ม.ปลายสายเวทย์
-
เขียนโดย TheBoyOnTheMoon
วันที่ 13 พฤษภาคม พ.ศ. 2567 เวลา 21.39 น.
19 ตอน
1 วิจารณ์
4,014 อ่าน
แก้ไขเมื่อ 17 พฤษภาคม พ.ศ. 2567 20.34 น. โดย เจ้าของนิยาย
15) Since the princess left the castle
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ15
Since the princess left the castle
“เป็นอะไรหรือเปล่าคะ”
มารีเข้าไปประคองนายทหารขึ้นมา เพื่อน ๆ อีกสามคนก็ช่วยกันอีกแรงเนื่องจากตัวของเขาใหญ่มาก แล้วก็หิ้วปีกของนายทหารกลับมาในห้องให้นั่งลงบนโซฟา มารีเพิ่งสังเกตเห็นว่าขอบตาของเขาเป็นสีคล้ำเหมือนไม่ได้นอนมาหลายวันแล้ว
“พวกเธอเป็นใคร” เขามองหน้าแต่ละคนและถามด้วยเสียงทุ้มต่ำ
“พวกเราเป็นนักเรียนของโฮมค่ะ” มารีกล่าว พลางหยิบบัตรประจำตัวนักเรียนส่งให้เขา “พวกเรากำลังทดลองข้ามเกทกัน แล้วก็มาลงเอยที่นี่ค่ะ”
“งั้นเหรอ” นายทหารมองบัตรของมารีด้วยดวงตาสีฟ้าหม่น ๆ
“พอจะมีทางให้พวกเรากลับโอวล์ฟอสเทียร์ได้บ้างไหมคะ”
“จะว่ามีมันก็มีแหละ” เขาบอก ก่อนจะลุกขึ้นยืนอย่างทุลักทุเลและคืนบัตรนักเรียนให้มารี “แต่คนที่จะตัดสินใจว่าจะให้พวกเธอออกไปน่ะได้มีอยู่แค่คนเดียว ตามมา”
นายทหารก็พาพวกเด็ก ๆ ลงมาจากหอคอย ตอนแรกคิดว่าจะต้องเดินลงบันได (ซึ่งก็คงจะเยอะมาก ๆ) แต่โชคดีที่ที่นี่เขาใช้ลิฟท์กัน ตัวลิฟท์เป็นแบบโบราณ มีประตูเหล็กยืดสีดำ ด้านในทำจากไม้สีเข้ม ส่วนปุ่มกดเป็นโลหะสีทอง
“อีวาน สเตฟานอฟ ลืมบอกชื่อเลย” ระหว่างที่ลิฟท์เลื่อนลงไปด้วยความเร็วแบบสบาย ๆ นายทหารก็แนะนำตัว “เป็นทหารรักษาพระองค์ แล้วก็เป็นพระอาจารย์ขององค์หญิงเอเลนาด้วย”
“...สเตฟานอฟเหรอ” เดรโกเลิกคิ้วขึ้นมา เช่นเดียวกับไท
“แล้วไปทำอะไรหนาว ๆ ที่ระเบียงคนเดียวน่ะคะลุง” ลูอานาถามด้วยความสงสัย
“สวดภาวนาให้เจ้าหญิงกลับมาน่ะ” เขาบอก แววตาดูหมองลงเล็กน้อย “ตั้งแต่พระองค์หายไป หลาย ๆ อย่างก็แย่ลง อากาศที่เคยแจ่มใสก็กลับมาหนาวอีกครั้งเอย ผู้คนเจ็บป่วยด้วยโรคระบาดเอย...”
ได้ยินดังนั้น มารีก็หยิบหน้ากากอนามัยผ้ามาสวม เลยโดนลุงอีวานมองค้อนใส่ไปหนึ่งที
ผ่านไปสักพัก พวกเด็ก ๆ ก็ถูกพามายังบริเวณที่เป็นเรือนกระจก อากาศอุ่นขึ้นพอสมควร ซึ่งน่าจะมาจากคาถาปรับอากาศ ด้านในเต็มไปด้วยต้นไม้นานาชนิด บางต้นออกดอกสีสันสวยงามและส่งกลิ่นหอม บางต้นก็ออกผลสุกงอมน่ากิน
และผู้ที่กำลังนั่งยอง ๆ ดูแปลงดอกไม้กลางลานของเรือนกระจกอยู่นั้นก็หันมาหาเมื่อเห็นพวกมารี เธอยิ้มน้อย ๆ และลุกขึ้นมา ร่างของเธอสูงโปร่งราวร้อยเจ็ดสิบเซนติเมตรและดูสง่าผ่าเผยยิ่งนัก สวมชุดกระโปรงสีขาวสะอาดแขนกุดเผยผิวต้นแขนขาวเนียน ไว้ผมยาวสีบลอนด์ยาวมัดเป็นเปียด้านหลัง ดวงตาสีฟ้าสดใสของเธอจ้องมาที่พวกเด็ก ๆ
และเมื่อเห็นมงกุฎทองคำบนศีรษะ พวกเด็ก ๆ ก็รีบแสดงความเคารพโดยอัตโนมัติ เพราะแน่นอนว่าตรงหน้าก็คือพระราชินีแห่งเรฟลอเดีย มาร์การิตา มารีอา แอริแอนอฟนั่นเอง
“พาใครมาล่ะอีวาน”
“พวกเด็กจากโฮมพ่ะย่ะค่ะ เห็นบอกว่าข้ามเกทกันแล้วก็มาจบที่นี่” นายทหารกล่าว
“สมัยนี้โฮมเขาสอนเรื่องแผลง ๆ ให้เด็กข้ามเกทกันแล้วเหรอเนี่ย” พระราชินีเลิกคิ้วและยิ้มกว้างให้ “เชิญนั่งก่อนสิพวกรุ่นน้อง”
ได้ยินดังนั้น ก็ทำเอาพวกเด็ก ๆ อึ้งไป
พระราชินีพาพวกมารีมานั่งที่โต๊ะกลมที่ตั้งอยู่ในเรือนกระจกใต้ต้นผลไม้ต้นหนึ่งที่กำลังสุกงอมและส่งกลิ่นหอมหวานออกมา ไม่นานนักก็มีสาวใช้อายุรุ่นราวคราวเดียวกับมารียกน้ำชาและกาแฟมาเสิร์ฟ เธอมีผมสีบลอนด์ยาวสลวยกับดวงตาสีฟ้าเข้ม สวมชุดแม่บ้านแบบยุควิคตอเรียนสีดำ-ขาว เธอวางถาดเงินเปล่า ๆ ลงบนโต๊ะและเอาฝามาครอบเอาไว้
“พอดีสามีอาอยู่ระหว่างเดินทางไปประเทศอื่นน่ะ เลยมาต้อนรับพวกเธอไม่ได้” พระราชินีกล่าว “อยากกินอะไรล่ะ บอกได้เลยนะ”
เห็นดังนั้นมารีก็ยกมือขึ้นมา เธออยากทำแบบนี้มานานแล้ว
“เตอร์กิชดีไลท์ค่ะ”
“อะไรนะ”
ไม่ใช่แค่พระราชินีที่สตั๊นท์ไป พวกเพื่อน ๆ อีกสามคนก็เช่นกัน ก็เลยมีตาปริบ ๆ สี่คู่มองมาที่เธอ
มารีจินตนาการถึงหน้าตา กลิ่น และรสชาติของเตอร์กิชดีไลท์ที่เคยกินเมื่อตอนที่เดินทางไปประเทศตุรกีให้ได้มากที่สุด จากนั้นก็เอามือไปจับที่ฝาครอบและเปิดออกมา สิ่งที่อยู่ในถาดที่ว่างเปล่านั้น บัดนี้กลายเป็นกองของขนมหวานลักษณะเป็นวุ้นทรงลูกบาศก์สีแดงหลายก้อน ปกคลุมด้วยน้ำตาลไอซิงสีขาว นั่นทำให้ตาของเจ้าไทเป็นประกายทันที
“ขนมของมนุษย์ก๊ะ”
“อืม ว่ากันว่าเป็นขนมที่อร่อยจนแลกกับการทรยศพี่น้องได้เลยล่ะ” มารีใช้ส้อมตัดเนื้อขนมมาเล็กน้อยเข้าปากและจิบชาตาม แก้มของเธอกลายเป็นสีชมพูจาง ๆ และไม่ลืมแบ่งชิ้นเล็ก ๆ ให้นัวร์ที่นั่งอยู่บนตักด้วย
ถึงจะไม่ค่อยเข้าใจว่ามารีสื่อถึงใคร แต่คนอื่น ๆ ก็ลองชิมดูบ้าง เจ้าไทจิ้มเข้าปากไปทั้งก้อนก่อนจะทำตาถลน
“วะ...หวานเกินไปแล้วเน่อ” ไอ้ตัวแสบเอี้ยวตัวไปคายขนมทิ้งที่กระถางต้นไม้ข้าง ๆ เก้าอี้ ก่อนจะโดนสายตาเอือม ๆ ของแม่บ้านสาวกับลุงอีวานมองใส่
“หอมกลิ่นกุหลาบด้วยแฮะ” เดรโกที่ชิมชิ้นเล็ก ๆ และจิบกาแฟดำตามพูดขึ้นมา พระราชินีกับลูอานาเองก็ดูจะชอบ
“แล้ว ลมอะไรหอบพวกเธอมาล่ะ คุยกับอาใช้คำธรรมดาก็ได้ ไม่ต้องราชาศัพท์หรอก คิดซะว่าเป็นรุ่นพี่คนนึงแล้วกัน” พระราชินีมาร์การิตาถามพวกเด็ก ๆ
“พวกเรามาจากชมรมสืบสวนปริศนาและเรื่องทั่ว ๆ ไปค่ะ” มารีกล่าว “พวกเรากำลังศึกษาเรื่องเกทอยู่ ก็เลยตามหาเกทและลองข้ามกัน แต่ก็บังเอิญไปเจอพวกฝูงอีกาเลยหนีกันมา แล้วมาลงเอยที่นี่ค่ะ”
“พวกอีกาเรอะ ไปทำอีท่าไหนถึงเจอพวกนั้นได้ล่ะนั่น” พระราชินีเลิกคิ้วขณะที่เคี้ยวเนื้อขนมตุ้ย ๆ
“เรื่องมันยาวน่ะค่ะ”
“งั้นเหรอ ไม่เป็นอะไรก็ดีแล้วล่ะ” พระราชินีตักขนมคำต่อไปเข้าปากและจิบชาตาม “ชมรมสืบสวนเองเรอะ นึกว่าจะโดนยุบไปซะแล้วอีก”
“ถ้าก่อนหน้านี้ก็ใช่แหละค่ะ พวกเราเป็นสมาชิกใหม่ในรอบสิบกว่าปีน่ะค่ะ” ลูอานาหัวเราะแห้ง ๆ
“ฝ่าบาทเคยเรียนที่โฮมเหรอครับเน่อ” ไทถามอย่างกล้า ๆ กลัว ๆ
“อืม แล้วก็เคยอยู่ชมรมเดียวกับพวกเธอด้วย อาจารย์อาเทเนียไม่ได้เล่าให้ฟังเหรอ อารุ่นเดียวกับเจ้าราตรี”
ลูอานาถึงกับทำส้อมตกจากมือ เธอสะดุ้งโหยงและรีบคว้าส้อมแต่ก็จับไม่อยู่ จนสุดท้ายมันก็ตกกระทบกับพื้นดังเก๊ง ! เล่นเอาพวกเด็ก ๆ เหงื่อตก ทว่าพระราชินีเพียงหัวเราะชอบใจออกมา
“จะหาทางกลับโรงเรียนกันสินะ” เธอยิ้มให้และผายมือไปทางแม่บ้านสาว “เดี๋ยวให้เขาไปส่งพวกเธอก็ได้”
พอเห็นหน้าของคุณแม่บ้านชัด ๆ เจ้าไทกับลูอานาก็ค้างนิ่งไปและจ้องมองเธอครู่ใหญ่ ๆ ทำเอาคนโดนมองหน้าแดงและหลบหน้าด้วยความประหม่า
“จะว่าไป คน ๆ นั้นหน้าตาเหมือนอาเรียเลยเน่อ” ไทหันมากระซิบกับมารี ลูอานาเองก็หันมาพยักหน้าให้ แต่มารีที่ปกติเห็นตัวจริง ๆ ของยัยนั่นก็เลยไม่รู้ว่ายังไง เธอจึงแค่ทำตาปริบ ๆ ให้ทั้งสอง
“ก็อาเรียน่ะสิ” พระราชินีที่เหมือนจะได้ยินเสียงกระซิบยิ้มให้ “นั่นลูกสาวคนเดียวของอีวาน อาเรีย สเตฟานอฟ”
ทุกคนก็หันควับไปมองคุณเมดอีกรอบ ทำเอาเธอสะดุ้งโหยง
“แต่ว่า จะให้กลับไปเฉย ๆ ก็คงไม่ได้หรอก ตอนนี้พวกเธอโดนข้อหาบุกรุกราชอาณาจักรกับบุกรุกเขตพระราชฐานไปสองกระทงแล้วรู้ไหม โทษสถานเดียวก็คือประหารชีวิต”
แค่นั้น ส้อมในมือของเดรโกกับไทก็หลุดจากมือไปเช่นกัน
“ล้อเล่นน่ะ ไม่ถึงขนาดนั้นหรอก” พระราชินียิ้มอย่างขี้เล่น ทำให้พวกเด็ก ๆ ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก “แต่ยังไงก็ต้องติดคุกอยู่ดีนะ”
ยังไม่ทันจะยกภูเขาออกจากอกพ้น ภูเขาก็หล่นลงมาทับอีกรอบซะงั้น
“เขาบอกกันว่ากฎหมายน่ะ ถ้าไม่มีใครรู้ก็ถือว่าไม่ผิด” มาร์การิตากล่าว “ไหน ๆ ชมรมสืบสวนมาทั้งที อาขอฝากงานให้ทำเป็นการแลกเปลี่ยนได้ไหม แล้วอาจะทำเป็นเหมือนว่าพวกเธอไม่เคยมาที่นี่”
“ค่ะ” มารีพยักหน้านิ่ง ๆ
“ดี” มาร์การิตาประกบมือ “งั้นช่วยตามหาลูกสาวของอาให้หน่อย”
พวกเด็ก ๆ ก็มองหน้ากันเหมือนจะคิดว่าควรพูดออกไปยังไงดี เพราะไอ้คนที่ว่าก็อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลหรอก แถมยังเอาชื่อของแม่บ้านที่อยู่ตรงนี้ไปใช้อีก
“อึก!”
ยังไม่ทันที่มารีจะอ้าปาก อยู่ดี ๆ ลุงอีวานก็กัดฟันแน่นและนั่งเอามือกุมท้องอย่างทรมาน อาเรียผู้เป็นลูกสาวนั่งลงไปพยายามลูบหลังของบิดาปลอบประโลม
“เป็นอะไรหรือเปล่าคะลุง” ลูอานาลุกเข้าไปดูอาการ ไทอ้าปากเหวอและมองภาพตรงหน้าด้วยความอึ้ง เดรโกทำอะไรไม่ถูกจึงได้แต่นั่งมอง มารีเองก็เพียงเม้มปากและกำมือแน่น
ในตอนนั้นเอง พระราชินีก็วางของทุกอย่างในมืออย่างแผ่วเบาและลุกขึ้นเดินไปหาอีวาน พระนางชักไม้กายสิทธิ์ออกมาชี้ไปที่นายทหาร และจากนั้น...
เปรี้ยง!
สายฟ้าสีเขียวก็พุ่งจากปลายคทาทะลุอกของนายทหารจนนอนแน่นิ่ง ทำพวกเด็ก ๆ หน้าเหวอ
ทว่าผ่านไปไม่นาน อีวานก็รู้สึกตัวและค่อย ๆ ลุกขึ้นมา อาการเจ็บปวดเมื่อครู่ดูจะทุเลาลงไปแล้ว นั่นทำให้พวกมารีอึ้งไปกว่าเดิม
“ขอบพระทัย...ฝ่าบาท” อีวานกล่าวก่อนจะค่อย ๆ ลุกขึ้นมา อาเรียประคองตัวเขาออกไปจากเรือนกระจก
“ปีกว่า ๆ แล้วที่เขาต้องทรมานแบบนี้ แล้วอาก็ต้องทำแบบนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า” พระราชินีหอบหายใจอย่างเจ็บปวก ก่อนจะเก็บไม้กายสิทธิ์
“ลุงอีวาน...ดื่มเลือดของเจ้าหญิงเอเลนาไปเหรอครับ” เดรโกกลืนน้ำลายและพูดออกมา
“รู้ด้วยเหรอ”
“อาจารย์อวาลินเคยสอนไว้น่ะครับเน่อ” ไทกล่าว “เจ้าหญิงเอเลนามีน้ำตาที่รักษาทุกอย่างได้ แล้วก็มีเลือดที่ทำให้คนที่ดื่มเป็นอมตะใช่ไหมครับ”
“อืม” พระราชินีกลับมานั่งที่เก้าอี้ “อาจารย์อวาลินเองก็น่าจะสอนพวกเธอแล้วสินะว่าเพราะลูกสาวของอาเนี่ยแหละที่เป็นต้นเหตุทำให้อาณาจักรนี้โดนบุกจากทุกสารทิศ เพราะงั้นแหละ พวกเราเลยไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องทำให้ทหารของพวกเราเป็นอมตะ และชายเมื่อกี้ก็คือคน ๆ แรกที่อาสาดื่มเลือดต้องสาปนั้นไป”
“...ต้องสาปเหรอคะ” ลูอานาที่กลังมานั่งที่เก้าอี้เช่นกันถามอีกฝ่าย
“โลกนี้ไม่มีอะไรสมบูรณ์แบบหรอกนะ” พระราชินีกล่าว “คนที่ดื่มเลือดของเอเลนาไป แม้จะไม่มีวันตายด้วยสาเหตุใด ๆ ก็ตาม แต่ก็แลกมาด้วยการที่ร่างกายต้องแบกรับความเจ็บปวดมหาศาลตลอดเวลา ไม่มีเวทมนตร์หรือยาวิเศษไหนที่จะรักษาคำสาปนี้ได้แม้จะเป็นน้ำยาชำระล้างที่บริสุทธิ์ที่สุด คำสาปพรากวิญญาณก็พอจะหยุดอาการไม่ให้รุนแรงขึ้นชั่วคราวเท่านั้น สิ่งเดียวที่ช่วยได้ก็คือน้ำตาของเจ้าของเลือดนั่นแหละ”
ได้ยินดังนั้นเดรโกก็หันมาหามารีทันที แต่เธอเพียงเม้มปากให้
“แต่น้ำตาของเอเลนาก็บรรเทาอาการได้แค่หนึ่งวันเท่านั้น เลยต้องคอยเก็บน้ำตาจากเธอทุกวัน” มาร์การิตาถอนหายใจ “แล้วดูสิ่งที่เจ้าตัวตอบแทนคนที่ยอมแบกรับความเจ็บปวดนี้เพื่อปกป้องเธอสิ”
“...ทำไมเจ้าหญิงถึงหนีไปเหรอครับ”
หลังจากเงียบกันไปพักใหญ่ หนุ่มผมแดงก็วางส้อมลงบนจานและมองหน้าพระราชินีตรง ๆ
“นั่นสินะ” อีกฝ่ายจ้องมองขนมเตอร์กิชดีไลท์ด้วยสีหน้าหม่น ๆ “นกที่ถูกขังอยู่ในกรงน่ะ ต่อให้ได้กินอาหารดี ๆ หรือมีคนคอยเล่นด้วย แต่ถ้าเปิดประตูกรงทิ้งไว้ ยังไงก็ต้องบินหนีไปอยู่ดี แต่ที่สำคัญเลย คงเพราะว่าเด็กคนนั้นรู้ความจริงน่ะ...”
พวกเด็ก ๆ มองหน้าพระราชินี ส่วนมารีนั้นยังคงตักขนมเข้าปากเงียบ ๆ
“เอเลนาไม่ใช่สาวลูกแท้ ๆ ของอา”
“...อาร์คานาน่ะ ถ้ามีลูกกับมนุษย์จะได้ผู้วิเศษกับเอลฟ์ แต่หากอาร์คานามีลูกกับผู้วิเศษจะได้อะไร...”
อยู่ดี ๆ คำพูดของอาจารย์อวาลินทีทิ้งปริศนาเอาไว้ให้ตั้งแต่เมื่อคาบวิชาสังคมศึกษาหลายสัปดาห์ก่อนก็ผุดขึ้นมาอีกรอบ ทำให้สิ่งที่ยังติดใจของพวกเด็ก ๆ กระจ่างทันที
“เจ้าหญิง...เป็นลูกของพระราชากับอาร์คานาเหรอครับ” ไทพูดออกมา
“อาจารย์อวาลินสอนขนาดนั้นเชียว” พระราชินีเลิกคิ้ว “ก็ตามนั้นแหละ อามีสถานะเป็นแค่แม่เลี้ยง ไม่ใช่คนที่ให้กำเนิดเธอมาจริง ๆ เอเลนาเป็นลูกของโรมาริน อาร์คานาตนสุดท้ายที่มีชีวิตอยู่น่ะ”
พระนางลูบท้องของตนเองก้มหน้าเศร้า ๆ และเริ่มเล่าความหลังออกมา “แต่ไหนแต่ไร ร่างกายของอาไม่สามารถมีลูกได้น่ะ เป็นโรคทางพันธุกรรมที่ไม่สามารถรักษาได้ กระนั้นสามีของอาก็พยายามทุกวิถีทาง จนกระทั่งไปเจอเรื่องของเวทมนตร์โบราณเข้า”
“เวทมนตร์โบราณ...เวทมนตร์ของอาร์คานาน่ะเหรอคะ” ลูอานาพูดขึ้นมา ว่ากันว่าเวทมนตร์โบราณนั้นคือเวทมนตร์ที่คิดค้นขึ้นมาโดยอาร์คานา มีอานุภาพสูงกว่าเวทมนตร์ทั่วไปในปัจจุบันมาก จนมีคำกล่าวที่ว่าเวทมนตร์โบราณนั้นสามารถพลิกผืนฟ้าให้กลายเป็นแผ่นดินได้เลย แต่แน่นอนว่าทุกวันนี้เวทมนตร์ดังกล่าวหายสาบสูญไปแล้ว
“ใช่” พระราชินีพยักหน้า “สามีของอาเลยออกเดินทางไปทั่วโลกหลายปีเพื่อตามหาคนที่มีความรู้เรื่องเวทมนตร์โบราณ จนกระทั่งไปเจอโรมารินที่เป็นอาร์คานาเนี่ยแหละ แต่เรื่องตลกร้ายก็คือเขาดันไปหลงสเน่ห์ทางนั้นเข้าจนได้ทายาทโดยไม่ต้องพึ่งเวทมนตร์โบราณด้วยซ้ำ อย่างที่เขาว่ากันแหละนะ อาร์คานามีใบหน้าที่ทำให้คนหลงสเน่ห์ได้ ต่อให้เป็นผู้ชายที่สาบานด้วยชีวิตว่าจะมีภรรยาคนเดียวก็ตาม”
พระราชินีพ่นลมหายใจออกมา ก่อนจะใช้ส้อมตัดเนื้อขนมเข้าปากและเคี้ยวด้วยหน้าซังกะตาย “และผลสรุปก็คือไม่มีเวทมนตร์โบราณไหนที่จะทำให้อามีลูกได้อยู่ดี”
พวกเด็ก ๆ ได้แต่มองหน้าพระราชินีด้วยความสงสาร ขนมที่เคยหวานจัด ตอนนี้กลับไร้ซึ่งรสชาติไปแล้ว
“แล้ว...ทำไมเจ้าหญิงถึงมาอยู่ที่นี่ได้เหรอครับ” เดรโกถามอีกฝ่าย
“ได้เปิดอกคุยกันนิดหน่อยน่ะ พอฝ่ายนั้นเข้าใจเขาก็ยกเอเลนาให้กับอาตอนที่เด็กคนนั้นได้ขวบนึง แล้วจากนั้นก็หายตัวไปเลย” พระราชินีกล่าว “แต่มันก็เหมือนกับได้รับพรและคำสาปมาในเวลาเดียวกัน เอเลนาน่ะไม่ใช่เด็กปกติ เธอไม่ใช่ทั้งผู้วิเศษและอาร์คานา แต่เป็นอะไรที่เหนือกว่านั้น เรียกว่าเอ็กซีด”
“เอ็กซีด?” พวกเด็ก ๆ พูดพร้อมกัน
“อืม เป็นลูกผสมระหว่างผู้วิเศษกับอาร์คานาน่ะ ทำให้มีพลังเวทมนตร์สูงกว่าเผ่าพันธ์ุที่มีเวทมนตร์ทั้งมวล เอ็กซีดคนล่าสุดปรากฏตัวเมื่อพันปีก่อนนู่น แล้วก็เป็นสาเหตุของการล่มสลายของอาณาจักรโบราณแห่งหนึ่งไป” พระราชินีบอก “อาทิตย์แรกที่เอเลนามาอยู่ที่นี่ก็ทำหอคอยถล่มไปหอนึง แถมยังทำให้แม่บ้านหลายคนกลายเป็นแมวไปด้วย จนต้องให้อาจารย์อาเทเนียมาช่วย แล้วก็สร้างห้องที่พอจะป้องกันพลังของเอเลนาเอาไว้ได้ ซึ่งก็คือที่ ๆ พวกเธอโผล่มานั่นแหละ กว่าจะควบคุมพลังให้เข้าที่เข้าทางได้ก็ปาไปตอนสามขวบนู่น”
ได้ยินดังนั้น พวกเด็ก ๆ ก็เข้าใจแล้วว่าทำไมเจ้าหญิงเอเลนาถึงต้องอยู่บนห้องชั้นบนสุดของหอคอยที่สูงที่สุดด้วย ไม่ใช่แค่ความปลอดภัยของตัวเธอ แต่เพื่อความปลอดภัยกับคนรอบข้างด้วย
“ทีนี้ พอจะเข้าใจหรือยังล่ะว่าทำไมโลกเวทมนตร์ถึงต้องพลิกแผ่นดินหาตัวเธอขนาดนี้”
เดรโกกลืนน้ำลายและมองมาที่มารีอีกครั้ง แต่เธอก็เพียงทำตาปริบ ๆ ให้
“พวกเราพอจะมีเบาะแสอยู่ค่ะ” มารีพูดขึ้นมา “แต่ก็ไม่รู้ว่าจะพาเจ้าหญิงมาที่นี่ให้ได้หรือเปล่า”
“ขอให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ก็แล้วกัน ก่อนที่อาจะเปลี่ยนใจ” พระราชินีประสานมือ “อย่าคิดว่ากลับไปแล้วจะหนีพ้นล่ะ เพราะสายลับของเรฟลอเดียน่ะมีอยู่ทุกที่ และอาจจะอยู่ใกล้ตัวพวกเธอกว่าที่คิดด้วย”
แม้ริมฝีปากของพระนางจะยกขึ้น ทว่าดวงตาสีฟ้าสดใสของสตรีตรงหน้าดูเย็นยะเยือกขึ้นมาอีกรอบ ในจังหวะนั้นเอง แม่บ้านสาวอาเรียก็กลับมาพอดี
“จัดการเรื่องตั๋ววาฬให้แล้วเพคะฝ่าบาท” เธอกล่าว
“ขอบใจ งั้นฝากพาแขกไปส่งด้วย” พระราชินีกล่าว ก่อนจะเอาฝามาครอบถาดขนมเตอร์กิชดีไลท์ และให้พวกเด็ก ๆ ตามอาเรียไป
มารีและเพื่อน ๆ ที่สวมเสื้อคลุมขนสัตว์มีฮู้ดเพื่อป้องกันความหนาวสุดขั้วของเรฟลอเดียเดินตามแม่บ้านสาวในชุดแบบเดียวกันจนออกมาถึงถนนใหญ่ ท้องฟ้าครึ้มไปด้วยเมฆหนาและมีหิมะตกลงมาปรอย ๆ พื้นถนนปูด้วยหินมีหิมะปกคลุมอยู่จาง ๆ บ้านเรือนของที่นี่สร้างจากอิฐสีเข้ม บนหลังคามีหิมะทับทมจนกลายเป็นสีขาวโพลนและมีปล่องไฟอยู่ทุกหลัง โดยรอบไม่ค่อยมีคนออกมามากนัก แน่นอนว่าคงไม่มีใครอยากมาเดินเล่นท่ามกลางอุณหภูมิติดลบแบบนี้หรอก
“กลายเป็นเรื่องใหญ่จริง ๆ แล้วนะ” เดรโกมองไทกับลูอานา แม้จะมองไม่เห็นใบหน้าของเขาเพราะมีฮู้ดปกคุลม แต่เสียงที่ออกดุ ๆ ก็ทำให้สองหน่อคอตกทันที
“แค่พาอาเรียที่เรารู้จักมาที่นี่พอไหมอะเน่อ” ไทว่า
“ไม่ง่ายอย่างงั้นหรอก” มารีที่อุ้มนัวร์อยู่ในเสื้อคลุมบอก ก่อนจะถอนหายใจออกมาจนเกิดไอสีขาว เห็นดังนั้นไอ้ตัวแสบก็คอตกอีกรอบ
“แล้วเราจะทำยังไงดีล่ะคะ” ลูอานาเข้ามาจับแขนเสื้อของเธอ
“ไม่รู้ไม่ชี้”
“งือออ”
“เดี๋ยวกลับไปที่โรงเรียนค่อยว่ากันอีกทีเถอะ” เดรโกหัวเราะแห้ง ๆ
ทั้งหมดมาถึงอาคารหลังใหญ่ที่ตั้งอยู่บริเวณจัตุรัสของเมือง มีป้ายเขียนเอาไว้ว่า สถานเอกอัครราชทูตราชอาณาจักรเอลเดนประจำราชอาณาจักรเรฟลอเดีย
เมื่อเข้ามา ทั้งหมดก็ถอดเสื้อคลุมกันหนาวออก อาเรียแสดงตราบางอย่างให้เจ้าหน้าที่ประจำสถานทูตดู แล้วเจ้าหน้าที่ก็พาทั้งหมดมายังห้อง ๆ หนึ่ง เป็นเหมือนห้องนั่งเล่นที่ไม่มีอะไรมาก นอกจากโซฟา ชั้นวางหนังสือ กระถางต้นไม้ และเตาผิงใหญ่ที่สูงพอจะเข้าไปยืนได้หลายคน
ตอนแรกก็นึกว่าจะต้องมาเข้าพบใครหรือเปล่า แต่อาเรียเพียงเดินไปที่เตาผิง เขียนอะไรบางอย่างในกระดาษใส่กล่องโลหะ ปิดฝา แล้วก็วางลงไปบนกองฟืน จากนั้นก็หยิบผงขาว ๆ ในกระถางข้างเตาผิงมาหนึ่งกำมือปาลงไป ทันใดนั้นเปลวไฟสีม่วงก็ลุกโชนขึ้นมาวาบหนึ่ง และสิ่งที่หายไปก็คือกล่องเหล็กเมื่อครู่
“เคยใช้เครือข่ายเตาผิงมาก่อนไหมคะ” เด็กสาวหันมาหาพวกมารี แน่นอนว่าคำตอบที่ได้ไปก็คือการส่ายหน้าของทั้งสี่
ผ่านไปครู่เดียว ที่เตาผิงก็มีไฟลุกอีกครั้งพร้อมกลับกล่องโลหะกล่องเดิมปรากฏกลับมา อาเรียสวมถุงมือหนังกันความร้อนและเปิดกล่องออก หยิบแผ่นกระดาษที่มีควันลอยฉุยในนั้นออกมาอ่าน
“มาค่ะ ทางนั้นอนุญาตแล้ว” เธอบอก และให้พวกเด็ก ๆ เข้าไปยืนในเตาผิง “เดินทางปลอดภัยนะคะ คนทางนั้นจะจัดการต่อให้เองค่ะ คอนเทโก”
แม่บ้านสาวเสกคาถาเกราะป้องกันความร้อนให้พวกมารี ก่อนจะปาผงสีขาวลงไปที่ใต้เท้าของพวกเขา ยังไม่ทันที่มารีจะพูดขอบคุณ เพียงพริบตาเดียวสถานที่ตรงหน้าของเธอก็เปลี่ยนไปแล้ว
เจ้าหน้าที่ของสถานที่ปลายทางพาพวกมารีมาส่งหน้าอาคารและยื่นตั๋วเที่ยวบินไปโอวล์ฟอสเทียร์ของวันพรุ่งนี้ให้เนื่องจากเวลาท้องถิ่นของที่นี่เป็นช่วงพลบค่ำแล้ว พวกเด็ก ๆ กล่าวขอบคุณตามมารยาทแล้วก็เดินไปตามถนนที่ปูด้วยหินก้อนใหญ่ อากาศร้อนอบอ้าวผิดกับที่เรฟลอเดียอย่างสิ้นเชิงจนพวกเขาอยากจะกลับไปเลย
“ต้องหาที่พักกันสินะ” มารีว่า แต่ทำไมเธอรู้สึกว่ารอบ ๆ มันดูคุ้นตาจัง ตึกส่วนใหญ่ทำจากอิฐสีแดงมุงหลังคาด้วยกระเบื้องดินเผา และมีปล่องควันสูง ๆ อยู่เต็มไปหมด เจ้านัวร์ที่เดินอยู่ข้างก็มองซ้ายมองขวา
“ไม่ต้องหรอกเน่อ” ไทยิ้มออกมา “ก็ที่นี่บ้านพวกเรานี่นา”
มารีหันไปมองอาคารที่เธอเพิ่งออกมา ชื่อของมันคือสถานเอกอัครราชทูตราชอาณาจักรเรฟลอเดียประจำราชอาณาจักรเอลเดน
“เอลเดนเป็นพันธมิตรกับเรฟลอเดียมาตั้งแต่สมัยสงครามนี่เนอะ รู้สึกจะเป็นสถานทูตเรฟลอเดียแห่งเดียวของโลกเวทมนตร์ด้วย” เดรโกว่า “คนเรฟลอเดียออกมาจากนอกประเทศได้ก็เพราะแบบนี้นี่เอง”
“มารีมาค้างกับเค้าก็ได้นะคะ ให้ไปนอนบ้านพวกผู้ชายเดี๋ยวจะแต่งงานไม่ได้” ลูอานาเสนอ
“พระเจ้าไม่ลงโทษหรอกน่า มารีไม่ใช่เธอสักกะหน่อย” ไทประสานมือที่ท้ายทอยโดยไม่สนใจสายตามองค้อนจากสาวชาวเผ่า “มาบ้านเราก็ได้เน่อ แถวบ้านมีของกินอร่อย ๆ เยอะเลยนะ”
“หรือจะมานอนที่ห้องพักของกิลด์นักผจญภัยไหมล่ะ เราพอมีเส้นสายอยู่ เดี๋ยวให้เขาเปิดห้องพักให้ฟรี ๆ” เดรโกว่า
จริง ๆ มารีก็ไม่ได้ซีเรียสว่าจะต้องไปหาโรงแรมนอนเองหรอก แต่พอโดนสายตาสามคู่มองมา มันก็รู้สึกลำบากใจยังไงก็ไม่รู้แฮะ
“อยากนอนกับใครล่ะ”
มารีก้มลงไปมองที่พื้น มีเสียงเมี้ยว ๆ ตอบกลับมา แล้วเจ้านัวร์ก็เข้าไปเอาตัวถูกับหน้าแข้งของลูอานาและชูหางตั้งเด่
“ตามนั้น” เธอยิ้มจาง ๆ ให้เพื่อนสาว ทำเอาเจ้าตัวกระโดดดีใจและโผกอดเธอแน่น ส่วนสองหนุ่มก็ยิ้มเซ็ง ๆ ให้
“ไปหาอะไรกินกันไหม นี่ก็ค่ำแล้ว” เดรโกเสนอ
“ยังเลี่ยนไอ้ขนมไลท์ ๆ ของมารีอยู่เลยอะ ขอผ่านแล้วกัน” ไทเบ้ปาก
“เดี๋ยวเค้ากลับไปทำอะไรอร่อย ๆ ให้มารีกินเองค่ะ” ลูอานาบอกอย่างอารมณ์ดี และยังคงกอดมารีอยู่
“งั้นพรุ่งนี้เก้าโมงครึ่งเจอกันที่สนามบินนะ”
“รับทราบ”
หนุ่มผมแดงเดินไปตามถนนของตัวเมืองเพียงลำพัง ไม่รู้ว่าตอนนี้คุณแม่ของเขาจะกลับมาอยู่ที่บ้านแล้วหรือยัง แล้วจะงงหรือเปล่าว่าทำไมอยู่ดี ๆ ลูกชายถึงกลับมาบ้าน
“สองโลก ห้าประเทศในวันเดียวเลยนะเรา” เดรโกมองท้องฟ้ายามราตรีและครุ่นคิดถึงการผจญภัยในวันนี้ ใจจริงเขาอยากจะคุยกับมารีอีกสักหน่อย
ตอนแรกเขาก็สงสัยเรื่องที่ว่าถ้ามารีเคยดื่มเลือดของเจ้าหญิงไป ตัวเธอเองก็น่าจะมีอาการเดียวกับอีวาน แต่พอนึกขึ้นได้ว่าทางนั้นมีน้ำตาของเจ้าหญิงอยู่ ก็เลยปัดตกไป กระนั้นก็ยังมีอีกหลายเรื่องที่เขาคาใจ
อย่างแรกคือไม้กายสิทธิ์ที่มารีใช้คืออันเดียวกับที่เจ้าหญิงเอเลนาใช้ เขาเองก็สงสัยเหมือนกันว่ามันมาอยู่กับมารีได้ยังไง
อย่างที่สอง หลังจากที่มารีตายไปครั้งแรก เกิดอะไรขึ้นกับเธอบ้าง แล้วทำไมเจ้าหญิงเอเลนาถึงปลอมตัวเป็นอาเรีย และทำเหมือนไม่เคยรู้จักมารีมาก่อน
หรือว่าจะโดนลบความทรงจำตอนที่เคยอยู่ด้วยกันไป เพื่อไม่ให้เธอต้องเจ็บปวดอย่างงั้นเหรอ เพราะดูมารีเองก็ถนัดการใช้เวทมนตร์เกี่ยวกับความทรงจำพอควร
เด็กหนุ่มก็หยุดฝีเท้าและครุ่นคิด เขาเริ่มรู้สึกว่าเรื่องนี้มันมีอะไรแปลก ๆ
“หรือว่า...”
ณ ชายหาดที่เงียบสงบแห่งหนึ่ง มีคนสองคนกำลังนอนชิลอยู่บนเก้าอี้ชายหาด ชมพระอาทิตย์กำลังค่อย ๆ จมหายไปในทะเล ย้อมท้องฟ้าเป็นสีส้มแก่ ๆ และสะท้อนกับผืนน้ำเป็นประกาย
มีเสียงดังพรึบสั้น ๆ แล้วร่างของโทวาดะ ไนโตะก็โผล่มาเพิ่มอีกหนึ่งคน
“คว้าน้ำเหลวเหมือนเคยสินะ”
หญิงสาวคนหนึ่งที่นอนเอกขเนกขยับแว่นกันแดดมองเขา ดวงตาสีน้ำข้าวมองไปที่ชายหนุ่มเย้ย ๆ ผมยาวสลวยสีขาวที่มัดเป็นเปียยาวสองข้างและทำไฮไลต์สีชมพูของเธอต้องกับแสงแดดยามเย็น
“ใครจะไปคิดล่ะว่ายัยนั่นมีเพื่อนเป็นสัตว์ประหลาดอยู่ด้วย” ไนโตะถอนหายใจ “สะท้อนคำสาปพรากวิญญาณเต็ม ๆ จนไอ้คนร่ายตายคาที่เลย”
“ลูกชายของเลโอนา ดันเต้สิท่า เด็กนั่นก็น่าสนใจไม่น้อย” ชายหนุ่มผมดำอีกคนลุกขึ้นมานั่ง “แล้วตกลงว่าได้ตัวไหม”
“โดนยัยศพเดินได้นั่นหลอกเอาน่ะสิ ถึงจะจัดคำสาปไปให้ชุดหนึ่งแล้วก็เถอะ เดี๋ยวก็คงจะฟื้นกลับมาเหมือนรอบที่แล้ว” ชายหนุ่มนั่งยอง ๆ “เพราะไอ้นกฮูกนั่นโผล่มาขัดจังหวะแท้ ๆ”
“ถ้านายไม่มัวแต่เล่นกับเหยื่อก็คงจบงานไปตั้งนานแล้วล่ะย่ะ” หญิงสาวลุกขึ้นมานั่ง พลางขยับชุดว่ายน้ำทูพีซสีขาวที่ขับเน้นส่วนเว้าส่วนโค้งสุดสะเบิ้มกับโชว์ผิวเนียนเปล่งปลั่งให้เข้าที่เข้าทาง เธอหยิบน้ำผลไม้ที่วางบนโต๊ะข้าง ๆ มา และใช้ริมฝีปากอวบอิ่มอมหลอดดูดน้ำ
“ถ้าเสร็จงานเร็วอย่างเธอมันจะไปสนุกอะไรล่ะ” ไนโตะเบ้ปากเลื่อนสายตาไปมองเย้ย ๆ เห็นดังนั้นหญิงสาวก็หัวเราะเหอะประชดออกมา
“รอบนี้ว่าจะให้ริโอเน่ไปช่วยอีกแรง” ชายหนุ่มผมดำกล่าว และจ้องตาของอีกฝ่ายด้วยดวงตาสีเขียวมรกตเหมือนสัตว์เลื้อยคลาน “แต่จะขอเปลี่ยนเป้าหมายนิดหน่อย”
“ว่ามา” แม้จะไม่ค่อยสบอารมณ์นักที่ต้องร่วมงานกับยัยไม่เบื่อไม้เมานี่ แต่ไนโตะก็ให้อีกฝ่ายบอกรายละเอียดงานมา
“พักเรื่องเอเลนาไปก่อน ตอนนี้ฉันเริ่มจะสนใจแม่ศพเดินได้ของนายแล้วล่ะ ไปเอาตัวเธอมาให้ที”
Since the princess left the castle
“เป็นอะไรหรือเปล่าคะ”
มารีเข้าไปประคองนายทหารขึ้นมา เพื่อน ๆ อีกสามคนก็ช่วยกันอีกแรงเนื่องจากตัวของเขาใหญ่มาก แล้วก็หิ้วปีกของนายทหารกลับมาในห้องให้นั่งลงบนโซฟา มารีเพิ่งสังเกตเห็นว่าขอบตาของเขาเป็นสีคล้ำเหมือนไม่ได้นอนมาหลายวันแล้ว
“พวกเธอเป็นใคร” เขามองหน้าแต่ละคนและถามด้วยเสียงทุ้มต่ำ
“พวกเราเป็นนักเรียนของโฮมค่ะ” มารีกล่าว พลางหยิบบัตรประจำตัวนักเรียนส่งให้เขา “พวกเรากำลังทดลองข้ามเกทกัน แล้วก็มาลงเอยที่นี่ค่ะ”
“งั้นเหรอ” นายทหารมองบัตรของมารีด้วยดวงตาสีฟ้าหม่น ๆ
“พอจะมีทางให้พวกเรากลับโอวล์ฟอสเทียร์ได้บ้างไหมคะ”
“จะว่ามีมันก็มีแหละ” เขาบอก ก่อนจะลุกขึ้นยืนอย่างทุลักทุเลและคืนบัตรนักเรียนให้มารี “แต่คนที่จะตัดสินใจว่าจะให้พวกเธอออกไปน่ะได้มีอยู่แค่คนเดียว ตามมา”
นายทหารก็พาพวกเด็ก ๆ ลงมาจากหอคอย ตอนแรกคิดว่าจะต้องเดินลงบันได (ซึ่งก็คงจะเยอะมาก ๆ) แต่โชคดีที่ที่นี่เขาใช้ลิฟท์กัน ตัวลิฟท์เป็นแบบโบราณ มีประตูเหล็กยืดสีดำ ด้านในทำจากไม้สีเข้ม ส่วนปุ่มกดเป็นโลหะสีทอง
“อีวาน สเตฟานอฟ ลืมบอกชื่อเลย” ระหว่างที่ลิฟท์เลื่อนลงไปด้วยความเร็วแบบสบาย ๆ นายทหารก็แนะนำตัว “เป็นทหารรักษาพระองค์ แล้วก็เป็นพระอาจารย์ขององค์หญิงเอเลนาด้วย”
“...สเตฟานอฟเหรอ” เดรโกเลิกคิ้วขึ้นมา เช่นเดียวกับไท
“แล้วไปทำอะไรหนาว ๆ ที่ระเบียงคนเดียวน่ะคะลุง” ลูอานาถามด้วยความสงสัย
“สวดภาวนาให้เจ้าหญิงกลับมาน่ะ” เขาบอก แววตาดูหมองลงเล็กน้อย “ตั้งแต่พระองค์หายไป หลาย ๆ อย่างก็แย่ลง อากาศที่เคยแจ่มใสก็กลับมาหนาวอีกครั้งเอย ผู้คนเจ็บป่วยด้วยโรคระบาดเอย...”
ได้ยินดังนั้น มารีก็หยิบหน้ากากอนามัยผ้ามาสวม เลยโดนลุงอีวานมองค้อนใส่ไปหนึ่งที
ผ่านไปสักพัก พวกเด็ก ๆ ก็ถูกพามายังบริเวณที่เป็นเรือนกระจก อากาศอุ่นขึ้นพอสมควร ซึ่งน่าจะมาจากคาถาปรับอากาศ ด้านในเต็มไปด้วยต้นไม้นานาชนิด บางต้นออกดอกสีสันสวยงามและส่งกลิ่นหอม บางต้นก็ออกผลสุกงอมน่ากิน
และผู้ที่กำลังนั่งยอง ๆ ดูแปลงดอกไม้กลางลานของเรือนกระจกอยู่นั้นก็หันมาหาเมื่อเห็นพวกมารี เธอยิ้มน้อย ๆ และลุกขึ้นมา ร่างของเธอสูงโปร่งราวร้อยเจ็ดสิบเซนติเมตรและดูสง่าผ่าเผยยิ่งนัก สวมชุดกระโปรงสีขาวสะอาดแขนกุดเผยผิวต้นแขนขาวเนียน ไว้ผมยาวสีบลอนด์ยาวมัดเป็นเปียด้านหลัง ดวงตาสีฟ้าสดใสของเธอจ้องมาที่พวกเด็ก ๆ
และเมื่อเห็นมงกุฎทองคำบนศีรษะ พวกเด็ก ๆ ก็รีบแสดงความเคารพโดยอัตโนมัติ เพราะแน่นอนว่าตรงหน้าก็คือพระราชินีแห่งเรฟลอเดีย มาร์การิตา มารีอา แอริแอนอฟนั่นเอง
“พาใครมาล่ะอีวาน”
“พวกเด็กจากโฮมพ่ะย่ะค่ะ เห็นบอกว่าข้ามเกทกันแล้วก็มาจบที่นี่” นายทหารกล่าว
“สมัยนี้โฮมเขาสอนเรื่องแผลง ๆ ให้เด็กข้ามเกทกันแล้วเหรอเนี่ย” พระราชินีเลิกคิ้วและยิ้มกว้างให้ “เชิญนั่งก่อนสิพวกรุ่นน้อง”
ได้ยินดังนั้น ก็ทำเอาพวกเด็ก ๆ อึ้งไป
พระราชินีพาพวกมารีมานั่งที่โต๊ะกลมที่ตั้งอยู่ในเรือนกระจกใต้ต้นผลไม้ต้นหนึ่งที่กำลังสุกงอมและส่งกลิ่นหอมหวานออกมา ไม่นานนักก็มีสาวใช้อายุรุ่นราวคราวเดียวกับมารียกน้ำชาและกาแฟมาเสิร์ฟ เธอมีผมสีบลอนด์ยาวสลวยกับดวงตาสีฟ้าเข้ม สวมชุดแม่บ้านแบบยุควิคตอเรียนสีดำ-ขาว เธอวางถาดเงินเปล่า ๆ ลงบนโต๊ะและเอาฝามาครอบเอาไว้
“พอดีสามีอาอยู่ระหว่างเดินทางไปประเทศอื่นน่ะ เลยมาต้อนรับพวกเธอไม่ได้” พระราชินีกล่าว “อยากกินอะไรล่ะ บอกได้เลยนะ”
เห็นดังนั้นมารีก็ยกมือขึ้นมา เธออยากทำแบบนี้มานานแล้ว
“เตอร์กิชดีไลท์ค่ะ”
“อะไรนะ”
ไม่ใช่แค่พระราชินีที่สตั๊นท์ไป พวกเพื่อน ๆ อีกสามคนก็เช่นกัน ก็เลยมีตาปริบ ๆ สี่คู่มองมาที่เธอ
มารีจินตนาการถึงหน้าตา กลิ่น และรสชาติของเตอร์กิชดีไลท์ที่เคยกินเมื่อตอนที่เดินทางไปประเทศตุรกีให้ได้มากที่สุด จากนั้นก็เอามือไปจับที่ฝาครอบและเปิดออกมา สิ่งที่อยู่ในถาดที่ว่างเปล่านั้น บัดนี้กลายเป็นกองของขนมหวานลักษณะเป็นวุ้นทรงลูกบาศก์สีแดงหลายก้อน ปกคลุมด้วยน้ำตาลไอซิงสีขาว นั่นทำให้ตาของเจ้าไทเป็นประกายทันที
“ขนมของมนุษย์ก๊ะ”
“อืม ว่ากันว่าเป็นขนมที่อร่อยจนแลกกับการทรยศพี่น้องได้เลยล่ะ” มารีใช้ส้อมตัดเนื้อขนมมาเล็กน้อยเข้าปากและจิบชาตาม แก้มของเธอกลายเป็นสีชมพูจาง ๆ และไม่ลืมแบ่งชิ้นเล็ก ๆ ให้นัวร์ที่นั่งอยู่บนตักด้วย
ถึงจะไม่ค่อยเข้าใจว่ามารีสื่อถึงใคร แต่คนอื่น ๆ ก็ลองชิมดูบ้าง เจ้าไทจิ้มเข้าปากไปทั้งก้อนก่อนจะทำตาถลน
“วะ...หวานเกินไปแล้วเน่อ” ไอ้ตัวแสบเอี้ยวตัวไปคายขนมทิ้งที่กระถางต้นไม้ข้าง ๆ เก้าอี้ ก่อนจะโดนสายตาเอือม ๆ ของแม่บ้านสาวกับลุงอีวานมองใส่
“หอมกลิ่นกุหลาบด้วยแฮะ” เดรโกที่ชิมชิ้นเล็ก ๆ และจิบกาแฟดำตามพูดขึ้นมา พระราชินีกับลูอานาเองก็ดูจะชอบ
“แล้ว ลมอะไรหอบพวกเธอมาล่ะ คุยกับอาใช้คำธรรมดาก็ได้ ไม่ต้องราชาศัพท์หรอก คิดซะว่าเป็นรุ่นพี่คนนึงแล้วกัน” พระราชินีมาร์การิตาถามพวกเด็ก ๆ
“พวกเรามาจากชมรมสืบสวนปริศนาและเรื่องทั่ว ๆ ไปค่ะ” มารีกล่าว “พวกเรากำลังศึกษาเรื่องเกทอยู่ ก็เลยตามหาเกทและลองข้ามกัน แต่ก็บังเอิญไปเจอพวกฝูงอีกาเลยหนีกันมา แล้วมาลงเอยที่นี่ค่ะ”
“พวกอีกาเรอะ ไปทำอีท่าไหนถึงเจอพวกนั้นได้ล่ะนั่น” พระราชินีเลิกคิ้วขณะที่เคี้ยวเนื้อขนมตุ้ย ๆ
“เรื่องมันยาวน่ะค่ะ”
“งั้นเหรอ ไม่เป็นอะไรก็ดีแล้วล่ะ” พระราชินีตักขนมคำต่อไปเข้าปากและจิบชาตาม “ชมรมสืบสวนเองเรอะ นึกว่าจะโดนยุบไปซะแล้วอีก”
“ถ้าก่อนหน้านี้ก็ใช่แหละค่ะ พวกเราเป็นสมาชิกใหม่ในรอบสิบกว่าปีน่ะค่ะ” ลูอานาหัวเราะแห้ง ๆ
“ฝ่าบาทเคยเรียนที่โฮมเหรอครับเน่อ” ไทถามอย่างกล้า ๆ กลัว ๆ
“อืม แล้วก็เคยอยู่ชมรมเดียวกับพวกเธอด้วย อาจารย์อาเทเนียไม่ได้เล่าให้ฟังเหรอ อารุ่นเดียวกับเจ้าราตรี”
ลูอานาถึงกับทำส้อมตกจากมือ เธอสะดุ้งโหยงและรีบคว้าส้อมแต่ก็จับไม่อยู่ จนสุดท้ายมันก็ตกกระทบกับพื้นดังเก๊ง ! เล่นเอาพวกเด็ก ๆ เหงื่อตก ทว่าพระราชินีเพียงหัวเราะชอบใจออกมา
“จะหาทางกลับโรงเรียนกันสินะ” เธอยิ้มให้และผายมือไปทางแม่บ้านสาว “เดี๋ยวให้เขาไปส่งพวกเธอก็ได้”
พอเห็นหน้าของคุณแม่บ้านชัด ๆ เจ้าไทกับลูอานาก็ค้างนิ่งไปและจ้องมองเธอครู่ใหญ่ ๆ ทำเอาคนโดนมองหน้าแดงและหลบหน้าด้วยความประหม่า
“จะว่าไป คน ๆ นั้นหน้าตาเหมือนอาเรียเลยเน่อ” ไทหันมากระซิบกับมารี ลูอานาเองก็หันมาพยักหน้าให้ แต่มารีที่ปกติเห็นตัวจริง ๆ ของยัยนั่นก็เลยไม่รู้ว่ายังไง เธอจึงแค่ทำตาปริบ ๆ ให้ทั้งสอง
“ก็อาเรียน่ะสิ” พระราชินีที่เหมือนจะได้ยินเสียงกระซิบยิ้มให้ “นั่นลูกสาวคนเดียวของอีวาน อาเรีย สเตฟานอฟ”
ทุกคนก็หันควับไปมองคุณเมดอีกรอบ ทำเอาเธอสะดุ้งโหยง
“แต่ว่า จะให้กลับไปเฉย ๆ ก็คงไม่ได้หรอก ตอนนี้พวกเธอโดนข้อหาบุกรุกราชอาณาจักรกับบุกรุกเขตพระราชฐานไปสองกระทงแล้วรู้ไหม โทษสถานเดียวก็คือประหารชีวิต”
แค่นั้น ส้อมในมือของเดรโกกับไทก็หลุดจากมือไปเช่นกัน
“ล้อเล่นน่ะ ไม่ถึงขนาดนั้นหรอก” พระราชินียิ้มอย่างขี้เล่น ทำให้พวกเด็ก ๆ ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก “แต่ยังไงก็ต้องติดคุกอยู่ดีนะ”
ยังไม่ทันจะยกภูเขาออกจากอกพ้น ภูเขาก็หล่นลงมาทับอีกรอบซะงั้น
“เขาบอกกันว่ากฎหมายน่ะ ถ้าไม่มีใครรู้ก็ถือว่าไม่ผิด” มาร์การิตากล่าว “ไหน ๆ ชมรมสืบสวนมาทั้งที อาขอฝากงานให้ทำเป็นการแลกเปลี่ยนได้ไหม แล้วอาจะทำเป็นเหมือนว่าพวกเธอไม่เคยมาที่นี่”
“ค่ะ” มารีพยักหน้านิ่ง ๆ
“ดี” มาร์การิตาประกบมือ “งั้นช่วยตามหาลูกสาวของอาให้หน่อย”
พวกเด็ก ๆ ก็มองหน้ากันเหมือนจะคิดว่าควรพูดออกไปยังไงดี เพราะไอ้คนที่ว่าก็อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลหรอก แถมยังเอาชื่อของแม่บ้านที่อยู่ตรงนี้ไปใช้อีก
“อึก!”
ยังไม่ทันที่มารีจะอ้าปาก อยู่ดี ๆ ลุงอีวานก็กัดฟันแน่นและนั่งเอามือกุมท้องอย่างทรมาน อาเรียผู้เป็นลูกสาวนั่งลงไปพยายามลูบหลังของบิดาปลอบประโลม
“เป็นอะไรหรือเปล่าคะลุง” ลูอานาลุกเข้าไปดูอาการ ไทอ้าปากเหวอและมองภาพตรงหน้าด้วยความอึ้ง เดรโกทำอะไรไม่ถูกจึงได้แต่นั่งมอง มารีเองก็เพียงเม้มปากและกำมือแน่น
ในตอนนั้นเอง พระราชินีก็วางของทุกอย่างในมืออย่างแผ่วเบาและลุกขึ้นเดินไปหาอีวาน พระนางชักไม้กายสิทธิ์ออกมาชี้ไปที่นายทหาร และจากนั้น...
เปรี้ยง!
สายฟ้าสีเขียวก็พุ่งจากปลายคทาทะลุอกของนายทหารจนนอนแน่นิ่ง ทำพวกเด็ก ๆ หน้าเหวอ
ทว่าผ่านไปไม่นาน อีวานก็รู้สึกตัวและค่อย ๆ ลุกขึ้นมา อาการเจ็บปวดเมื่อครู่ดูจะทุเลาลงไปแล้ว นั่นทำให้พวกมารีอึ้งไปกว่าเดิม
“ขอบพระทัย...ฝ่าบาท” อีวานกล่าวก่อนจะค่อย ๆ ลุกขึ้นมา อาเรียประคองตัวเขาออกไปจากเรือนกระจก
“ปีกว่า ๆ แล้วที่เขาต้องทรมานแบบนี้ แล้วอาก็ต้องทำแบบนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า” พระราชินีหอบหายใจอย่างเจ็บปวก ก่อนจะเก็บไม้กายสิทธิ์
“ลุงอีวาน...ดื่มเลือดของเจ้าหญิงเอเลนาไปเหรอครับ” เดรโกกลืนน้ำลายและพูดออกมา
“รู้ด้วยเหรอ”
“อาจารย์อวาลินเคยสอนไว้น่ะครับเน่อ” ไทกล่าว “เจ้าหญิงเอเลนามีน้ำตาที่รักษาทุกอย่างได้ แล้วก็มีเลือดที่ทำให้คนที่ดื่มเป็นอมตะใช่ไหมครับ”
“อืม” พระราชินีกลับมานั่งที่เก้าอี้ “อาจารย์อวาลินเองก็น่าจะสอนพวกเธอแล้วสินะว่าเพราะลูกสาวของอาเนี่ยแหละที่เป็นต้นเหตุทำให้อาณาจักรนี้โดนบุกจากทุกสารทิศ เพราะงั้นแหละ พวกเราเลยไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องทำให้ทหารของพวกเราเป็นอมตะ และชายเมื่อกี้ก็คือคน ๆ แรกที่อาสาดื่มเลือดต้องสาปนั้นไป”
“...ต้องสาปเหรอคะ” ลูอานาที่กลังมานั่งที่เก้าอี้เช่นกันถามอีกฝ่าย
“โลกนี้ไม่มีอะไรสมบูรณ์แบบหรอกนะ” พระราชินีกล่าว “คนที่ดื่มเลือดของเอเลนาไป แม้จะไม่มีวันตายด้วยสาเหตุใด ๆ ก็ตาม แต่ก็แลกมาด้วยการที่ร่างกายต้องแบกรับความเจ็บปวดมหาศาลตลอดเวลา ไม่มีเวทมนตร์หรือยาวิเศษไหนที่จะรักษาคำสาปนี้ได้แม้จะเป็นน้ำยาชำระล้างที่บริสุทธิ์ที่สุด คำสาปพรากวิญญาณก็พอจะหยุดอาการไม่ให้รุนแรงขึ้นชั่วคราวเท่านั้น สิ่งเดียวที่ช่วยได้ก็คือน้ำตาของเจ้าของเลือดนั่นแหละ”
ได้ยินดังนั้นเดรโกก็หันมาหามารีทันที แต่เธอเพียงเม้มปากให้
“แต่น้ำตาของเอเลนาก็บรรเทาอาการได้แค่หนึ่งวันเท่านั้น เลยต้องคอยเก็บน้ำตาจากเธอทุกวัน” มาร์การิตาถอนหายใจ “แล้วดูสิ่งที่เจ้าตัวตอบแทนคนที่ยอมแบกรับความเจ็บปวดนี้เพื่อปกป้องเธอสิ”
“...ทำไมเจ้าหญิงถึงหนีไปเหรอครับ”
หลังจากเงียบกันไปพักใหญ่ หนุ่มผมแดงก็วางส้อมลงบนจานและมองหน้าพระราชินีตรง ๆ
“นั่นสินะ” อีกฝ่ายจ้องมองขนมเตอร์กิชดีไลท์ด้วยสีหน้าหม่น ๆ “นกที่ถูกขังอยู่ในกรงน่ะ ต่อให้ได้กินอาหารดี ๆ หรือมีคนคอยเล่นด้วย แต่ถ้าเปิดประตูกรงทิ้งไว้ ยังไงก็ต้องบินหนีไปอยู่ดี แต่ที่สำคัญเลย คงเพราะว่าเด็กคนนั้นรู้ความจริงน่ะ...”
พวกเด็ก ๆ มองหน้าพระราชินี ส่วนมารีนั้นยังคงตักขนมเข้าปากเงียบ ๆ
“เอเลนาไม่ใช่สาวลูกแท้ ๆ ของอา”
“...อาร์คานาน่ะ ถ้ามีลูกกับมนุษย์จะได้ผู้วิเศษกับเอลฟ์ แต่หากอาร์คานามีลูกกับผู้วิเศษจะได้อะไร...”
อยู่ดี ๆ คำพูดของอาจารย์อวาลินทีทิ้งปริศนาเอาไว้ให้ตั้งแต่เมื่อคาบวิชาสังคมศึกษาหลายสัปดาห์ก่อนก็ผุดขึ้นมาอีกรอบ ทำให้สิ่งที่ยังติดใจของพวกเด็ก ๆ กระจ่างทันที
“เจ้าหญิง...เป็นลูกของพระราชากับอาร์คานาเหรอครับ” ไทพูดออกมา
“อาจารย์อวาลินสอนขนาดนั้นเชียว” พระราชินีเลิกคิ้ว “ก็ตามนั้นแหละ อามีสถานะเป็นแค่แม่เลี้ยง ไม่ใช่คนที่ให้กำเนิดเธอมาจริง ๆ เอเลนาเป็นลูกของโรมาริน อาร์คานาตนสุดท้ายที่มีชีวิตอยู่น่ะ”
พระนางลูบท้องของตนเองก้มหน้าเศร้า ๆ และเริ่มเล่าความหลังออกมา “แต่ไหนแต่ไร ร่างกายของอาไม่สามารถมีลูกได้น่ะ เป็นโรคทางพันธุกรรมที่ไม่สามารถรักษาได้ กระนั้นสามีของอาก็พยายามทุกวิถีทาง จนกระทั่งไปเจอเรื่องของเวทมนตร์โบราณเข้า”
“เวทมนตร์โบราณ...เวทมนตร์ของอาร์คานาน่ะเหรอคะ” ลูอานาพูดขึ้นมา ว่ากันว่าเวทมนตร์โบราณนั้นคือเวทมนตร์ที่คิดค้นขึ้นมาโดยอาร์คานา มีอานุภาพสูงกว่าเวทมนตร์ทั่วไปในปัจจุบันมาก จนมีคำกล่าวที่ว่าเวทมนตร์โบราณนั้นสามารถพลิกผืนฟ้าให้กลายเป็นแผ่นดินได้เลย แต่แน่นอนว่าทุกวันนี้เวทมนตร์ดังกล่าวหายสาบสูญไปแล้ว
“ใช่” พระราชินีพยักหน้า “สามีของอาเลยออกเดินทางไปทั่วโลกหลายปีเพื่อตามหาคนที่มีความรู้เรื่องเวทมนตร์โบราณ จนกระทั่งไปเจอโรมารินที่เป็นอาร์คานาเนี่ยแหละ แต่เรื่องตลกร้ายก็คือเขาดันไปหลงสเน่ห์ทางนั้นเข้าจนได้ทายาทโดยไม่ต้องพึ่งเวทมนตร์โบราณด้วยซ้ำ อย่างที่เขาว่ากันแหละนะ อาร์คานามีใบหน้าที่ทำให้คนหลงสเน่ห์ได้ ต่อให้เป็นผู้ชายที่สาบานด้วยชีวิตว่าจะมีภรรยาคนเดียวก็ตาม”
พระราชินีพ่นลมหายใจออกมา ก่อนจะใช้ส้อมตัดเนื้อขนมเข้าปากและเคี้ยวด้วยหน้าซังกะตาย “และผลสรุปก็คือไม่มีเวทมนตร์โบราณไหนที่จะทำให้อามีลูกได้อยู่ดี”
พวกเด็ก ๆ ได้แต่มองหน้าพระราชินีด้วยความสงสาร ขนมที่เคยหวานจัด ตอนนี้กลับไร้ซึ่งรสชาติไปแล้ว
“แล้ว...ทำไมเจ้าหญิงถึงมาอยู่ที่นี่ได้เหรอครับ” เดรโกถามอีกฝ่าย
“ได้เปิดอกคุยกันนิดหน่อยน่ะ พอฝ่ายนั้นเข้าใจเขาก็ยกเอเลนาให้กับอาตอนที่เด็กคนนั้นได้ขวบนึง แล้วจากนั้นก็หายตัวไปเลย” พระราชินีกล่าว “แต่มันก็เหมือนกับได้รับพรและคำสาปมาในเวลาเดียวกัน เอเลนาน่ะไม่ใช่เด็กปกติ เธอไม่ใช่ทั้งผู้วิเศษและอาร์คานา แต่เป็นอะไรที่เหนือกว่านั้น เรียกว่าเอ็กซีด”
“เอ็กซีด?” พวกเด็ก ๆ พูดพร้อมกัน
“อืม เป็นลูกผสมระหว่างผู้วิเศษกับอาร์คานาน่ะ ทำให้มีพลังเวทมนตร์สูงกว่าเผ่าพันธ์ุที่มีเวทมนตร์ทั้งมวล เอ็กซีดคนล่าสุดปรากฏตัวเมื่อพันปีก่อนนู่น แล้วก็เป็นสาเหตุของการล่มสลายของอาณาจักรโบราณแห่งหนึ่งไป” พระราชินีบอก “อาทิตย์แรกที่เอเลนามาอยู่ที่นี่ก็ทำหอคอยถล่มไปหอนึง แถมยังทำให้แม่บ้านหลายคนกลายเป็นแมวไปด้วย จนต้องให้อาจารย์อาเทเนียมาช่วย แล้วก็สร้างห้องที่พอจะป้องกันพลังของเอเลนาเอาไว้ได้ ซึ่งก็คือที่ ๆ พวกเธอโผล่มานั่นแหละ กว่าจะควบคุมพลังให้เข้าที่เข้าทางได้ก็ปาไปตอนสามขวบนู่น”
ได้ยินดังนั้น พวกเด็ก ๆ ก็เข้าใจแล้วว่าทำไมเจ้าหญิงเอเลนาถึงต้องอยู่บนห้องชั้นบนสุดของหอคอยที่สูงที่สุดด้วย ไม่ใช่แค่ความปลอดภัยของตัวเธอ แต่เพื่อความปลอดภัยกับคนรอบข้างด้วย
“ทีนี้ พอจะเข้าใจหรือยังล่ะว่าทำไมโลกเวทมนตร์ถึงต้องพลิกแผ่นดินหาตัวเธอขนาดนี้”
เดรโกกลืนน้ำลายและมองมาที่มารีอีกครั้ง แต่เธอก็เพียงทำตาปริบ ๆ ให้
“พวกเราพอจะมีเบาะแสอยู่ค่ะ” มารีพูดขึ้นมา “แต่ก็ไม่รู้ว่าจะพาเจ้าหญิงมาที่นี่ให้ได้หรือเปล่า”
“ขอให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ก็แล้วกัน ก่อนที่อาจะเปลี่ยนใจ” พระราชินีประสานมือ “อย่าคิดว่ากลับไปแล้วจะหนีพ้นล่ะ เพราะสายลับของเรฟลอเดียน่ะมีอยู่ทุกที่ และอาจจะอยู่ใกล้ตัวพวกเธอกว่าที่คิดด้วย”
แม้ริมฝีปากของพระนางจะยกขึ้น ทว่าดวงตาสีฟ้าสดใสของสตรีตรงหน้าดูเย็นยะเยือกขึ้นมาอีกรอบ ในจังหวะนั้นเอง แม่บ้านสาวอาเรียก็กลับมาพอดี
“จัดการเรื่องตั๋ววาฬให้แล้วเพคะฝ่าบาท” เธอกล่าว
“ขอบใจ งั้นฝากพาแขกไปส่งด้วย” พระราชินีกล่าว ก่อนจะเอาฝามาครอบถาดขนมเตอร์กิชดีไลท์ และให้พวกเด็ก ๆ ตามอาเรียไป
มารีและเพื่อน ๆ ที่สวมเสื้อคลุมขนสัตว์มีฮู้ดเพื่อป้องกันความหนาวสุดขั้วของเรฟลอเดียเดินตามแม่บ้านสาวในชุดแบบเดียวกันจนออกมาถึงถนนใหญ่ ท้องฟ้าครึ้มไปด้วยเมฆหนาและมีหิมะตกลงมาปรอย ๆ พื้นถนนปูด้วยหินมีหิมะปกคลุมอยู่จาง ๆ บ้านเรือนของที่นี่สร้างจากอิฐสีเข้ม บนหลังคามีหิมะทับทมจนกลายเป็นสีขาวโพลนและมีปล่องไฟอยู่ทุกหลัง โดยรอบไม่ค่อยมีคนออกมามากนัก แน่นอนว่าคงไม่มีใครอยากมาเดินเล่นท่ามกลางอุณหภูมิติดลบแบบนี้หรอก
“กลายเป็นเรื่องใหญ่จริง ๆ แล้วนะ” เดรโกมองไทกับลูอานา แม้จะมองไม่เห็นใบหน้าของเขาเพราะมีฮู้ดปกคุลม แต่เสียงที่ออกดุ ๆ ก็ทำให้สองหน่อคอตกทันที
“แค่พาอาเรียที่เรารู้จักมาที่นี่พอไหมอะเน่อ” ไทว่า
“ไม่ง่ายอย่างงั้นหรอก” มารีที่อุ้มนัวร์อยู่ในเสื้อคลุมบอก ก่อนจะถอนหายใจออกมาจนเกิดไอสีขาว เห็นดังนั้นไอ้ตัวแสบก็คอตกอีกรอบ
“แล้วเราจะทำยังไงดีล่ะคะ” ลูอานาเข้ามาจับแขนเสื้อของเธอ
“ไม่รู้ไม่ชี้”
“งือออ”
“เดี๋ยวกลับไปที่โรงเรียนค่อยว่ากันอีกทีเถอะ” เดรโกหัวเราะแห้ง ๆ
ทั้งหมดมาถึงอาคารหลังใหญ่ที่ตั้งอยู่บริเวณจัตุรัสของเมือง มีป้ายเขียนเอาไว้ว่า สถานเอกอัครราชทูตราชอาณาจักรเอลเดนประจำราชอาณาจักรเรฟลอเดีย
เมื่อเข้ามา ทั้งหมดก็ถอดเสื้อคลุมกันหนาวออก อาเรียแสดงตราบางอย่างให้เจ้าหน้าที่ประจำสถานทูตดู แล้วเจ้าหน้าที่ก็พาทั้งหมดมายังห้อง ๆ หนึ่ง เป็นเหมือนห้องนั่งเล่นที่ไม่มีอะไรมาก นอกจากโซฟา ชั้นวางหนังสือ กระถางต้นไม้ และเตาผิงใหญ่ที่สูงพอจะเข้าไปยืนได้หลายคน
ตอนแรกก็นึกว่าจะต้องมาเข้าพบใครหรือเปล่า แต่อาเรียเพียงเดินไปที่เตาผิง เขียนอะไรบางอย่างในกระดาษใส่กล่องโลหะ ปิดฝา แล้วก็วางลงไปบนกองฟืน จากนั้นก็หยิบผงขาว ๆ ในกระถางข้างเตาผิงมาหนึ่งกำมือปาลงไป ทันใดนั้นเปลวไฟสีม่วงก็ลุกโชนขึ้นมาวาบหนึ่ง และสิ่งที่หายไปก็คือกล่องเหล็กเมื่อครู่
“เคยใช้เครือข่ายเตาผิงมาก่อนไหมคะ” เด็กสาวหันมาหาพวกมารี แน่นอนว่าคำตอบที่ได้ไปก็คือการส่ายหน้าของทั้งสี่
ผ่านไปครู่เดียว ที่เตาผิงก็มีไฟลุกอีกครั้งพร้อมกลับกล่องโลหะกล่องเดิมปรากฏกลับมา อาเรียสวมถุงมือหนังกันความร้อนและเปิดกล่องออก หยิบแผ่นกระดาษที่มีควันลอยฉุยในนั้นออกมาอ่าน
“มาค่ะ ทางนั้นอนุญาตแล้ว” เธอบอก และให้พวกเด็ก ๆ เข้าไปยืนในเตาผิง “เดินทางปลอดภัยนะคะ คนทางนั้นจะจัดการต่อให้เองค่ะ คอนเทโก”
แม่บ้านสาวเสกคาถาเกราะป้องกันความร้อนให้พวกมารี ก่อนจะปาผงสีขาวลงไปที่ใต้เท้าของพวกเขา ยังไม่ทันที่มารีจะพูดขอบคุณ เพียงพริบตาเดียวสถานที่ตรงหน้าของเธอก็เปลี่ยนไปแล้ว
เจ้าหน้าที่ของสถานที่ปลายทางพาพวกมารีมาส่งหน้าอาคารและยื่นตั๋วเที่ยวบินไปโอวล์ฟอสเทียร์ของวันพรุ่งนี้ให้เนื่องจากเวลาท้องถิ่นของที่นี่เป็นช่วงพลบค่ำแล้ว พวกเด็ก ๆ กล่าวขอบคุณตามมารยาทแล้วก็เดินไปตามถนนที่ปูด้วยหินก้อนใหญ่ อากาศร้อนอบอ้าวผิดกับที่เรฟลอเดียอย่างสิ้นเชิงจนพวกเขาอยากจะกลับไปเลย
“ต้องหาที่พักกันสินะ” มารีว่า แต่ทำไมเธอรู้สึกว่ารอบ ๆ มันดูคุ้นตาจัง ตึกส่วนใหญ่ทำจากอิฐสีแดงมุงหลังคาด้วยกระเบื้องดินเผา และมีปล่องควันสูง ๆ อยู่เต็มไปหมด เจ้านัวร์ที่เดินอยู่ข้างก็มองซ้ายมองขวา
“ไม่ต้องหรอกเน่อ” ไทยิ้มออกมา “ก็ที่นี่บ้านพวกเรานี่นา”
มารีหันไปมองอาคารที่เธอเพิ่งออกมา ชื่อของมันคือสถานเอกอัครราชทูตราชอาณาจักรเรฟลอเดียประจำราชอาณาจักรเอลเดน
“เอลเดนเป็นพันธมิตรกับเรฟลอเดียมาตั้งแต่สมัยสงครามนี่เนอะ รู้สึกจะเป็นสถานทูตเรฟลอเดียแห่งเดียวของโลกเวทมนตร์ด้วย” เดรโกว่า “คนเรฟลอเดียออกมาจากนอกประเทศได้ก็เพราะแบบนี้นี่เอง”
“มารีมาค้างกับเค้าก็ได้นะคะ ให้ไปนอนบ้านพวกผู้ชายเดี๋ยวจะแต่งงานไม่ได้” ลูอานาเสนอ
“พระเจ้าไม่ลงโทษหรอกน่า มารีไม่ใช่เธอสักกะหน่อย” ไทประสานมือที่ท้ายทอยโดยไม่สนใจสายตามองค้อนจากสาวชาวเผ่า “มาบ้านเราก็ได้เน่อ แถวบ้านมีของกินอร่อย ๆ เยอะเลยนะ”
“หรือจะมานอนที่ห้องพักของกิลด์นักผจญภัยไหมล่ะ เราพอมีเส้นสายอยู่ เดี๋ยวให้เขาเปิดห้องพักให้ฟรี ๆ” เดรโกว่า
จริง ๆ มารีก็ไม่ได้ซีเรียสว่าจะต้องไปหาโรงแรมนอนเองหรอก แต่พอโดนสายตาสามคู่มองมา มันก็รู้สึกลำบากใจยังไงก็ไม่รู้แฮะ
“อยากนอนกับใครล่ะ”
มารีก้มลงไปมองที่พื้น มีเสียงเมี้ยว ๆ ตอบกลับมา แล้วเจ้านัวร์ก็เข้าไปเอาตัวถูกับหน้าแข้งของลูอานาและชูหางตั้งเด่
“ตามนั้น” เธอยิ้มจาง ๆ ให้เพื่อนสาว ทำเอาเจ้าตัวกระโดดดีใจและโผกอดเธอแน่น ส่วนสองหนุ่มก็ยิ้มเซ็ง ๆ ให้
“ไปหาอะไรกินกันไหม นี่ก็ค่ำแล้ว” เดรโกเสนอ
“ยังเลี่ยนไอ้ขนมไลท์ ๆ ของมารีอยู่เลยอะ ขอผ่านแล้วกัน” ไทเบ้ปาก
“เดี๋ยวเค้ากลับไปทำอะไรอร่อย ๆ ให้มารีกินเองค่ะ” ลูอานาบอกอย่างอารมณ์ดี และยังคงกอดมารีอยู่
“งั้นพรุ่งนี้เก้าโมงครึ่งเจอกันที่สนามบินนะ”
“รับทราบ”
หนุ่มผมแดงเดินไปตามถนนของตัวเมืองเพียงลำพัง ไม่รู้ว่าตอนนี้คุณแม่ของเขาจะกลับมาอยู่ที่บ้านแล้วหรือยัง แล้วจะงงหรือเปล่าว่าทำไมอยู่ดี ๆ ลูกชายถึงกลับมาบ้าน
“สองโลก ห้าประเทศในวันเดียวเลยนะเรา” เดรโกมองท้องฟ้ายามราตรีและครุ่นคิดถึงการผจญภัยในวันนี้ ใจจริงเขาอยากจะคุยกับมารีอีกสักหน่อย
ตอนแรกเขาก็สงสัยเรื่องที่ว่าถ้ามารีเคยดื่มเลือดของเจ้าหญิงไป ตัวเธอเองก็น่าจะมีอาการเดียวกับอีวาน แต่พอนึกขึ้นได้ว่าทางนั้นมีน้ำตาของเจ้าหญิงอยู่ ก็เลยปัดตกไป กระนั้นก็ยังมีอีกหลายเรื่องที่เขาคาใจ
อย่างแรกคือไม้กายสิทธิ์ที่มารีใช้คืออันเดียวกับที่เจ้าหญิงเอเลนาใช้ เขาเองก็สงสัยเหมือนกันว่ามันมาอยู่กับมารีได้ยังไง
อย่างที่สอง หลังจากที่มารีตายไปครั้งแรก เกิดอะไรขึ้นกับเธอบ้าง แล้วทำไมเจ้าหญิงเอเลนาถึงปลอมตัวเป็นอาเรีย และทำเหมือนไม่เคยรู้จักมารีมาก่อน
หรือว่าจะโดนลบความทรงจำตอนที่เคยอยู่ด้วยกันไป เพื่อไม่ให้เธอต้องเจ็บปวดอย่างงั้นเหรอ เพราะดูมารีเองก็ถนัดการใช้เวทมนตร์เกี่ยวกับความทรงจำพอควร
เด็กหนุ่มก็หยุดฝีเท้าและครุ่นคิด เขาเริ่มรู้สึกว่าเรื่องนี้มันมีอะไรแปลก ๆ
“หรือว่า...”
ณ ชายหาดที่เงียบสงบแห่งหนึ่ง มีคนสองคนกำลังนอนชิลอยู่บนเก้าอี้ชายหาด ชมพระอาทิตย์กำลังค่อย ๆ จมหายไปในทะเล ย้อมท้องฟ้าเป็นสีส้มแก่ ๆ และสะท้อนกับผืนน้ำเป็นประกาย
มีเสียงดังพรึบสั้น ๆ แล้วร่างของโทวาดะ ไนโตะก็โผล่มาเพิ่มอีกหนึ่งคน
“คว้าน้ำเหลวเหมือนเคยสินะ”
หญิงสาวคนหนึ่งที่นอนเอกขเนกขยับแว่นกันแดดมองเขา ดวงตาสีน้ำข้าวมองไปที่ชายหนุ่มเย้ย ๆ ผมยาวสลวยสีขาวที่มัดเป็นเปียยาวสองข้างและทำไฮไลต์สีชมพูของเธอต้องกับแสงแดดยามเย็น
“ใครจะไปคิดล่ะว่ายัยนั่นมีเพื่อนเป็นสัตว์ประหลาดอยู่ด้วย” ไนโตะถอนหายใจ “สะท้อนคำสาปพรากวิญญาณเต็ม ๆ จนไอ้คนร่ายตายคาที่เลย”
“ลูกชายของเลโอนา ดันเต้สิท่า เด็กนั่นก็น่าสนใจไม่น้อย” ชายหนุ่มผมดำอีกคนลุกขึ้นมานั่ง “แล้วตกลงว่าได้ตัวไหม”
“โดนยัยศพเดินได้นั่นหลอกเอาน่ะสิ ถึงจะจัดคำสาปไปให้ชุดหนึ่งแล้วก็เถอะ เดี๋ยวก็คงจะฟื้นกลับมาเหมือนรอบที่แล้ว” ชายหนุ่มนั่งยอง ๆ “เพราะไอ้นกฮูกนั่นโผล่มาขัดจังหวะแท้ ๆ”
“ถ้านายไม่มัวแต่เล่นกับเหยื่อก็คงจบงานไปตั้งนานแล้วล่ะย่ะ” หญิงสาวลุกขึ้นมานั่ง พลางขยับชุดว่ายน้ำทูพีซสีขาวที่ขับเน้นส่วนเว้าส่วนโค้งสุดสะเบิ้มกับโชว์ผิวเนียนเปล่งปลั่งให้เข้าที่เข้าทาง เธอหยิบน้ำผลไม้ที่วางบนโต๊ะข้าง ๆ มา และใช้ริมฝีปากอวบอิ่มอมหลอดดูดน้ำ
“ถ้าเสร็จงานเร็วอย่างเธอมันจะไปสนุกอะไรล่ะ” ไนโตะเบ้ปากเลื่อนสายตาไปมองเย้ย ๆ เห็นดังนั้นหญิงสาวก็หัวเราะเหอะประชดออกมา
“รอบนี้ว่าจะให้ริโอเน่ไปช่วยอีกแรง” ชายหนุ่มผมดำกล่าว และจ้องตาของอีกฝ่ายด้วยดวงตาสีเขียวมรกตเหมือนสัตว์เลื้อยคลาน “แต่จะขอเปลี่ยนเป้าหมายนิดหน่อย”
“ว่ามา” แม้จะไม่ค่อยสบอารมณ์นักที่ต้องร่วมงานกับยัยไม่เบื่อไม้เมานี่ แต่ไนโตะก็ให้อีกฝ่ายบอกรายละเอียดงานมา
“พักเรื่องเอเลนาไปก่อน ตอนนี้ฉันเริ่มจะสนใจแม่ศพเดินได้ของนายแล้วล่ะ ไปเอาตัวเธอมาให้ที”
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ