรและคำสาปมาในเวลาเดียวกัน เอเลนาน่ะไม่ใช่เด็กปกติ เธอไม่ใช่ทั้งผู้วิเศษและอาร์คานา แต่เป็นอะไรที่เหนือกว่านั้น เรียกว่าเอ็กซีด”
“เอ็กซีด?” พวกเด็ก ๆ พูดพร้อมกัน
“อืม เป็นลูกผสมระหว่างผู้วิเศษกับอาร์คานาน่ะ ทำให้มีพลังเวทมนตร์สูงกว่าเผ่าพันธ์ุที่มีเวทมนตร์ทั้งมวล เอ็กซีดคนล่าสุดปรากฏตัวเมื่อพันปีก่อนนู่น แล้วก็เป็นสาเหตุของการล่มสลายของอาณาจักรโบราณแห่งหนึ่งไป” พระราชินีบอก “อาทิตย์แรกที่เอเลนามาอยู่ที่นี่ก็ทำหอคอยถล่มไปหอนึง แถมยังทำให้แม่บ้านหลายคนกลายเป็นแมวไปด้วย จนต้องให้อาจารย์อาเทเนียมาช่วย แล้วก็สร้างห้องที่พอจะป้องกันพลังของเอเลนาเอาไว้ได้ ซึ่งก็คือที่ ๆ พวกเธอโผล่มานั่นแหละ กว่าจะควบคุมพลังให้เข้าที่เข้าทางได้ก็ปาไปตอนสามขวบนู่น”
ได้ยินดังนั้น พวกเด็ก ๆ ก็เข้าใจแล้วว่าทำไมเจ้าหญิงเอเลนาถึงต้องอยู่บนห้องชั้นบนสุดของหอคอยที่สูงที่สุดด้วย ไม่ใช่แค่ความปลอดภัยของตัวเธอ แต่เพื่อความปลอดภัยกับคนรอบข้างด้วย
“ทีนี้ พอจะเข้าใจหรือยังล่ะว่าทำไมโลกเวทมนตร์ถึงต้องพลิกแผ่นดินหาตัวเธอขนาดนี้”
เดรโกกลืนน้ำลายและมองมาที่มารีอีกครั้ง แต่เธอก็เพียงทำตาปริบ ๆ ให้
“พวกเราพอจะมีเบาะแสอยู่ค่ะ” มารีพูดขึ้นมา “แต่ก็ไม่รู้ว่าจะพาเจ้าหญิงมาที่นี่ให้ได้หรือเปล่า”
“ขอให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ก็แล้วกัน ก่อนที่อาจะเปลี่ยนใจ” พระราชินีประสานมือ “อย่าคิดว่ากลับไปแล้วจะหนีพ้นล่ะ เพราะสายลับของเรฟลอเดียน่ะมีอยู่ทุกที่ และอาจจะอยู่ใกล้ตัวพวกเธอกว่าที่คิดด้วย”
แม้ริมฝีปากของพระนางจะยกขึ้น ทว่าดวงตาสีฟ้าสดใสของสตรีตรงหน้าดูเย็นยะเยือกขึ้นมาอีกรอบ ในจังหวะนั้นเอง แม่บ้านสาวอาเรียก็กลับมาพอดี
“จัดการเรื่องตั๋ววาฬให้แล้วเพคะฝ่าบาท” เธอกล่าว
“ขอบใจ งั้นฝากพาแขกไปส่งด้วย” พระราชินีกล่าว ก่อนจะเอาฝามาครอบถาดขนมเตอร์กิชดีไลท์ และให้พวกเด็ก ๆ ตามอาเรียไป
มารีและเพื่อน ๆ ที่สวมเสื้อคลุมขนสัตว์มีฮู้ดเพื่อป้องกันความหนาวสุดขั้วของเรฟลอเดียเดินตามแม่บ้านสาวในชุดแบบเดียวกันจนออกมาถึงถนนใหญ่ ท้องฟ้าครึ้มไปด้วยเมฆหนาและมีหิมะตกลงมาปรอย ๆ พื้นถนนปูด้วยหินมีหิมะปกคลุมอยู่จาง ๆ บ้านเรือนของที่นี่สร้างจากอิฐสีเข้ม บนหลังคามีหิมะทับทมจนกลายเป็นสีขาวโพลนและมีปล่องไฟอยู่ทุกหลัง โดยรอบไม่ค่อยมีคนออกมามากนัก แน่นอนว่าคงไม่มีใครอยากมาเดินเล่นท่ามกลางอุณหภูมิติดลบแบบนี้หรอก
“กลายเป็นเรื่องใหญ่จริง ๆ แล้วนะ” เดรโกมองไทกับลูอานา แม้จะมองไม่เห็นใบหน้าของเขาเพราะมีฮู้ดปกคุลม แต่เสียงที่ออกดุ ๆ ก็ทำให้สองหน่อคอตกทันที
“แค่พาอาเรียที่เรารู้จักมาที่นี่พอไหมอะเน่อ” ไทว่า
“ไม่ง่ายอย่างงั้นหรอก” มารีที่อุ้มนัวร์อยู่ในเสื้อคลุมบอก ก่อนจะถอนหายใจออกมาจนเกิดไอสีขาว เห็นดังนั้นไอ้ตัวแสบก็คอตกอีกรอบ
“แล้วเราจะทำยังไงดีล่ะคะ” ลูอานาเข้ามาจับแขนเสื้อของเธอ
“ไม่รู้ไม่ชี้”
“งือออ”
“เดี๋ยวกลับไปที่โรงเรียนค่อยว่ากันอีกทีเถอะ” เดรโกหัวเราะแห้ง ๆ
ทั้งหมดมาถึงอาคารหลังใหญ่ที่ตั้งอยู่บริเวณจัตุรัสของเมือง มีป้ายเขียนเอาไว้ว่า สถานเอกอัครราชทูตราชอาณาจักรเอลเดนประจำราชอาณาจักรเรฟลอเดีย
เมื่อเข้ามา ทั้งหมดก็ถอดเสื้อคลุมกันหนาวออก อาเรียแสดงตราบางอย่างให้เจ้าหน้าที่ประจำสถานทูตดู แล้วเจ้าหน้าที่ก็พาทั้งหมดมายังห้อง ๆ หนึ่ง เป็นเหมือนห้องนั่งเล่นที่ไม่มีอะไรมาก นอกจากโซฟา ชั้นวางหนังสือ กระถางต้นไม้ และเตาผิงใหญ่ที่สูงพอจะเข้าไปยืนได้หลายคน
ตอนแรกก็นึกว่าจะต้องมาเข้าพบใครหรือเปล่า แต่อาเรียเพียงเดินไปที่เตาผิง เขียนอะไรบางอย่างในกระดาษใส่กล่องโลหะ ปิดฝา แล้วก็วางลงไปบนกองฟืน จากนั้นก็หยิบผงขาว ๆ ในกระถางข้างเตาผิงมาหนึ่งกำมือปาลงไป ทันใดนั้นเปลวไฟสีม่วงก็ลุกโชนขึ้นมาวาบหนึ่ง และสิ่งที่หายไปก็คือกล่องเหล็กเมื่อครู่
“เคยใช้เครือข่ายเตาผิงมาก่อนไหมคะ” เด็กสาวหันมาหาพวกมารี แน่นอนว่าคำตอบที่ได้ไปก็คือการส่ายหน้าของทั้งสี่
ผ่านไปครู่เดียว ที่เตาผิงก็มีไฟลุกอีกครั้งพร้อมกลับกล่องโลหะกล่องเดิมปรากฏกลับมา อาเรียสวมถุงมือหนังกันความร้อนและเปิดกล่องออก หยิบแผ่นกระดาษที่มีควันลอยฉุยในนั้นออกมาอ่าน
“มาค่ะ ทางนั้นอนุญาตแล้ว” เธอบอก และให้พวกเด็ก ๆ เข้าไปยืนในเตาผิง “เดินทางปลอดภัยนะคะ คนทางนั้นจะจัดการต่อให้เองค่ะ คอนเทโก”
แม่บ้านสาวเสกคาถาเกราะป้องกันความร้อนให้พวกมารี ก่อนจะปาผงสีขาวลงไปที่ใต้เท้าของพวกเขา ยังไม่ทันที่มารีจะพูดขอบคุณ เพียงพริบตาเดียวสถานที่ตรงหน้าของเธอก็เปลี่ยนไปแล้ว
เจ้าหน้าที่ของสถานที่ปลายทางพาพวกมารีมาส่งหน้าอาคารและยื่นตั๋วเที่ยวบินไปโอวล์ฟอสเทียร์ของวันพรุ่งนี้ให้เนื่องจากเวลาท้องถิ่นของที่นี่เป็นช่วงพลบค่ำแล้ว พวกเด็ก ๆ กล่าวขอบคุณตามมารยาทแล้วก็เดินไปตามถนนที่ปูด้วยหินก้อนใหญ่ อากาศร้อนอบอ้าวผิดกับที่เรฟลอเดียอย่างสิ้นเชิงจนพวกเขาอยากจะกลับไปเลย
“ต้องหาที่พักกันสินะ” มารีว่า แต่ทำไมเธอรู้สึกว่ารอบ ๆ มันดูคุ้นตาจัง ตึกส่วนใหญ่ทำจากอิฐสีแดงมุงหลังคาด้วยกระเบื้องดินเผา และมีปล่องควันสูง ๆ อยู่เต็มไปหมด เจ้านัวร์ที่เดินอยู่ข้างก็มองซ้ายมองขวา
“ไม่ต้องหรอกเน่อ” ไทยิ้มออกมา “ก็ที่นี่บ้านพวกเรานี่นา”
มารีหันไปมองอาคารที่เธอเพิ่งออกมา ชื่อของมันคือสถานเอกอัครราชทูตราชอาณาจักรเรฟลอเดียประจำราชอาณาจักรเอลเดน
“เอลเดนเป็นพันธมิตรกับเรฟลอเดียมาตั้งแต่สมัยสงครามนี่เนอะ รู้สึกจะเป็นสถานทูตเรฟลอเดียแห่งเดียวของโลกเวทมนตร์ด้วย” เดรโกว่า “คนเรฟลอเดียออกมาจากนอกประเทศได้ก็เพราะแบบนี้นี่เอง”
“มารีมาค้างกับเค้าก็ได้นะคะ ให้ไปนอนบ้านพวกผู้ชายเดี๋ยวจะแต่งงานไม่ได้” ลูอานาเสนอ
“พระเจ้าไม่ลงโทษหรอกน่า มารีไม่ใช่เธอสักกะหน่อย” ไทประสานมือที่ท้ายทอยโดยไม่สนใจสายตามองค้อนจากสาวชาวเผ่า “มาบ้านเราก็ได้เน่อ แถวบ้านมีของกินอร่อย ๆ เยอะเลยนะ”
“หรือจะมานอนที่ห้องพักของกิลด์นักผจญภัยไหมล่ะ เราพอมีเส้นสายอยู่ เดี๋ยวให้เขาเปิดห้องพักให้ฟรี ๆ” เดรโกว่า
จริง ๆ มารีก็ไม่ได้ซีเรียสว่าจะต้องไปหาโรงแรมนอนเองหรอก แต่พอโดนสายตาสามคู่มองมา มันก็รู้สึกลำบากใจยังไงก็ไม่รู้แฮะ
“อยากนอนกับใครล่ะ”
มารีก้มลงไปมองที่พื้น มีเสียงเมี้ยว ๆ ตอบกลับมา แล้วเจ้านัวร์ก็เข้าไปเอาตัวถูกับหน้าแข้งของลูอานาและชูหางตั้งเด่
“ตามนั้น” เธอยิ้มจาง ๆ ให้เพื่อนสาว ทำเอาเจ้าตัวกระโดดดีใจและโผกอดเธอแน่น ส่วนสองหนุ่มก็ยิ้มเซ็ง ๆ ให้
“ไปหาอะไรกินกันไหม นี่ก็ค่ำแล้ว” เดรโกเสนอ
“ยังเลี่ยนไอ้ขนมไลท์ ๆ ของมารีอยู่เลยอะ ขอผ่านแล้วกัน” ไทเบ้ปาก
“เดี๋ยวเค้ากลับไปทำอะไรอร่อย ๆ ให้มารีกินเองค่ะ” ลูอานาบอกอย่างอารมณ์ดี และยังคงกอดมารีอยู่
“งั้นพรุ่งนี้เก้าโมงครึ่งเจอกันที่สนามบินนะ”
“รับทราบ”
หนุ่มผมแดงเดินไปตามถนนของตัวเมืองเพียงลำพัง ไม่รู้ว่าตอนนี้คุณแม่ของเขาจะกลับมาอยู่ที่บ้านแล้วหรือยัง แล้วจะงงหรือเปล่าว่าทำไมอยู่ดี ๆ ลูกชายถึงกลับมาบ้าน
“สองโลก ห้าประเทศในวันเดียวเลยนะเรา” เดรโกมองท้องฟ้ายามราตรีและครุ่นคิดถึงการผจญภัยในวันนี้ ใจจริงเขาอยากจะคุยกับมารีอีกสักหน่อย
ตอนแรกเขาก็สงสัยเรื่องที่ว่าถ้ามารีเคยดื่มเลือดของเจ้าหญิงไป ตัวเธอเองก็น่าจะมีอาการเดียวกับอีวาน แต่พอนึกขึ้นได้ว่าทางนั้นมีน้ำตาของเจ้าหญิงอยู่ ก็เลยปัดตกไป กระนั้นก็ยังมีอีกหลายเรื่องที่เขาคาใจ
อย่างแรกคือไม้กายสิทธิ์ที่มารีใช้คืออันเดียวกับที่เจ้าหญิงเอเลนาใช้ เขาเองก็สงสัยเหมือนกันว่ามันมาอยู่กับมารีได้ยังไง
อย่างที่สอง หลังจากที่มารีตายไปครั้งแรก เกิดอะไรขึ้นกับเธอบ้าง แล้วทำไมเจ้าหญิงเอเลนาถึงปลอมตัวเป็นอาเรีย และทำเหมือนไม่เคยรู้จักมารีมาก่อน
หรือว่าจะโดนลบความทรงจำตอนที่เคยอยู่ด้วยกันไป เพื่อไม่ให้เธอต้องเจ็บปวดอย่างงั้นเหรอ เพราะดูมารีเองก็ถนัดการใช้เวทมนตร์เกี่ยวกับความทรงจำพอควร
เด็กหนุ่มก็หยุดฝีเท้าและครุ่นคิด เขาเริ่มรู้สึกว่าเรื่องนี้มันมีอะไรแปลก ๆ
“หรือว่า...”
ณ ชายหาดที่เงียบสงบแห่งหนึ่ง มีคนสองคนกำลังนอนชิลอยู่บนเก้าอี้ชายหาด ชมพระอาทิตย์กำลังค่อย ๆ จมหายไปในทะเล ย้อมท้องฟ้าเป็นสีส้มแก่ ๆ และสะท้อนกับผืนน้ำเป็นประกาย
มีเสียงดังพรึบสั้น ๆ แล้วร่างของโทวาดะ ไนโตะก็โผล่มาเพิ่มอีกหนึ่งคน
“คว้าน้ำเหลวเหมือนเคยสินะ”
หญิงสาวคนหนึ่งที่นอนเอกขเนกขยับแว่นกันแดดมองเขา ดวงตาสีน้ำข้าวมองไปที่ชายหนุ่มเย้ย ๆ ผมยาวสลวยสีขาวที่มัดเป็นเปียยาวสองข้างและทำไฮไลต์สีชมพูของเธอต้องกับแสงแดดยามเย็น
“ใครจะไปคิดล่ะว่ายัยนั่นมีเพื่อนเป็นสัตว์ประหลาดอยู่ด้วย” ไนโตะถอนหายใจ “สะท้อนคำสาปพรากวิญญาณเต็ม ๆ จนไอ้คนร่ายตายคาที่เลย”
“ลูกชายของเลโอนา ดันเต้สิท่า เด็กนั่นก็น่าสนใจไม่น้อย” ชายหนุ่มผมดำอีกคนลุกขึ้นมานั่ง “แล้วตกลงว่าได้ตัวไหม”
“โดนยัยศพเดินได้นั่นหลอกเอาน่ะสิ ถึงจะจัดคำสาปไปให้ชุดหนึ่งแล้วก็เถอะ เดี๋ยวก็คงจะฟื้นกลับมาเหมือนรอบที่แล้ว” ชายหนุ่มนั่งยอง ๆ “เพราะไอ้นกฮูกนั่นโผล่มาขัดจังหวะแท้ ๆ”
“ถ้านายไม่มัวแต่เล่นกับเหยื่อก็คงจบงานไปตั้งนานแล้วล่ะย่ะ” หญิงสาวลุกขึ้นมานั่ง พลางขยับชุดว่ายน้ำทูพีซสีขาวที่ขับเน้นส่วนเว้าส่วนโค้งสุดสะเบิ้มกับโชว์ผิวเนียนเปล่งปลั่งให้เข้าที่เข้าทาง เธอหยิบน้ำผลไม้ที่วางบนโต๊ะข้าง ๆ มา และใช้ริมฝีปากอวบอิ่มอมหลอดดูดน้ำ
“ถ้าเสร็จงานเร็วอย่างเธอมันจะไปสนุกอะไรล่ะ” ไนโตะเบ้ปากเลื่อนสายตาไปมองเย้ย ๆ เห็นดังนั้นหญิงสาวก็หัวเราะเหอะประชดออกมา
“รอบนี้ว่าจะให้ริโอเน่ไปช่วยอีกแรง” ชายหนุ่มผมดำกล่าว และจ้องตาของอีกฝ่ายด้วยดวงตาสีเขียวมรกตเหมือนสัตว์เลื้อยคลาน “แต่จะขอเปลี่ยนเป้าหมายนิดหน่อย”
“ว่ามา” แม้จะไม่ค่อยสบอารมณ์นักที่ต้องร่วมงานกับยัยไม่เบื่อไม้เมานี่ แต่ไนโตะก็ให้อีกฝ่ายบอกรายละเอียดงานมา
“พักเรื่องเอเลนาไปก่อน ตอนนี้ฉันเริ่มจะสนใจแม่ศพเดินได้ของนายแล้วล่ะ ไปเอาตัวเธอมาให้ที”
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ