ปิ่นตะวัน

-

เขียนโดย พราวรุ้ง

วันที่ 15 กรกฎาคม พ.ศ. 2566 เวลา 12.40 น.

  9 ตอน
  69 วิจารณ์
  3,327 อ่าน

แก้ไขเมื่อ 15 กรกฎาคม พ.ศ. 2566 12.48 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

8) ผึ้งไฟ

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

        เสียงดังโครมครามจากตำหนักของเจ้าอินทร์คำ ข้าวของข้างในกระจัดกระจายเต็มพื้น อินทร์คำนั่งคุดคู้บนเตียงนอนปากพึมพำฟังไม่ได้ศัพท์

            “อินทร์คำลูกเป็นเยี่ยงไรบ้าง” เจ้าเกตุแก้วถามไถ่ด้วยความเป็นห่วงหลังเห็นลูกชายของตนคลุ้มคลั่งอาละวาดกวาดข้าวของต่างๆลงพื้นจากนั้นก็เอาแต่เก็บตัวอยู่ในห้องคนเดียวไม่ออกมาข้างนอก อินมร์คำค่อยๆหันมามอง ดวงตาแข็งเบิกโพลงขอบตาแดงเห็นเส้นเลือดเล็กๆได้ชัดดูน่ากลัวใบหน้าซีดเผือก ปากสั่นตัวสั่นราวกับกำลังโกรธใครสักคน

            “ไอ้ไกร ไอ้คนทรยศ มึงกล้าทำเยี่ยงนี้กับกู กูจะทำให้ชีวิตมึงไม่มีความสุขอีกตลอดไป” อินทร์คำกัดฟันกรอดใบหน้าถมึงทึงแววตามีแต่ความแค้นต่อคนที่พูดถึง เจ้าเกตุแก้วมองท่าทางของลูกชายที่ดูผิดปกติต่างไปจากเดิมคล้ายคนถูกของเข้าตัว คนเป็นแม่เริ่มหวั่นใจเกรงว่าลูกของตนอาจกลายเป็นคนเสียสติอย่างสมบูรณ์และจะทำให้อำนาจการแต่งตั้งเจ้าหลวงองค์ใหม่ตกเป็นของเจ้าอินทร์แปงได้ซึ่งนางไม่ยอมเด็ดขาด

นางกำนัลที่เฝ้าหน้าตำหนักวิ่งแจ้นเข้ามารายงานต่อเจ้าเกตุแก้วว่าเจ้าหลวงเสด็จมาเยี่ยมเจ้าอินทร์คำ เจ้าเกตุแก้วสั่งให้นางกำนันเก็บข้าวของที่กระจัดกระจายให้เป็นระเบียบส่วนตนจะออกไปต้อนรับ

เจ้าหลวงเอง      

           “ลูกเป็นเยี่ยงไรบ้างเจ้าเกตุแก้ว”  เจ้าหลวงคำยศถามไถ่อาการของลูกชายด้วยความเป็นห่วงทันทีที่ก้าวเข้ามาในตำหนัก

           “เจ้าอินทร์คำแค่เป็นไข้นิดหน่อยเพคะ พักผ่อนไม่กี่วันก็หายเพคะ” เจ้าเกตุแก้วพูดด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย

           “ถ้าเยี่ยงนั้นข้าขอเข้าไปดูอาการของเจ้าอินทร์คำข้างในเผื่อจะได้สั่งให้หมอหลวงเอายามาเพิ่ม” 

           “เข้าไปมิได้เพคะเจ้าหลวง” เจ้าเกตุแก้วทักท้วง เจ้าหลวงมองอย่างสงสัย

               “ทำไม”

           “คือว่า…. น้องกลัวเจ้าพี่จะติดไข้จากเจ้าอินทร์คำเพคะยิ่งช่วงนี้เจ้าพี่ต้องตรวจราชการงานสำคัญถ้าเจ้าพี่เกิดป่วยไข้ขึ้นมางานที่ทำอาจจะล่าช้าได้นะเพคะ” เจ้าหลวงชั่งใจคิดอยู่นานก่อนจะตัดสินใจเดินกลับตำหนักอย่างที่เจ้าเกตุแก้วมเหสีของตนบอกแต่ก็ไม่ลืมที่จะบอกลาและอวยพรให้เจ้าอินทร์คำหายป่วยเร็วๆ เมื่อเห็นเจ้าหลวงเสด็จกลับตำหนักไปแล้วเจ้าเกตุแก้วรีบเดินไปที่ห้องนอนลูกชายของตนพร้อมถอนหายใจกับสภาพที่เห็น อำมาตย์ธุยะมาถอนพิษให้ตั้งแต่เช้าเบื้องต้นถึงจะทุเลาลงแล้วสิ่งที่ตามมาคืออาการคลุ้มคลั่ง ก้าวร้าวของเจ้าอินทร์คำ พิษของผงพิษหลอนคงซึมเข้าไปในจิตใจของเจ้าอินทร์คำจนเกือบหมดตามที่อำมาตย์ธุยะบอกเอาไว้

       เสียงดังเอะอะโวยวายหน้าตำหนักนางกำนันคนเดิมวิ่งแจ้นเข้ามาหาเจ้าเกตุแก้วอีกครั้ง

           “เจ้าอินทร์แปงมาเจ้า”  เจ้าเกตุแก้วหน้าถอดสีเมื่อรู้ว่าเจ้าอินทร์แปงกำลังจะเข้ามา เธอจะยอมให้ใครมาเห็นสภาพของลูกตนเองตอนนี้ไม่ได้ยิ่งเป็นฝ่ายศัตรูยิ่งปล่อยไปไม่ได้ เจ้านางสูดลมหายใจเข้าเต็มปอด ปรับสีหน้าให้ดูเป็นปกติมากที่สุดหลังจากนั้นจึงเดินไปต้อนรับแขกผู้มาเยือน

           “เจ้าอินทร์แปงมายังตำหนักนี้มีเรื่องกระไรรึ” 

           “โธ่ แม่เมือง ข้ามาที่นี่ก็มาเยี่ยมคนป่วยสิ ได้ข่าวว่าลูกชายท่านเจ็บป่วยรึ ตอนนี้ใกล้ตายหรือยัง”  

           “เจ้าอินทร์แปง ลูกข้าแค่ป่วยไข้ตามฤดูกาลเท่านั้นอย่าพูดสิ่งอัปมงคลเช่นนี้ ข้าคือแม่เมืองของเชียงคำ ข้าไม่สั่งลงโทษเจ้าก็บุญเท่าไหร่แล้ว” เจ้าเกตุแก้วพูดด้วยน้ำเสียงที่เย็นยะเยือกทั้งสีหน้าและแววตาบ่งบอกถึงความไม่พอใจคนตรงหน้าแต่พยายามอดกลั้นอารมณ์อาไว้  อินทร์แปงเห็นท่าทีของเจ้าเกตุแก้วก็ยิ้มอย่างพอใจที่ทำให้แม่เมืองผู้ใจเย็นโกรธตนมากขนาดนี้นั่นก็หมายความว่าสิ่งที่ได้ยินมาว่าเจ้าอินทร์คำถูกผงพิษเล่นงานเป็นเรื่องจริง อินทร์แปงเดินจากไปด้วยความสบายใจ  

 

          รัตติกาลกระจ่างดาวเต็มท้องฟ้าลมพัดโชยเย็นสบาย ปิ่นตะวันออกมานั่งตากอากาศข้างนอกเรือน มองพระจันทร์ครึ่งดวงสีขาวนวลตาลอยเด่นยามราตรี

          “แม่หญิงกลับห้องนอนเถอะเจ้า ดึกแล้ว” ชุ่มพูดกับหญิงสาวที่ยืนมองพระจันทร์โดยไม่ละสายตา

           “โธ่พี่ ฉันยังไม่ง่วงสักหน่อย ขออยู่ต่ออีกนิดได้ไหม” ปิ่นตะวันพยายามพูดประวิงเวลาไม่ให้ชุ่มลากเธอกลับ

           “มิได้เจ้า ถึงเวลาที่แม่หญิงต้องนอนได้แล้วเจ้า”ชุ่มส่ายหัวเล็กน้อยไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นต้องพาแม่หญิงกลับเข้าห้องนอนให้ได้ 

           “ถ้าบ้านฉันนะตีสองยังไม่นอนเลยจ้า” หญิงสาวพูดสบถกับตัวเองเบาๆด้วยสีหน้าเซ็งๆ ก่อนจะตัดสินใจเดินกลับขึ้นไปบนเรือนเพราะทนฟังคำเร้าหรือของชุ่มไม่ไหว ระหว่างที่ทั้งสองเดินคุยกันนั้นได้มีแมลงเล็กๆบินเข้าไปในปากของปิ่นตะวันโดยที่หญิงสาวไม่ทันสังเกต ทันใดนั้นเองความรู้สึกร้อนภายในลำคอราวกับกำลังกลืนถ่านร้อนๆติดไฟลงไป

           “ร้อน ร้อน” หญิงสาวพูดพลางใช้มือบางลูบคอตัวเองหวังไล่ความร้อนออกไป ชุ่มที่เห็นหญิงสาวมีอาการร้อนรนจึงรีบพาขึ้นไปบนเรือนให้เร็วที่สุดหลังจากนั้นจึงนำน้ำใส่ขันมาให้ดื่มดับร้อน แต่กลับไม่เป็นอย่างที่คิดยิ่งหญิงสาวดื่มน้ำมากเท่าไหร่ก็ยิ่งทำให้ร้อนมากขึ้น จนกระทั่งชุ่มสังเกตเห็นรอยแดงบนคอระหงที่แผ่กระจายแตกแขนงไปทั่วพร้อมอาการดิ้นทุรนทุรายด้วยความร้อนของแม่หญิง ปากที่เคยมีสีชมพูระเรื่อบัดนี้กลายเป็นสีซีดราวกับคนกระหายน้ำ ชุ่มรีบวิ่งไปที่เรือนหลังเล็กเพื่อตามหนานไกรให้มาช่วย

        หนานไกรและยอดรีบมายังเรือนใหญ่หลังจากที่ชุ่มมาขอความช่วยเหลือและเล่าเหตุการณ์ก่อนหน้านั้นให้ตนฟัง เมื่อมาถึงภาพที่เห็นตรงหน้าคือหญิงสาวกำลังดิ้นทุรนทุรายบนเตียงนอนราวถูกไฟเผา บริเวณลำคอและเส้นเลือดรอบๆแดงฉานเหมือนมีก้อนไฟอยู่ในนั้น หนานไกรพิจารณาอาการที่หญิงสาวเป็นและมั่นใจว่าสิ่งที่ตนคิดไม่ผิดอย่างแน่นอน

           “ผึ้งไฟ” ชายหนุ่มพูดออกมาด้วยความมั่นใจก่อนจะจัดแจงให้ยอดนำน้ำใส่ขันและกระเทียมสับซึ่งเป็นสิ่งที่ผึ้งไฟเกลียดมากที่สุดมาให้ตน หนานไกรนำขันน้ำที่ได้มาผสมกับกระเทียมสับละลายเข้าด้วยกันแล้วสวดคาถากำกับแล้วจึงนำไปให้หญิงสาวกิน ชุ่มคอยประคองตัวหญิงสาวให้นั่งเมื่อปิ่นตะวันได้กินน้ำมนต์ที่หนานไกรเอามาให้ สักพักหญิงสาวรู้สึกว่ามีตัวอะไรบางอย่างพยายามไต่ออกมาจากปากของเธอ ไม่นานนักหญิงสาวก็สำลักแมลงตัวนั้นออกมา หนานไกรใช้มีดลงอาคมแทงลงบนผึ้งอาคมตัวนี้ทันที่เมื่อเห็นมันอยู่บนเตียงตรงหน้า ทันใดนั้นตัวผึ้งก็สลายหายไปในอากาศ หญิงสาวอ่อนแรงจึงผลอยหลับไป

        วันรุ่งขึ้นหนานไกรพาปิ่นตะวันมารดน้ำมนต์กับพระอาจารย์แสงคำเพื่อชำระล้างเสนียดจากมนต์ดำที่อาจหลงเหลืออยู่และเป็นเกราะคุ้มกันไม่ให้พวกอ  วิชาเข้ามากล้ำกรายถึงตัวได้

หลังจากรดน้ำมนต์เสร็จแล้วทั้งสองจึงลากลับ หนานไกรหยิบตะกรุดที่พกติดตัวยื่นให้หญิงสาวได้สวมใส่ ปิ่นตะวันยืนพิจารณาตะกรุดที่ผูกบนข้อมือเธอ รูปร่างแปลกตาไม่เคยเห็นมาก่อนหัวตะกรุดรูปร่างทรงรีเหมือนมีอะไรบางอย่างสีดำพอกเอาไว้

            “พี่หนาน นี่เค้าเรียกว่าตะกรุดอะไรเหรอคะ” หญิงสาวถามด้วยความสงสัยพร้อมยื่นสิ่งนั้นให้ชายหนุ่มดู

            “ตะกรุดก่าสะท้อน ข้างในเป็นยันต์ทำมาจากหนังลูกวัวที่เกิดแล้วตายคาอวัยวะเพศแล้วก็พอกด้วยครั่ง ป้องกันอันตราย คุณไสย์ และผีร้ายหากมีผู้ใดประสงค์ร้ายหรือทำคุณไสย์ใส่ ครั่งที่พอกยันต์จะแตกออกและถ้าเราเอาครั่งที่แตกออกมานั้นไปเผาไฟของหรือคุณไสย์ที่คนนั้นทำใส่ก็จะสะท้อนกลับเข้าหาตัว ถึงได้ชื่อว่าตะกรุดก่าสะท้อนเยี่ยงไรเล่า” หญิงสาวตาลุกวาวเมื่อได้ฟังที่มาที่ไปและคุณสมบัติของตะกรุดตัวนี้

            “อะเมซิ่งดาวล้านดวง เต็มสิบไม่หัก” หนานไกรหน้าคิ้วขมวดไม่เข้าใจคำพูดและภาษากายที่แม่หญิงแสดงออกมาหรือว่าเขาจะต้องเริ่มทำตัวให้ชินกับกิริยาท่าทางที่แปลกประหลาดนี้ให้ได้  

            “เออ พี่หนานฉันมีเรื่องหนึ่งที่อยากจะถามแต่ไม่มีโอกาสถามสักที”

            “มีกระไรก็ว่ามา”

            “ไอ้ตัวที่ฉันโดนเมื่อคืนมันคืออะไรเหรอคะ”  

            “มันเรียกว่าผึ้งไฟ เป็นสัตว์อาคมชนิดหนึ่ง มันจะบินเข้าไปในปากของเป้าหมายฝังตัวอยู่ในลำคอ คนผู้นั้นจะรู้สึกร้อนลุ่มราวกับกลืนถ่านไฟร้อนๆลงไป วิชานี้มีทั้งสายขาวและสายดำ ขึ้นอยู่กับผู้ใช้ ถ้าเป็นสายขาวจะทำแค่สั่งสอนหรือใช้เพื่อเค้นให้พูดความจริง ส่วนสายดำก็จะทำให้ทรมานถึงตายอย่างที่เจ้าเคยโดน”  

            “แต่ฉันไม่ได้มีศัตรูที่ไหนนะ”

            “คงเป็นเหตุบังเอิญ เจ้ารีบขึ้นไปบนเรือนเถิด” หนานไกรมองตามหญิงสาวที่กำลังจะก้าวขึ้นบันไดไปส่วนตัวเองก็คิดกลับไปยังเรือนหลังเล็กแต่แล้วพวกทหารจากคุ้มหลวงประมาณสิบคนนำโดยอำมาตย์คูนมายังเฮือนจันทร์  

            “นำทั้งสองคนนี้ไปจำตรุเดี๋ยวนี้” สิ้นคำสั่งทหารที่ติดตามมาด้วยเข้ามาจับตัวหญิงสาวเอาไว้

            “เดี๋ยว นี้มันอะไรกัน จับฉันทำไมฉันไปทำอะไรให้” ปิ่นตะวันโวยวายและพยายามดิ้นให้หลุดจากการจับตัว

            “ข้ากับแม่หญิงปิ่นมีความผิดกระไรท่านโปรดชี้แจงที ถ้าข้าทำผิดข้าจะยอมรับโทษแต่ถ้าข้ากับแม่หญิงมิได้ทำผิดข้าก็จะขอสู้ตาย”  

            “หึ ความผิดฐานเป็นกบฏพอที่จะทำให้ข้าจับพวกเจ้าทั้งสองเข้าตรุหรือไม่”

            “ข้ามิเคยคิดก่อกบฏ ท่านจะจับข้าไปมิได้” 

            “นั่นสิ คิดจะจับใครก็จับไม่มีหลักฐานจะมากล่าวหากันมั่วๆไม่ได้นะ” 

            “พวกเจ้าทั้งสองคนหุบปาก ถ้าข้ามิมีหลักฐานข้าจะมาจับพวกเจ้ารึ ทหาร!!! ล้อมจับพวกมันสองคนไว้” พวกทหารที่เหลือต่างชักดาบเพื่อล้อมจับคนทั้งสอง หนานไกรชักดาบออกจากฝักเตรียมสู้ สถานการณ์ตกอยู่ในความเงียบสงัดต่างฝ่ายต่างชักดาบออกมาพร้อมฟาดฟันถึงแม้ฝั่งของหนานไกรจะมีแค่เขาคนเดียวที่มีอาวุธแต่ด้วยสายเลือดนักรบถึงตัวตายก็ยังดีกว่าการหนีเอาตัวรอด

            “ช้าก่อน” เสียงตะโกนห้ามปรามจากคนที่พึ่งมาเยือน ปรากฏเป็นร่างของชายสูงวัยแต่งกายด้วยอาภรณ์ที่สวยงามบ่งบอกฐานะทางสังคม ทุกคนที่ยืนอยู่ต่างตกใจและรีบทำความเคารพทันที

            “ท่านลุง” 

            “ท่านโหราธิบดีมิ่งหล้า” ชายสูงวัยเดินมาหาอำมาตย์คูนด้วยท่าทางที่สง่างามแลดูมีอำนาจทำให้คนที่บรรดาศักดิ์ต่ำกว่าเกิดการเกรงกลัวเล็กน้อย

            “ข้าคิดว่าท่านอำมาตย์คูนคงไม่คิดว่าหลานข้าเป็นพวกกบฏ ถ้าเยี่ยงนั้นท่านอำมาตย์คูนปล่อยตัวหลานข้ากับแม่หญิงคนนี้ไปได้หรือไม่” ชายสูงวัยใช้น้ำเสียงเรียบพูดคุยกับคนตรงหน้าแต่ทำให้รู้สึกเหมือนมีพลังอำนาจลึกลับบางอย่างทำให้เกรงกลัวจนตัวสั่นเอาแต่ก้มหน้าก้มตา

            “ขอรับ….. พวกเอ็งปล่อยสองคนนั่นซะแล้วกลับคุ้มหลวง” พูดเสร็จทั้งอำมาตย์คูนและทหารทั้งหมดรีบจากไปทันทีโดยไม่หันกลับมามอง ปิ่นตะวันที่ยืนดูอยู่ต้องตะลึงที่คุณลุงของชายหนุ่มคนนี้สามารถทำให้พวกทหารนับสิบกับอำมาตย์จอมโมโหกลับไปโดยง่าย 

            “ขอบน้ำใจท่านลุงที่ช่วยหลาน” หนานไกรไหว้ขอบคุณ

            “มิเป็นไร ลุงคิดว่าเราไปนั่งคุยกันบนเรือนดีหรือไม่” มิ่งหล้าเสนอความคิดทั้งสองคนรีบขึ้นไปบนเรือนเพื่อพูดคุยธุระต่างๆโดยหนานไกรสั่งไม่ให้ปิ่นตะวันอยู่ฟัง หญิงสาวจึงออกมาเดินเล่นแถวๆบริเวณนั้นแทน เป็นเวลานานพอสมควรที่สองลุงหลานพูดคุยปรึกษากันจนกระทั่งพระอาทิตย์เริ่มตกดิน พระโหราธิบดีมิ่งหล้าผู้เป็นลุงจึงขอตัวกลับเฮือนแก้วพร้อมสีหน้าไม่สู้ดีนัก 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

คุณคิดยังไงกับนิยายเรื่องนี้

* สามารถกรอกแบบสำรวจโดยไม่ต้องเป็นสมาชิกก็ได้ครับ

 

อ่านนิยายเรื่องอื่น

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา