ม.ปลายสายเวทย์
-
เขียนโดย TheBoyOnTheMoon
วันที่ 13 พฤษภาคม พ.ศ. 2567 เวลา 21.39 น.
19 ตอน
1 วิจารณ์
4,005 อ่าน
แก้ไขเมื่อ 17 พฤษภาคม พ.ศ. 2567 20.34 น. โดย เจ้าของนิยาย
13) Walking corpse and killing curse
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ13
Walking corpse and killing curse
ผ่านไปราวสิบห้านาที มารีก็จูงมืออาเรียข้ามเกทและวิ่งกลับมาที่สะพาน ตอนนี้ผู้คนเริ่มบางตาลง และร้านค้าหลาย ๆ ร้านทยอยปิดเพราะเริ่มดึก
เมื่อมาถึงที่หมาย มารีก็พบกับอีกาตัวหนึ่งเกาะขอบรั้วรออยู่ เธอจับมือของสาวผมเงินไว้มั่นและยกแขนอีกข้างหนึ่งขึ้นมา เจ้ากากางปีกและบินมาเกาะที่แขน ทันใดนั้นภาพโดยรอบบิดเบี้ยว ท้องของเธอก็รู้สึกหวิว ๆ เหมือนตกจากที่สูง และตามมาด้วยเสียงดึงพรึบ
“อึก...ไม่ชอบการหายตัวเล้ยยย” เด็กสาวเกือบจะขย้อนอาหารที่กินไปก่อนหน้านี้ออกมาเมื่อมาถึงอีกสถานที่ แม้นี้จะไม่ใช่การหายตัวครั้งแรกของเธอ แต่มารีก็ไม่เคยชอบเวทมนตร์เคลื่อนย้ายที่อีกรูปแบบหนึ่งนี้สักเท่าไหร่นัก อาเรียเองก็มีอาการหน้าซีดไม่ต่างกัน ส่วนเจ้าอีกาที่พาเธอมาก็ขยายร่างกลับเป็นคนในเครื่องแบบหมออีกาสีดำและเอาไม้กายสิทธิ์มาจ่อเธอไว้ ทั้งสองคนส่งไม้กายสิทธิ์ให้กับมันไป
ดูเหมือนที่แห่งใหม่จะเป็นห้องนั่งเล่นธรรมดาทั่ว ๆ ไปของพวกมนุษย์ โดยรอบมีพวกฝูงอีกาในเครื่องแบบเต็มยศยืนอยู่หลายคน คนหนึ่งเฝ้าเดรโกรัสกับไทที่ถูกเชือกเวทมนตร์พันธนาการรัดกับเสาต้นหนึ่งเอาไว้ด้วยกันและเอาเทปกาวปิดปากเอาไว้ พวกเขาร้องอู้อี้ออกมาอย่างทรมานเพราะถูกเชือกรัดแน่นขึ้นเรื่อย ๆ ถ้ามารีมาช้ากว่านี้คงโดนรัดจนขาดอากาศหายใจตายได้แน่ ๆ
ส่วนที่โซฟาตรงหน้าก็มีร่างของโทวาดะ ไนโตะในชุดสบาย ๆ นั่งกินขนุกขนมและผลไม้ที่พวกมารีซื้อมาเมื่อกี้ ข้าง ๆ โซฟามีอุปกรณ์เวทย์มนตร์ของเพื่อนทั้งสาม และก้อนเดินเหนียวที่ปั้นเป็นรูปหมาสามหัววางอยู่
และที่ทำให้ดวงตาสีเปลือกไม้เบื้องหลังแว่นเบิกโพลง ก็คือร่างไร้สติของลูอานาที่นอนกางแขนกางขาและถูกมัดขึงเอาไว้บนโต๊ะตัวใหญ่ โชคยังดีที่เสื้อผ้าของเธออยู่ครบและยังไม่โดนทำอะไร
“น่าจะมาช้ากว่านี้สักหน่อยนะ” ชายหนุ่มพูดโดยที่ยังเคี้ยวตุ้ย ๆ เขาลุกขึ้นและเดินมาหาเธอ ก่อนจะล้วงกระเป๋าและโยนมีดพกให้ “งั้น พิสูจน์ให้ดูหน่อยว่าเธอพาเอเลนาตัวจริงมา เขาว่าน้ำตาของเจ้าหญิงรักษาได้ทุกอย่างนี่”
มารีเม้มปากกัดฟันแน่นก่อนจะกำคมมีดและกระชากออกอย่างรวดเร็ว ของเหลวสีแดงอุ่น ๆ ไหลออกมาจากมือจนชุ่ม จากนั้นเธอก็หยิบหลอดแก้วออกมาส่งให้อาเรีย เด็กสาวผมเงินเอามันมาจ่อใกล้ ๆ ตา ไม่นานหยดน้ำใส ๆ ก็ไหลออกมาและลงไปในหลอด
มารีรับหลอดแก้วมาจากอาเรีย จากนั้นก็ราดลงไปบนมือ เกิดฟองฟู่เล็กน้อย แล้วบาดแผลบนมือก็สมานกลับมาได้ดังเดิม
เห็นดังนั้น ชายหนุ่มก็ประกบมือและยิ้มออกมา ทว่ามารีรู้สึกได้เลยว่ามันคงไม่จบง่าย ๆ แน่
“ออ แล้วเขาก็ว่าเลือดของเจ้าหญิงทำให้คนเป็นอมตะได้นี่เนอะ”
แล้วจะให้ตูเจ็บฟรีทำไม...
มารีทำหน้าตายด้านใส่ชายหนุ่มก่อนจะหันไปหาอาเรีย สาวผมเงินเม้มปากและยื่นมืออันบอบบางมาให้ มารีใช้กระโปรงเช็ดคราบเลือดออกจากมีด จากนั้นก็ใช้ปลายแหลม ๆ สะกิดปลายนิ้วนางของอีกฝ่ายจนเกิดแผลเล็ก ๆ และมีหยดเลือดซึมออกมา
เธอทำท่าจะดูดปลายนิ้วเรียว ๆ ของอาเรีย ทว่าไนโตะกลับยกมือห้าม
“ทั้งที่เคยโดนไปขนาดนั้นแท้ ๆ ถ้าเธอไม่ได้ดื่มเลือดเอเลนาไป ก็คงมีชีวิตมาถึงทุกวันนี้ไม่ได้หรอกจริงไหม แม่ศพเดินได้ของฉัน” ชายหนุ่มกล่าว “ถ้าเธอดื่มไปอีกมันจะไปรู้อะไรล่ะ”
“...” ได้ยินดังนั้นมารีก็ค้างไป เพื่อนทั้งสองคนเองก็มองเธอด้วยความสงสัย
“เอ้า ๆ เลือกมาสักคน” ไนโตะผายมือไปยังสองหนุ่ม ทำเอาอาเรียโบกตาโพลงและหันมาหามารี
“ให้ตายสิ” เด็กสาวมองหน้าเพื่อน ๆ อย่างกระอักกระอ่วน ไม่นึกเลยว่าไอ้หมอนี่จะเดาทางเธอออก
แต่ในตอนนั้นเองมารีก็เห็นว่าเดรโกขยับหัวให้เหมือนส่งซิก
เอาจริงดิ
เธอเม้มปากและตัดสินใจชี้นิ้วไปที่เขา ไนโตะหันไปพยักหน้ากับคนที่อยู่ใกล้กับมารีและอาเรีย มันจับไหล่ของสาวผมเงินพาไปหาเดรโก จากนั้นก็ลอกเทปกาวที่ปิดปากของเด็กหนุ่มออก อาเรียค่อย ๆ ยื่นนิ้วนางไปใกล้กับปากของเดรโกให้เขาดื่มเลือดเข้าไป
ไนโตะพยักหน้าอีกหนึ่งที หมออีกาให้อาเรียหลบไป จากนั้นก็ยกไม้กายสิทธิ์ในมือขึ้นสูง จังหวะนั้นมือทั้งสองของมารีก็กำแน่น
“เอเมโต อนิมา!”
เปรี้ยง!
สิ้นเสียงคำรามอันแหบพร่า สายฟ้าสีเขี้ยวก็พุ่งจากปลายไม้กายสิทธิ์เข้าใส่หน้าอกของเดรโกเต็ม ๆ มีเสียงร้องอย่างเจ็บปวดดังมาจากเด็กหนุ่ม ไทกับที่ถูกมัดอยู่ด้วยกันหลับตาปี๋และพยายามดิ้น
ทว่าสิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น เมื่อคำสาปสะท้อนจากตัวเดรโกกลับไปโดนคนที่เพิ่งร่ายใส่เมื่อกี้เต็ม ๆ จนกระเด็นและนอนแน่นิ่งไป ก่อนจะสลายไปเป็นเถ้าธุลีลอยละล่อง เหลืองเพียงไม้กายสิทธิ์ของเขา มารี และอาเรียตกอยู่ที่พื้น
ในจังหวะที่ทุกคนกำลังอึ้งกับสิ่งที่เห็น สาวผมเงินก็ก้มตัวลงไปเก็บไม้กายสิทธิ์ของมารีและโยนไปให้เธอ และทันใดนั้นร่างของอาเรียก็หายวับไป
“เรฟุลเจโอ!”
มารีรีบเสกคาถาสว่างวาบ จนทำให้ในห้องอาบไล้ไปด้วยแสงสีขาวโพลน และทำให้ตาของทุกคนพร่าไปชั่วขณะ
“เวอร์โตรัส ลิควิดัม!”
จากนั้นเธอก็ยิงคาถาไปยังเสาที่เดรโกกับไทถูกมัดและโต๊ะที่ลูอานาถูกขึง เสาปูนและโต๊ะแข็ง ๆ เปลี่ยนสภาพกลายเป็นน้ำและไหลทะลักไปทั่วห้อง นั่นทำให้เชือกเวทมนตร์พันทนาการไม่มีอะไรให้ยึดได้อีก สองหนุ่มสลัดเชือกออก เดรโกรีบไปหยิบอุปกรณ์เวทมนตร์ตรงโต๊ะข้างโซฟา ส่วนไทก็วิ่งไปหาลูอานา
“เอเมโต อนิมา!”
ทว่าในจังหวะนั้น ไนโตะที่ตั้งตัวได้ก่อนใครก็ชี้ไม้กายสิทธิ์ไปที่ไท สิ้นเสียงคำราม สายฟ้าสีเขียวก็พุ่งออกมาจากปลายไม้
“ทรานส์เฟโร!”
ภายในพริบตาเดียว ร่างของไทก็สลับกับมารี แต่ด้วยจังหวะกระชั้นชิด เธอจึงไม่สามารถร่ายคาถาต้านคำสาปของไนโตะได้ทัน คำสาปพรากวิญญาณจึงโดนเข้าเต็ม ๆ อกของเธอจนล้มทั้งยืน ดวงตาสีเปลือกไม้หลังแว่นตาเบิกโพลง
“มารี!!”
ไทหน้าเหวอกับภาพที่เห็น แต่ไนโตะไม่ได้ยืนชมผลงานแต่อย่างใด เขากลับหลังหันง้างไม้กายสิทธิ์ และร่ายคาถาชุดใหม่หมายจะจัดการพวกเด็ก ๆ ให้สิ้นซากต่อทันที
“ไท!” เดรโกโยนไม้ตะพดสองอันให้ เขารับมาแล้วก็ยิงคาถาต้านกับอีกฝ่าย
ลำแสงของคาถาจากทั้งสองฝ่ายปะทะกันและผลักกันไปมา ในขณะที่เดรโกที่เข้ามายืนหันหลังติดกับเขาก็ต้องรับมือกับคาถาที่ยิงมาจากพวกหมออีกาคนอื่น ๆ และคุ้มกันไทไม่ให้โดนลูกหลง
ตูมมมม
หมออีกกาอีกสองคงเข้ามาขนาบข้างไนโตะและยิงคาถาเสริมเข้าไป จนสุดท้ายไทก็ต้านเอาไว้ไม่ไหว เขาเสกคาถาเกราะป้องกันตัวเองและเดรโกขึ้นมาก่อนที่คาถาของอีกฝ่ายจะเข้าตัว กระนั้นความรุนแรงของคาถาก็ส่งผลให้เกิดการระเบิดจนสองหนุ่มปลิวกันไปอัดกำแพง ไทนอนแน่นิ่งไป ส่วนเดรโกยังพอมีสติอยู่
หนุ่มผมแดงกัดฟันพยายามลุกขึ้นมา แต่ก็โดนหมออีกาใกล้ ๆ เหยียบหลังจนตัวติดพื้น
“ให้ตายสิ ดื้อกันชะมัด ไอ้เด็กพวกนี้” ไนโตะขยับคอเสื้อและมองไปรอบ ๆ “ว่าแต่แม่นั่นหายไปไหนแล้วล่ะ”
แอ่ก!
ทว่าอยู่ดี ๆ ความหนักที่หลังของเดรโกก็หายไป ตามมาด้วยเสียงดังตุบ เมื่อหนุ่มผมแดงเงิยหน้าขึ้นมาก็พบกับร่างของหมออีกาที่ปลิวออกไปนอนแอ้งแม้งไกล ๆ
พอมองขึ้นมาอีกนิด เขาก็เห็นว่ามีมือปริศนายื่นมาให้และช่วยฉุดมือของเขาลุกขึ้นยืน
“ให้ตายสิ เอ็งอีกแล้วเรอะ” ไนโตะถอนหายใจและชี้ไม้กายสิทธิ์ใส่ผู้ที่ปรากฏตัวขึ้นมาใหม่
บุคคลปริศนาในชุดคลุมมีฮู้ดสีขาว-ทองและสวมหน้ากากนกฮูกชี้ดาบน้ำแข็งใส่อีกฝ่ายอย่างไม่เกรงกลัว ไม่มีคำพูดใด ๆ เปล่งออกมา เขาจับดาบด้วยมือทั้งสองและพุ่งเข้าใส่คู่ต่อสู้ทันที
แล้วในห้องก็สว่างวาบและอึกทึกคึกโครมไปด้วยเสียงของคาถาจำนวนมากปะทะกัน เดรโกตั้งรับการโจมตีที่ถาโถมจากอีกฝ่ายและสวนกลับเท่าที่จะไหว ในขณะที่นักดาบปริศนาก็เคลื่อนที่ไปรอบห้องอย่างรวดเร็วและอัดพวกฝูงอีกาจนปลิวไปทีละคน ๆ
ไนโตะที่เห็นท่าไม่ดี จึงอาศัยจังหวะชุลมุนรีบวิ่งไปหยิบดินปั้นรูปหมาสามหัวที่โต๊ะและไปที่ร่างของลูอานาที่ยังนอนอยู่ใกล้ ๆ มารี เขาเด็ดหัวหมาหัวหนึ่งออกทิ้งไป จากนั้นก็เสกคาถาดึงร่างของไทเข้ามาหา
มันจับไทกับลูอานานอนทับกัน จากนั้นก็ยัดดินปั้นเข้าไปที่ในร่างของทั้งสอง
นักดาบที่หันมาเห็นเข้า ก็รีบพุ่งตัวเข้ามาหาทันที ทว่าสายไป
ร่างของเด็กทั้งสองเปล่งแสงและหลอมรวมกัน แล้วก็ขยายใหญ่ขึ้นกลายเป็นหมาสองหัวที่สูงประมาณสามเมตร มันตวัดกรงเล็บซัดนักดาบจนตัวปลิวไปอัดกำแพง
“โฮกกกก”
สิ่งสุดท้ายที่เดรโกเห็นก็คือยิ้มสแยะของไนโตะ แล้วร่างของเขาก็บิดเบี้ยวและหายวับไปพร้อมกับพวกฝูงอีกาคนอื่น ๆ
หมาสองหัวทำท่าจะวิ่งใส่นักดาบที่คุกเข่าเอาดาบปักพื้นอยู่ แต่ก็ชะงักไปเมื่อโดนเดรโกใช้คาถายกโต๊ะวางของให้ลอยขึ้นและเขวี้ยงไปโดนมันเต็ม ๆ กระนั้นเจ้าหมาก็ไม่สะทกสะท้านแม้แต่น้อย
มันแยกเขี้ยววิ่งเข้ามาหาเขาแทน เด็กหนุ่มยืนอย่างสุขุมและกระโจนหลบได้ทัน ทำให้เป้าหมายของเจ้าหมายกลายเป็นกำแพงแข็ง ๆ ไป
นักดาบปริศนาเข้ามาสมทบและตั้งท่าเตรียมพร้อม ทว่าเขากลับดูลังเล
“เอาไงดี” เดรโกยืนเคียงข้างและตั้งท่าเตรียมพร้อมเช่นกัน แน่นอนว่าเขายังพอมีพลังเวทย์เหลือมากพอที่จะจัดการมันได้ในช็อตเดียว แต่ก็ไม่อยากลงมือเพราะตรงหน้าก็คือเพื่อนทั้งสองของเขา
“โฮกกกก” หมาสองหัวหันกลับมาและคำรามใส่ทั้งสองอีกรอบ มันตะกุยขาหลังและเตรียมจะพุ่งเข้ามา
เดรโกเลื่อนสายตาไปดูท่าทีอีกฝ่าย ทว่าทางนั้นกลับยังคงนิ่งสุขุม นักดาบชี้อาวุธของตนไปด้านหน้า บังเกิดวงแหวนเวทมนตร์สีเหลืองขนาดใหญ่ปรากฏขึ้นมา คั่นกลางระหว่างพวกเขาและหมาสองหัว
สัตว์ร้ายแยกเขี้ยวและยังคงวิ่งเข้ามาหมายจะขย้ำโดยไม่สนใจว่าจะมีอะไรขวาง เดรโกกลืนน้ำลายและเลื่อนสายตาไปมองนักดาบอีกครั้งอย่างหวั่น ๆ ทว่าฝ่ายนั้นก็ยังคงนิ่งอยู่เช่นเดิม
และเมื่อร่างขนาดยักษ์ของเจ้าหมาสองหัววิ่งผ่านวงแหวนเวทมนตร์ สิ่งที่วิ่งมาหาทั้งสองก็คือ...
“บ็อก ๆ แฮกๆๆๆ”
จากหมาตัวโตถึงสามเมตร ตอนนี้กลายเป็นลูกหมาสองหัวตัวกระจ้อยหน้าตาน่ารักเสียอย่างนั้น มันกระดิกหางดุ๊กดิ๊กและแลบลิ้นหอบแฮก ๆ มองขึ้นมาอย่างน่าเอ็นดู
“....เอิ่ม...อ้าว” เดรโกหันไปมองนักดาบอีกครั้ง ทว่ากลับเหลือแต่เขาคนเดียวที่ยืนอยู่ในห้องเสียแล้ว
หนุ่มผมแดงเข้าไปนั่งคุกเข่าใกล้กับร่างของมารีและประคองเธอขึ้นมาอย่างทะนุถนอม ดวงตาของเธอยังคงลืมอยู่ พอแตะไปที่คอก็ไม่พบสัญญาณชีพจร ร่างกายของเธอเย็นชืด
เดรโกถอดแว่นตาของอีกฝ่ายออกและเอามือของตนเองปิดเปลือกตาทั้งสองของมารีอย่างระมัดระวัง ก่อนจะโน้มตัวลงไปกอดร่างไร้วิญญาณของเธอสาวจนแน่น ทุกอย่างมันเกิดขึ้นไวและชุลมุนมากจนเขาปรับอารมณ์ไม่ถูก ความรู้สึกหนักอึ้งเริ่มถาโถมเข้ามา ลำคอจุกไปหมดจนไม่อาจเปล่งคำใด ๆ ออกมาได้ เขาได้กัดฟันแน่นอย่างเจ็บใจ
ถ้าพวกเขาไม่ดื้อดึงตามมารีมาด้วย ก็คงไม่เกิดโศกนาฏกรรมแบบนี้ ถ้ารู้แบบนี้เขาน่าจะห้ามพวกเพื่อน ๆ เอาไว้
ลูกหมาสองหัวเข้ามาคลอเคลียใกล้ ๆ เขาและครางเศร้า ๆ ออกมา ระหว่างนั้นเองเดรโกก็เห็นอาเรียเดินเข้ามาหา จะว่าไป ก่อนหน้านี้เขาไม่เห็นเธอเลย บางทีอาจจะใช้คาถาหลอกสายตาซ่อนตัว แต่ว่าถ้าอย่างนั้นเขาก็ต้องเห็นสิ
หรือว่า...
อาเรียนั่งยอง ๆ ตรงหน้าและยิ้มเจื่อนให้ ทันใดนั้นเองร่างของเธอก็หดลงและหน้าตาเปลี่ยนไปกลายเป็นเด็กผู้ชายหน้าตาจิ้มลิ้ม จากผมยาวสีเงินก็หดสั้นกลายเป็นผมสั้นสีดำ ใบหูเลื่อนขึ้นสูงและกลายสภาพเป็นหูแมว ที่ก้นก็มีหางแมวงอกออกมา สิ่งที่เดียวที่ยังไม่เปลี่ยนก็คือเสื้อผ้า
“เอ๋”
“...นี่ มันอึดอัดนะ”
มีเสียงดังมาจากร่างที่อยู่ในอ้อมแขนของเขา เมื่อเดรโกมองลงมา ก็เห็นมารีที่หน้าแดงแปร๊ดเบือนหน้าหนี
“เอ๊....”
มารีเสกคาถาสร้างประตูมิติขึ้นมา พาเดรโก นัวร์ และไทกับลูอานาในร่างลูกหมาสองหัวข้ามมายังสถานที่แห่งหนึ่ง เพราะเกทก่อนหน้านี้ถูกเธอผนึกไปแล้วเพื่อไม่ให้พวกฝูงอีกาข้ามไปที่โอวล์ฟอสเทียร์ได้
และแน่นอนว่าในโลกมนุษย์แบบนี้ไม่มีการควบคุมการใช้คาถาใด ๆ จึงไม่ต้องกลัวว่าจะโดนตำรวจจับ นั่นจึงเป็นอีกหนึ่งเหตุผลที่พวกฝูงอีกาเลือกที่นี่เป็นฐานที่มั่น
ที่ ๆ เธอพามาเป็นห้องของอะพาร์ตเมนต์เล็ก ๆ ด้านหนึ่งมีเตียงตั้งอยู่หนึ่งหลังกับโต๊ะวางของและตู้เสื้อผ้า ฝั่งตรงข้ามกับเตียงเป็นโต๊ะเขียนหนังสือที่เต็มไปด้วยอุปกรณ์วาดเขียนมากมายและกระถางต้นลิ้นมังกรที่เหี่ยวเฉา ตามผนังมีภาพวาดสีน้ำติดประดับอยู่ประปราย ตรงหน้าต่างมีขาตั้งภาพวาดและเฟรมเปล่า ๆ หลายอันวางพิงผนังอยู่ เมื่อมองออกไปนอกหน้าต่างก็เห็นทิวทัศน์ของเมืองยามบ่าย แต่ที่โดดเด่นก็คือหอคอยทรงเรียวแหลมสร้างจากโลหะสีเข้ม
“ที่ไหนน่ะ บ้านมารีเหรอ” เดรโกที่ตอนนี้เปลี่ยนชุดกลับมาเป็นเครื่องแบบนักเรียนและสวมแว่นกันลมเหมือนเดิมถามมารี
“อืม” มารีมองไปรอบ ๆ แก้มของเธอยังเป็นสีชมพูอยู่ เธอเดินไปเปิดสวิตช์ไฟทำให้ห้องสว่างขึ้น แล้วก็ใช้คาถาเสกน้ำออกมาจากปลายไม้กายสิทธิ์ รดน้ำต้นลิ้นมังกรในกระถาง “ไม่เป็นอะไรใช่ไหม โดนคำสาปพรากวิญญาณไปเต็ม ๆ ขนาดนั้น”
“จุกนิดหน่อยน่ะ แต่นอกนั้นก็ไม่เป็นอะไรหรอก” เด็กหนุ่มยิ้มให้ ก่อนจะนั่งลงที่เก้าอี้ของโต๊ะเขียนหนังสือและลูบ ๆ หน้าอกที่ปะทะกับคำสาปไปก่อนหน้า พลางมองไปที่นัวร์ที่ลูบไล้เจ้าหมาน้อยอย่างมันเขี้ยว “ตกลงว่าไม่ได้พาอาเรียมาจริง ๆ สินะ แล้วเด็กนี่ใครเหรอ”
“นัวร์เองฮะ” หนุ่มน้อยฉีกยิ้มให้ “เมื่อกี้ผมแปลงร่างกลับเป็นแมวแล้วก็ไปซ่อนตัวน่ะฮะเมี้ยว”
ได้ยินดังนั้น หนุ่มผมแดงก็อึ้งไป ใครจะคิดล่ะว่าแมวดำประจำห้องชมรมจะแปลงร่างเป็นมนุษย์สัตว์ได้
“ก่อนหน้านี้ให้กินน้ำยาแปลงร่างเป็นอาเรียเข้าไปน่ะ” มารีบอก พลางหยิบขวดน้ำยาแปลงร่างออกมาจากกระเป๋าสะพายข้าง “อาจารย์ราตรีให้มา บอกไว้แล้วว่าสักวันคงได้ใช้ แล้วก็ได้ใช้จริง ๆ”
“แล้วนายก็ใส่ชุดของสภานกฮูกมาช่วยเหรอ” เดรโกถามหนุ่มน้อย แต่นัวร์ส่ายหน้า
“ไม่ใช่หรอกเมี้ยว ขานั้นคงจะไล่ตามพวกบ้านั่นไปต่อแล้วล่ะฮะ” นัวร์ยิ้มออกมาพลางชำเลืองไปมองมารี
“รู้จักสภานกฮูกด้วยเหรอ” เด็กสาวเลิกคิ้ว ก่อนจะนั่งลงบนเตียง
“สมัยเด็ก ๆ เคยถูกพวกเขาช่วยเอาไว้น่ะ ไม่งั้นก็คงมานั่งอยู่ตรงนี้ไม่ได้หรอก” เด็กหนุ่มยิ้มออกมา “มารีเองก็ด้วยสินะ”
“...ก็ประมาณนั้น”
สภานกฮูก (The Parliament of Owl) คือองค์กรลับที่ก่อตั้งขึ้นเพื่อต่อสู้กับการก่อการร้ายทุกรูปแบบในโลกเวทมนตร์ โดยเฉพาะการต่อกรกับพวกฝูงอีกา ซึ่งเจ้าหน้าที่ทุกคนของสภานกฮูกจะสวมหน้ากากเอาไว้ตลอดการปฏิบัติการ และไม่เปิดเผยตัวตนให้ใครรู้
และผู้ที่ก่อตั้งขึ้นมาก็ไม่ใช่ใคร มหาจอมเวทย์อาเนีย ไวท์ฟอร์ด นั่นเอง
“แล้วสองคนนี้จะยังไงต่อล่ะ ก่อนหน้านี้โดนไอ้ไนโตะนั่นสาปกลายเป็นหมาสองหัวตัวโตน่ะ แล้วสภานกฮูกคนนั้นก็เสกให้ตัวหดเหลือแค่นี้”
“ให้กินน้ำยาชำระล้างไปก็น่าจะคืนร่างเดิมได้ ฝากปรุงให้หน่อยได้ไหม เราไม่ค่อยถนัด”
“อาจารย์ราตรีไม่ได้ให้มาเหรอ”
“เขาว่ามันปรุงง่าย ก็เลยให้ทำเองน่ะ”
“งืม...”
มารีหยิบอุปกรณ์ปรุงยาและส่วนผสมต่าง ๆ ออกมาจากกระเป๋าสะพายข้าง ส่งให้เดรโกวางที่โต๊ะเขียนหนังสือ
“ดีนะที่ให้เรารับคำสาปพรากวิญญาณน่ะ ไม่งั้นคงได้เสียเพื่อนไปคนนึงแน่” หนุ่มผมแดงพูดขึ้นมาระหว่างที่เสกน้ำใส่หม้อ และจัดเตรียมส่วนผสม
“อืม ว่าแต่ทำได้ยังไงน่ะ”
“คาถา คำสาป แล้วก็การโจมตีทางกายภาพทุกชนิดไม่มีผลกับเราน่ะ ตั้งแต่จำความได้ก็รู้ตัวว่ามีความสามารถนี้แล้ว เราเองก็ไม่ค่อยแน่ใจหรอกว่าเพราะอะไร” หนุ่มผมแดงตอบ พลางจุดตะเกียงไฟใต้หม้อยา “แต่เราว่ามารีน่ะแปลกยิ่งกว่าอีกนะ โดนคำสาปไปเต็ม ๆ แบบนั้นยังฟื้นกลับมาได้น่ะ”
“เมื่อก่อนก็มีอะไรหลาย ๆ อย่างเกิดขึ้นล่ะนะ” เธอตอบด้วยหน้านิ่ง “ก็เหมือนกับที่เจ้านั่นบอก เราคือศพเดินได้”
“มารีเองก็เคยเข้าไปข้องเกี่ยวกับพวกนั้นสินะ ดูไอ้ไนโตะนั่นเหมือนจะรู้จักมารีมาก่อนเลย” เมื่อน้ำเริ่มเดือด เดรโกก็เริ่มใส่ส่วนผสมต่าง ๆ ลงไปในหม้อ
“...ก็ไม่ได้อยากรู้จักเท่าไหร่หรอก”
หลังจากใส่ส่วนผสมหลักเกือบหมดแล้ว ก็เหลืออย่างสุดท้ายนั่นคือน้ำตาแม่มด รอบนี้มารีไม่ใช้น้ำตาของตัวเองแล้วเพราะรู้ว่าใช้ไม่ได้ เธอหยิบหลอดแก้วที่บรรจุของเหลวใส ๆ ออกมาและหยดลงไปในหม้อหนึ่งหยด ทันใดนั้นน้ำยาในหม้อก็เปล่งแสงสีฟ้าสดใสออกมา บ่งบอกถึงคุณภาพชั้นเลิศ
รู้งี้น่าจะใช้ไอ้นี่ตั้งแต่ตอนคาบวิชาปรุงยาคาบแรก
“มารี...เกี่ยวข้องอะไรกับเจ้าหญิงเอเลนาสินะ” หลังจากความเงียบพักใหญ่ ๆ หนุ่มผมแดงก็พูดขึ้นมาโดยที่ยังจับจ้องน้ำยาในหม้อ “อันนี้ก็คือน้ำตาของเจ้าหญิงงั้นเหรอ”
“อืม”
“แล้ว...ที่มารีไม่ตาย ทั้ง ๆ ที่โดนคำสาปพรากวิญญาณ...ก็เพราะเคยดื่มเลือดของเจ้าหญิงไปเหรอ อย่างที่เจ้านั่นบอก”
ดวงตาเบื้องหลังแว่นกันลมสีทึบของเด็กหนุ่มจ้องไปที่หน้าของมารีตรง ๆ แล้วความเงียบงันก็เข้าปกคลุม อยู่ดี ๆ ก็รู้สึกว่าในห้องหนาวขึ้นมา
มารีนั่งลงบนโต๊ะเขียนหนังสือมองออกไปนอกหน้าต่าง ก่อนจะหยิบสมาร์ตโฟนออกมา จากนั้นก็กด ๆ ลงไปและส่งให้อีกฝ่ายดู คิ้วทั้งสองของเดรโกเลิกขึ้นพร้อมกับปากที่อ้าค้าง
เพราะในนั้นก็คือภาพของมารีที่กำลังเซลฟีกับเจ้าหญิงเอเลนาในห้องที่พวกเขากำลังอยู่นี้นั่นเอง ใบหน้าของมารีในรูปนั้นยิ้มแย้มอย่างสดใสร่าเริงขัดกับที่เป้นอยู่ในตอนนี้ ในขณะที่เจ้าหญิงเอเลนายิ้มอย่างเคอะเขิน และไม่ค่อยแสดงสีหน้ามาก
“เมื่อก่อนเคยอยู่ด้วยกันน่ะ แต่ตอนนี้ก็แยกทางกันไปแล้ว ตอนที่จากกันก็ไม่ค่อยดีสักเท่าไหร่ ไม่ได้บอกลาอะไรกันเลย แล้วก็มีลงไม้ลงมือกันนิดหน่อยด้วย” มารีถอนหายใจและมองออกไปที่ขาตั้งวาดภาพตรงหน้าต่างอย่างขมขื่น เดรโกยังคงทำหน้าอึ้ง ๆ อยู่
พอเห็นสีหน้าลำบากใจของเจ้านาย นัวร์ก็อุ้มลูกหมาสองหัวมาวางลงบนโต๊ะ ก่อนจะมองมาที่หนุ่มผมแดง “อยากจะรู้ไหมล่ะฮะ ดูความทรงจำของผมก็ได้นะเมี้ยว”
“...จะดีเหรอ”
“ให้นายรู้ไว้ก็ดี จะได้เข้าใจว่าทำไมเราถึงไม่อยากให้พวกนายมายุ่ง” มารีบอก ก่อนจะใช้ไม้กายสิทธิ์แตะไปที่ขมับของหนุ่มน้อยและกระซิบคาถาด้วยเสียงแผ่วเบา เมื่อดึงไม้ออกมาก็มีสายใยสีขาวเรืองแสงติดออกมาด้วย
มารีเลื่อนไม้กายสิทธิ์ไปแตะที่หน้าผากของเดรโก ทันใดนั้นเส้นใยความทรงจำก็ไหลเข้าไปในหัวของเด็กหนุ่ม
ภาพสุดท้ายที่หนุ่มผมแดงเห็นก็คือใบหน้าที่ดูเจ็บปวดของมารี ก่อนที่ความมืดจะเข้าปกคลุม และฉุดรั้งสติของเขาดำดิ่งไปในห้วงความทรงจำของนัวร์
Walking corpse and killing curse
ผ่านไปราวสิบห้านาที มารีก็จูงมืออาเรียข้ามเกทและวิ่งกลับมาที่สะพาน ตอนนี้ผู้คนเริ่มบางตาลง และร้านค้าหลาย ๆ ร้านทยอยปิดเพราะเริ่มดึก
เมื่อมาถึงที่หมาย มารีก็พบกับอีกาตัวหนึ่งเกาะขอบรั้วรออยู่ เธอจับมือของสาวผมเงินไว้มั่นและยกแขนอีกข้างหนึ่งขึ้นมา เจ้ากากางปีกและบินมาเกาะที่แขน ทันใดนั้นภาพโดยรอบบิดเบี้ยว ท้องของเธอก็รู้สึกหวิว ๆ เหมือนตกจากที่สูง และตามมาด้วยเสียงดึงพรึบ
“อึก...ไม่ชอบการหายตัวเล้ยยย” เด็กสาวเกือบจะขย้อนอาหารที่กินไปก่อนหน้านี้ออกมาเมื่อมาถึงอีกสถานที่ แม้นี้จะไม่ใช่การหายตัวครั้งแรกของเธอ แต่มารีก็ไม่เคยชอบเวทมนตร์เคลื่อนย้ายที่อีกรูปแบบหนึ่งนี้สักเท่าไหร่นัก อาเรียเองก็มีอาการหน้าซีดไม่ต่างกัน ส่วนเจ้าอีกาที่พาเธอมาก็ขยายร่างกลับเป็นคนในเครื่องแบบหมออีกาสีดำและเอาไม้กายสิทธิ์มาจ่อเธอไว้ ทั้งสองคนส่งไม้กายสิทธิ์ให้กับมันไป
ดูเหมือนที่แห่งใหม่จะเป็นห้องนั่งเล่นธรรมดาทั่ว ๆ ไปของพวกมนุษย์ โดยรอบมีพวกฝูงอีกาในเครื่องแบบเต็มยศยืนอยู่หลายคน คนหนึ่งเฝ้าเดรโกรัสกับไทที่ถูกเชือกเวทมนตร์พันธนาการรัดกับเสาต้นหนึ่งเอาไว้ด้วยกันและเอาเทปกาวปิดปากเอาไว้ พวกเขาร้องอู้อี้ออกมาอย่างทรมานเพราะถูกเชือกรัดแน่นขึ้นเรื่อย ๆ ถ้ามารีมาช้ากว่านี้คงโดนรัดจนขาดอากาศหายใจตายได้แน่ ๆ
ส่วนที่โซฟาตรงหน้าก็มีร่างของโทวาดะ ไนโตะในชุดสบาย ๆ นั่งกินขนุกขนมและผลไม้ที่พวกมารีซื้อมาเมื่อกี้ ข้าง ๆ โซฟามีอุปกรณ์เวทย์มนตร์ของเพื่อนทั้งสาม และก้อนเดินเหนียวที่ปั้นเป็นรูปหมาสามหัววางอยู่
และที่ทำให้ดวงตาสีเปลือกไม้เบื้องหลังแว่นเบิกโพลง ก็คือร่างไร้สติของลูอานาที่นอนกางแขนกางขาและถูกมัดขึงเอาไว้บนโต๊ะตัวใหญ่ โชคยังดีที่เสื้อผ้าของเธออยู่ครบและยังไม่โดนทำอะไร
“น่าจะมาช้ากว่านี้สักหน่อยนะ” ชายหนุ่มพูดโดยที่ยังเคี้ยวตุ้ย ๆ เขาลุกขึ้นและเดินมาหาเธอ ก่อนจะล้วงกระเป๋าและโยนมีดพกให้ “งั้น พิสูจน์ให้ดูหน่อยว่าเธอพาเอเลนาตัวจริงมา เขาว่าน้ำตาของเจ้าหญิงรักษาได้ทุกอย่างนี่”
มารีเม้มปากกัดฟันแน่นก่อนจะกำคมมีดและกระชากออกอย่างรวดเร็ว ของเหลวสีแดงอุ่น ๆ ไหลออกมาจากมือจนชุ่ม จากนั้นเธอก็หยิบหลอดแก้วออกมาส่งให้อาเรีย เด็กสาวผมเงินเอามันมาจ่อใกล้ ๆ ตา ไม่นานหยดน้ำใส ๆ ก็ไหลออกมาและลงไปในหลอด
มารีรับหลอดแก้วมาจากอาเรีย จากนั้นก็ราดลงไปบนมือ เกิดฟองฟู่เล็กน้อย แล้วบาดแผลบนมือก็สมานกลับมาได้ดังเดิม
เห็นดังนั้น ชายหนุ่มก็ประกบมือและยิ้มออกมา ทว่ามารีรู้สึกได้เลยว่ามันคงไม่จบง่าย ๆ แน่
“ออ แล้วเขาก็ว่าเลือดของเจ้าหญิงทำให้คนเป็นอมตะได้นี่เนอะ”
แล้วจะให้ตูเจ็บฟรีทำไม...
มารีทำหน้าตายด้านใส่ชายหนุ่มก่อนจะหันไปหาอาเรีย สาวผมเงินเม้มปากและยื่นมืออันบอบบางมาให้ มารีใช้กระโปรงเช็ดคราบเลือดออกจากมีด จากนั้นก็ใช้ปลายแหลม ๆ สะกิดปลายนิ้วนางของอีกฝ่ายจนเกิดแผลเล็ก ๆ และมีหยดเลือดซึมออกมา
เธอทำท่าจะดูดปลายนิ้วเรียว ๆ ของอาเรีย ทว่าไนโตะกลับยกมือห้าม
“ทั้งที่เคยโดนไปขนาดนั้นแท้ ๆ ถ้าเธอไม่ได้ดื่มเลือดเอเลนาไป ก็คงมีชีวิตมาถึงทุกวันนี้ไม่ได้หรอกจริงไหม แม่ศพเดินได้ของฉัน” ชายหนุ่มกล่าว “ถ้าเธอดื่มไปอีกมันจะไปรู้อะไรล่ะ”
“...” ได้ยินดังนั้นมารีก็ค้างไป เพื่อนทั้งสองคนเองก็มองเธอด้วยความสงสัย
“เอ้า ๆ เลือกมาสักคน” ไนโตะผายมือไปยังสองหนุ่ม ทำเอาอาเรียโบกตาโพลงและหันมาหามารี
“ให้ตายสิ” เด็กสาวมองหน้าเพื่อน ๆ อย่างกระอักกระอ่วน ไม่นึกเลยว่าไอ้หมอนี่จะเดาทางเธอออก
แต่ในตอนนั้นเองมารีก็เห็นว่าเดรโกขยับหัวให้เหมือนส่งซิก
เอาจริงดิ
เธอเม้มปากและตัดสินใจชี้นิ้วไปที่เขา ไนโตะหันไปพยักหน้ากับคนที่อยู่ใกล้กับมารีและอาเรีย มันจับไหล่ของสาวผมเงินพาไปหาเดรโก จากนั้นก็ลอกเทปกาวที่ปิดปากของเด็กหนุ่มออก อาเรียค่อย ๆ ยื่นนิ้วนางไปใกล้กับปากของเดรโกให้เขาดื่มเลือดเข้าไป
ไนโตะพยักหน้าอีกหนึ่งที หมออีกาให้อาเรียหลบไป จากนั้นก็ยกไม้กายสิทธิ์ในมือขึ้นสูง จังหวะนั้นมือทั้งสองของมารีก็กำแน่น
“เอเมโต อนิมา!”
เปรี้ยง!
สิ้นเสียงคำรามอันแหบพร่า สายฟ้าสีเขี้ยวก็พุ่งจากปลายไม้กายสิทธิ์เข้าใส่หน้าอกของเดรโกเต็ม ๆ มีเสียงร้องอย่างเจ็บปวดดังมาจากเด็กหนุ่ม ไทกับที่ถูกมัดอยู่ด้วยกันหลับตาปี๋และพยายามดิ้น
ทว่าสิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น เมื่อคำสาปสะท้อนจากตัวเดรโกกลับไปโดนคนที่เพิ่งร่ายใส่เมื่อกี้เต็ม ๆ จนกระเด็นและนอนแน่นิ่งไป ก่อนจะสลายไปเป็นเถ้าธุลีลอยละล่อง เหลืองเพียงไม้กายสิทธิ์ของเขา มารี และอาเรียตกอยู่ที่พื้น
ในจังหวะที่ทุกคนกำลังอึ้งกับสิ่งที่เห็น สาวผมเงินก็ก้มตัวลงไปเก็บไม้กายสิทธิ์ของมารีและโยนไปให้เธอ และทันใดนั้นร่างของอาเรียก็หายวับไป
“เรฟุลเจโอ!”
มารีรีบเสกคาถาสว่างวาบ จนทำให้ในห้องอาบไล้ไปด้วยแสงสีขาวโพลน และทำให้ตาของทุกคนพร่าไปชั่วขณะ
“เวอร์โตรัส ลิควิดัม!”
จากนั้นเธอก็ยิงคาถาไปยังเสาที่เดรโกกับไทถูกมัดและโต๊ะที่ลูอานาถูกขึง เสาปูนและโต๊ะแข็ง ๆ เปลี่ยนสภาพกลายเป็นน้ำและไหลทะลักไปทั่วห้อง นั่นทำให้เชือกเวทมนตร์พันทนาการไม่มีอะไรให้ยึดได้อีก สองหนุ่มสลัดเชือกออก เดรโกรีบไปหยิบอุปกรณ์เวทมนตร์ตรงโต๊ะข้างโซฟา ส่วนไทก็วิ่งไปหาลูอานา
“เอเมโต อนิมา!”
ทว่าในจังหวะนั้น ไนโตะที่ตั้งตัวได้ก่อนใครก็ชี้ไม้กายสิทธิ์ไปที่ไท สิ้นเสียงคำราม สายฟ้าสีเขียวก็พุ่งออกมาจากปลายไม้
“ทรานส์เฟโร!”
ภายในพริบตาเดียว ร่างของไทก็สลับกับมารี แต่ด้วยจังหวะกระชั้นชิด เธอจึงไม่สามารถร่ายคาถาต้านคำสาปของไนโตะได้ทัน คำสาปพรากวิญญาณจึงโดนเข้าเต็ม ๆ อกของเธอจนล้มทั้งยืน ดวงตาสีเปลือกไม้หลังแว่นตาเบิกโพลง
“มารี!!”
ไทหน้าเหวอกับภาพที่เห็น แต่ไนโตะไม่ได้ยืนชมผลงานแต่อย่างใด เขากลับหลังหันง้างไม้กายสิทธิ์ และร่ายคาถาชุดใหม่หมายจะจัดการพวกเด็ก ๆ ให้สิ้นซากต่อทันที
“ไท!” เดรโกโยนไม้ตะพดสองอันให้ เขารับมาแล้วก็ยิงคาถาต้านกับอีกฝ่าย
ลำแสงของคาถาจากทั้งสองฝ่ายปะทะกันและผลักกันไปมา ในขณะที่เดรโกที่เข้ามายืนหันหลังติดกับเขาก็ต้องรับมือกับคาถาที่ยิงมาจากพวกหมออีกาคนอื่น ๆ และคุ้มกันไทไม่ให้โดนลูกหลง
ตูมมมม
หมออีกกาอีกสองคงเข้ามาขนาบข้างไนโตะและยิงคาถาเสริมเข้าไป จนสุดท้ายไทก็ต้านเอาไว้ไม่ไหว เขาเสกคาถาเกราะป้องกันตัวเองและเดรโกขึ้นมาก่อนที่คาถาของอีกฝ่ายจะเข้าตัว กระนั้นความรุนแรงของคาถาก็ส่งผลให้เกิดการระเบิดจนสองหนุ่มปลิวกันไปอัดกำแพง ไทนอนแน่นิ่งไป ส่วนเดรโกยังพอมีสติอยู่
หนุ่มผมแดงกัดฟันพยายามลุกขึ้นมา แต่ก็โดนหมออีกาใกล้ ๆ เหยียบหลังจนตัวติดพื้น
“ให้ตายสิ ดื้อกันชะมัด ไอ้เด็กพวกนี้” ไนโตะขยับคอเสื้อและมองไปรอบ ๆ “ว่าแต่แม่นั่นหายไปไหนแล้วล่ะ”
แอ่ก!
ทว่าอยู่ดี ๆ ความหนักที่หลังของเดรโกก็หายไป ตามมาด้วยเสียงดังตุบ เมื่อหนุ่มผมแดงเงิยหน้าขึ้นมาก็พบกับร่างของหมออีกาที่ปลิวออกไปนอนแอ้งแม้งไกล ๆ
พอมองขึ้นมาอีกนิด เขาก็เห็นว่ามีมือปริศนายื่นมาให้และช่วยฉุดมือของเขาลุกขึ้นยืน
“ให้ตายสิ เอ็งอีกแล้วเรอะ” ไนโตะถอนหายใจและชี้ไม้กายสิทธิ์ใส่ผู้ที่ปรากฏตัวขึ้นมาใหม่
บุคคลปริศนาในชุดคลุมมีฮู้ดสีขาว-ทองและสวมหน้ากากนกฮูกชี้ดาบน้ำแข็งใส่อีกฝ่ายอย่างไม่เกรงกลัว ไม่มีคำพูดใด ๆ เปล่งออกมา เขาจับดาบด้วยมือทั้งสองและพุ่งเข้าใส่คู่ต่อสู้ทันที
แล้วในห้องก็สว่างวาบและอึกทึกคึกโครมไปด้วยเสียงของคาถาจำนวนมากปะทะกัน เดรโกตั้งรับการโจมตีที่ถาโถมจากอีกฝ่ายและสวนกลับเท่าที่จะไหว ในขณะที่นักดาบปริศนาก็เคลื่อนที่ไปรอบห้องอย่างรวดเร็วและอัดพวกฝูงอีกาจนปลิวไปทีละคน ๆ
ไนโตะที่เห็นท่าไม่ดี จึงอาศัยจังหวะชุลมุนรีบวิ่งไปหยิบดินปั้นรูปหมาสามหัวที่โต๊ะและไปที่ร่างของลูอานาที่ยังนอนอยู่ใกล้ ๆ มารี เขาเด็ดหัวหมาหัวหนึ่งออกทิ้งไป จากนั้นก็เสกคาถาดึงร่างของไทเข้ามาหา
มันจับไทกับลูอานานอนทับกัน จากนั้นก็ยัดดินปั้นเข้าไปที่ในร่างของทั้งสอง
นักดาบที่หันมาเห็นเข้า ก็รีบพุ่งตัวเข้ามาหาทันที ทว่าสายไป
ร่างของเด็กทั้งสองเปล่งแสงและหลอมรวมกัน แล้วก็ขยายใหญ่ขึ้นกลายเป็นหมาสองหัวที่สูงประมาณสามเมตร มันตวัดกรงเล็บซัดนักดาบจนตัวปลิวไปอัดกำแพง
“โฮกกกก”
สิ่งสุดท้ายที่เดรโกเห็นก็คือยิ้มสแยะของไนโตะ แล้วร่างของเขาก็บิดเบี้ยวและหายวับไปพร้อมกับพวกฝูงอีกาคนอื่น ๆ
หมาสองหัวทำท่าจะวิ่งใส่นักดาบที่คุกเข่าเอาดาบปักพื้นอยู่ แต่ก็ชะงักไปเมื่อโดนเดรโกใช้คาถายกโต๊ะวางของให้ลอยขึ้นและเขวี้ยงไปโดนมันเต็ม ๆ กระนั้นเจ้าหมาก็ไม่สะทกสะท้านแม้แต่น้อย
มันแยกเขี้ยววิ่งเข้ามาหาเขาแทน เด็กหนุ่มยืนอย่างสุขุมและกระโจนหลบได้ทัน ทำให้เป้าหมายของเจ้าหมายกลายเป็นกำแพงแข็ง ๆ ไป
นักดาบปริศนาเข้ามาสมทบและตั้งท่าเตรียมพร้อม ทว่าเขากลับดูลังเล
“เอาไงดี” เดรโกยืนเคียงข้างและตั้งท่าเตรียมพร้อมเช่นกัน แน่นอนว่าเขายังพอมีพลังเวทย์เหลือมากพอที่จะจัดการมันได้ในช็อตเดียว แต่ก็ไม่อยากลงมือเพราะตรงหน้าก็คือเพื่อนทั้งสองของเขา
“โฮกกกก” หมาสองหัวหันกลับมาและคำรามใส่ทั้งสองอีกรอบ มันตะกุยขาหลังและเตรียมจะพุ่งเข้ามา
เดรโกเลื่อนสายตาไปดูท่าทีอีกฝ่าย ทว่าทางนั้นกลับยังคงนิ่งสุขุม นักดาบชี้อาวุธของตนไปด้านหน้า บังเกิดวงแหวนเวทมนตร์สีเหลืองขนาดใหญ่ปรากฏขึ้นมา คั่นกลางระหว่างพวกเขาและหมาสองหัว
สัตว์ร้ายแยกเขี้ยวและยังคงวิ่งเข้ามาหมายจะขย้ำโดยไม่สนใจว่าจะมีอะไรขวาง เดรโกกลืนน้ำลายและเลื่อนสายตาไปมองนักดาบอีกครั้งอย่างหวั่น ๆ ทว่าฝ่ายนั้นก็ยังคงนิ่งอยู่เช่นเดิม
และเมื่อร่างขนาดยักษ์ของเจ้าหมาสองหัววิ่งผ่านวงแหวนเวทมนตร์ สิ่งที่วิ่งมาหาทั้งสองก็คือ...
“บ็อก ๆ แฮกๆๆๆ”
จากหมาตัวโตถึงสามเมตร ตอนนี้กลายเป็นลูกหมาสองหัวตัวกระจ้อยหน้าตาน่ารักเสียอย่างนั้น มันกระดิกหางดุ๊กดิ๊กและแลบลิ้นหอบแฮก ๆ มองขึ้นมาอย่างน่าเอ็นดู
“....เอิ่ม...อ้าว” เดรโกหันไปมองนักดาบอีกครั้ง ทว่ากลับเหลือแต่เขาคนเดียวที่ยืนอยู่ในห้องเสียแล้ว
หนุ่มผมแดงเข้าไปนั่งคุกเข่าใกล้กับร่างของมารีและประคองเธอขึ้นมาอย่างทะนุถนอม ดวงตาของเธอยังคงลืมอยู่ พอแตะไปที่คอก็ไม่พบสัญญาณชีพจร ร่างกายของเธอเย็นชืด
เดรโกถอดแว่นตาของอีกฝ่ายออกและเอามือของตนเองปิดเปลือกตาทั้งสองของมารีอย่างระมัดระวัง ก่อนจะโน้มตัวลงไปกอดร่างไร้วิญญาณของเธอสาวจนแน่น ทุกอย่างมันเกิดขึ้นไวและชุลมุนมากจนเขาปรับอารมณ์ไม่ถูก ความรู้สึกหนักอึ้งเริ่มถาโถมเข้ามา ลำคอจุกไปหมดจนไม่อาจเปล่งคำใด ๆ ออกมาได้ เขาได้กัดฟันแน่นอย่างเจ็บใจ
ถ้าพวกเขาไม่ดื้อดึงตามมารีมาด้วย ก็คงไม่เกิดโศกนาฏกรรมแบบนี้ ถ้ารู้แบบนี้เขาน่าจะห้ามพวกเพื่อน ๆ เอาไว้
ลูกหมาสองหัวเข้ามาคลอเคลียใกล้ ๆ เขาและครางเศร้า ๆ ออกมา ระหว่างนั้นเองเดรโกก็เห็นอาเรียเดินเข้ามาหา จะว่าไป ก่อนหน้านี้เขาไม่เห็นเธอเลย บางทีอาจจะใช้คาถาหลอกสายตาซ่อนตัว แต่ว่าถ้าอย่างนั้นเขาก็ต้องเห็นสิ
หรือว่า...
อาเรียนั่งยอง ๆ ตรงหน้าและยิ้มเจื่อนให้ ทันใดนั้นเองร่างของเธอก็หดลงและหน้าตาเปลี่ยนไปกลายเป็นเด็กผู้ชายหน้าตาจิ้มลิ้ม จากผมยาวสีเงินก็หดสั้นกลายเป็นผมสั้นสีดำ ใบหูเลื่อนขึ้นสูงและกลายสภาพเป็นหูแมว ที่ก้นก็มีหางแมวงอกออกมา สิ่งที่เดียวที่ยังไม่เปลี่ยนก็คือเสื้อผ้า
“เอ๋”
“...นี่ มันอึดอัดนะ”
มีเสียงดังมาจากร่างที่อยู่ในอ้อมแขนของเขา เมื่อเดรโกมองลงมา ก็เห็นมารีที่หน้าแดงแปร๊ดเบือนหน้าหนี
“เอ๊....”
มารีเสกคาถาสร้างประตูมิติขึ้นมา พาเดรโก นัวร์ และไทกับลูอานาในร่างลูกหมาสองหัวข้ามมายังสถานที่แห่งหนึ่ง เพราะเกทก่อนหน้านี้ถูกเธอผนึกไปแล้วเพื่อไม่ให้พวกฝูงอีกาข้ามไปที่โอวล์ฟอสเทียร์ได้
และแน่นอนว่าในโลกมนุษย์แบบนี้ไม่มีการควบคุมการใช้คาถาใด ๆ จึงไม่ต้องกลัวว่าจะโดนตำรวจจับ นั่นจึงเป็นอีกหนึ่งเหตุผลที่พวกฝูงอีกาเลือกที่นี่เป็นฐานที่มั่น
ที่ ๆ เธอพามาเป็นห้องของอะพาร์ตเมนต์เล็ก ๆ ด้านหนึ่งมีเตียงตั้งอยู่หนึ่งหลังกับโต๊ะวางของและตู้เสื้อผ้า ฝั่งตรงข้ามกับเตียงเป็นโต๊ะเขียนหนังสือที่เต็มไปด้วยอุปกรณ์วาดเขียนมากมายและกระถางต้นลิ้นมังกรที่เหี่ยวเฉา ตามผนังมีภาพวาดสีน้ำติดประดับอยู่ประปราย ตรงหน้าต่างมีขาตั้งภาพวาดและเฟรมเปล่า ๆ หลายอันวางพิงผนังอยู่ เมื่อมองออกไปนอกหน้าต่างก็เห็นทิวทัศน์ของเมืองยามบ่าย แต่ที่โดดเด่นก็คือหอคอยทรงเรียวแหลมสร้างจากโลหะสีเข้ม
“ที่ไหนน่ะ บ้านมารีเหรอ” เดรโกที่ตอนนี้เปลี่ยนชุดกลับมาเป็นเครื่องแบบนักเรียนและสวมแว่นกันลมเหมือนเดิมถามมารี
“อืม” มารีมองไปรอบ ๆ แก้มของเธอยังเป็นสีชมพูอยู่ เธอเดินไปเปิดสวิตช์ไฟทำให้ห้องสว่างขึ้น แล้วก็ใช้คาถาเสกน้ำออกมาจากปลายไม้กายสิทธิ์ รดน้ำต้นลิ้นมังกรในกระถาง “ไม่เป็นอะไรใช่ไหม โดนคำสาปพรากวิญญาณไปเต็ม ๆ ขนาดนั้น”
“จุกนิดหน่อยน่ะ แต่นอกนั้นก็ไม่เป็นอะไรหรอก” เด็กหนุ่มยิ้มให้ ก่อนจะนั่งลงที่เก้าอี้ของโต๊ะเขียนหนังสือและลูบ ๆ หน้าอกที่ปะทะกับคำสาปไปก่อนหน้า พลางมองไปที่นัวร์ที่ลูบไล้เจ้าหมาน้อยอย่างมันเขี้ยว “ตกลงว่าไม่ได้พาอาเรียมาจริง ๆ สินะ แล้วเด็กนี่ใครเหรอ”
“นัวร์เองฮะ” หนุ่มน้อยฉีกยิ้มให้ “เมื่อกี้ผมแปลงร่างกลับเป็นแมวแล้วก็ไปซ่อนตัวน่ะฮะเมี้ยว”
ได้ยินดังนั้น หนุ่มผมแดงก็อึ้งไป ใครจะคิดล่ะว่าแมวดำประจำห้องชมรมจะแปลงร่างเป็นมนุษย์สัตว์ได้
“ก่อนหน้านี้ให้กินน้ำยาแปลงร่างเป็นอาเรียเข้าไปน่ะ” มารีบอก พลางหยิบขวดน้ำยาแปลงร่างออกมาจากกระเป๋าสะพายข้าง “อาจารย์ราตรีให้มา บอกไว้แล้วว่าสักวันคงได้ใช้ แล้วก็ได้ใช้จริง ๆ”
“แล้วนายก็ใส่ชุดของสภานกฮูกมาช่วยเหรอ” เดรโกถามหนุ่มน้อย แต่นัวร์ส่ายหน้า
“ไม่ใช่หรอกเมี้ยว ขานั้นคงจะไล่ตามพวกบ้านั่นไปต่อแล้วล่ะฮะ” นัวร์ยิ้มออกมาพลางชำเลืองไปมองมารี
“รู้จักสภานกฮูกด้วยเหรอ” เด็กสาวเลิกคิ้ว ก่อนจะนั่งลงบนเตียง
“สมัยเด็ก ๆ เคยถูกพวกเขาช่วยเอาไว้น่ะ ไม่งั้นก็คงมานั่งอยู่ตรงนี้ไม่ได้หรอก” เด็กหนุ่มยิ้มออกมา “มารีเองก็ด้วยสินะ”
“...ก็ประมาณนั้น”
สภานกฮูก (The Parliament of Owl) คือองค์กรลับที่ก่อตั้งขึ้นเพื่อต่อสู้กับการก่อการร้ายทุกรูปแบบในโลกเวทมนตร์ โดยเฉพาะการต่อกรกับพวกฝูงอีกา ซึ่งเจ้าหน้าที่ทุกคนของสภานกฮูกจะสวมหน้ากากเอาไว้ตลอดการปฏิบัติการ และไม่เปิดเผยตัวตนให้ใครรู้
และผู้ที่ก่อตั้งขึ้นมาก็ไม่ใช่ใคร มหาจอมเวทย์อาเนีย ไวท์ฟอร์ด นั่นเอง
“แล้วสองคนนี้จะยังไงต่อล่ะ ก่อนหน้านี้โดนไอ้ไนโตะนั่นสาปกลายเป็นหมาสองหัวตัวโตน่ะ แล้วสภานกฮูกคนนั้นก็เสกให้ตัวหดเหลือแค่นี้”
“ให้กินน้ำยาชำระล้างไปก็น่าจะคืนร่างเดิมได้ ฝากปรุงให้หน่อยได้ไหม เราไม่ค่อยถนัด”
“อาจารย์ราตรีไม่ได้ให้มาเหรอ”
“เขาว่ามันปรุงง่าย ก็เลยให้ทำเองน่ะ”
“งืม...”
มารีหยิบอุปกรณ์ปรุงยาและส่วนผสมต่าง ๆ ออกมาจากกระเป๋าสะพายข้าง ส่งให้เดรโกวางที่โต๊ะเขียนหนังสือ
“ดีนะที่ให้เรารับคำสาปพรากวิญญาณน่ะ ไม่งั้นคงได้เสียเพื่อนไปคนนึงแน่” หนุ่มผมแดงพูดขึ้นมาระหว่างที่เสกน้ำใส่หม้อ และจัดเตรียมส่วนผสม
“อืม ว่าแต่ทำได้ยังไงน่ะ”
“คาถา คำสาป แล้วก็การโจมตีทางกายภาพทุกชนิดไม่มีผลกับเราน่ะ ตั้งแต่จำความได้ก็รู้ตัวว่ามีความสามารถนี้แล้ว เราเองก็ไม่ค่อยแน่ใจหรอกว่าเพราะอะไร” หนุ่มผมแดงตอบ พลางจุดตะเกียงไฟใต้หม้อยา “แต่เราว่ามารีน่ะแปลกยิ่งกว่าอีกนะ โดนคำสาปไปเต็ม ๆ แบบนั้นยังฟื้นกลับมาได้น่ะ”
“เมื่อก่อนก็มีอะไรหลาย ๆ อย่างเกิดขึ้นล่ะนะ” เธอตอบด้วยหน้านิ่ง “ก็เหมือนกับที่เจ้านั่นบอก เราคือศพเดินได้”
“มารีเองก็เคยเข้าไปข้องเกี่ยวกับพวกนั้นสินะ ดูไอ้ไนโตะนั่นเหมือนจะรู้จักมารีมาก่อนเลย” เมื่อน้ำเริ่มเดือด เดรโกก็เริ่มใส่ส่วนผสมต่าง ๆ ลงไปในหม้อ
“...ก็ไม่ได้อยากรู้จักเท่าไหร่หรอก”
หลังจากใส่ส่วนผสมหลักเกือบหมดแล้ว ก็เหลืออย่างสุดท้ายนั่นคือน้ำตาแม่มด รอบนี้มารีไม่ใช้น้ำตาของตัวเองแล้วเพราะรู้ว่าใช้ไม่ได้ เธอหยิบหลอดแก้วที่บรรจุของเหลวใส ๆ ออกมาและหยดลงไปในหม้อหนึ่งหยด ทันใดนั้นน้ำยาในหม้อก็เปล่งแสงสีฟ้าสดใสออกมา บ่งบอกถึงคุณภาพชั้นเลิศ
รู้งี้น่าจะใช้ไอ้นี่ตั้งแต่ตอนคาบวิชาปรุงยาคาบแรก
“มารี...เกี่ยวข้องอะไรกับเจ้าหญิงเอเลนาสินะ” หลังจากความเงียบพักใหญ่ ๆ หนุ่มผมแดงก็พูดขึ้นมาโดยที่ยังจับจ้องน้ำยาในหม้อ “อันนี้ก็คือน้ำตาของเจ้าหญิงงั้นเหรอ”
“อืม”
“แล้ว...ที่มารีไม่ตาย ทั้ง ๆ ที่โดนคำสาปพรากวิญญาณ...ก็เพราะเคยดื่มเลือดของเจ้าหญิงไปเหรอ อย่างที่เจ้านั่นบอก”
ดวงตาเบื้องหลังแว่นกันลมสีทึบของเด็กหนุ่มจ้องไปที่หน้าของมารีตรง ๆ แล้วความเงียบงันก็เข้าปกคลุม อยู่ดี ๆ ก็รู้สึกว่าในห้องหนาวขึ้นมา
มารีนั่งลงบนโต๊ะเขียนหนังสือมองออกไปนอกหน้าต่าง ก่อนจะหยิบสมาร์ตโฟนออกมา จากนั้นก็กด ๆ ลงไปและส่งให้อีกฝ่ายดู คิ้วทั้งสองของเดรโกเลิกขึ้นพร้อมกับปากที่อ้าค้าง
เพราะในนั้นก็คือภาพของมารีที่กำลังเซลฟีกับเจ้าหญิงเอเลนาในห้องที่พวกเขากำลังอยู่นี้นั่นเอง ใบหน้าของมารีในรูปนั้นยิ้มแย้มอย่างสดใสร่าเริงขัดกับที่เป้นอยู่ในตอนนี้ ในขณะที่เจ้าหญิงเอเลนายิ้มอย่างเคอะเขิน และไม่ค่อยแสดงสีหน้ามาก
“เมื่อก่อนเคยอยู่ด้วยกันน่ะ แต่ตอนนี้ก็แยกทางกันไปแล้ว ตอนที่จากกันก็ไม่ค่อยดีสักเท่าไหร่ ไม่ได้บอกลาอะไรกันเลย แล้วก็มีลงไม้ลงมือกันนิดหน่อยด้วย” มารีถอนหายใจและมองออกไปที่ขาตั้งวาดภาพตรงหน้าต่างอย่างขมขื่น เดรโกยังคงทำหน้าอึ้ง ๆ อยู่
พอเห็นสีหน้าลำบากใจของเจ้านาย นัวร์ก็อุ้มลูกหมาสองหัวมาวางลงบนโต๊ะ ก่อนจะมองมาที่หนุ่มผมแดง “อยากจะรู้ไหมล่ะฮะ ดูความทรงจำของผมก็ได้นะเมี้ยว”
“...จะดีเหรอ”
“ให้นายรู้ไว้ก็ดี จะได้เข้าใจว่าทำไมเราถึงไม่อยากให้พวกนายมายุ่ง” มารีบอก ก่อนจะใช้ไม้กายสิทธิ์แตะไปที่ขมับของหนุ่มน้อยและกระซิบคาถาด้วยเสียงแผ่วเบา เมื่อดึงไม้ออกมาก็มีสายใยสีขาวเรืองแสงติดออกมาด้วย
มารีเลื่อนไม้กายสิทธิ์ไปแตะที่หน้าผากของเดรโก ทันใดนั้นเส้นใยความทรงจำก็ไหลเข้าไปในหัวของเด็กหนุ่ม
ภาพสุดท้ายที่หนุ่มผมแดงเห็นก็คือใบหน้าที่ดูเจ็บปวดของมารี ก่อนที่ความมืดจะเข้าปกคลุม และฉุดรั้งสติของเขาดำดิ่งไปในห้วงความทรงจำของนัวร์
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ