ม.ปลายสายเวทย์
-
เขียนโดย TheBoyOnTheMoon
วันที่ 13 พฤษภาคม พ.ศ. 2567 เวลา 21.39 น.
19 ตอน
1 วิจารณ์
3,991 อ่าน
แก้ไขเมื่อ 17 พฤษภาคม พ.ศ. 2567 20.34 น. โดย เจ้าของนิยาย
10) Arcana and Elena
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ10
Arcana and Elena
วันอังคาร แม้เวลาจะผ่านไปอย่างเชื่องช้าเช่นเดียวกับวันจันทร์ แต่เพราะไม่ใช่วันแรกของสัปดาห์ จึงทำให้ไม่มีใครเกลียด
หลังวิชาคณิตศาสตร์คาบเช้าที่สามารถทำให้หัวของนักเรียนระเบิดได้ก็เป็นวิชาสังคมศึกษาสบาย ๆ ในช่วงบ่าย ห้องเรียนของวิชานี้อยู่ที่ชั้นสามฝั่งเหนือ ความพิเศษของห้องเรียนชั้นที่สามก็คือหลังคาจะเป็นกระจก สามารถมองเห็นท้องฟ้าได้อย่างชัดเจน และยังมีหน้าต่างบานใหญ่ซึ่งทำให้สามารถมองออกไปชมวิวทิวทัศน์ของทะเลสาบและตัวเมืองได้อีก และยามบ่ายแบบนี้ แสงที่ตกกระทบลงมานั้นสวยงามมาก
แต่ถ้าหากเป็นวันที่แดดจัดล่ะก็ ห้องนี้ไม่ต่างอะไรกับเตาอบแสงอาทิตย์ ฉะนั้นที่นี่จึงมีเจ้าหน้าที่ประจำโรงเรียนมาใช้คาถาปรับอากาศให้เย็นก่อนมีการเรียนการสอนเสมอ
ในห้องค่อนข้างโล่ง มีเครื่องฉายภาพทรงกลมวางอยู่กลางห้อง ที่นั่งของนักเรียนไม่ใช่โต๊ะเล็กเชอร์แต่เป็นเบาะนุ่ม ๆ กลม ๆ ที่ยัดเมล็ดพืชเล็ก ๆ จำนวนมากเอาไว้ พื้นถูกปูด้วยไม้ปาเกขัดเงาเป็นมัน และมีกระถางต้นไม้ปลูกเอาไว้ประปราย ให้ความรู้สึกสบายตา
วิชานี้มีแค่ชั่วโมงเดียว หลังจากหมดคาบนี้ก็จะต่อด้วยวิชาเลือกเสรี แต่ถ้าไม่ได้ลงเรียนอะไรเอาไว้ก็คือว่างยาว ๆ หรือไปชมรมได้เลย
วันนี้นักเรียนทุกคนสวมหน้ากากอนามัยผ้า และได้รับคำสั่งให้เฝ้าระวังอาการ เนื่องจากตอนนี้อาเรียตรวจพบว่าเป็นโรคที่ไม่เคยพบมาก่อนในโลกเวทมนตร์ และกักตัวอยู่ในห้องพักของตัวเองเพื่อดูอาการ
วันนี้มารีขออยู่เงียบ ๆ สักวันแล้วกันนะ
“สวัสดีจ้ะทุกคน”
อาจารย์อวาลิน ชาวเอลฟ์ที่อยู่มาเกือบพันปีทักทายนักเรียน เธอเป็นหญิงสาวร่างสูงและผอมเพรียว ผิวขาวอมชมพูเนียนนุ่ม มีผมบลอนด์ทองฟูฟ่อง ดวงตาสีฟ้าสดใสรับกับใบหน้าอันงดงามเป็นอย่างดี เธอสวมชุดกระโปรงสีขาวทรงสุภาพ และที่โดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ก็คือใบหูเรียวแหลมที่โผล่ออกมาข้างศีรษะ เธอเองก็สวมหน้ากากอนามัยผ้าเช่นกัน
อาจารย์เปิดเครื่องฉาย ทำให้ทั้งห้องกลายเป็นป่าทึบ จากนั้นก็มีร่างของหญิงสาวงามเป็นภาพวาดหลายคนปรากฎออกมาจากแมกไม้และร่ายรำอย่างสนุกสนาน พวกเธอมีผิวขาวผ่องเหมือนแสงจันทร์ ผมเงินยาวสลวย ดวงตาสีฟ้าสดใส และใบหน้างดงามที่ทำเอาพวกนักเรียนหน้าแดงทั้งชายและหญิง แต่พอร่างของพวกเธอชนเข้ากับนักเรียนก็ทะลุผ่านไปเพราะเป็นแค่ภาพที่คนเราเรียกกันว่าโฮโลแกรม
“วันนี้ครูมีความรู้ที่เก่ามาก ๆ มาเล่าให้พวกเราฟัง” อาจารย์กล่าว “ในฐานะที่เธอเป็นผู้วิเศษ รู้ไหมว่ารากเหง้าของพวกเธอคืออะไร”
นักเรียนแต่ละคนพยายามครุ่นคิด แต่อาจารย์อวาลินดูจะมองเห็นว่ามีบางคนรู้คำตอบแม้จะไม่ได้ยกมือ
“คุณโอแคลร์”
“อาร์คานาค่ะ” มารีตอบด้วยหน้านิ่ง “เป็นเผ่าพันธุ์ที่เป็นบรรพบุรุษของผู้วิเศษและเอลฟ์ทุกคน”
“ถูกต้องค่ะ ปรบมือให้เพื่อนหน่อย” อาจารย์พยักหน้าอย่างพอใจ ก่อนจะเริ่มบรรยายต่อ น้ำเสียงของเธอนุ่มละมุนและชวนให้เคลิบเคลิ้มอย่างยิ่ง แต่เพราะเนื้อหาทุกอย่างต้องจดบันทึกเอง พวกนักเรียน (ยกเว้นเจ้าไทที่หลับไปแล้ว) เลยต้องพยายามทำตาแข็งและจดข้อมูลให้ได้มากที่สุด ไม่งั้นสอบตกแน่นอน
อาร์คานาเป็นเผ่าพันธุ์ทรงปัญญากลุ่มแรกที่ปรากฏขึ้นมาบนโลกเวทมนตร์เมื่อประมาณสี่พันปีก่อน แม้ในตอนนั้นจะมีสิ่งมีชีวิตอื่นถือกำเนิดมาก่อนแล้วเช่นมังกร และสัตว์วิเศษต่าง ๆ ว่ากันว่าพวกเขาเกิดจากผลของต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ที่งอกขึ้นมาเพียงต้นเดียวบนโลก ถ้าเป็นคนในแถบบ้านเราก็คงจะเรียกว่ามักกะลีผล
อาร์คานามีแต่เพศหญิงเท่านั้น พวกเธอจึงไม่สามารถสืบพันธุ์ได้ตามธรรมชาติ แต่ก็แลกด้วยการที่พวกเธอเป็นอมตะ และไม่มีวันตายไม่ว่าด้วยสาเหตุใด ๆ เทียบได้กับนกฟีนิกซ์ที่มีแขนขาและหน้าตาเป็นคน นอกจากนี้ยังเป็นเผ่าพันธุ์ที่เต็มเปี่ยมไปด้วยเวทมนตร์ ที่ทรงพลังยิ่งกว่าผู้วิเศษหลายเท่า ใบหน้าอันงดงามของพวกนางยังสามารถสะกดให้ผู้ใดก็ตามที่ได้จับจ้องหลงสเน่ห์และยอมทำตามคำสั่งได้ทุกอย่างได้อีกด้วย
แต่เมื่อประมาณสองพันปีก่อน อาร์คานาส่วนใหญ่ก็หายสาบสูญไปจนแทบเรียกได้ว่าสูญพันธุ์ เหลือเพียงภาพวาด เรื่องเล่า ตำนาน และข้อมูลในบันทึกเก่า ๆ เท่านั้น
“สงสัยไหมว่าทำไมเราถึงไม่พบเห็นอาร์คานาทุกวันนี้” หลังจากบรรยายไปได้สักพัก อาจารย์ก็ตั้งคำถาม
“เพราะถูกล่าไปเป็นทาสจนต้องหลบซ่อนตัวเองไหมฮะอาจารย์” นักเรียนคนนึงตอบ
“ถูกผู้วิเศษฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ไปเพราะกลัวว่าจะเป็นภัยต่อความมั่นคงหรือเปล่าคะ” นักเรียนอีกคนตอบ
“ดีมากจ้ะ แต่ทำไมโหดกันจัง” อาจารย์เอลฟ์หัวเราะแห้ง ๆ ออกมา “จริง ๆ แล้วที่พวกเขาหายไปมันมีเหตุผลอยู่ ซึ่งไม่ได้เกี่ยวกับความรุนแรงใด ๆ จ้ะ และอาร์คานามีพลังเหนือกว่าผู้วิเศษมาก ฉะนั้นแค่คิดจะต่อกรก็แพ้แล้ว”
ภาพโดยรอบเปลี่ยนไป กลายเป็นภาพวาดของชาวอาร์คานากับมนุษย์ผู้ชายคนหนึ่งยืนอยู่ในพิธีแต่งงาน จากนั้นเปลี่ยนไปเป็นอุ้มลูก และแก่ชรา
“หลังจากที่อาร์คานาเกิดขึ้นมาบนโลกได้ประมาณสองพันปี ก็มีมนุษย์ที่ไร้เวทมนตร์จำนวนมากปรากฏขึ้นมาอย่างไม่ทราบสาเหตุ แล้วมนุษย์เหล่านั้นก็ได้แต่งงานกับอาร์คานาจนให้กำเนิดผู้วิเศษรุ่นแรกของโลกนี้ขึ้นมา และนำมาสู่อารยธรรมของผู้วิเศษของพวกเธอจนถึงปัจจุบัน
พออาร์คานาได้ตั้งครรภ์กับมนุษย์ พลังของพวกเขากลับเสื่อมลงและกลายเป็นมนุษย์ธรรมดาไป อาร์คานาเกือบทั้งหมดจึงสิ้นอายุขัยไปตามธรรมชาติพร้อมกับมนุษย์กลุ่มแรก และยังมีส่วนน้อยมาก ๆ ที่เลือกจะอยู่อย่างโดดเดี่ยวโดยไม่ยุ่งเกี่ยวกับมนุษย์นั่นเองจ้ะ ที่สำคัญเลย คือต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ที่ให้กำเนิดอาร์คานาสิ้นอายุขัยไปแล้ว ก่อนที่มนุษย์จะเข้ามาเสียอีก”
ภาพโดยรอบเปลี่ยนเป็นชาวอาร์คานากับชาวเอลฟ์ ซึ่งแม้จะมีหน้าตาที่งดงามคล้ายคลึงกันก็จริง แต่ก็สามารถแยกได้ด้วยใบหู สีผมและสีตา ใบหูของเอลฟ์จะใหญ่และชี้ออกด้านข้างเป็นเอกลักษณ์ และมีสีตากับสีผมหลากสีตามพันธุกรรมของพ่อ ส่วนอาร์คานาทุกคนจะมีผมสีเงิน ตาสีฟ้า และหูคล้ายกับคนปกติแต่แหลมเล็กน้อย
ระหว่างนั้นเอง มารีก็สังเกตเห็นว่าเดรโกกอดอกและทำท่าทางเหมือนจะสงสัยอะไรบางอย่างมาสักพักใหญ่แล้ว
“ส่วนเอลฟ์นั้นก็เป็นผลของพันธุกรรมอีกแบบระหว่างมนุษย์กับอาร์คานา แต่เอลฟ์ไม่ได้มีเวทมนต์ หรืออำนาจในการสะกดใครที่มามองหน้าได้ แลกกับการที่ได้ประสาทสัมผัสเหนือชั้น พรสวรรค์ในเรื่องความแม่นยำ และอายุที่ยืนยาวกว่าผู้วิเศษหลายเท่าแทน เพราะฉะนั้นพวกเธอกับครูต่างก็เป็นเหมือนญาติทางพันธุกรรมกันค่ะ ใครมีคำถามอะไรไหม”
“แล้วผู้วิเศษมีลูกกับเอลฟ์ได้ไหมครับอาจารย์” นักเรียนชายคนหนึ่งยกมือถาม
“เท่าที่รู้ แม้ปัจจุบันจะมีเอลฟ์ที่แต่งงานกับผู้วิเศษหลายคู่ แต่ตอนนี้มีลูกครึ่งเอลฟ์ครึ่งผู้วิเศษเกิดขึ้นมาแค่คนเดียวค่ะ เนื่องจากเอลฟ์อย่างพวกครูมีลูกกันยาก ขนาดกับเผ่าพันธุ์ตัวเองก็ตาม” อาจารย์อวาลินกล่าว
“แล้วอาจารย์อาเทเนียเป็นเผ่าพันธุ์ไหนเหรอคะ” นักเรียนหญิงคนหนึ่งถาม เนื่องจากผู้วิเศษมีอายุขัยเฉลี่ยประมาณร้อยปี แต่ในรายของ ผอ. นั้น เธออยู่มาเกือบพันปีแล้ว แถมยังมีเวทมนตร์ที่ทรงพลังมาก ๆ
“ความลับค่า!”
ในตอนนั้นเอง อาเทเนียในร่างเด็กประถมก็แวบมาเกาะที่ประตูแซวพวกนักเรียนแล้วก็เดินจากไป ทิ้งให้พวกนักเรียนได้แต่อิหยังวะ อาจารย์อวาลินหัวเราะเล็กน้อยก่อนจะกลับเข้าสู่การสอน
หลังจากนั้นก็เป็นการเล่าเรื่องอาร์คานาที่มีบทบาทสำคัญในโลกเวทมนตร์ ซึ่งมีทั้งที่เป็นกษัตริย์ผู้ปกครองอาณาจักรต่าง ๆ ทั้งที่สาปสูญไปแล้วและยังอยู่มาถึงปัจจุบัน นักกวี ศิลปิน และอีกมากมาย ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นบทบาทเด่น ๆ ในสังคม
และที่เด่น ๆ ก็คือปฐมกษัตริย์ต้นตระกูลของกษัตริย์เรฟลอเดียในปัจจุบัน อาจารย์จึงถือโอกาสนี้เล่าเรื่องของดินแดนแห่งนี้ไปด้วยเลย ว่ากันว่าต้นไม้ที่ให้กำเนิดอาร์คานาขึ้นมา ก็ขึ้นอยู่ที่บริเวณพื้นที่ของอาณาจักรแห่งนี้
“…และแน่นอน อีกคนที่จะพูดถึงไม่ได้คือ เอเลนา เอเลโอโนรา แอริแอนอฟ ซาเรฟนาแห่งเรฟลอเดีย วันนี้โชคดีหน่อยที่เพื่อนเรฟลอเดียคนนึงของเราไม่อยู่ด้วย ไม่งั้นคงไม่ยอมให้ครูสอนเรื่องนี้แน่”
“ทำไมน่ะคะ” ลูอานาหันมากระซิบถามเดรโก ที่แรกเธอหันไปหาไท แต่เจ้าตัวแสบคอพับน้ำลายยืดไปแล้ว
“ไม่รู้สิ เราก็ไม่ใช่คนเรฟลอเดียนะ” หนุ่มผมแดงยักไหล่
“กษัตริย์เรฟลอเดียห้ามพูดถึงหรือวิจารณ์ใด ๆ ทั้งนั้น มีกฎหมายกำหนดเอาไว้ในกฎหมายอาญา มีโทษหนักยิ่งกว่าฆ่าคนตาย” มารีช่วยตอบให้ ทำเอาสาวชาวเผ่ากลืนน้ำลายอึกใหญ่
ภาพโดยรอบเปลี่ยนเป็นเมืองหลวงของอาณาจักรเรฟลอเดีย ซึ่งมีปราสาทของกษัตริย์เป็นอาคารที่โดดเด่นสูงตระหง่านเพียงแห่งเดียว ท้องฟ้ามืดครึ้มและมีหิมะโปรยปราย แม้จะเป็นแค่ภาพฉาย แต่ก็ทำให้รู้สึกหนาวได้
“ด้วยความที่เรฟลอเดียตั้งอยู่ที่แถบใกล้ขั้วโลกเหนือ จึงทำให้ที่นี่อากาศหนาวเย็นสุดขั้วตลอดทั้งปี ไม่สามารถเพาะปลูกพืชผักใด ๆ ได้ นอกจากจับปลา สัตว์ทะเลและเลี้ยงสัตว์ แต่ก็แลกมาด้วยการที่ดินแดนแห่งนี้เป็นแหล่งทรัพยากรแร่มีค่าหลายชนิดที่ไม่ว่าจะขุดกันมากี่ร้อยปีก็ไม่มีทีท่าว่าจะหมด
หลังจากที่เจ้าหญิงเอเลนาประสูติ หลาย ๆ อย่างก็เปลี่ยนไป พระองค์ทรงเปี่ยมไปด้วยพลังเวทย์มหาศาล เมื่อครั้งได้สามพรรษาก็ดลบันดาลให้ท้องฟ้าที่มืดครึ้มและหนาวเย็นมาตั้งแต่ก่อนจะมีการตั้งอาณาจักรกลายเป็นท้องฟ้าที่สดใสและอบอุ่น ทำให้สามารเพราะปลูกและออกมาใช้ชีวิตกันได้อย่างมีความสุข
กระนั้น พระองค์ยังทรงมีความสามารถพิเศษอื่นอีก ทั้งน้ำตาวิเศษที่เยียวยาคนที่ป่วยใกล้ตายและบาดแผลทุกชนิดให้หายเป็นปลิดทิ้ง จนทำให้ชาวเมืองไม่เจ็บไม่ป่วย
และที่สำคัญเลยคือ เลือดของพระองค์ทำให้คนที่ได้ดื่มกลายเป็นอมตะได้แม้เพียงหยดเดียว ต่อให้ถูกเผาทั้งเป็นจนเหลือแต่เถ้าถ่านก็สามารถฟื้นตัวเองกลับมาได้ เหมือนกับอาร์คานา
ดังนั้น สำหรับชาวเรฟลอเดียแล้ว เจ้าหญิงเอเลนาเป็นดังเทพธิดาที่มีชีวิตเลยทีเดียว เป็นที่เคารพรักและเทิดทูนของชาวเรฟลอเดียทุกคนมาก และเรียกพระองค์ว่าเจ้าหญิงแห่งโชคชะตา
เมื่อนานาประเทศทราบข่าวนี้ จึงกรีธาทัพมาเพื่อชิงตัวเจ้าหญิง แต่ด้วยพื้นที่ของเรฟลอเดียที่มีพื้นที่มียุทธศาสตร์เหนือกว่า และด้วยพลังมหาศาลของเจ้าหญิง จึงทำให้สามารถเอาชนะศัตรูได้ไม่ยากเย็น และทำให้เรฟลอเดียกลายมาเป็นมหาอำนาจของโลกทันที
หลังสิ้นสุดสงคราม เรฟลอเดียก็ปิดประเทศไม่ให้คนนอกเข้าไปได้อีก ว่ากันว่าความเกลียดชังชนชาติอื่นก็มาจากสงครามครั้งนี้นั่นเองจ้ะ
แต่เพราะเหตุนี้ เจ้าหญิงจึงต้องประทับอยู่แต่ห้องชั้นบนสุดของหอคอยที่สูงที่สุดมานับแต่นั้นเพื่อความปลอดภัย ท่านไม่เคยได้รับรู้โลกภายนอกเลย
จนกระทั่งย่างเข้าสู่วัยสิบสี่พรรษา พระราชาและพระราชินีก็ได้จัดให้ลูกขุนนางชั้นสูงมาเข้ารับการคัดเลือก เพื่อที่จะได้ทำการหมั้นหมายและเตรียมอภิเษกสมรมในปีต่อไป แต่ก็อย่างที่รู้กันว่าพระองค์ทรงหายตัวไปอย่างลึกลับก่อนวันพิธี และก็ไม่มีใครพบเห็นเจ้าหญิงอีกเลยนับแต่นั้นมา...
...ใครมีคำถามอะไรไหมจ๊ะ” อาจารย์มองหน้าเด็ก ๆ แต่ละคน
“อาจารย์รู้เรื่องพวกนี้ได้ไงฮะ” นักเรียนคนหนึ่งยกมือถามตรง ๆ ซึ่งหลายคนก็เห้นพ้องต้องกัน
“เป็นคำถามที่ดี” ดวงตาสีฟ้าสดใสของอาจารย์หรี่ลงเป็นรูปสระอิ “หนึ่งก็คือครูเคยอยู่ที่เรฟลอเดียจ้ะ ภาพที่พวกเธอเห็นก็คือภาพที่ครูถ่ายมาจริง ๆ สมัยอยู่ที่นั่น และสองคือครูเคยทำงานเป็นพระอาจารย์ถวายความรู้ให้เจ้าหญิงเอเลนาจ้ะ”
มีเสียงฮือฮาดังมาจากพวกนักเรียนทันที
“ถ้างั้นอาจารย์ก็เคยเห็นเจ้าหญิงสินะครับ” นักเรียนอีกคนว่า
“ไม่จ้ะ อาจารย์ทุกคนจะถูกปิดตาตลอดเวลาที่สอนเจ้าหญิง เพราะว่ากันว่าพระเนตรของพระองค์สามารถสะกดคนได้” อาจารย์กล่าว “เชื่อว่าทุกคนก็น่าจะได้อ่านข่าวเมื่อไม่นานมานี้ ว่าพระองค์ทรงมีพระเกศาสีเงิน กับพระเนตรสีฟ้า แล้วก็ตามที่ครูสอนเกี่ยวกับอาร์คานาไปแล้ว คงไม่ต้องเดาอะไรกันแล้วเนอะ แต่เพราะอย่างนั้นมันก็ทำให้มีเรื่องที่น่าสงสัยขึ้นมาอีกข้อหนึ่งซึ่งครูไม่สามารถพูดออกไปได้จ้ะ”
ได้ยินดังนั้น พวกนักเรียนก็ทำตาโตกันทันที
“อะ...อาจารย์ครับ แต่คนเรฟลอเดียก็มีคนที่ผมสีเงินตาสีฟ้านี่ครับ อย่างอาเรียน่ะครับ” ในตอนนั้นเดรโกก็ลุกขึ้นมาแย้ง
ทว่าสิ่งที่หนุ่มผมแดงได้รับคือสายตาแปลก ๆ จากเพื่อนร่วมชั้น รวมทั้งอาจารย์อวาลินด้วย
“เอ่อ คุณดันเต้ คุณสเตฟานอฟผมสีบลอนด์ทองนะจ๊ะ” อาจารย์เอียงคองง “คนเรฟลอเดียมีสีผมกับสีตาเหมือนครูจ้ะ เพราะครูเองก็เป็นคนเรฟลอเดียแต่กำเนิด ไม่มีคนเรฟลอเดียคนไหนผมสีเงิน ทั้งผู้วิเศษและเอลฟ์ หรือไปถามไนติงเกลก็ได้นะ ขานั้นก็คนบ้านเดียวกับครู”
“หรือเพราะเดรโกใส่แว่นสีทึบหรือเปล่าคะ เลยทำให้เห็นสีเพี้ยน” ลูอานาหันมาหาเขา
“เอ๋” เดรโกมองหน้าเพื่อน ๆ ซึ่งทุกคนยืนยันว่าอาเรีย สเตฟานอฟมีผมสีบลอนด์ทุกคน
สุดท้ายเขาก็หันมาหามารีที่เงียบมาตลอดเพื่อหาที่พึ่งที่น่าจะไว้ใจได้มากที่สุด แต่เธอเพียงเม้มปากและยักไหล่ให้ เห็นดังนั้นเจ้าตัวจึงนั่งลงอย่างยอมแพ้
“ขอโทษครับ อาจจะเห็นสีเพี้ยนจริง ๆ ก็ได้”
“ไม่เป็นไรจ้ะ” อาจารย์อวาลินกล่าวด้วยเสียงนุ่มนวล “แต่อีกอย่าง ที่ครูบอกไปก่อนหน้านี่ว่าอาร์คานาเป็นอมตะก็จริง แต่น้ำตาของพวกเขารักษาใครไม่ได้ และเลือดก็ทำให้ใครเป็นอมตะไม่ได้ด้วย...”
ยังไม่ทันจะพูดจบ เสียงระฆังก็ดังขึ้นพอดี ทำเอาเจ้าไทที่กำลังเคลิ้มสะดุ้งตื่น
“หมดเวลาแล้วสิ” ดวงตาของอาจารย์ยังคงหรี่อย่างมีเลศนัย “เนื้อหาของเรฟลอเดียที่ครูเล่าเมื่อกี้นี้ห้ามพูดถึงอีกนะคะ แล้วก็ไม่ต้องไปถามอะไรคุณสเตฟานอฟด้วย ครูทิ้งปริศนาเอาไว้ให้สืบค้นเล่น ๆ แล้วกัน อาร์คานาน่ะ ถ้ามีลูกกับมนุษย์จะได้ผู้วิเศษกับเอลฟ์ แต่หากอาร์คานามีลูกกับผู้วิเศษจะได้อะไร ไม่ต้องทำรายงานส่งนะ ไม่มีออกข้อสอบ แต่เนื้อหาเรื่องของอาร์คานามีออกนะจ๊ะ”
ในระหว่างที่พวกนักเรียนทยอยออกจากห้อง มารีก็เดินมาสมทบเดรโกที่เดินคอตกและกระตุกแขนเสื้อคลุมของเขา
“สงสัยต้องหาแว่นใหม่แล้วล่ะ” หนุ่มผมแดงยิ้มแป้นให้เธอ ทว่ามารีไม่ได้รับมุขแต่อย่างใด
“เข้ามาใกล้ ๆ หน่อยสิ” เธอกวักนิ้วเรียกเขา เดรโกจึงเอียงตัวเอาหูเข้ามาใกล้ ๆ แบบงง ๆ
“เราเองก็เห็นยัยนั่นมีผมสีเงินเหมือนกัน”
“!?”
Arcana and Elena
วันอังคาร แม้เวลาจะผ่านไปอย่างเชื่องช้าเช่นเดียวกับวันจันทร์ แต่เพราะไม่ใช่วันแรกของสัปดาห์ จึงทำให้ไม่มีใครเกลียด
หลังวิชาคณิตศาสตร์คาบเช้าที่สามารถทำให้หัวของนักเรียนระเบิดได้ก็เป็นวิชาสังคมศึกษาสบาย ๆ ในช่วงบ่าย ห้องเรียนของวิชานี้อยู่ที่ชั้นสามฝั่งเหนือ ความพิเศษของห้องเรียนชั้นที่สามก็คือหลังคาจะเป็นกระจก สามารถมองเห็นท้องฟ้าได้อย่างชัดเจน และยังมีหน้าต่างบานใหญ่ซึ่งทำให้สามารถมองออกไปชมวิวทิวทัศน์ของทะเลสาบและตัวเมืองได้อีก และยามบ่ายแบบนี้ แสงที่ตกกระทบลงมานั้นสวยงามมาก
แต่ถ้าหากเป็นวันที่แดดจัดล่ะก็ ห้องนี้ไม่ต่างอะไรกับเตาอบแสงอาทิตย์ ฉะนั้นที่นี่จึงมีเจ้าหน้าที่ประจำโรงเรียนมาใช้คาถาปรับอากาศให้เย็นก่อนมีการเรียนการสอนเสมอ
ในห้องค่อนข้างโล่ง มีเครื่องฉายภาพทรงกลมวางอยู่กลางห้อง ที่นั่งของนักเรียนไม่ใช่โต๊ะเล็กเชอร์แต่เป็นเบาะนุ่ม ๆ กลม ๆ ที่ยัดเมล็ดพืชเล็ก ๆ จำนวนมากเอาไว้ พื้นถูกปูด้วยไม้ปาเกขัดเงาเป็นมัน และมีกระถางต้นไม้ปลูกเอาไว้ประปราย ให้ความรู้สึกสบายตา
วิชานี้มีแค่ชั่วโมงเดียว หลังจากหมดคาบนี้ก็จะต่อด้วยวิชาเลือกเสรี แต่ถ้าไม่ได้ลงเรียนอะไรเอาไว้ก็คือว่างยาว ๆ หรือไปชมรมได้เลย
วันนี้นักเรียนทุกคนสวมหน้ากากอนามัยผ้า และได้รับคำสั่งให้เฝ้าระวังอาการ เนื่องจากตอนนี้อาเรียตรวจพบว่าเป็นโรคที่ไม่เคยพบมาก่อนในโลกเวทมนตร์ และกักตัวอยู่ในห้องพักของตัวเองเพื่อดูอาการ
วันนี้มารีขออยู่เงียบ ๆ สักวันแล้วกันนะ
“สวัสดีจ้ะทุกคน”
อาจารย์อวาลิน ชาวเอลฟ์ที่อยู่มาเกือบพันปีทักทายนักเรียน เธอเป็นหญิงสาวร่างสูงและผอมเพรียว ผิวขาวอมชมพูเนียนนุ่ม มีผมบลอนด์ทองฟูฟ่อง ดวงตาสีฟ้าสดใสรับกับใบหน้าอันงดงามเป็นอย่างดี เธอสวมชุดกระโปรงสีขาวทรงสุภาพ และที่โดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ก็คือใบหูเรียวแหลมที่โผล่ออกมาข้างศีรษะ เธอเองก็สวมหน้ากากอนามัยผ้าเช่นกัน
อาจารย์เปิดเครื่องฉาย ทำให้ทั้งห้องกลายเป็นป่าทึบ จากนั้นก็มีร่างของหญิงสาวงามเป็นภาพวาดหลายคนปรากฎออกมาจากแมกไม้และร่ายรำอย่างสนุกสนาน พวกเธอมีผิวขาวผ่องเหมือนแสงจันทร์ ผมเงินยาวสลวย ดวงตาสีฟ้าสดใส และใบหน้างดงามที่ทำเอาพวกนักเรียนหน้าแดงทั้งชายและหญิง แต่พอร่างของพวกเธอชนเข้ากับนักเรียนก็ทะลุผ่านไปเพราะเป็นแค่ภาพที่คนเราเรียกกันว่าโฮโลแกรม
“วันนี้ครูมีความรู้ที่เก่ามาก ๆ มาเล่าให้พวกเราฟัง” อาจารย์กล่าว “ในฐานะที่เธอเป็นผู้วิเศษ รู้ไหมว่ารากเหง้าของพวกเธอคืออะไร”
นักเรียนแต่ละคนพยายามครุ่นคิด แต่อาจารย์อวาลินดูจะมองเห็นว่ามีบางคนรู้คำตอบแม้จะไม่ได้ยกมือ
“คุณโอแคลร์”
“อาร์คานาค่ะ” มารีตอบด้วยหน้านิ่ง “เป็นเผ่าพันธุ์ที่เป็นบรรพบุรุษของผู้วิเศษและเอลฟ์ทุกคน”
“ถูกต้องค่ะ ปรบมือให้เพื่อนหน่อย” อาจารย์พยักหน้าอย่างพอใจ ก่อนจะเริ่มบรรยายต่อ น้ำเสียงของเธอนุ่มละมุนและชวนให้เคลิบเคลิ้มอย่างยิ่ง แต่เพราะเนื้อหาทุกอย่างต้องจดบันทึกเอง พวกนักเรียน (ยกเว้นเจ้าไทที่หลับไปแล้ว) เลยต้องพยายามทำตาแข็งและจดข้อมูลให้ได้มากที่สุด ไม่งั้นสอบตกแน่นอน
อาร์คานาเป็นเผ่าพันธุ์ทรงปัญญากลุ่มแรกที่ปรากฏขึ้นมาบนโลกเวทมนตร์เมื่อประมาณสี่พันปีก่อน แม้ในตอนนั้นจะมีสิ่งมีชีวิตอื่นถือกำเนิดมาก่อนแล้วเช่นมังกร และสัตว์วิเศษต่าง ๆ ว่ากันว่าพวกเขาเกิดจากผลของต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ที่งอกขึ้นมาเพียงต้นเดียวบนโลก ถ้าเป็นคนในแถบบ้านเราก็คงจะเรียกว่ามักกะลีผล
อาร์คานามีแต่เพศหญิงเท่านั้น พวกเธอจึงไม่สามารถสืบพันธุ์ได้ตามธรรมชาติ แต่ก็แลกด้วยการที่พวกเธอเป็นอมตะ และไม่มีวันตายไม่ว่าด้วยสาเหตุใด ๆ เทียบได้กับนกฟีนิกซ์ที่มีแขนขาและหน้าตาเป็นคน นอกจากนี้ยังเป็นเผ่าพันธุ์ที่เต็มเปี่ยมไปด้วยเวทมนตร์ ที่ทรงพลังยิ่งกว่าผู้วิเศษหลายเท่า ใบหน้าอันงดงามของพวกนางยังสามารถสะกดให้ผู้ใดก็ตามที่ได้จับจ้องหลงสเน่ห์และยอมทำตามคำสั่งได้ทุกอย่างได้อีกด้วย
แต่เมื่อประมาณสองพันปีก่อน อาร์คานาส่วนใหญ่ก็หายสาบสูญไปจนแทบเรียกได้ว่าสูญพันธุ์ เหลือเพียงภาพวาด เรื่องเล่า ตำนาน และข้อมูลในบันทึกเก่า ๆ เท่านั้น
“สงสัยไหมว่าทำไมเราถึงไม่พบเห็นอาร์คานาทุกวันนี้” หลังจากบรรยายไปได้สักพัก อาจารย์ก็ตั้งคำถาม
“เพราะถูกล่าไปเป็นทาสจนต้องหลบซ่อนตัวเองไหมฮะอาจารย์” นักเรียนคนนึงตอบ
“ถูกผู้วิเศษฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ไปเพราะกลัวว่าจะเป็นภัยต่อความมั่นคงหรือเปล่าคะ” นักเรียนอีกคนตอบ
“ดีมากจ้ะ แต่ทำไมโหดกันจัง” อาจารย์เอลฟ์หัวเราะแห้ง ๆ ออกมา “จริง ๆ แล้วที่พวกเขาหายไปมันมีเหตุผลอยู่ ซึ่งไม่ได้เกี่ยวกับความรุนแรงใด ๆ จ้ะ และอาร์คานามีพลังเหนือกว่าผู้วิเศษมาก ฉะนั้นแค่คิดจะต่อกรก็แพ้แล้ว”
ภาพโดยรอบเปลี่ยนไป กลายเป็นภาพวาดของชาวอาร์คานากับมนุษย์ผู้ชายคนหนึ่งยืนอยู่ในพิธีแต่งงาน จากนั้นเปลี่ยนไปเป็นอุ้มลูก และแก่ชรา
“หลังจากที่อาร์คานาเกิดขึ้นมาบนโลกได้ประมาณสองพันปี ก็มีมนุษย์ที่ไร้เวทมนตร์จำนวนมากปรากฏขึ้นมาอย่างไม่ทราบสาเหตุ แล้วมนุษย์เหล่านั้นก็ได้แต่งงานกับอาร์คานาจนให้กำเนิดผู้วิเศษรุ่นแรกของโลกนี้ขึ้นมา และนำมาสู่อารยธรรมของผู้วิเศษของพวกเธอจนถึงปัจจุบัน
พออาร์คานาได้ตั้งครรภ์กับมนุษย์ พลังของพวกเขากลับเสื่อมลงและกลายเป็นมนุษย์ธรรมดาไป อาร์คานาเกือบทั้งหมดจึงสิ้นอายุขัยไปตามธรรมชาติพร้อมกับมนุษย์กลุ่มแรก และยังมีส่วนน้อยมาก ๆ ที่เลือกจะอยู่อย่างโดดเดี่ยวโดยไม่ยุ่งเกี่ยวกับมนุษย์นั่นเองจ้ะ ที่สำคัญเลย คือต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ที่ให้กำเนิดอาร์คานาสิ้นอายุขัยไปแล้ว ก่อนที่มนุษย์จะเข้ามาเสียอีก”
ภาพโดยรอบเปลี่ยนเป็นชาวอาร์คานากับชาวเอลฟ์ ซึ่งแม้จะมีหน้าตาที่งดงามคล้ายคลึงกันก็จริง แต่ก็สามารถแยกได้ด้วยใบหู สีผมและสีตา ใบหูของเอลฟ์จะใหญ่และชี้ออกด้านข้างเป็นเอกลักษณ์ และมีสีตากับสีผมหลากสีตามพันธุกรรมของพ่อ ส่วนอาร์คานาทุกคนจะมีผมสีเงิน ตาสีฟ้า และหูคล้ายกับคนปกติแต่แหลมเล็กน้อย
ระหว่างนั้นเอง มารีก็สังเกตเห็นว่าเดรโกกอดอกและทำท่าทางเหมือนจะสงสัยอะไรบางอย่างมาสักพักใหญ่แล้ว
“ส่วนเอลฟ์นั้นก็เป็นผลของพันธุกรรมอีกแบบระหว่างมนุษย์กับอาร์คานา แต่เอลฟ์ไม่ได้มีเวทมนต์ หรืออำนาจในการสะกดใครที่มามองหน้าได้ แลกกับการที่ได้ประสาทสัมผัสเหนือชั้น พรสวรรค์ในเรื่องความแม่นยำ และอายุที่ยืนยาวกว่าผู้วิเศษหลายเท่าแทน เพราะฉะนั้นพวกเธอกับครูต่างก็เป็นเหมือนญาติทางพันธุกรรมกันค่ะ ใครมีคำถามอะไรไหม”
“แล้วผู้วิเศษมีลูกกับเอลฟ์ได้ไหมครับอาจารย์” นักเรียนชายคนหนึ่งยกมือถาม
“เท่าที่รู้ แม้ปัจจุบันจะมีเอลฟ์ที่แต่งงานกับผู้วิเศษหลายคู่ แต่ตอนนี้มีลูกครึ่งเอลฟ์ครึ่งผู้วิเศษเกิดขึ้นมาแค่คนเดียวค่ะ เนื่องจากเอลฟ์อย่างพวกครูมีลูกกันยาก ขนาดกับเผ่าพันธุ์ตัวเองก็ตาม” อาจารย์อวาลินกล่าว
“แล้วอาจารย์อาเทเนียเป็นเผ่าพันธุ์ไหนเหรอคะ” นักเรียนหญิงคนหนึ่งถาม เนื่องจากผู้วิเศษมีอายุขัยเฉลี่ยประมาณร้อยปี แต่ในรายของ ผอ. นั้น เธออยู่มาเกือบพันปีแล้ว แถมยังมีเวทมนตร์ที่ทรงพลังมาก ๆ
“ความลับค่า!”
ในตอนนั้นเอง อาเทเนียในร่างเด็กประถมก็แวบมาเกาะที่ประตูแซวพวกนักเรียนแล้วก็เดินจากไป ทิ้งให้พวกนักเรียนได้แต่อิหยังวะ อาจารย์อวาลินหัวเราะเล็กน้อยก่อนจะกลับเข้าสู่การสอน
หลังจากนั้นก็เป็นการเล่าเรื่องอาร์คานาที่มีบทบาทสำคัญในโลกเวทมนตร์ ซึ่งมีทั้งที่เป็นกษัตริย์ผู้ปกครองอาณาจักรต่าง ๆ ทั้งที่สาปสูญไปแล้วและยังอยู่มาถึงปัจจุบัน นักกวี ศิลปิน และอีกมากมาย ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นบทบาทเด่น ๆ ในสังคม
และที่เด่น ๆ ก็คือปฐมกษัตริย์ต้นตระกูลของกษัตริย์เรฟลอเดียในปัจจุบัน อาจารย์จึงถือโอกาสนี้เล่าเรื่องของดินแดนแห่งนี้ไปด้วยเลย ว่ากันว่าต้นไม้ที่ให้กำเนิดอาร์คานาขึ้นมา ก็ขึ้นอยู่ที่บริเวณพื้นที่ของอาณาจักรแห่งนี้
“…และแน่นอน อีกคนที่จะพูดถึงไม่ได้คือ เอเลนา เอเลโอโนรา แอริแอนอฟ ซาเรฟนาแห่งเรฟลอเดีย วันนี้โชคดีหน่อยที่เพื่อนเรฟลอเดียคนนึงของเราไม่อยู่ด้วย ไม่งั้นคงไม่ยอมให้ครูสอนเรื่องนี้แน่”
“ทำไมน่ะคะ” ลูอานาหันมากระซิบถามเดรโก ที่แรกเธอหันไปหาไท แต่เจ้าตัวแสบคอพับน้ำลายยืดไปแล้ว
“ไม่รู้สิ เราก็ไม่ใช่คนเรฟลอเดียนะ” หนุ่มผมแดงยักไหล่
“กษัตริย์เรฟลอเดียห้ามพูดถึงหรือวิจารณ์ใด ๆ ทั้งนั้น มีกฎหมายกำหนดเอาไว้ในกฎหมายอาญา มีโทษหนักยิ่งกว่าฆ่าคนตาย” มารีช่วยตอบให้ ทำเอาสาวชาวเผ่ากลืนน้ำลายอึกใหญ่
ภาพโดยรอบเปลี่ยนเป็นเมืองหลวงของอาณาจักรเรฟลอเดีย ซึ่งมีปราสาทของกษัตริย์เป็นอาคารที่โดดเด่นสูงตระหง่านเพียงแห่งเดียว ท้องฟ้ามืดครึ้มและมีหิมะโปรยปราย แม้จะเป็นแค่ภาพฉาย แต่ก็ทำให้รู้สึกหนาวได้
“ด้วยความที่เรฟลอเดียตั้งอยู่ที่แถบใกล้ขั้วโลกเหนือ จึงทำให้ที่นี่อากาศหนาวเย็นสุดขั้วตลอดทั้งปี ไม่สามารถเพาะปลูกพืชผักใด ๆ ได้ นอกจากจับปลา สัตว์ทะเลและเลี้ยงสัตว์ แต่ก็แลกมาด้วยการที่ดินแดนแห่งนี้เป็นแหล่งทรัพยากรแร่มีค่าหลายชนิดที่ไม่ว่าจะขุดกันมากี่ร้อยปีก็ไม่มีทีท่าว่าจะหมด
หลังจากที่เจ้าหญิงเอเลนาประสูติ หลาย ๆ อย่างก็เปลี่ยนไป พระองค์ทรงเปี่ยมไปด้วยพลังเวทย์มหาศาล เมื่อครั้งได้สามพรรษาก็ดลบันดาลให้ท้องฟ้าที่มืดครึ้มและหนาวเย็นมาตั้งแต่ก่อนจะมีการตั้งอาณาจักรกลายเป็นท้องฟ้าที่สดใสและอบอุ่น ทำให้สามารเพราะปลูกและออกมาใช้ชีวิตกันได้อย่างมีความสุข
กระนั้น พระองค์ยังทรงมีความสามารถพิเศษอื่นอีก ทั้งน้ำตาวิเศษที่เยียวยาคนที่ป่วยใกล้ตายและบาดแผลทุกชนิดให้หายเป็นปลิดทิ้ง จนทำให้ชาวเมืองไม่เจ็บไม่ป่วย
และที่สำคัญเลยคือ เลือดของพระองค์ทำให้คนที่ได้ดื่มกลายเป็นอมตะได้แม้เพียงหยดเดียว ต่อให้ถูกเผาทั้งเป็นจนเหลือแต่เถ้าถ่านก็สามารถฟื้นตัวเองกลับมาได้ เหมือนกับอาร์คานา
ดังนั้น สำหรับชาวเรฟลอเดียแล้ว เจ้าหญิงเอเลนาเป็นดังเทพธิดาที่มีชีวิตเลยทีเดียว เป็นที่เคารพรักและเทิดทูนของชาวเรฟลอเดียทุกคนมาก และเรียกพระองค์ว่าเจ้าหญิงแห่งโชคชะตา
เมื่อนานาประเทศทราบข่าวนี้ จึงกรีธาทัพมาเพื่อชิงตัวเจ้าหญิง แต่ด้วยพื้นที่ของเรฟลอเดียที่มีพื้นที่มียุทธศาสตร์เหนือกว่า และด้วยพลังมหาศาลของเจ้าหญิง จึงทำให้สามารถเอาชนะศัตรูได้ไม่ยากเย็น และทำให้เรฟลอเดียกลายมาเป็นมหาอำนาจของโลกทันที
หลังสิ้นสุดสงคราม เรฟลอเดียก็ปิดประเทศไม่ให้คนนอกเข้าไปได้อีก ว่ากันว่าความเกลียดชังชนชาติอื่นก็มาจากสงครามครั้งนี้นั่นเองจ้ะ
แต่เพราะเหตุนี้ เจ้าหญิงจึงต้องประทับอยู่แต่ห้องชั้นบนสุดของหอคอยที่สูงที่สุดมานับแต่นั้นเพื่อความปลอดภัย ท่านไม่เคยได้รับรู้โลกภายนอกเลย
จนกระทั่งย่างเข้าสู่วัยสิบสี่พรรษา พระราชาและพระราชินีก็ได้จัดให้ลูกขุนนางชั้นสูงมาเข้ารับการคัดเลือก เพื่อที่จะได้ทำการหมั้นหมายและเตรียมอภิเษกสมรมในปีต่อไป แต่ก็อย่างที่รู้กันว่าพระองค์ทรงหายตัวไปอย่างลึกลับก่อนวันพิธี และก็ไม่มีใครพบเห็นเจ้าหญิงอีกเลยนับแต่นั้นมา...
...ใครมีคำถามอะไรไหมจ๊ะ” อาจารย์มองหน้าเด็ก ๆ แต่ละคน
“อาจารย์รู้เรื่องพวกนี้ได้ไงฮะ” นักเรียนคนหนึ่งยกมือถามตรง ๆ ซึ่งหลายคนก็เห้นพ้องต้องกัน
“เป็นคำถามที่ดี” ดวงตาสีฟ้าสดใสของอาจารย์หรี่ลงเป็นรูปสระอิ “หนึ่งก็คือครูเคยอยู่ที่เรฟลอเดียจ้ะ ภาพที่พวกเธอเห็นก็คือภาพที่ครูถ่ายมาจริง ๆ สมัยอยู่ที่นั่น และสองคือครูเคยทำงานเป็นพระอาจารย์ถวายความรู้ให้เจ้าหญิงเอเลนาจ้ะ”
มีเสียงฮือฮาดังมาจากพวกนักเรียนทันที
“ถ้างั้นอาจารย์ก็เคยเห็นเจ้าหญิงสินะครับ” นักเรียนอีกคนว่า
“ไม่จ้ะ อาจารย์ทุกคนจะถูกปิดตาตลอดเวลาที่สอนเจ้าหญิง เพราะว่ากันว่าพระเนตรของพระองค์สามารถสะกดคนได้” อาจารย์กล่าว “เชื่อว่าทุกคนก็น่าจะได้อ่านข่าวเมื่อไม่นานมานี้ ว่าพระองค์ทรงมีพระเกศาสีเงิน กับพระเนตรสีฟ้า แล้วก็ตามที่ครูสอนเกี่ยวกับอาร์คานาไปแล้ว คงไม่ต้องเดาอะไรกันแล้วเนอะ แต่เพราะอย่างนั้นมันก็ทำให้มีเรื่องที่น่าสงสัยขึ้นมาอีกข้อหนึ่งซึ่งครูไม่สามารถพูดออกไปได้จ้ะ”
ได้ยินดังนั้น พวกนักเรียนก็ทำตาโตกันทันที
“อะ...อาจารย์ครับ แต่คนเรฟลอเดียก็มีคนที่ผมสีเงินตาสีฟ้านี่ครับ อย่างอาเรียน่ะครับ” ในตอนนั้นเดรโกก็ลุกขึ้นมาแย้ง
ทว่าสิ่งที่หนุ่มผมแดงได้รับคือสายตาแปลก ๆ จากเพื่อนร่วมชั้น รวมทั้งอาจารย์อวาลินด้วย
“เอ่อ คุณดันเต้ คุณสเตฟานอฟผมสีบลอนด์ทองนะจ๊ะ” อาจารย์เอียงคองง “คนเรฟลอเดียมีสีผมกับสีตาเหมือนครูจ้ะ เพราะครูเองก็เป็นคนเรฟลอเดียแต่กำเนิด ไม่มีคนเรฟลอเดียคนไหนผมสีเงิน ทั้งผู้วิเศษและเอลฟ์ หรือไปถามไนติงเกลก็ได้นะ ขานั้นก็คนบ้านเดียวกับครู”
“หรือเพราะเดรโกใส่แว่นสีทึบหรือเปล่าคะ เลยทำให้เห็นสีเพี้ยน” ลูอานาหันมาหาเขา
“เอ๋” เดรโกมองหน้าเพื่อน ๆ ซึ่งทุกคนยืนยันว่าอาเรีย สเตฟานอฟมีผมสีบลอนด์ทุกคน
สุดท้ายเขาก็หันมาหามารีที่เงียบมาตลอดเพื่อหาที่พึ่งที่น่าจะไว้ใจได้มากที่สุด แต่เธอเพียงเม้มปากและยักไหล่ให้ เห็นดังนั้นเจ้าตัวจึงนั่งลงอย่างยอมแพ้
“ขอโทษครับ อาจจะเห็นสีเพี้ยนจริง ๆ ก็ได้”
“ไม่เป็นไรจ้ะ” อาจารย์อวาลินกล่าวด้วยเสียงนุ่มนวล “แต่อีกอย่าง ที่ครูบอกไปก่อนหน้านี่ว่าอาร์คานาเป็นอมตะก็จริง แต่น้ำตาของพวกเขารักษาใครไม่ได้ และเลือดก็ทำให้ใครเป็นอมตะไม่ได้ด้วย...”
ยังไม่ทันจะพูดจบ เสียงระฆังก็ดังขึ้นพอดี ทำเอาเจ้าไทที่กำลังเคลิ้มสะดุ้งตื่น
“หมดเวลาแล้วสิ” ดวงตาของอาจารย์ยังคงหรี่อย่างมีเลศนัย “เนื้อหาของเรฟลอเดียที่ครูเล่าเมื่อกี้นี้ห้ามพูดถึงอีกนะคะ แล้วก็ไม่ต้องไปถามอะไรคุณสเตฟานอฟด้วย ครูทิ้งปริศนาเอาไว้ให้สืบค้นเล่น ๆ แล้วกัน อาร์คานาน่ะ ถ้ามีลูกกับมนุษย์จะได้ผู้วิเศษกับเอลฟ์ แต่หากอาร์คานามีลูกกับผู้วิเศษจะได้อะไร ไม่ต้องทำรายงานส่งนะ ไม่มีออกข้อสอบ แต่เนื้อหาเรื่องของอาร์คานามีออกนะจ๊ะ”
ในระหว่างที่พวกนักเรียนทยอยออกจากห้อง มารีก็เดินมาสมทบเดรโกที่เดินคอตกและกระตุกแขนเสื้อคลุมของเขา
“สงสัยต้องหาแว่นใหม่แล้วล่ะ” หนุ่มผมแดงยิ้มแป้นให้เธอ ทว่ามารีไม่ได้รับมุขแต่อย่างใด
“เข้ามาใกล้ ๆ หน่อยสิ” เธอกวักนิ้วเรียกเขา เดรโกจึงเอียงตัวเอาหูเข้ามาใกล้ ๆ แบบงง ๆ
“เราเองก็เห็นยัยนั่นมีผมสีเงินเหมือนกัน”
“!?”
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ