แด่ชีวิตสุดชิลของต้นหลิวจอมเฉื่อย
-
2) สุดหล่อห้อง 1 (2)
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความบทที่ 1 - สุดหล่อห้อง 1
(2)
พักกลางวันคือสวรรค์ของเหล่านักเรียน ต้นหลิวเองก็เช่นกัน...
เงินที่แม่ให้มาหมดไปกับค่าของกิน คนอื่นได้เป็นรายสัปดาห์ส่วนของต้นหลิวได้เป็นรายวัน
เป็นเพราะเคยให้รายสัปดาห์แล้วเงินหมดตั้งแต่สามวันแรก ต้นจันปวดหัวตุบเลย ลืมไปว่าลูกชายคนโตรักการกินเป็นพิเศษ
ทุกวันนี้เด็กหนุ่มวัยสิบหกปีจึงได้ค่าขนมมาแค่วันละหนึ่งร้อยบาท และหนึ่งร้อยบาทที่ว่าก็ต้องเหลือกลับไปหยอดกระปุกอีกด้วย ช่างเป็นข้อจำกัดที่หนักใจเหลือเกิน
แต่วันนี้โชคดี! เมื่อเช้าได้เงินค่าขนมปังกับนมมาจากคนคนหนึ่งซึ่งเรียนอยู่ระดับชั้นเดียวกัน ไม่รู้ชื่อแต่ต้นหลิวจำหน้าเขาได้
เงินหนึ่งร้อยของแม่บวกกับเงินหนึ่งร้อยของเขารวมเป็นสองร้อย ซื้อของที่ต้นหลิวอยากกินได้ครบหมดทุกอย่าง สุขใจมากนาทีนี้
"ปกติวันนึงนายกินเยอะขนาดนี้เลยเหรอ"
ดูสิไม่ว่าจะเป็นไก่เสียบไม้ทอด ไส้กรอกนึ่ง น้ำโค้กแก้วใหญ่ ไหนจะขนมกรุบกรอบ ผลไม้ ไม่รวมข้าวที่เพิ่งกินไปสองจานนะ สุรล่ะทึ่งในความสามารถ
ต้นหลิวไม่ได้ตอบคำถามเพื่อน นั่งกินของที่ซื้อมาอย่างไม่เร่งรีบ มองไปรอบ ๆ โรงอาหารที่บางตาลงบ้างแล้ว ก่อนหน้านี้แน่นขนัดแทบไม่มีที่นั่ง
"กลุ่มนั้นน่ะเขาจะหล่อกันไปไหนวะ หล่อแบบอยากกรี๊ดให้คอแตก อาหารตาอาหารใจโดยแท้พ่อคุณ"
"นั่นดิ แล้วทั้งกลุ่มเลยนะ ก่อนเข้ากลุ่มเขาคัดหน้าตาเปล่าอะ แบบถ้าจะเข้ากลุ่มเราต้องหล่อต้องรวยต้องเรียนเก่งด้วยไรเงี้ย"
"เป็นไปได้ เฮ้อ~ อิจฉาพวกผู้หญิงที่ได้อยู่ห้องเดียวกันจังเลย"
ต้นหลิวไม่ได้ตั้งใจแอบฟังแต่อีกฝ่ายคุยกันเสียงดังราวกับกลัวว่าจะไม่มีใครได้ยิน สามสาวโต๊ะข้าง ๆ กำลังพูดถึงกลุ่มคนกลุ่มหนึ่ง ซึ่งต้นหลิวไม่รู้ว่าเป็นใคร แล้วก็ไม่ได้อยากรู้ขนาดนั้นด้วย
"ต้องเป็นพวกห้องหนึ่งแหง" สุรว่า
ห้องหนึ่งคือศูนย์รวมคนหน้าตาดีมีชาติตระกูล เก่งกาจฉลาดเกิน ครบสูตรชายหญิงในฝันของใครหลาย ๆ คน
ต้นหลิวฟังสุรเล่าแล้วถึงเข้าใจ ไม่แปลกเลย เพราะคนหน้าตาดีมักเป็นจุดสนใจของผู้คน
"ก็คนเมื่อเช้าที่นั่งอยู่โต๊ะข้าง ๆ เราไง" สุรเสริม
งั้นเหรอ... คนเมื่อเช้าที่ขอขนมปังนั่นน่ะนะ ...เขาหน้าตาดีจริง ๆ นั่นแหละ ถ้าบอกว่าดีแบบไร้ที่ติจะหาว่าเว่อร์เกินไปไหม
เอาเถอะต้นหลิวก็แค่รับรู้ไว้ ไม่ได้อยากรู้จักอะไรมากมายหรอก
"อันนี้เก็บไว้กินตอนพักเบรก"
สุรมองเพื่อนเก็บไก่เสียบไม้ใส่ถุงหูหิ้ว ปากมันแผลบจนต้องดึงทิชชู่มาเช็ดให้
"จะทำอะไรต่อ ยังเหลือเวลาอีกยี่สิบนาที"
ต้นหลิวส่ายหน้านั่นหมายความว่าจะไม่ทำอะไรอีกนอกจากกลับขึ้นไปนั่งเล่นที่ห้องเรียน
สุรเหมือนจะเข้าใจต้นหลิวอยู่บ้าง เพราะอีกฝ่ายดูเป็นตัวของตัวเองมาก และเขาค่อนข้างเป็นคนง่าย ๆ อะไรก็ได้ จึงไม่รู้สึกอึดอัดกับการถามคำตอบคำ หรือบางครั้งก็ไม่ตอบเลย
ระหว่างทางจากโรงอาหารถึงอาคารเรียนใช้เวลาประมาณหกถึงเจ็ดนาทีในการเดิน ผ่านสวนหย่อมเล็ก ๆ ผ่านห้องประชาสัมพันธ์ ผ่านสนามบาสที่อยู่ขวามือ และผ่านศาลาไม้มากมายที่ตั้งอยู่ด้านซ้าย ซึ่งมีเหล่านักเรียนหญิงนั่งอยู่ในนั้นเพื่อกรี๊ดกร๊าดพวกนักเรียนชายที่เล่นบาสกันอยู่ฝั่งตรงข้าม
ปัก.. ปัก.. ปัก
ปึก!
ต้นหลิวหยุดเดินก้มมองลูกบาสที่เด้งมาโดนขา ไม่เบาไม่แรงพอให้คันยุบยิบ
"ขอโทษที ชะ...! อ้าว! นายคนเมื่อเช้านี่"
อีกฝ่ายเสียงดังพอที่จะทำให้ตรงที่ต้นหลิวยืนอยู่เป็นจุดสนใจขึ้นมาได้ แน่นอนว่าต้นหลิวไม่ชอบจึงเดินดุ่ม ๆ หนีจากตรงนั้นทันที ไม่สนใจว่าอีกฝ่ายจะแหกปากร้องเรียกดังขนาดไหน
ช่วงบ่ายมีเลือกชมรม นักเรียนใหม่เขาก็พากันตื่นเต้นเป็นพิเศษ เช่นเดียวกับชมรมต่าง ๆ ที่ทยอยลงมาตั้งโต๊ะที่โดมใหญ่รอรับสมาชิกใหม่ นักเรียนเก่าที่สนใจเปลี่ยนชมรมก็เป็นโอกาสอันดีเช่นกัน
ขณะนี้ต้นหลิวยืนรอสุรอยู่หน้าทางเข้า
จึก จึก
ก็ได้มีใครคนหนึ่งมาสะกิดไหล่ ทำให้ต้องหันไปมองอย่างช่วยไม่ได้
"ไง"
"..."
"อ้าว นิ่งเลย"
เขาคือคนเมื่อเช้าที่ขอซื้อขนมปัง ต้นหลิวจำได้เพราะอีกฝ่ายหน้าตาดีมีเอกลักษณ์ แถมตอนกลางวันยังร้องทักกันเสียงดัง
"จำได้ไหมเนี่ย" คนตัวสูงโปร่งยืนเท้าเอวมองมา ท่าทางมั่นใจนั่นทำให้ขับเสน่ห์น่าดูชม นัยน์ไร้ความกังวลใด ๆ
"มีอะไร"
สุดท้ายต้นหลิวก็ถามออกไป อยู่ ๆ มาทักกันทำไมเนี่ย ดูสิคนมองหมดแล้ว
"เราชื่อโพลักซ์นะ อยู่ห้องหนึ่ง นายชื่ออะไร เรียนอยู่ห้องไหน"
สำหรับคนที่รู้มารยาทก็จะเอ่ยแนะนำตัวเองก่อนถามชื่อของคนอื่น ซึ่งโพลักซ์ทำได้ดีมาก ต้นหลิวรู้สึกประทับใจอย่างบอกไม่ถูก ...แต่ก็แค่ประทับใจเฉย ๆ นั่นแหละ
"ต้นหลิว ห้องสาม" ถามมาก็บอกไป
"ต้นหลิวเหรอ ชื่อน่ารักเหมือนหน้าตาเลยว่ะ ยินดีที่ได้รู้จักนะ"
พอเขาพูดแบบนั้นต้นหลิวทำเพียงมองนิ่งแต่ในใจเหม็นเบื่อเพราะไม่ชอบให้ใครพูดชม
"อือ"
หมับ!
"เข้าใจ ๆ เป็นคนพูดไม่เก่งสิท่า"
ต้นหลิวถึงกับเบิกตาเมื่อคนตัวสูงกว่าขยับมากอดไหล่ ตบปู ๆ ให้กำลังใจทั้งที่คิดไปเองคนเดียว
เนี่ยแหละข้อเสีย คนชอบคิดว่าต้นหลิวพูดไม่เก่ง แต่จริง ๆ แล้วขี้เกียจพูดเฉย ๆ เน้นพูดให้น้อยที่สุดจะได้ไม่เปลืองพลังงาน
"จริงสิ เกือบลืมไปเลย ขนมปังเมื่อเช้านายซื้อมาจากที่ไหนเหรอ มันอร่อยมากจนอยากกินอีก"
โพลักซ์ยังคงกอดไหล่ไม่ปล่อย รั้งให้ขยับแนบชิดตัวติดจนต้นหลิวต้องห่อไหล่ด้วยความไม่คุ้นชิน มองจากสายตาคนอื่นดูตัวเล็กตัวน้อยไปถนัดตา
"นี่... ช่วยปล่อยก่อนได้หรือเปล่า อึดอัด" พยายามดันเขาออก
"โอ๊ะ! งั้นเหรอ โทษที ๆ"
ต้นหลิวผ่อนลมหายใจเมื่ออีกฝ่ายปล่อยแขนพร้อมขยับออกไป ถ้าถึงเนื้อถึงตัวอีกจะไม่คุยด้วยแล้ว
"สรุปนายซื้อมาจากที่ไหน โรงเรียนเลิกเราจะแวะไปซื้อก่อนกลับบ้าน"
"ร้านของแม่เราเอง" ต้นหลิวตอบอย่างเสียไม่ได้ ดูท่าทางอีกฝ่ายจะชอบจริง ๆ
"อย่างนี้นี่เองไม่น่าล่ะนายถึงมีเสบียงเต็มกระเป๋า เอางี้...ฝากซื้อได้หรือเปล่า"
ได้หรือไม่ได้ดีล่ะต้นหลิว
เรื่องมันชักจะวุ่นวาย เพราะคนพึ่งรู้จักกันมาฝากซื้อนั่นซื้อนี่ ต้นหลิวไม่ชอบหรอก แต่ก็ดันเป็นคนใจดี...
"เอาเงินมาสิ" มือเล็กแบออกยื่นไปหา
โพลักซ์ฉีกยิ้มหยิบเอาธนบัตรสีม่วงมาว่างแปะบนฝ่ามือเล็ก
"นายเลือกมาเลยเอาให้ครบห้าร้อยนั่นแหละ"
"อะไรก็ได้เลยเหรอ"
"อืม อันไหนที่นายคิดว่าอร่อยเอามาให้หมด อ้อ! อย่าลืมนมแสนอร่อยด้วยนะ"
"อืม ...ได้"
"เยี่ยมเลย! ขอบใจมาก ไปล่ะ"
พรึ่บ ๆ
มิวายยื่นมือมายีผมจนยุ่งเหยิงแล้วรีบวิ่งหนีไปรวมกับกลุ่มเพื่อนของตัวเอง และยังมีหน้าหันมาโบกมือหัวเราะร่่าให้อีกต่างหาก
ต้นหลิวอยากจะปาเงินทิ้ง ไม่ต้องกงต้องกินมันเสียดีไหม
"เฮ้ย! นั่นมันโพลักซ์นี่ ทั้งสองคนรู้จักเหรอ"
สุรที่หายไปเข้าห้องน้ำกลับมาเสียที เอ่ยถามเพื่อนเพราะท่าทางของทั้งสองคนดูสนิทสนมกันเชียว
"เพิ่งรู้จักเมื่อกี๊" ตอบเสียงเซ็ง
"นายรู้ไหมว่าแก๊งนั้นน่ะเป็นแก๊งลูกสส. พ่อแม่มีอิทธิพลใหญ่โตเชียวล่ะ แถมหน้าแต่ละคนอย่างกับลอยลงมาจากฟ้า" สุรว่าขณะเดินเข้าไปด้านในด้วยกัน เขาหมายถึงหล่อราวกับเทพบุตรก็ไม่ปาน
ต้นหลิวฟังเงียบ ๆ จะลูกท่านหลานเธอที่ไหนก็ช่างเถอะ ขอแค่อย่าพาความเดือดร้อนมาให้ก็แล้วกัน
^_________^
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ