ปิ่นตะวัน

-

เขียนโดย พราวรุ้ง

วันที่ 15 กรกฎาคม พ.ศ. 2566 เวลา 12.40 น.

  9 ตอน
  69 วิจารณ์
  3,339 อ่าน

แก้ไขเมื่อ 15 กรกฎาคม พ.ศ. 2566 12.48 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

9) หนี

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ
ขนาดตัวอักษร เล็ก กลาง ใหญ่ ใหญ่มาก
           ข่าวการประชวรของเจ้าหลวงแพร่กระจายไปทั่วคุ้ม หมอหลวงต่างพากันมารักษาไม่ขาดสาย ทั้งเสนาอำมาตย์ข้าราชการต่างลงความเห็นในทิศทางเดียวกันว่าควรแต่งตั้งให้เจ้าอินทร์คำเป็นผู้รักษาการแทนดูแลและสะสางงานส่วนที่เหลือจนกว่าเจ้าหลวงวจะหายจากการประชวรเพราะเห็นว่าเจ้าอินทร์คำมีสติปัญญาหลักแหลม สุขุมนุ่มลึกคล้ายเจ้าหลวงมิมีผิดเพี้ยน ดาหลาเล่าสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในคุ้มหลวงให้หนานไกรและปิ่นตะวันฟัง
            “ยังมีข่าวลือกันว่าพวกอำมาตย์และข้าราชการชั้นสูงต่างแบ่งฝักแบ่งฝ่ายเป็นสองพวกหลังเจ้าหลวงประชวรหนัก ฝ่ายหนึ่งสนับสนุนเจ้าอินทร์คำให้ขึ้นเป็นพระมหาอุปราช ส่วนอีกฝ่ายก็สนับสนุนเจ้าอินทร์แปงให้ขึ้นเป็นพระมหาอุปราชเช่นกันเจ้า” ดาหลาเล่าทุกอย่างที่เธอได้ยินมาจากพวกนางกำนันที่เล่ากันปากต่อปาก หนานไกรนั่งนิ่งฟังอย่างตั้งใจ สีหน้าเหมือนกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่าง
            “แล้วในคุ้มหลวงมีใครที่ท่าทีแปลกไปหรือไม่” หนานไกรหันมาถามดาหลาด้วยความสงสัย หญิงสาวนั่งคิดอยู่สักพักก่อนจะนึกบางอย่างออก
            “มีเจ้า พักหลังมานี้เจ้าอินทร์คำเริ่มพูดจาประหลาด บางครั้งก็มีอารมณ์ฉุนเฉียวอย่างที่มิเคยเป็นมาก่อน น้องแอบได้ยินนางกำนันในตำหนักนั้นพากันพูดว่าบางคราก็เห็นเจ้าอินทร์คำพูดคนเดียว แม่เมืองสั่งห้ามมิให้ใครแพร่งพรายเรื่องนี้มิเช่นนั้นจะถูกลงโทษเจ้า” หนานไกรยังคงนั่งฟังอย่างตั้งใจชายหนุ่มยิ้มมุมปากเล็กน้อยเมื่อรู้ว่าทุกอย่างนั้นเป็นไปตามที่เขาคิด หลังจากที่ดาหลากับบ่าวกลับเฮือนแก้วไปแล้วหนานไกรสั่งให้ยอดเก็บข้าวของ ของตนมาไว้ที่เรือนใหญ่อีกครั้งเพราะมีลางสังหรณ์ว่าจะเกิดเรื่องไม่ดีขึ้นบนเรือนหลังใหญ่และจะเป็นการดีถ้าเขาไม่ต้องวิ่งไปมาระหว่างสองเรือนหากเกิดเรื่องขึ้นเหมือนคราวที่แล้ว 
            คืนนี้เป็นคืนเดือนดับแสงจันทร์ไม่กระจ่างเหมือนที่ผ่านมา หนานไกรอยู่ภายในห้องนอนของตนเตรียมจะเอนหลังนอน จู่ ๆก็มีเสียงดังเอะอะโวยวายตรงหน้าเรือนดังขึ้นชายหนุ่มจึงรีบเดินออกไปดู 
            “แม่หญิงอยู่ตรงนี้ห้ามออกมาเด็ดขาด” หนานไกรสั่งห้ามไม่ให้ออกไปไหนหลังเห็นหญิงสาวทำท่าทีจะเดินออกไปที่หน้าเรือน ชายหนุ่มคว้าดาบคู่กายแล้วเดินจากไปทันที ยอดรีบวิ่งเข้ามาประกบเจ้านายของตน ทั้งสองและบ่าวที่มีฝีมือคนอื่นๆร่วม ต่อสู้กับกลุ่มคนที่ปิดบังใบหน้านับสิบ ปิ่นตะวันยืนชะเง้อมองอย่างลุ้นระทึก
           “แม่หญิงออกไปบ่อได้เจ้า” ชุ่มร้องทักเมื่อเห็นหญิงสาวเดินไปหยิบด้ามไม้ไผ่ที่วางตรงประตูทางเข้าออกของเรือน
           “พวกพี่รออยู่ตรงนี้นะฉันจะไปช่วยพี่หนาน” พูดจบหญิงสาวเดินลงบันไดไปสมทบกับพวกที่อยู่หน้าเรือน
           “แม่หญิง” ชุ่มและบ่าวผู้หญิงตะโกนเสียงหลงเมื่อเห็นหญิงสาวเดินออกไปโดยไม่สามารถห้ามปรามได้
 ทั้งสองฝ่ายต่างปะดาบกันอย่างชุลมุนวุ่นวาย หนานไกรและยอดเข้าไปฟาดฟันจนอีกฝ่ายล้มลงไปหลายคน มีจังหวะหนึ่งที่ชายหนุ่มเผลอเพราะมัวแต่สู้กับคนตรงหน้าจนลืมมองว่ามีชายอีกคนกำลังจะให้ดาบแทงชายหนุ่มจากด้านข้าง ทันใดนั้นดาบในมือก็ถูกของบางอย่างกระแทกจนดาบหลุดมือไป หญิงสาวใช้ด้ามไม้ไผ่ตีไปที่ขาจนล้มแล้วใช้ปลายไม้ฟาดเสยเข้าที่คางของอีกฝ่ายจนหงายหลังนอนสลบไปทันที
           “ข้าบอกแล้วมิใช่รึว่าห้ามออกมา” ชายหนุ่มหันมาพูดกับหญิงสาวอย่างเสียอารมณ์หลังเห็นว่าเจ้าหล่อนไม่เชื่อฟังคำสั่งของตนว่าให้อยู่ในเรือน แต่กลับกระโจนเข้าร่วมต่อสู้ด้วยอีกต่างหาก
           “ฉันช่วยได้ ไม่ต้องเป็นห่วง” หญิงสาวยังคงดื้อดึงเข้าไปช่วยต่อสู้ จนกระทั่งกลุ่มชายปิดหน้าเหลือจำนวนคนน้อยลงจากการถูกฟันจนบาดเจ็บไม่สามารถต่อสู้ได้จึงค่อยๆล่าถอยไป แต่แล้วก็มีชายคนหนึ่งท่าทางสะบักสะบอมลุกขึ้นมาใช้มีดสั้นที่พกติดตัวไว้ข้างเอวตรงปรี่เข้ามาหวังจะแทงหญิงสาวที่ไม่ทันได้สังเกตุตนให้บาดเจ็บแต่แล้วดาบเล่มยาวก็พุ่งเข้ามาปักอกด้านซ้ายของคนร้ายจนแน่นิ่งไป
           “ความประมาทจะเป็นหนทางสู่ความตาย” หนานไกรเดินไปเอาดาบที่ปักบนอกของคนร้ายแต่ยังมิวายพูดจาเหน็บแนมหญิงสาว
หนานไกรเดินเข้าไปสำรวจบนตัวของผู้ตายโดยมียอดและหญิงสาวเดินตามหลังมาด้วย จนกระทั่งสายตาเหลือบไปเห็นของบางสิ่งที่หล่นลงอยู่ข้างกายของศพชายหนุ่มหยิบมันขึ้นมาดู
            “บรรลัยแล้ว” ชายหนุ่มกลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่ก่อนจะพูดด้วยเสียงสั่นเครือ ดวงตาเบิกโพลง คิ้วหนาทั้งสองข้างขมวดเข้าหากันหลังเห็นว่าเป็นป้ายทหารลาดตระเวนของเชียงคำ เขารู้ดีว่ากฎของเชียงคำมีข้อหนึ่งที่ห้ามไม่ให้ทำร้ายหรือฆ่าทหารลาดตระเวนเด็ดขาด ไม่อย่างนั้นโทษที่ได้รับคือประหารเพราะถือว่าเป็นกบฏ และเขาก็เผลอไปฆ่าทหารนายหนึ่งเสียแล้ว
            “เรื่องมาถึงขนาดนี้แล้ว ป้อนายจะทำเยี่ยงไรต่อขอรับ” ยอดถามเจ้านายของตนด้วยความเป็นห่วง ชายหนุ่มยังคงนิ่งเงียบไม่พูดอะไรทั้งนั้นสีหน้ามีแต่ความวิตกกังวล ในหัวกำลังคิดหาหนทางแกไขปัญหานี้โดยไม่ทำให้ใครต้องเดือดร้อน
            “หนีไหมขอรับ” ยอดเสนอความคิด
            “จะให้คนในเรือนนี้ยกโขยงหนีไปที่ใดกัน ถ้าถูกจับได้ข้าและพวกเอ็งก็ต้องถูกลงโทษอยู่ดี” 
            “บ่าวหมายถึงให้ป้อนายพาแม่หญิงหนีกันไปเพียงสองคนขอรับ ส่วนตรงนี้บ่าวกับพวกที่เหลือจะคอยอยู่รับหน้าแทนเองขอรับ” ยอดอธิบายให้คนตรงหน้าฟังแต่ดูเหมือนว่าคนฟังจะไม่เห็นด้วย
            “เอ็งหุบปากเดี๋ยวนี้!!! จะให้ข้าหนีแล้วทิ้งพวกเอ็งที่เหลือให้ลำบากเป็นตายร้ายดีเยี่ยงนั้นรึ” 
            “ฟังเหตุผลของบ่าวก่อนขอรับ ที่บ่าวอยากให้ป้อนายกับแม่หญิงหนีไปเพราะว่าถ้าเรื่องนี้ถึงหูเจ้าหลวงแล้ว พวกทหารคงเร่งมาที่นี่ให้เร็วที่สุด ถ้าช้าสุดก็พรุ่งนี้เช้า ถ้าป้อนายถูกจับตัวไปประหารคงต้องสิ้นสุดตระกูลนี้เป็นแน่ แต่ถ้าหากป้อนายกับแม่หญิงหนีไปบ่าวเชื่อว่าสักวันหนึ่งท่านทั้งสองจะต้องกลับมาแก้ต่างข้อกล่าวหาให้คนในเฮือนจันทร์พ้นผิดได้ขอรับ” ยอดพูดเชิงอ้อนวอน ชายหนุ่มชั่งใจคิดระยะหนึ่งเมื่อกวาดสายตาไปมองก็เห็นพวกบ่าวในเรือนต่างขอร้องอ้อนวอนไม่ต่างจากอ้ายยอด ชายหนุ่มจึงจำใจยอมที่ทำตามคำขอของทุกคน บ่าวในเรือนต่างช่วยกันยกข้าวของเครื่องใช้เสื้อผ้าต่างๆของทั้งสองคนบรรทุกลงเกวียนวัวต่างสินค้าของเฉินที่จะต้องเดินทางผ่านเชียงยอพอดี และทั้งสามต้องออกเดินทางให้เร็วที่สุดเพราะไม่รู้ว่าพวกทหารจากคุ้มหลวงจะมาที่เฮือนจันทร์เมื่อไหร่ ยอดเดินมาส่งเจ้านายของตนพร้อมบ่าวในเรือน ล้อเกวียนเริ่มหมุน หนานไกรและปิ่นตะวันนั่งมองภาพตรงหน้าที่ค่อยๆห่างจากตนไปทุกทีจนลับสายตา วัวสองตัวที่ใช้ลากเกวียนยังคงเดินไปเรื่อย ๆท่ามกลางแสงไฟคบเพลิง ร่างที่อ่อนเพลียจากการต่อสู้เริ่มเข้าสู่ห้วงนิทราจนหลับใหลไปในที่สุด
            อีกฝากหนึ่งของคุ้มหลวง ตำหนักไม้หลังใหญ่มีแสงไฟเล็ดลอดออกมาบ่งบอกถึงเจ้าของตำหนักยังไม่เข้านอน อินทร์คำยืนแสยะยิ้มอย่างสะใจตรงมุมมืดของห้องนอนหลังได้รับข่าวดีมา
            “เป็นเยี่ยงไรบ้างลูก สำเร็จหรือไม่”  เจ้าเกตุแก้วเดินมาถามลูกชายที่กำลังยืนยิ้มอย่างสบายใจ
            “เป็นไปตามแผนเจ้าค่า ไอ้ไกรมันฆ่าทหารลาดตระเวนโทษของมันคือประหารอย่างเดียว” อินทร์คำพูดไปยิ้มไปอย่างผู้มีชัย
            “แต่ทหารที่เสียไปก็เยอะอยู่หนาเจ้าอินทร์คำ”
            “แค่ทหารปลายแถว ท่านแม่จะเสียดายไปไย แลกกับการที่มันต้องถูกฆ่าตายข้อหากบฏ แค่นี้ก็คุ้มเสียยิ่งกว่าคุ้ม มันกล้าทำกับลูกเยี่ยงนี้ ลูกคิดว่ามันต้องรู้แล้วว่าลูกอยู่เบื้องหลังทั้งหมด สู้ฆ่ามันให้ตายตอนนี้ดีกว่าปล่อยให้มันเป็นก้างคอยขวางคอลูกเยี่ยงนี้”  
            “ลูกจะทำกระไรจงระวังตัวไว้ให้ดีอย่าประมาท เรามาถึงจุดนี้แล้วจะถอยหลังกลับไปมิได้อีก” เจ้าเกตุแก้วเตือนลูกชายตนไม่ให้ประมาทศัตรู
                                                                                  “เจ้าค่า ลูกจะจำไว้”

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

คุณคิดยังไงกับนิยายเรื่องนี้

* สามารถกรอกแบบสำรวจโดยไม่ต้องเป็นสมาชิกก็ได้ครับ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา